เพลงจอมโจรบัณฑิต หมายเลข

 

เอเสวะ มัคโค นัตถัญโญ
มีทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ไม่มีทางอื่น
ทัสสนัสสะ วิสุทธิยา
ที่จะนำไปสู่ความบริสุทธิ์แห่งทัศนะ
เอตัญหิ ตุมเห ปฏิปัชชถะ
พวกเธอจงเดินตามทางนี้เถิด
มารัสเสตัง ปโมหนัง
บนทางสายนี้ก็เถอะ
พญามาร มักออกฤทธิ์ พาให้หลงทางได้เสมอ
นี้คือ คำตรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยืนยันอยู่ดังนี้ๆ

เพื่อนชาวพุทธเอ๋ย ! โปรดสดับ และ ใช้ปัญญา
อะไรหนอ…? คือ มรรคา ที่แท้
บรรดา จอมโจรบัณฑิต ต่างได้ประกาศก้อง
ตามคารมตนแล้ว มากมายเอาจริงๆ

บ้างว่า ทางไปนิพพานนั้น ย่อมมีได้ “หลายทาง”
ดังนั้น ใครๆ จึงอย่ายึดมั่นถือมั่น
อย่าเถียงกัน อย่าทำความแตกแยก
(ทั้งๆ ที่มันกำลังแยกกัน “หลงไปคนละทาง”)

จงปล่อยให้เขาเลือกทางเดิน
ตามใจของเขาทั้งหลายเองเถิด
(ซึ่งเป็นคำพูด ที่ดูเหมือนโก้
เพราะประหนึ่ง ให้อิสระดีจริงหนอ
แต่ที่แท้ ผู้พูดนั้น ไม่รู้ทางถูกจริงคมชัดมั่นใจ
และปล่อยให้เพื่อนหลงทาง)
แถมยกตัวอย่างอ้างประกอบ
ชนิดเถียงไม่ได้เสียด้วย
เช่น… จะไปอยุธยา ย่อมเลือกไปได้
แม้ทางน้ำ -ทางถนน -ทางอากาศ ดั่งนี้
นั่น…เป็นคำกล่าวที่ค้าน คำพระดำรัสของ
พระพุทธองค์แล้วโต้งๆ

บ้างก็ว่า ถ้าแม้นมีใครแปลกแผกแยก
ต่างไปจากที่ตน ได้เข้าใจอยู่ -เป็นอยู่
-ท่องจำอยู่ -ยึดถืออยู่
ผู้นั้นต้องคือ ผู้แยก “นิกาย”

หรือ ผู้นั้นต้องเป็นนัก “สัทธรรมปฏิรูป”

มิตรพุทธเอ๋ย! แน่หรือ? เช่นไรกันแน่
คือ “นิกาย” ที่ถูกชัด
คือ “สัทธรรมปฏิรูป” ที่แม่นตรง

ถ้าผู้ใดมีพฤติกรรมสำคัญ
ที่มันได้… เพี้ยนออกจาก
“ศีลแท้ ๆ ธรรมแท้ ๆ วินัยแท้แห่งพุทธ”
ไปแล้ว
ผู้นั้นต่างหาก คือ ผู้แยกเป็น “นิกาย”
ผู้นั้นมิใช่หรือ? แตกหล่นออกไปจากพุทธ
แล้วใครเล่าหนอ… ที่ได้เพี้ยนแยกออกไป!
จนไม่ตรงศีล ไม่ตรงธรรม ไม่ตรงวินัย กันแท้…?

ความเป็นจริงแห่งพฤติกรรม แห่งความเป็นอยู่ของเรา
ถูก “ผู้รู้ท่านได้ใคร่ครวญแล้ว
จึงตำหนิเราด้วยศีล ได้หรือไม่” …?
เราได้หลงเอาพฤติกรรม หลงทำคำอธิบาย
ให้ค่อยๆ ปน ค่อยๆ แปลงลงไป
จนพฤติภาพแห่งพุทธ และ คำอธิบายแห่งธรรม
ได้เพี้ยนย้าย ได้แปลกเปลี่ยนออกไปๆๆ อยู่แล้วๆ เล่าๆ
จากสัทธรรมเดิม อย่างไม่รู้ตัว หรือเปล่าเอ่ย?
แล้วตนก็หลงตัว อยู่นั่นเอง ว่า
เราคือกลองใบเก่า ที่ยังคงชื่อว่า “อานกะ”
(เช่นที่ยังชื่อว่า “พุทธ”)
แท้ๆ… ตนหาได้เหลือ ความเป็นเนื้อเก่า
แห่งกลอง “อานกะ” ไม่เลย

แต่ก็พยายามประกาศก้อง ว่า
หากผู้ใดไม่เหมือน “ตน” แล้ว…
ผู้นั้นต้องเป็นนัก “สัทธรรมปฏิรูป”
ต้องเป็นผู้ทำสังฆเภท แยก“นิกาย”

ก็ใครเล่าหนอ… ได้ปฏิรูปพระสัทธรรม
ของพระพุทธองค์ มาแล้วนักหนา
จนเป็น “นิกาย” จากพุทธ
ไปเกือบสิ้นความเป็น“พุทธกาย” แล้ว

ผู้ที่ถูกพญามาร เล่นงานเอา
แล้วก็ได้หลงทาง ออกไป -ออกไป-ๆ-ๆ-ๆ
จากทางสายนี้ อันคือ
สติปัฏฐาน ๔ เป็นต้นเครื่อง
มีมรรคองค์ ๘ เป็นเฟืองรอบ
มีโพชฌงค์ ๗ เป็นพลังขับ
หรือคือ โพธิปักขิยธรรม ๓๗
เป็นองค์ประกอบ ศิลป์ สมบูรณ์

ซึ่งบ้างก็หลงออกไป อย่างไม่เหลือหลอ
เพราะไปมี “ทาง” สายอื่นเดิน
ไปมีแนวทางอื่นปฏิบัติ
โดยมีชื่อภาษาก็เป็นอื่น หลักการก็อย่างอื่น
การกระทำก็แบบอื่น เช่น บ้างก็ว่า
ปฏิบัติ คือ การ “นั่งหลับตา”…
ปฏิบัติ คือ การ “นั่งยกมือ” …
ปฏิบัติ คือ การ “เพ่งความใส เพ่งดวงแก้ว” ฯลฯ
นี้จึงจะเป็นทางบรรลุ… ว่ากันถึงปานดังนี้

หรือบ้างก็ว่า “จงคิดค้นด้วยปัญญาให้เห็นแจ้งว่า…
ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน”
แล้วจะบรรลุ..ดังนี้ ก็ว่า

หรือ แม้บางพวก จะเรียกชื่อใช้ภาษา
ก็ยังมีคำ มีความเดิมแห่งทางธรรมอยู่ ว่า
ปฏิบัติต้องเดินตามทาง “สติปัฏฐาน”
หรือ ด้วยวิธีการแห่ง “มรรคองค์ ๘“
แต่ทว่า มีเหลืออยู่จริงก็เพียง
สำเนียงเสียง ของคำกล่าว-คำเรียก อยู่เท่านั้น
ส่วนแบบแผน พฤติกรรมสำคัญ
แห่งกรรม ทางกาย-ทางใจ นั้น
หาได้เป็นเช่น พุทธแท้ -ความหมายเดิม ไม่แล้ว

เขาไปมีพฤติกรรมใหม่ แบบแผนใหม่
อันกลับเข้าไปเป็น ฤาษีเดียรถีย์
ที่มีระบบเก่า ก่อนพุทธเกิด ก็มี

บ้างไปเป็นผู้มีพฤติกรรมเก่า แบบแผนเก่า
คือ ได้หลงเป็นนักคิด นักค้นพบ
คำใหม่ เหตุผลใหม่
เป็นนักตรรกะ
แล้วก็หลงว่าตนบรรลุ ตนรู้แจ้ง อนัตตา สุญตา
ตนได้เห็นชัดแล้ว ซึ่งนิพพาน ดั่งนี้ ก็มี

ที่แน่ ๆ ก็คือ สภาพของผู้ที่ถูกพญามาร
เล่นงานเอา เหล่านี้
ไม่มีการงาน อันพอจะมีค่าว่า “ได้เสียสละ”
ได้ทำอะไร เป็นการ “ละตัวตน”
ให้เป็นประโยชน์แก่มวลมนุษย์
จนคุ้มแก่การเลี้ยงตัว
ให้พอพ้น การเป็นหนี้ก้อนข้าว หรือเงินทอง
ที่ตนยื่นมือแบออกไปรับมา
พร้อมกับร้องว่า
ตัวปฏิเสธไม่ได้ ! ๆๆ
ขัดศรัทธาไม่ได้ !!
ก็มีให้เห็นอยู่ มากหลายดาษดื่น

หรือ แม้บ้างจะมีความขยันหมั่นเรียน หมั่นเพียรเผยแพร่
แต่ก็ยัง เสพสม -สะสม -ไม่ยอมคาย
- ไม่ยอมลดละ -ไม่ยอมวาง -ไม่ยอมหมดตัว
บางคนแม้แค่ วัตถุสมบัติ ก็ไม่ยอมมักน้อย
บางคน ยอมหมดตัวทาง วัตถุ
แต่ ไม่ยอมหมดตัวทาง นามธรรม
ทว่าซ่อนพราง อย่างแหลมคม ด้วยคารมป้องกันตน
ก็มีมากเหลี่ยมมากเล่ห์ เก๋ไก๋ ยั่วยวน ชวนคนนิยม
จนหลงลมกันอยู่ ก็มากล้น
เพื่อนชาวพุทธเอ๋ย ! โปรดสดับ และใช้ปัญญา

อะไรเล่า…? คือ มรรคาที่แท้
อย่าได้หลงทาง ตามพญามารไปเลย

 

“หลง” นั้นคือ ถูกล่อให้เห็นตาม เชื่อตาม ไปได้แล้วจริง แต่เป็นความเชื่อในสิ่งผิด ในความผิด ยิ่ง“ผู้หลง”นั้น เป็นบัณฑิต เป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องด้วยแล้ว ยิ่งซ้ำร้ายใหญ่ เพราะยิ่งจะเป็น “โจร” ที่ได้ชื่อว่า “จอม” นั่นเทียว

 

 

 

และ ยิ่งถ้าเป็นโจรปล้น “สัทธรรม”
เป็นโจรเข่นฆ่า “พุทธศาสน์” ด้วยแล้ว
ก็เลยไม่มีคำกล่าวที่ “ยิ่ง” ใดๆ
ให้แก่เพื่อนชาวพุทธได้อีก
ซ้ำ…ที่น่าสงสารสุดแสน ก็คือ
เขาได้ฆ่า “พุทธศาสน์”แล้ว ด้วยเจตนาที่แสนดี

อันเนื่องมาแต่ เขามีศรัทธาที่แสนแรง
เพราะ อนิจจา!…
“เขาหลงทาง” ด้วยอนิจจังที่แสนจริง.

๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๔

  

ห ม า ย เ ล ข

เลือก
เพลง
หมายเลข

[1]


[2]


[3]


[4]


[5]


[6]


[7]


[8]


[9]


[10]