๑. ร่วมกันสู้ หน้า ๙ - ๒๒

จับจำลอง !

จับจำลอง! เป็นข่าวพาดหัวตัวโตที่สุด ของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ข่าวเหตุการณ์วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ไม่ได้มีอยู่เฉพาะ ในเมืองไทยเท่านั้น แต่ได้ แพร่กระจายไปทั่วโลก รูปที่ผมถูกใส่กุญแจมือ มีทหาร หน้าตาถมึงทึง อาวุธครบ เดินกระหนาบซ้ายขวา แวดล้อมด้วยทหาร อีกนับสิบที่ถือปืน เอ็ม ๑๖ ยืนจังก้า พร้อมที่จะลั่นไกได้ทุกเมื่อ ดูไปแล้วเหมือนกับผม เป็นอาชญากร คดีอุกฉกรรจ์ หรือ เป็นเชลยศึกตัวฉกาจ ก่อให้เกิดความสะเทือนใจ แก่ผู้ที่ได้เห็นภาพนั้น ไม่ว่าจะเห็นจาก หนังสือพิมพ์ หรือ โทรทัศน์ก็ตาม

ผมไม่รู้สึกโกรธแค้นแม้แต่น้อย ไม่รู้สึกอับอายขายหน้า หรือเสื่อมเสีย เกียรติแต่อย่างใด ถือว่าทหาร จำเป็นต้องทำ ตามนายสั่ง ผมก็ทำหน้าที่ของผม

การปราศรัยในที่ชุมนุม ผมกล่าวอยู่เสมอๆว่า เรามาหยุดยั้ง การสืบ ทอด อำนาจเผด็จการ ด้วยการเรียกร้องให้ พลเอกสุจินดา คราประยูรลาออก จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น เราชุมนุม เราเรียกร้อง อย่างสันติ ถ้าทหาร ตำรวจเขาจะมาจับ เราก็ชูมือ ให้เขาจับโดยดี ไม่มีขัดขืน ผมเอง จะอยู่ร่วมกับพี่น้อง ประชาชนตลอดเวลา ไม่ไปไหน ถ้าเขาจับ ผมจะให้เขาจับเป็นคนแรก ผม ได้ทำตาม คำมั่นสัญญา ทุกประการ ทำหน้าที่ของผมให้ถึงที่สุด ไม่ว่าอะไร จะเกิดขึ้นกับผมก็ตาม จะยิงให้ตาย ก็ยิงไป จะจับผมไปขังคุก ก็ตามใจ ไม่สะทก สะท้านอะไรทั้งสิ้น

ตอนบ่ายวันที่ ๑๘ พฤษภาคม หลังจากให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ข้ามทวีป ไปต่างประเทศ พูดกับ สำนักข่าว ออสเตรเลีย บีบีซี ซีเอ็นเอ็น แล้ว ก็มีผู้ให้ข่าว ยืนยันว่า เวลาบ่ายสามโมง ทหารที่รวมกำลัง กันอยู่ที่ สะพานผ่านฟ้า จะบุก เข้ากวาดล้างแน่ ผมรีบปีนขึ้นไปพูด บนหลังคารถทันที ขอร้อง ให้ผู้ชุมนุม ที่อยู่ กระจัดกระจายกัน มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ให้หนาแน่ ถ้ามีจำนวนมากพอ ทหาร ก็ไม่กล้าบุก ซึ่งวิธีนี้ เคยใช้ได้ผลมาตลอด แต่คราวนี้ เนื่องจากเมื่อคืนที่แล้ว ผู้ร่วมชุมนุม อิดโรย เหลือเกิน ต้องหลบกระสุนปืนกัน หัวซุกหัวซุน จึงพากัน กลับไปพัก เป็นจำนวนมาก ตอนเย็น จึงจะกลับมาชุมนุม รวมกันหลายๆ หมื่นคน และเพิ่มเป็นแสนๆ คนในตอนกลางคืน ดังนั้น ช่วงเวลา ประมาณบ่ายสามโมง จึงเป็นจุดอ่อน ที่ทหารจะเข้ากวาดล้าง ได้ง่ายที่สุด

ผมประกาศขอให้ผู้ชุมนุมที่นั่นแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่อยู่ติดกับลวดหนาม สะพานผ่านฟ้า ให้หันหน้า จ้องไปยังทหาร ที่เข้าแถว ยืนประจัญหน้าอยู่ บนสะพาน อีกส่วนหนึ่งที่อยู่ถัดมา ให้หันหน้า ไปทาง อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพราะทั้งสองทิศนี้ เป็นเส้นทาง ที่จะเข้ากวาดล้างเรา

ทุกคนแม้จะอดนอน เหนื่อย และเพลียมาก ก็ยังขวัญดีตลอดคืนวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ถูกกราดยิง อย่างหูดับ ตับไหม้มาถึง ๔ ครั้ง ยังยิ้มออก ยังมี อารมณ์ ที่จะร้องรำทำเพลง และปรบมือ เข้าจังหวะ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์คงมีความรู้สึกประทับใจเหมือนกับผมว่า ผู้ที่ไป ร่วมชุมนุมนับเป็นแสนๆ คนนั้น เป็นคน มีคุณภาพ ไปด้วยความสมัครใจ ไป เพราะเห็นภัย ที่จะเกิดขึ้น กับบ้านเมือง ไม่มีใครไปหลอก ไปชักจูงได้ เราไป ชุมนุมกันอย่างสันติ ไปมือเปล่าๆ อย่างดีก็มี ขวดน้ำดื่มเท่านั้น ที่ถือติดมือ เป็น ขวดพลาสติก เปล่าๆ ที่ดื่มน้ำหมดไปแล้ว ใช้สำหรับ เคาะพื้น ให้จังหวะ

ผมพูดให้กำลังใจอยู่สักพัก ชักชวนจนผู้ชุมนุม นั่งเป็นแถว เป็นแนวดี แล้ว ผมก็ลงไปนั่ง ตากแดดด้วย วันนั้นท้องฟ้า ไม่มีเมฆเลย แดดร้อนจัดมาก ผู้ ชุมนุมที่นั่งอยู่บริเวณ ที่มีตาข่าย ขึงอยู่ข้างบน ก็ค่อยยังชั่วหน่อย ผู้ที่อยู่กลางแจ้ง ร้อนที่สุด พื้นถนน ยางมะตอย ยามถูกแดด ร้อนวูบวาบ เอากระดาษ หนังสือพิมพ์ปู ก็ช่วยได้ ไม่เท่าไร หนังสือพิมพ์ จะใช้ได้ผลบ้าง ก็โดยเอามาพับ เป็นหมวกกันแดด

ประมาณบ่ายสามโมง ทหารที่รวมพลกัน อยู่แถวสะพานผ่านฟ้า หน้า กรมโยธาธิการ ก็ดาหน้า กันเข้า กวาดล้างพวกเรา อย่างรวดเร็ว ผู้สื่อข่าวหญิง คนหนึ่ง กำลังถาม ยังไม่ทันขาดคำ เสียงปืนก็ดัง สนั่นหวั่นไหว ทหารยิงเหมือน คืนที่แล้ว แต่คราวนี้ ยิงไม่ยั้ง ระดมยิง ติดต่อกัน ถึงครึ่งชั่วโมง หมดกระสุนปืน เป็นหมื่นๆ นัด ส่วนหนึ่ง จะยิงขึ้นฟ้า บางส่วน จะยิงจริงๆ กราดยิง ตามแนวราบ ใครหมอบไม่ทัน ก็โดน สังเกตเห็นได้จาก กระสุนส่องวิถี ซึ่งตอนกลางคืน จะมองเห็น แนวกระสุน ชัดมาก

พอเสียงปืนดังขึ้น ทุกคนก็รีบหมอบราบลงบนพื้นถนน ผมล้มลงนอน ตะแคง มีผ้าเช็ดหน้า หนาๆ อยู่ผืนหนึ่ง ได้อาศัย ปูรองแก้ม ที่แนบกับพื้นถนน ส่วนแขน และข้อศอกนั้น ไม่มีอะไรกัน พองจนไหม้ เป็นแผล อยู่หลายวัน เพราะพื้น ยางมะตอย ร้อนระอุ เหมือนกระทะ ตั้งบนเตาไฟ นั่นเอง

คนที่อยู่ข้างๆ ทุ่มตัวเข้าทับผมถึงสองชั้น เอาตัวเอง เข้ากันลูกกระสุน ผมต้องใช้มือ แหวกออก ไม่ยอมให้ทับ เพราะยิ่งทับ ยิ่งเป็นกองพูนสูงขึ้น จะเป็นเป้ากระสุนอย่างดี กว่าจะแหวก ออกได้หมด ก็เหนื่อยแทบแย่ ผมขอบคุณ อย่างยิ่ง ที่กลัวผม จะถูกยิง ถึงขนาด เสี่ยงชีวิต เอาตัวเข้ากำบังให้ ซึ่งผู้ที่ทับผมนั้น บางคน ไม่เคยรู้จักกัน มาก่อนเลย

ที่จริงทหารไม่จำเป็นต้องแสดงอำนาจ ด้วยการกราดยิงเข้ามา อย่างหูดับ ตัวไหม้ ขนาดนั้น เพียงแต่ใช้ เครื่องขยายเสียง ประกาศว่า จะจับเท่านั้น เราก็ ชูมือให้จับแล้ว เพราะเราเตรียม จะให้จับ อยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องเสีย ลูกปืนสักนัด ก็สามารถ จับเราได้หมด ในฐานะที่เคยผ่าน สมรภูมิลาว และ เวียดนาม มาแล้ว ผมไม่เห็นจะเท่ ตรงไหนเลย การยิงกราด เข้าไปยังฝูงชน ที่มีแต่มือเปล่าๆ

พอเสียงปืนสงบลง ทหารก็กรูเข้ามายืนคุม เต็มพื้นที่ พร้อมกับจ้องปาก กระบอกปืน ผมรีบลุกขึ้นนั่ง ก่อนเพื่อน ให้สัญญาณ ชูมือขวาขึ้น พร้อมกับร้อง ตะโกนว่า "พลตรีจำลอง ศรีเมือง อยู่นี่ จะจับ ให้มาจับตรงนี้ อย่าไปยิง ประชาชน" ทหารสองสามคน ที่ยืนอยู่ใกล้ผม หันมามอง ชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่ทำอะไร

ผมตะโกนผ่านเครื่องขยายเสียงหลายครั้ง ก่อนตีสี่ บอกทหารว่าผม และกรรมการ สมาพันธ์ ประชาธิปไตย ยินดีให้จับ อย่ายิง ประชาชน ทหารกลับ ตอบรับ ด้วยเสียงปืน การรบกับข้าศึก ตามสนธิสัญญา เจนีวา ถ้าข้าศึก ขอมอบตัว จะยิงไม่ได้เลย นี่โหดร้ายยิ่งกว่า รบกันเสียอีก

ผมเห็นทหารเอาเท้าเขี่ยผู้หญิงคนหนึ่ง ที่นอนหมอบอยู่ถัดไป ผมทนไม่ได้ ชี้หน้าทหารคนนั้น แล้วสั่งสอนว่า "รักษาศักดิ์ศรี ของทหารไว้บ้าง" เพราะผมก็เป็นทหาร เหมือนกัน

ทันใดนั้น นายสิบทหารสารวัตรสองคน ก็ตรงเข้ามาใส่กุญแจมือผม พร้อมกับดึงผม ให้ยืนขึ้น ที่จริง ผมก็จะยืนขึ้นอยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องมาฉุด กระชาก ลากดึงอะไรเลย คงคิดว่าเท่ อีกเหมือนกัน ที่ได้แสดง อาการอย่างนั้น กับผม

ทหารสองคนนั้น เดินเบียดผม เหมือนกับว่า ผมพยายามจะหนี อยู่ทุกขณะ ทั้งๆที่มือทั้งสอง ของผม ก็ถูกใส่ กุญแจแล้ว ยังขาดอยู่ตรงที่ ไม่ได้ล่ามโซ่ขา เท่านั้นเอง ใกล้จะถึงรถจี๊พ นายทหารรุ่นน้อง ยศพันเอก คนหนึ่ง แต่งกายชุดสนาม ยกมือขึ้น ทำความเคารพ พร้อมกับพูดว่า "พี่ลอง ผมขอโทษ" แล้วเดินนำ ไปขึ้นรถ ข้างหน้ามีรถแล่นนำ เปิดไฟวาบๆ คันหนึ่ง ตามหลังด้วย รถที่มีทหาร อาวุธพร้อม อีกคันหนึ่ง

สักครู่ ขบวนก็ไปถึงกองบัญชาการกองทัพภาคที่ ๑ หรือกองกำลัง รักษาพระนคร ซึ่งผมเคยไป ในฐานะ ผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร ที่เป็นพลตรี อดีตหัวหน้านักเรียนนายร้อย พระจุลจอมเกล้า เป็นแขก รับเชิญ ของแม่ทัพ กองทัพภาคที่ ๑ แต่ครั้งนี้ ไม่เหมือนครั้งนั้น นายทหารรุ่นน้อง ยืนเรียงรายอยู่ ตามขั้นบันได หน้าตึกกองบัญชาการ หน้าตาเคร่งขรึม ไม่ยิ้มแย้ม แจ่มใส เหมือนก่อน

ผมจงใจเดินช้าๆ จ้องมองใบหน้า นายทหารรุ่นน้องทีละคน ผมยิ้มน้อยๆ ไม่รู้สึกอะไร อยากจะดูว่า เขาตีสีหน้าอย่างไร พอใจละหรือ ที่จับผมมา เหมือนจับคนร้ายโทษหนัก หลายคน ทำความเคารพผม ทุกคนก้มหน้า ไม่กล้า สบตาผมเลย

เขาพาผมขึ้นไปบนชั้นสอง ผมดีใจที่จะได้ดูหน้า พลโทชัยณรงค์ หนุนภักดี นายทหารรุ่นน้อง หลังผม สี่รุ่น เป็นหัวหน้า นักเรียนนายร้อย เหมือนกัน แต่แล้วก็ผิดหวัง ไม่มีใครอยู่พบผม ทหารต้อง พาผมลงไป หน้าตึกกองบัญชาการอีก

รองเท้าผมก็ไม่ได้ใส่ เพราะทิ้งไว้ในที่ชุมนุม ขณะที่ยืนรอเปลี่ยนรถ เพื่อเดินทางต่อ พื้นคอนกรีต ร้อนมาก เลยบอกกับ นายทหาร ที่ควบคุมตัวว่า ผมขอเดินไป ใต้ร่มไม้หน่อย มีนายตำรวจ หนุ่มๆ หลายคน ยืนรวมอยู่ที่นั่น ทุกคน ทำความเคารพผม แล้วก็หลบสายตา

ทันใดนั้น มีรถจี๊พแล่นเข้ามาอีกคันหนึ่ง จับผู้หญิงหน้าตาดี แต่งกาย ชุดขาวสำหรับไปวัด ผมนึก เอะใจ จึงตะโกนพูด กับผู้ที่ ควบคุมว่า "ไม่ใช่คุณศิริลักษณ์ คุณจับเขามาทำไม" เงียบ ไม่มีคำตอบ สุภาพสตรี คนนั้น ถูกนำมาขึ้นรถ คันเดียวกับผม โชคร้ายแท้ๆ ตอนผมถูกจับ เธอจะเข้าไป ป้องกันผม คนจับเลย เข้าใจผิด

คุณศิริลักษณ์ นอนหมอบอยู่ใกล้ๆ รถตู้ ไม่ไกลจากผมเท่าใดนัก ได้ยินเสียงทหาร ร้องตะโกนว่า "เอาเมียมันไปด้วย คนที่ใส่ เสื้อขาวน่ะ" คุณศิริลักษณ์ อยากจะให้จับ แต่เกรงว่า จะถูกนำไป เป็นตัวประกัน เพื่อต่อรองให้ผม อยู่ในคำสั่ง ของทหาร จึงอาศัยเชาว์ไว ไหวพริบ เล็ดลอด ออกไปได้ มาทราบทีหลังว่า จับผิดตัว

ทหารระดมกันเข้าตรวจค้น โดยอ้างว่า จะตรวจอาวุธ ผู้ชุมนุมทุกคน แล้วเลยตรงเข้า ริบเงินทอง วิทยุ โทรศัพท์มือถือ ของประชาชน ไปต่อหน้าต่อตา แม้บางขณะ จะได้ยินเสียงนายทหาร ร้องห้ามปราม อยู่ก็ตาม

ทั้งๆที่เป็นผู้หญิง ท่าทางสงบเสงี่ยม ไม่มีวี่แววว่าจะหนีไปได้เลย ทหารก็ยังต้อง ใส่กุญแจมือ ให้ได้ ซึ่งจะต้อง ยื่นกุญแจมือ ผ่านหน้าผม เพราะสุภาพสตรีคนนั้น นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ผมเลยอาสา ใส่กุญแจมือให้เอง ใส่กุญแจมือเสร็จ เธอก็ยกมือ ทั้งสอง ขึ้นไหว้ผม พร้อมกับกล่าวว่า "เป็นบุญค่ะ ที่ท่านใส่ กุญแจมือให้ดิฉัน" ทราบภายหลังว่าชื่อ คุณพัชรี แซ่เลี้ยว บ้านอยู่โคราช กำลังจะไป เยี่ยมลูก แวะไปให้กำลังใจ แก่ผู้ไปร่วมชุมนุม เลยถูกจับ

ขบวนรถควบคุมผู้ต้องหา พาผมบึ่งไปโรงเรียนนายสิบตำรวจ บางเขน นายตำรวจ ชั้นนายพัน ๒ คน ได้สืบสวนผม ในห้องรับแขก ตั้งข้อหาว่า พยายามเปลี่ยนกฎหมาย เปลี่ยนรัฐบาล และชุมนุมเกิน ๑๐ คน ในขณะประกาศ ภาวะฉุกเฉิน

ข้อหาฟังดูก็แปลกดี พยายามเปลี่ยนกฎหมาย คือ พยายามแก้ไขรัฐ ธรรมนูญ พยายามเปลี่ยนรัฐบาล ได้แก่ การเรียกร้อง ให้นายกฯ ลาออก

นายทหารยศพันเอกคนเดิม เมื่อคุมผมไปส่งเรียบร้อยแล้ว ก็ลากลับ น้ำตาคลอ ยกมือไหว้ผมอีกครั้ง พร้อมกับกล่าวว่า "พี่ลองครับ ผมขออภัย"

สักครู่ พลตำรวจโท ธนู หอมหวล ก็ไปพบ แจ้งให้ทราบว่า ผู้บังคับบัญชา สั่งให้ไปดูแล เมื่อกลับ ออกจากห้อง ไปได้สักพัก ตำรวจเข้าไป ไขกุญแจมือผมออก พลตำรวจโทธนู คงรำคาญตา ที่เห็นผม ใส่กุญแจมือ อยู่ตลอดเวลา

คืนนั้น ตำรวจจะให้ผมนอน ในห้องรับแขก ซึ่งเป็นห้องแอร์ ผมไม่เอา ขอไปนอนในห้องขัง เหมือนกับ ผู้ร่วมชุมนุม คนอื่นๆ ที่ถูกจับมา ตำรวจก็ยอม

ผมได้นอนในกรงจริงๆ ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร นอนที่ไหนก็นอนได้ ผมถูกนำขึ้นไปขัง บนชั้น ๒ เวลาเดินผ่าน ห้องขังอื่นๆไป ก็มีเสียงปรบมือ ดังกึกก้อง เพราะเป็นผู้ต้องขัง คดีเดียวกันทั้งนั้น ผมถูกขังเดี่ยว เป็นห้องเล็กๆ มีลูกกรงเหล็ก แน่นหนา ลักษณะเหมือน ห้องขังข้างๆ เพียงแต่เล็กกว่า และมีผมถูกขัง อยู่คนเดียวเท่านั้น

ตำรวจจากภาคอีสาน ที่ถูกเกณฑ์ไปช่วย ทำสำนวนสอบสวน ต่างก็ทยอยกัน เดินขึ้นไปดูผม ส่วนใหญ่ มักจะทำความเคารพ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ผู้ควบคุมผม ไม่ว่าจะเป็น นายตำรวจชั้นสัญญาบัตร หรือนายสิบ ให้เกียรติในฐานะ ผมเป็นนายทหาร ทั้งการพูดจา และการแสดงกิริยา มารยาท คอยถามไถ่ อยู่เสมอว่า ผมขาดอะไรบ้าง

ผมต้องการมุ้ง ก็ไปหามุ้งเก่าๆหลังเล็กๆมาได้หลังหนึ่ง ช่วยให้รอดพ้น จากยุงไปได้ รุ่งขึ้น จึงทราบ จากผู้ต้องขัง ห้องอื่นๆว่า ไม่มีมุ้งเลย ผมจึงขอร้องแม่ค้าในนั้น ให้ช่วยไปซื้อมุ้ง หลังใหญ่ๆ มาให้ครบ ผมออก จากคุกเมื่อไร จะเอาเงินไปใช้ให้ พร้อมทั้ง ดอกเบี้ย ผมเหมาปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ ยาสีฟัน แปรง สีฟัน กระดาษชำระ ผ้าอนามัยแจกกัน โดยผมขอติดหนี้ ไว้ก่อน เช่นกัน เพราะ มีเงินติดตัวไป ๕ บาท เท่านั้นเอง ปกติผมพกเงิน มากกว่า ๕ บาท แต่คงไม่พอจ่าย อยู่ดี

ผู้ต้องขังได้กินข้าว คนละ ๑ กำปั้น เช้า-เย็น อาจเป็นเพราะไม่ได้ เตรียมการมาก่อน พวกเราไปกัน ทีหนึ่ง สามพันกว่าคน จึงได้กินคนละนิด

พอเช้าขึ้น ทุกห้องขังก็ครื้นเครง ร้องเพลงพร้อมกับปรบมือสลับกัน ไปเหมือนชุมนุม ฟังปราศรัย ทุกคนไม่บ่น ทั้งเรื่องยุงกัด และข้าวไม่พอกิน ได้แต่ตะโกนบอกว่า ดีใจ ที่ถูกจับมาขัง พร้อมกับผม

เช้าวันนั้นผมได้รับจดหมายน้อยๆ เขียนใส่เศษกระดาษแล้วม้วน กลมๆ ปาไปที่ห้องขังผม ผมเอื้อมมือ ลอดลูกกรง ออกไปหยิบมาอ่าน ได้ครบทุกฉบับ ส่วนใหญ่ มีข้อความ คล้ายๆกัน

จดหมายฉบับหนึ่ง เขียนว่า….. "เรียนท่านจำลอง พวกเราในที่นี้สบายดี และภูมิใจ ที่ได้มาอยู่ กับท่านค่ะ ทำใจให้สบาย นะคะ"

บางรายก็เท้าความถึงหนหลังว่า เคยพบกันมาก่อนหน้านี้แล้ว "สวัสดีค่ะ คุณพ่อจำลอง ศรีเมือง ลูกเคยเขียน จดหมายไปหา คุณพ่อ ตอนหาเสียงผู้ว่าฯ กทม. ที่วงเวียนใหญ่ หนูคิดว่า คุณพ่อ คงจำได้นะคะ ตอนนี้หนูอยู่ห้อง ตะรางห้องแรก

รักและเคารพ ลูกนุชค่ะ"

ตอนสายๆ ของวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ผู้คุมก็มาไขกุญแจ และนำตัวผม ออกไป หลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้ กลับมาอยู่ ที่กรงขังเดิม อีกเลย

สารวัตรทหารอากาศนำผมไปแยกขังเดี่ยว ที่กองทัพทหารสารวัตร ดอนเมือง คงเกรงว่า ที่โรงเรียน นายสิบบางเขน ท่าจะไม่ ปลอดภัย อาจมีใคร ไปแย่งชิงตัวผม ออกมาก็ได้ ผมเลยเหงา ไม่ได้ตะโกนคุย ข้ามห้องขัง และไม่ได้ รับจดหมาย น้อยๆ อีกต่อไป


ในขณะที่ทหารเข้ากวาดล้างด้านสะพานผ่านฟ้านั้น ได้รุกบีบเข้ามา ทุกทิศทุกทาง อีกด้านหนึ่ง เวลาประมาณ บ่ายสามโมง เหมือนกัน ทหาร ประมาณ ๔๐๐ คน อาวุธกระสุน เต็มอัตราศึก ยกกำลัง บุกเข้ามา จากสี่แยกคอกวัว

ทหารได้ปิดถนน บริเวณหน้ากองสลาก โดยใช้ลวดหนาม ที่ภาษา ทหารเรียกว่า ลวดหีบเพลง กั้นอย่าง แน่นหนา ได้รับ การตะโกนต่อว่า ว่าทำเสมือน ประชาชนคนไทยด้วยกัน เป็นข้าศึก

ทหารกลุ่มที่เข้ากวาดล้าง บริเวณเชิงสะพานผ่านฟ้า หลังจากจับผมไปแล้ว ก็ตะโกนสั่ง ผู้ชุมนุมว่า "ผู้ชายถอดเสื้อ ผู้หญิงนอนคว่ำหน้าเฉยๆ"

นิตยสาร "แนวหน้า" สุดสัปดาห์ ๒๙ พ.ค.-๔มิ.ย. รายงานข่าวว่า ใครที่ชักช้า ก็จะถูกตบ ไม่เว้น แม้แต่นักข่าว เสียง "ยอมแล้ว กลัวแล้ว" ดังระงม ไปทั่วบริเวณ ทหารกวาดจับเชลย ชายหญิง ได้ในวันนั้น และวันต่อมา รวมกัน กว่าสามพันคน ใช้รถบรรทุก ยีเอ็มซี ขนไปขังรวมกับผม ที่โรงเรียน นายสิบ ตำรวจบางเขน และ ที่เรือนจำลาดยาว

ตอนกลางคืน ก่อนหน้าที่ผมจะถูกจับ ขณะที่ผมและกรรมการ สมาพันธ์ประชาธิปไตย อีกสองท่าน คือ หมอสันต์ กับ หมอเหวง อยู่บนหลังคารถตู้ ทหารได้ยิงกราด เข้าไปในที่ชุมนุม เป็นครั้งแรก ผมก็บอก กับหมอทั้งสองว่า "รัฐบาลแพ้แล้ว รัฐบาลเสีย ความชอบธรรม โดยสิ้นเชิง ยิงกราดเข้ามาได้ ทั้งๆ ที่พวกเรา มามือเปล่าๆ"

ผมขอยืนยันว่า ผมยินดีและจงใจจะให้จับ รัฐบาลยิ่งจับก็ยิ่งแพ้ ไม่ได้จับผมคนเดียว จับไปอีก สามพันกว่าคน แต่ละคน มีญาติพี่น้อง นับสิบๆ ร้อยๆ รัฐบาลมีศัตรู เพิ่มขึ้นเป็นแสน จะอยู่ได้อย่างไร

ยิ่งจับมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งฉลาดน้อยลงเท่านั้น

ตอนที่เสียงปืนสงบ และผมลุกขึ้นนั่งชูมือขึ้นนั้น เป็นนาทีของการเสี่ยง ขณะที่ทหาร จ้องปืนอยู่นั้น อาจจะลั่นไก ยิงผมก็ได้ เพราะไม่หมอบอยู่กับที่ ลุกขึ้นมารับกระสุนปืนเอง ผมเสี่ยง เพราะอย่างไรเสีย ก็ขึ้นอยู่กับ ผู้มีอำนาจ จะสั่งให้ฆ่าก็ได้ จับก็ได้ แต่การฆ่าตรงนั้น เปิดเผยไปหน่อย ท่ามกลางสายตา นับร้อย นับพันคู่ คงปิดข่าว ไม่ได้แน่ๆ

ผมทราบข่าวจากนายทหารรุ่นน้องว่า ตลอดระยะเวลา ของการชุมนุม ติดต่อกันหลายวันนั้น ผู้บังคับบัญชา ระดับสูง ได้สั่งให้เก็บผม โดยเข้าใจผิดว่า ถ้าฆ่าผมตาย ได้คนหนึ่ง การชุมนุมคงเลิก

ผมนึกในใจว่า ตายเป็นตาย การตายเพื่อช่วยทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม ดีกว่ามีชีวิตอยู่ เพื่อผลประโยชน์ ของตัวเอง และ พวกพ้อง

นึกถึงตอนถูกยิงกราด ๕ ครั้ง นึกถึงตอนถูกจับ

นึกเมื่อใด ก็ภูมิใจเมื่อนั้น ภูมิใจว่า ผมมีส่วนช่วยหยุดยั้ง การสืบทอด อำนาจเผด็จการ ด้วยเหมือนกัน

ภูมิใจที่มีโอกาสได้ร่วมชุมนุมกับคนดีๆ หลายแสนคน

"โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่ เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกหยัน จะยืนหยัดสู้ไปใฝ่ประจัญ ยอมอาสัญ ก็เพราะปอง เทิดผองไทย"

ภูมิใจที่ได้ "ร่วมกันสู้"


 

อ่านต่อ ๒
ค้านรัฐธรรมนูญ

 

จากหนังสือ .. ร่วมกันสู้ ... พลตรี จำลอง ศรีเมือง - จับจำลอง - หน้า ๙ - ๒๒