๖. ร่วมกันสู้ หน้า ๖๗ - ๘๗

อายใครต่อใคร

การต่อต้านการสืบทอดอำนาจเผด็จการ โดยการเรียกร้องให้ พลเอกสุจินดา ลาออกจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีนั้น ได้เริ่มรณรงค์ ต่อต้านอย่างจริงจัง ตั้งแต่วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๓๕ เป็นต้นมา

เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองโดยตรง แต่ปรากฏว่า ผู้ที่ร่วมต่อต้านนั้น ไม่มีผู้ใด มีตำแหน่งทางการเมืองเลย เป็นประชาชนธรรมดาๆ ไม่ว่าจะเป็น ครูประทีป สคส. (สมาคมครูเพื่อสังคม) อาจารย์โคทม อารียา อาจารย์วิฑิต มันตราภรณ์ จาก ครป. นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล จาก สนนท. หรือ เรืออากาศตรีฉลาด วรฉัตร

ผมไปเยี่ยมเรืออากาศตรีฉลาด ที่อดข้าวอยู่หน้ารัฐสภา พบครูประทีป และคณะ แต่งชุดขาว อดข้าวประท้วง ร่วมกับ เรืออากาศตรี ฉลาด ผมรู้สึกอาย เรืออากาศตรีฉลาด อายครูประทีปและคนอื่นๆ ที่เอาจริงเอาจัง กับการแก้ปัญหา ทางการเมือง ทั้งๆที่ไม่ใช่นักการเมือง แล้วนักการเมืองอย่างผมล่ะ จะไม่ทำอะไรเลยหรือ

มีตำแหน่ง ส.ส.มีเงินเดือน มีเครื่องแบบ มีเกียรติยศ ไปไหนมาไหน พบใคร อย่างน้อยเขาก็เรียก "ท่าน ส.ส." ยังไม่ได้ร่วมต่อสู้ ยับยั้งการสืบทอด อำนาจเผด็จการเลย ปล่อยให้ชาวบ้านธรรมดาๆ เขาสู้เอาๆ แล้วเรานั่งดูเฉยๆ

ที่จริงก็ไม่ได้อยู่เฉย ส.ส.พวกเราพรรคฝ่ายค้าน ๔ พรรค พยายามผลักดัน ช่วยกันแก้รัฐธรรมนูญในสภา เสนอไปตั้งนานแล้ว ก็ไม่มีวี่แววว่า จะแก้ได้สำเร็จ เพราะประธาน และรองประธานสภาผู้แทน เป็นคนของรัฐบาล มีส.ส.หนุน ๑๙๕ เสียง มากที่สุดแล้ว ยังมีวุฒิสมาชิกอีก ๒๗๐ เสียง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้เป็นประชาธิปไตย ไม่ว่าจะแก้ให้นายกฯ มาจาก การเลือกตั้ง หรือประเด็นอื่นใดก็ตาม แทบจะแก้ไม่ได้เลย

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเห็นชัดว่า องค์กรเอกชนที่เคลื่อนไหว นอกสภานั้น เป็นเรื่องถูกต้อง และมีทางสำเร็จ ขอให้ประชาชน มาร่วมเป็นจำนวนมากๆ ใครๆก็หยุดยั้ง พลังมหาชนไม่ได

เรืออากาศตรีฉลาด ครูประทีป ครป. สนนท. กลุ่มคณาจารย์ มหาวิทยาลัยต่างๆ และกลุ่มบุคคลอื่นๆ ที่ร่วมกันสู้ เป็นลำดับมานั้น ยังไม่ได้รับความร่วมมือ จากประชาชน มากเท่าที่ควร ไม่มากพอที่ พลเอกสุจินดา จะยอมปฏิบัติ ตามคำเรียกร้องได้ และ เรืออากาศตรีฉลาด คงตายแน่ ซึ่งเขาเคย บอกฝากใครๆ มาถึงผมว่า มีผมคนเดียวเท่านั้น ที่จะช่วยเขาได้

ผมคิดถึงเรื่องนี้อยู่เป็นอาทิตย์ อยากจะเอาตัวเองเข้าเสี่ยง ร่วมต่อสู้ให้รู้ผล เห็นดำเห็นแดงกัน ในเร็ววัน แทนที่จะปล่อย ให้ยืดเยื้อ มาแรมเดือนแล้ว ไม่มีทีท่าว่า จะสำเร็จ

ผมวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง แล้วคิดอยู่คนเดียว ไม่บอกให้คุณศิริลักษณ์ ภรรยาผมทราบ เพราะถ้าเธอ ไม่เห็นด้วย แล้วผมดื้อดึงทำไป ก็จะผิดใจกัน ผมคิดทบทวนไปมา หลายตลบว่า จะเอาตัวเองเข้าเสี่ยงดีไหม

ผมเคยร่วมคัดค้านการแก้ไข รัฐธรรมนูญ เมื่อปี ๒๕๒๖ ซึ่งคนกลุ่มหนึ่ง พยายามจะแก้ ให้เป็นเผด็จการยิ่งขึ้น ด้วยการจะให้ ข้าราชการประจำ แม่ทัพนายกอง สามารถเป็นรัฐมนตรี หรือ นายกรัฐมนตรี ในขณะที่ยังเป็น ข้าราชการประจำได้ ตอนนั้น ผมเป็นพันเอก ธรรมดาๆคนหนึ่ง ลาออกจากเลขาธิการ นายกรัฐมนตรีแล้ว เราสามารถคัดค้านได้สำเร็จ เรืออากาศตรี ฉลาด และอีก หลายต่อหลายคน ก็ช่วยกันคัดค้าน ต่างคนต่างทำ โดยมีเป้าหมายเดียวกัน

เมื่อเคยสู้มาแล้ว ตอนนี้มีความจำเป็น จะไม่สู้เห็นทีจะไม่ได้ ผมจึงตัดสินใจ ขอร่วมกันสู้อีกสักที เป็นไรเป็นกัน แม้จะยากอย่างยิ่ง ก็ต้องสู้

ผมติดตามข่าวคราวมาตลอด ไม่มียุคใดสมัยใด ที่คนไทย พร้อมเพรียงกัน ต่อสู้ทางการเมือง เหมือนครั้งนี้ กลุ่มชน ทุกสาขา อาชีพ ลุกขึ้นสู้ พร้อมๆกัน แม้จะมีเพียงมือเปล่าๆ แต่หากรวมกำลังกัน ให้เหนียวแน่น และมีจำนวนมากพอ ต้องชนะแน่ๆ เป็นพลังที่มีความถูกต้อง ชอบธรรม เป็นพลังที่บริสุทธิ์ ทำเพื่อประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ครั้งนี้ประชาชนตื่นตัวเรื่องประชาธิปไตยมาก เห็นพิษภัย ของเผด็จการ ได้ชัดว่า ประเทศไหน ก็ประเทศนั้น หากเป็นเผด็จการ ติดต่อกัน ไม่กี่ปีก็พัง

ประชาชนทราบดีว่า การเป็นนายกรัฐมนตรีของ พลเอกสุจินดา เป็นการสืบทอด อำนาจเผด็จการ และได้วาง ฐานกำลัง ที่จะสืบทอด ต่อไปอีก นับสิบปี เป็นอันตรายอย่างยิ่ง แก่บ้านเมืองของเรา เมื่อประชาชน เห็นภัยเช่นนี้ หากมีใคร สักคนหนึ่ง ที่ประชาชนรู้จัก และ เมตตาสงสาร ได้กระโดดลงมาเสี่ยง อย่างจริงจัง ประชาชนอีก จำนวนไม่น้อย คงจะมาร่วม เพิ่มเติม ทำให้การต่อสู้ บรรลุผลสำเร็จ อย่างแน่นอน

หลังจากได้ไตร่ตรอง อย่างรอบคอบแล้ว ผมจึงตัดสินใจ เอาชีวิตเข้าเสี่ยง ประท้วง โดยการอดอาหาร อย่างเคร่งครัด จนกว่า พลเอกสุจินดา จะลาออก หรือผมตายไป การอดอาหารวิธีนี้ จะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ ๗ วัน ซึ่งอาจจะเร็ว หรือช้ากว่านั้น แล้วแต่สภาพแวดล้อม และสภาพจิต วิธีที่จะให้มีชีวิตอยู่ ถึง ๗ วัน หรือนานกว่านั้น ก็ต้องปฏิบัติ ตามที่เขาปฏิบัติกัน คือ นั่งหรือนอนเฉยๆ พยายามไม่เคลื่อนไหว และไม่พูดจาใดๆ

ส.ส.ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ คนสำคัญอีกคนหนึ่งที่ "ร่วมกันสู้" ได้ให้ สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ แก่หนังสือข่าวพิเศษ ฉบับ ๑๒-๑๘ มิ.ย.๓๕ ว่า "ท่านตัดสินใจอดข้าว ท่านไม่ได้บอกใคร แต่ว่า ท่านไม่ได้ตัดสินใจ แบบฉับพลัน ท่านคิดมา เป็นขั้นเป็นตอน ตลอด กระแสกดดันที่ท่านก็สูง หมายความว่า เมื่อคุณฉลาด ออกมาอย่างนั้นแล้ว ตอนนั้น เริ่มมีคนพูดแล้วว่า จะปล่อยให้ คุณฉลาดตาย หรืออย่างไร มีการพูดคุยกันว่า ก็มีคนที่พอจะมาช่วยกัน ให้การเรียกร้อง บรรลุเป้าหมาย มี พล.ต.จำลอง อยู่คนเดียว มีการพูดถึงตรงนั้น มันก็ไปขมวดปมที่ท่านว่า จะไม่ทำอะไรเลยหรืออย่างไร คนที่ไม่อยู่ในตอนนั้น ก็พูดกันไปเรื่อย ในเมื่อมันเป็นเผด็จการ ไม่เป็นประชาธิปไตย ทำไม พล.ต. จำลอง อยู่เฉยๆ ทำไมปล่อยให้คุณฉลาด อดอยู่คนเดียว ถ้าเราคิด มาเป็นขั้นตอน ท่านจะทำอย่างไร เพราะว่า ท่านเอง ก็มีหลายสถานภาพ เป็นคนที่ว่า ทั่วประเทศยอมรับสูง ทำไมไม่ทำอะไรเลย ทำให้ท่านต้องคิดว่า ท่านจะเอาอย่างไรดี ในเรื่องนี้ แล้วสิ่งหนึ่ง เราก็ไม่อยากให้คุณฉลาด เสียชีวิต สิ่งที่คุณฉลาด เรียกร้อง ก็ถูกต้อง ตอนนี้จะทำอย่างไร มันก็มีวิธีเดียว คือ อดข้าวประท้วง เพราะว่าทำกับตัวเอง ถ้าประชาชนเห็นด้วย ก็จะออกมาเรียกร้อง ถ้าไม่เห็นด้วย ก็จบไปของท่านเอง"

๔ พฤษภาคม เป็นอีกวันหนึ่ง ที่องค์กรเอกชน และพรรคฝ่ายค้าน ร่วมกันจัดการชุมนุมใหญ่ ปราศรัยคัดค้านคนนอก เป็นนายกฯ ที่สนามหลวง

เวลาประมาณบ่ายสามโมง ก่อนที่จะถึงเวลาปราศรัย ครูประทีป คุณปริญญาและคณะ นัดผมให้ไปประชุม ปรึกษา หารือกัน ผมไม่กล้านัดไปที่บ้าน เพราะกลัวภรรยา ทราบข้อตกลงใจของผม หากเธอค้าน ผมคงทำไม่สำเร็จ จึงนัดพบกัน ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง

ผมแจ้งการตัดสินใจของผม ที่จะประท้วงโดยการอดอาหาร อย่างเคร่งครัด ให้ผู้เข้าร่วมประชุมทราบ

ครูประทีป และคุณปริญญา หน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด พยายามขอร้องผมว่า อย่าเสี่ยงถึงขนาดนั้นได้ไหม ผมบอก "ไม่ได้หรอกครับ"

ถ้าครั้งนี้ต่อสู้เหยาะๆแหยะๆละก็ ไม่สำเร็จแน่ หากพลาดก็ไม่เป็นไร เพราะผมไม่มีลูกไม่มีห่วง ส่วนคุณศิริลักษณ์ ภรรยาผม ก็เลี้ยงตัวเองได้ และ เป็นนักสู้ มีจิตใจเข้มแข็งมาก

ออกจากที่ประชุม ผมก็ตรงไปรัฐสภา เพื่อแถลงข่าวนี้ออกไป ให้ประชาชนทราบ

หน้า ๗๒

[เรียน ท่านพี่น้องประชาชนผู้หวังดีต่อประเทศชาติ

เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ประชาชนจำนวนมาก ได้มาร่วมกันคัดค้าน คนนอกเป็นนายกฯ และคัดค้าน คำประเภทที่ว่า "เสียสัตย์เพื่อชาติ" ซึ่งก่อให้เกิด ผลเสียหาย อย่างใหญ่หลวง ในด้านคุณธรรม เราคัดค้าน ในหลักการ ไม่มีใคร จงเกลียดจงชังสุจินดา เป็นส่วนตัว และเราไม่ได้คัดค้าน เรื่องการทำงาน จึงไม่ต้อง รอดูผลงานของรัฐบาล อย่างที่อ้างกัน ข้างๆ คูๆ

การสืบทอดอำนาจคณะปฏิวัติ และวางแผนสืบทอด อำนาจต่อไปอีก ๑๐ ปีนั้น ประชาชนเห็นชัดแล้วว่า จะก่อให้เกิด ผลเสียหายมากมาย แก่ประเทศชาติต่อไป ซึ่งนับว่า จะเข้าไปสู่ระบอบเผด็จการ มากยิ่งขึ้น มีผลกระทบต่อ สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เคารพเทิดทูนบูชา ของเรา ทั้งจะทำให้ ต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจ อีกนับเป็นหมื่นๆ ล้านบาท

พลเอกสุจินดาและคณะ หลงผิดไปชั่วขณะ ซึ่งพวกเราได้เสนอแนะ หาทางออกที่ดีที่สุด อันเปี่ยมไปด้วย ความรัก และความเมตตาต่อกัน ขอร้อง ให้พลเอกสุจินดา ลาออกจากนายกฯ แล้วสมัคร ส.ส. เขตไหนก็ได้ ส.ส.ในเขตนั้น ยินดีลาออก เพื่อเปิดทางให้ แต่เราไม่ยอมรับ การแก้ตัว ด้วยวิธีอื่นใด ทั้งสิ้น

ความผิดพลาดทางการเมืองในขณะนี้ ที่จริงการแก้ไข เป็นหน้าที่ของ นักการเมือง เป็นหน้าที่ของ ส.ส. แต่ ส.ส. ก็ช่วยพูดคัดค้านในสภาไม่ได้ เพราะประธาน และรองประธานสภา เป็นคนของรัฐบาล ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล ก็มีถึง ๑๙๕ เสียง และยังมีวุฒิสมาชิก หนุนอีก ๒๗๐ เสียง การพูดในสภา จึงเป็นเพียง การแสดงละคร ประกอบ ให้เห็นว่า เป็นประชาธิปไตยเท่านั้น ส.ส.หลายคน จึงต้องคัดค้านอย่างสันติ นอกสภา ร่วมกับประชาชน

การชุมนุมประท้วง ที่อาจจะมีผลก็เฉพาะวันที่ ๖ พฤษภาคม วันแถลงนโยบายรัฐบาล เท่านั้น ถัดจากวันที่ ๖ ไปแล้ว เกือบจะไม่มีผล ในการคัดค้านเลย ประชาชนและสื่อมวลชน แขนงต่างๆ จะถูกปิดปากหมด ความเป็นเผด็จการ จะเพิ่มมากขึ้น จะแก้ปัญหาสำคัญๆ ของชาติไม่ได้เลย

เป็นที่น่าสังเกตว่า การคัดค้าน ขยายวงกว้างขวาง และรวดเร็ว ไม่มียุคใดสมัยไหน ที่ครูบาอาจารย์ สถาบันการศึกษา ต่างๆ จะร่วมกันต่อต้าน อย่างมากมาย เหมือนครั้งนี้ เพราะต่างก็เห็นภัยร้ายแรง ที่จะเกิดขึ้น กับประเทศชาติ ของเรา

เพื่อให้การคัดค้านเป็นผลอย่างจริงจัง เราขอเรียนเชิญ ชวนทุกท่าน ที่มีความห่วงใยบ้านเมือง ได้โปรด สละวันทำงาน ของท่าน ๑ วัน ไปชุมนุมกันอย่างสงบ ในวันที่ ๖ พฤษภาคม แปดโมงเช้า เพื่อช่วยกัน ขอร้อง วิงวอนให้ พลเอกสุจินดา ลาออกจาก นายกรัฐมนตรี นัดพบกันที่ หน้ารัฐสภา ซึ่งพลเอกสุจินดา จะไปที่นั่น

ที่แล้วมา การต่อสู้ของเรืออากาศตรีฉลาด และคณะ ด้วยวิธีการอดอาหาร มีผลระยะยาวนั้น เป็นวิธีที่ถูกต้อง เพราะประชาชน อีกเป็นจำนวนมาก ต้องการระยะเวลา เพื่อความเข้าใจ แต่ผู้ที่จะมาสู้เพิ่มเติม ต่อไปนั้น ต้องใช้วิธี เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ในระยะเวลา อันรวดเร็ว ภายในสองสามวันนี้ จึงจะได้ผล

ผมได้คัดค้านในฐานะสมาชิก พรรคการเมือง มามากแล้ว แต่ไม่เกิดผล คราวนี้ผมขอคัดค้าน ในฐานะส่วนตัว ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ไม่ผูกติดกับ พรรคการเมือง

ผมได้ไตร่ตรองมานาน พินิจพิจารณา อย่างรอบคอบ ผมขอเอาชีวิตเข้าแลก อดอาหาร ตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป อดโดย ไม่ยอมรับอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกลูโคส น้ำเกลือ การตรวจร่างกาย หรือ การรักษาใดๆ การอดอาหาร โดยวิธีนี้ จะอยู่ได้ประมาณ ไม่เกิน ๗ วัน ผมจะอดจนกว่า พลเอกสุจินดา จะลาออก หรือ อดจนตายไป

การคัดค้านของผมนั้น ผมไม่ได้หวังอำนาจ หากการคัดค้านในครั้งนี้ ทำให้ผมมีโอกาสเป็น รัฐมนตรี เป็นรองนายกรัฐมนตรี หรือเป็น นายกรัฐมนตรี ผมไม่ยอมรับตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น ผมจะไม่ยอม เสียสัตย์ เป็นอันขาด

พี่น้องประชาชนครับ ถ้าการชุมนุมในวันที่ ๖ พฤษภาคมนี้ เหตุการณ์ เป็นไปในทำนอง "น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ" ละก็ ผมขอถือโอกาสนี้ กล่าวคำอำลาท่าน โดยเฉพาะ ท่านที่กรุณาสนับสนุนผม ตลอดมา ทั้งท่านที่อยู่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

ผมภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย ได้พบพระศาสนา ได้อยู่ในร่มพระบารมี ของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีโอกาสรู้จักพี่น้อง ประชาชน หลายๆ ท่าน ที่เป็นคนดี แม้ผมจะต้อง จากโลกนี้ไป ในเวลาอีกไม่กี่วัน ผมก็ไม่เสียดาย ผมขอขอบพระคุณ ขอบพระคุณต่อทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่หลายท่าน ได้ให้ความเมตตา กรุณาต่อผม

ลาก่อน

พลตรีจำลอง ศรีเมือง

๔ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ]

 

บรรยากาศของการชุมนุม หนังสือพิมพ์รายวัน และนิตยสารต่างๆ ได้ แพร่ข่าวไปอย่างละเอียด นิตยสารดอกเบี้ย รายสัปดาห์ ฉบับพิเศษ "ประชาธิปไตยเลือด" ซึ่งพิมพ์เผยแพร่ ภายหลังเหตุการณ์ สงบลงแล้ว ได้รายงานว่า…

"๔ พฤษภาคม ๒๕๓๕
ประชาชนเรือนแสน หลั่งไหลไปชุมนุมกันที่สนามหลวง เพื่อรับฟัง คำปราศรัยคัดค้านนายกฯ จากคนนอก ในการปราศรัยครั้งนี้ นอกจากหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน และบรรดาขุนพลของพรรคแล้ว ยังมีตัวแทนของ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา ตัวแทนองค์กร เอกชนต่างๆ และตัวแทน ผู้ใช้แรงงาน ร่วมประกาศ เจตนารมณ์เดียวกัน…

เวลา ๒๑.๐๐ น. นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ขึ้นเวทีปราศรัย เป็นคนต่อมา และบอกว่า ตนได้เตรียม ซักฟอก นโยบายรัฐบาล ในสภา

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ได้ขึ้นพูดบนเวที ด้วยท่าทางที่จริงจังว่า ฟ้าดินที่วิปริต อยู่ทุกวันนี้ เพราะคนชั่วครองเมือง มันเจ็บปวด หลายคนรู้ว่า ตนฝากแผ่นดินไว้ในมือเขา ตนเคยแสดงให้ดูแล้ว เพราะฉะนั้น เราต้องกวาดล้างให้สิ้นไป เพื่อนแท้ๆ ตนยังบอกให้หลีกไป เพื่อให้คนนี้ขึ้น ซึ่งตนจะไม่ว่า แม้แต่น้อย ถ้าตนเจ็บปวดคนเดียว แต่ประชาชน ทั้งประเทศ ต้องเจ็บปวดด้วย จึงไม่มีทางอื่นอีกแล้ว พล.อ.สุจินดา ต้องออกไป ถ้าไม่ออกไป ตนจะอยู่ได้อย่างไร "ผมก็อยู่ไม่ได้" เราให้เวลา พลเอกสุจินดา แค่วันที่ ๖ พ.ค.นี้ ขอให้พี่น้อง ประชาชน เป็นพยาน เพราะทุกคน ก็คงตระหนักดีว่า เรากำลังต่อสู้ กับเผด็จการ เป็นการเสี่ยง แต่เราก็ต้องสู้ พอมาถึงช่วงนี้ ปรากฏว่า มีประชาชน ลุกขึ้นมาตะโกนว่า "สู้มัน ๆ ๆ ๆ"

พล.อ.ชวลิต ยังกล่าวอีกว่า ตนเป็นคนปลุกผี ขึ้นมาจากโลง ตนก็จะต้อง เป็นคนปราบผี ตัวนั้นเอง เราต้องร่วมมือกัน ต่อสู้

จากนั้น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรม ได้ขึ้นปราศรัย เป็นคนสุดท้าย ในบรรดาหัวหน้า พรรคการเมือง โดยกล่าวว่า การพูดครั้งนี้ อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย ในชีวิตตน ตนไม่มีทางเลือก และบอกประชาชนว่า เสร็จจากนี้แล้ว ขอให้ทุกคน กลับบ้านพักผ่อน เพื่อกลับมาพบกันใหม่ ที่หน้ารัฐสภา วันที่ ๖ พ.ค. พร้อมกับได้อ่านจดหมาย ลาตาย ภายใน ๗ วัน ของตน โดยอดอาหาร เรียกร้องให้ พล.อ.สุจินดา ลาออก ก่อนจะจบลง ด้วยเสียงปรบมือ กึกก้องยาวนาน และประชาชน ได้เฮโล ไปยังหน้าเวที เพื่อจะได้เห็นหน้า พล.ต.จำลอง ชัดๆ

การปราศรัยที่ท้องสนามหลวง จบลงอย่างสันติ ตอนสี่ทุ่ม หลังจากหัวหน้าพรรคการเมือง ทั้ง ๔ พรรค ขึ้นไปยืนบนเวที เปิดเพลง สรรเสริญพระบารมี ปิดการปราศรัย

ต่อจากนั้น ตัวแทนองค์กร ประกอบด้วย ครป. สนนท. กลุ่มสหพันธ์ แรงงานแห่งประเทศไทย ประธานสภาองค์การครู เพื่อสังคม กลุ่มรัฐวิสาหกิจ ประธานกลุ่มองค์กรสลัม คณะบริหารกลุ่มนักวิชาการ เพื่อประชาธิปไตย ๑๐ สถาบัน และกลุ่มประชาชน ได้ยื่นจดหมาย เปิดผนึกถึง พล.อ.สุจินดา ที่สวนรื่นฤดี โดยเรียกร้องให้ลาออก จากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี"

และอีกตอนหนึ่ง รายงานว่า…..

"ฝ่าย พล.อ.สุจินดา ยืนยันกับผู้สื่อข่าวอย่างแข็งขันว่า ไม่ลาออก แม้ว่า จะมีแรงกดดันถึงที่สุด

ทางด้าน พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รมช.มหาดไทย บอกว่า เตรียมพร้อม ในการรักษาความสงบที่สนามหลวง โดยมีกองร้อย ปราบจลาจล จาก ๑๙๑ บก.น.เหนือ ใต้ ธนฯ อย่างละ ๒ กองร้อย และ กองปราบฯ อีก ๑ กองร้อย เตรียมพร้อมอยู่ในที่ตั้ง สามารถเคลื่อน สู่สนามหลวงได้ทันที

ฝ่ายอธิบดีกรมตำรวจ กล่าวว่า ตำรวจจัดกำลังรักษา ความสงบเรียบร้อย ไว้พร้อมทุกเมื่อ

วันเดียวกัน สโมสรนักศึกษาและชมรมพัฒนาสังคม สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงประธานสภา ผู้แทนราษฎร เรียกร้องให้นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง วุฒิสมาชิกมาจาก กระบวนการเลือกตั้ง โดยประชาชน และเป็นตัวแทน ของประชาชน ในสาขาต่างๆ มีอำนาจเฉพาะ กลั่นกรองกฎหมาย และให้ประธานรัฐสภา มาจาก ประธานสภา ผู้แทนราษฎร จึงเห็นควรผลักดัน ให้สภาผู้แทนฯ เร่งพิจารณาแก้ไข รัฐธรรมนูญ ให้เป็นประชาธิปไตย โดยเร่งด่วน

คณะกรรมการประสานงาน เพื่อพัฒนาประชาธิปไตย ภาคเหนือ ก็ได้ออกแถลงการณ์ ในวันเดียวกันนี้ว่า ขอให้นายกฯ ยึดมั่นในสัจจะ เพราะเด็กเลี้ยงแกะ ยังน่าอภัยได้ แต่ผู้นำรัฐบาล จะต้องมีสัจจะ เป็นแบบอย่างมาตรฐาน ทางศีลธรรม ของสังคมไทยต่อไป ขอให้รัฐมนตรี ที่ถูกยึดทรัพย์ ลาออกจากตำแหน่ง ขอให้เปิดหูเปิดตาประชาชน ให้ได้รับรู้ข่าวสาร หลายด้าน และขอให้ แก้รัฐธรรมนูญ ให้เป็นประชาธิปไตยด้วย"

หนังสือพิมพ์รายงานข่าวว่า "เกิดเหตุอาถรรพ์สยอง ภายในรัฐสภา หลังจาก พล.ต.จำลอง ประกาศ อดอาหารประท้วง มีลางร้าย ติดต่อกัน ๒ ครั้งซ้อน คือ ครั้งแรก ฝาครอบไฟ ห้องโถงรัฐสภา ตกลงมาแตกกระจาย โดยไม่ทราบสาเหตุ และห่างกันไม่นานนัก เมื่อเวลา ประมาณ ๑๙.๐๐น. น.ส.พรพิสัย แก้วก่า ข้าราชการรัฐสภา ได้กระโดดตึก ฆ่าตัวตาย อย่างน่าพิศวง ซึ่งผู้เห็นเหตุการณ์ ต่างจับกลุ่ม วิพากษ์วิจารณ์กัน อย่างกว้างขวาง ถึงลางร้ายที่เกิดขึ้น

เพราะเท่าที่ผ่านมา เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้น ในรัฐสภา มักจะมีเหตุการณ์ เปลี่ยนแปลงทางการเมือง ครั้งใหญ่ทุกครั้ง เช่น สมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกฯ ก็เกิดเหตุการณ์ อีกายกฝูงจิกตีกันเอง หรือ ไล่จิกตีนกฮูก ต่อมา ก็มีการยุบสภา และ ในสมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกฯ ก็มีฝูงผึ้งเข้าทำรัง ใต้หลังคารัฐสภาถึง ๒ รัง ต่อมาไม่นาน ก็เกิดเหตุการณ์ เมื่อวันที่ ๒๓ ก.พ.๒๕๓๔"

เมื่อปราศรัยที่สนามหลวงเสร็จ ผมไม่กลับบ้าน ตรงไปนั่งไปนอน อดอาหารหน้ารัฐสภา บริเวณที่ติดกับ โรงช้าง เขาดิน

"ผมนั่งอยู่ติดกับนักมังสวิรัติที่ใหญ่ที่สุดในโลก แข็งแรงที่สุดในโลก คือ ช้าง เรามองไม่เห็นกัน เพราะมีกำแพงกั้น เขาเงียบ ไม่รบกวนผมเลย ครับ" ผมเขียนป้าย ติดประกาศเอาไว้

วันที่ ๕ พฤษภาคม วันฉัตรมงคล เป็นวันหยุดราชการ มีคนไปร่วมที่ หน้ารัฐสภามาก แม้จะยังไม่ถึงวันนัด วันที่ ๖ พฤษภาคม ก็ตาม หลายท่าน แวะไปเยี่ยมผม ด้วยความเป็นห่วง คุยกับผม ผมโต้ตอบโดยใช้วิธีเขียน ไม่พูด เพื่อออมพลังงาน ให้มากที่สุด

ผมดีใจที่นักหนังสือพิมพ์อาวุโสท่านหนึ่ง ที่ผู้คนยอมรับ นับถือกัน ทั้งบ้านทั้งเมือง ได้ไปเยี่ยมผม เป็นนักต่อสู้ ที่มีอุดมการณ์สูงส่ง ผมเขียนเล่าความในใจ ให้ฟังว่า….

"คุณ……ครับ ขอบคุณอย่างยิ่ง ที่กรุณามาเยี่ยม ผมตั้งใจไว้เงียบๆว่า การต่อสู้ครั้งนี้ ถ้าเป็นผลสำเร็จ หากมีโอกาส เป็นรัฐมนตรี รองนายกฯ หรือนายกฯ นอกจากจะไม่รับตำแหน่งใดๆ แล้ว ผมจะลาออก จากตำแหน่ง หัวหน้าพรรคพลังธรรม ด้วย

ผมพบความจริงว่า การต่อสู้ครั้งนี้ ถ้าผมไม่เป็นหัวหน้าพรรค ผมจะต่อสู้ได้ดีกว่า

ส่วนเรื่องที่บางท่าน อยากจะเห็นผมเป็นหัวหน้าพรรคต่อไป จนกระทั่ง มีเสียงข้างมากได้เป็นนายกฯนั้น ก็มีทางเป็นไปได้ แต่ต้องใช้เวลา อีกหลายปี กว่าจะเอาพลังเงียบ ไปชนะพลังเงิน ในจังหวัดต่างๆได้ ผมไม่เคยใฝ่ฝัน จะเป็นนายกรัฐมนตรี เสียด้วย

ผมได้ตัดสินใจ ตั้งแต่วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๓๕ วันประกาศผล การเลือกตั้งว่า ผมคงพอแค่นี้ ถ้ามีการยุบสภา หรือ สภาหมดวาระ จะมีการเลือกตั้งใหม่ ผมอาจจะไม่สมัคร รับเลือกตั้งอีก

ผมต้องการใช้ชีวิตที่เหลือ ในการปฏิบัติธรรม เสริมสร้างคุณธรรม ให้กับคนรุ่นใหม่ และช่วยสังคม ตามที่ผมริเริ่มไว้แล้ว จะเป็นร้านทึ่ง หรือบริษัทเท่าทุน ก็ตาม ผมยังไม่บอกใคร จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร

ถ้าผมไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค และไม่ได้เป็น ส.ส. หากมีอะไรเกิดขึ้น ในบ้านเมือง ผมอาจจะมีส่วนช่วยอีกก็ได้ และช่วยได้ดีกว่า เพราะไม่มีใคร ระแวงเป็นอันขาดว่า ผมทำเพื่อความใหญ่โตของผม

ขอบคุณ ที่ได้ช่วยเหลือตลอดมา ถ้ารอดชีวิต เราคงได้ร่วมมือกันอีก

จำลอง"

นักหนังสือพิมพ์อาวุโสท่านนั้น ตอบข้อเขียนของผม โดยให้ความเห็นว่า ผมต้องสมัครรับเลือกตั้งอีก เพื่อรับใช้ประชาชน

ผู้ที่เป็นห่วงมากที่สุด คือ หมอและพยาบาลชั้นผู้ใหญ่ของ กทม. ได้รุดไปเยี่ยมผมเป็นคณะ ขอร้องให้ได้มีโอกาส ตรวจรักษา พยาบาลผม ขณะผมอดอาหาร ผมได้เขียนขอบคุณทุกท่าน และแจ้งว่า ไม่ได้หยิ่ง หรือดื้อดึง ขอทำตามที่ตั้งใจไว้ แล้วผมก็ชี้ไปที่ป้าย อีกแผ่นหนึ่ง ที่แปะติดกำแพง ด้านหลังผม

"ไม่ว่าผมจะอ่อนเพลียแค่ไหน พวกเราต้องใจแข็ง แข็งพอที่จะเห็นผมฟุบไป ต่อหน้าต่อตา อย่าให้ใครหวังดี มาให้กลูโคส เครื่องดื่ม น้ำเกลือ มาตรวจร่างกาย มารักษาพยาบาล หรือหามผม ไปส่งโรงพยาบาล"

ขณะอดอาหารอยู่นั้น ประชาชนกลุ่มต่างๆ ได้แวะเวียนไปให้กำลังใจ นักศึกษาไปจากหลายสถาบัน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แม้อยู่ไกล ก็รีบไปสนับสนุน

กราบเรียน ท่านพลตรีจำลอง ศรีเมือง ที่เคารพรัก

ผม นายจักรวาล วรรณาวงค์ นายกสโมสรนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หวังว่าท่านคงจะจำ กระผมได้ดี กระผมขอฝากความหวัง และเป็นกำลังใจต่อท่าน ในการต่อสู้กับอำนาจ เผด็จการให้ถึงที่สุด กระผมอยู่ทางนี้ ได้จัดแสดงพลัง ประชามติ ในนามของ องค์การนักศึกษาฯ ไปหลายครั้ง ตอนนี้ ประชาชนกำลังชุมนุม อยู่ที่ข่วงประตูท่าแพ พร้อมที่จะเป็นกำลังใจ ให้ท่าน และประชาชนที่รัก และศรัทธา ในระบอบประชาธิปไตย จะคอยปกป้องชาติ บ้านเมือง อยู่ตลอดเวลา

เราเชื่อมั่นและศรัทธา พลังประชาธิปไตยครับ

นายจักรวาล วรรณาวงค์
นายกสโมสรนักศึกษา มช.
เวลา ๑๙.๓๐ น. บริเวณลานประตูท่าแพ
วันที่ ๕ พ.ค. ๓๕

นาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี ไปเยี่ยมผมตอนบ่าย สนับสนุนการเรียกร้อง ๓ ประการ คือ ให้พลเอก สุจินดา ลาออก จะลาในสภา หรือนอกสภาก็ได้ ถ้าไม่ลาออก ก็ขอให้ส.ส. ๕ พรรค ที่ สนับสนุน พลเอกสุจินดา ประกาศเลิกสนับสนุน และขออย่าได้คิดปฏิวัติ รัฐประหาร เป็นอันขาด ส.ส.ไปเยี่ยมกันหลายคน ทั้งพรรคพลังธรรม และพรรคอื่นๆ ยิ่งเย็น คนก็ยิ่ง ไปร่วมมากขึ้น เหมือนมีงานมหกรรม

ค่ำวันที่ ๕ พฤษภาคม หนังสือพิมพ์ ถามพลเอกสุจินดา ในงานสโมสร สันติบาต ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งจัดขึ้นเนื่องในวัน ฉัตรมงคล

พลเอกสุจินดาตอบว่า ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

เมื่อนักข่าวถามว่า จะใช้วิธีลาออก หรือปล่อยให้ผมตาย

นายกฯกลับย้อนถามนักข่าวคำถามเดียวกัน ทั้งยังย้ำว่า ถ้ามีคนอดข้าว แล้วรัฐบาลต้องออก ต่อไปรัฐบาลก็ต้อง ออกกันทุกวัน และก็มีคน อดข้าวกันทุกวัน

นอกจากนี้ยังพูดว่า กระแสคัดค้านนี้ ภายในไม่กี่วันก็คงจะยุติ ตนมั่นใจอย่างนั้น

และกล่าวอีกว่า ตนไม่นิยมใช้ความรุนแรง และได้สั่งการไป ทั้งทหาร และตำรวจว่า อย่าใช้ความรุนแรงเป็นอันขาด เราคนไทยด้วยกัน ไม่มีประโยชน์อะไร ที่จะต้องใช้ความรุนแรง ทหารก็ไม่ได้ออกมา เป็นหน้าที่ของตำรวจ ที่จะดูแล ความปลอดภัย เป็นธรรมดา

๖ พฤษภาคม วันนี้เป็นวันสำคัญที่ พลเอกสุจินดา นายกรัฐมนตรี จะแถลงนโยบายในสภา เป็นวันที่องค์กรเอกชน พยายามเชิญชวน ประชาชน ไปรวมตัวกันให้มากที่สุด พลเอกสุจินดา ได้ประสบ พบเห็นผู้คนมหาศาล จะได้ใจอ่อน ยอมลาออก ตามคำเรียกร้อง

ประชาชนไปยืนออกันแน่นขนัด หน้ารัฐสภา ตั้งแต่แปดโมงเช้า ปรากฏว่า พลเอกสุจินดา เลี่ยงไปเข้า ด้านหลังรัฐสภา เมื่อประชาชน ไม่มีโอกาส พบหน้านายกฯ ก็ไม่เหงา เพราะมีการปราศรัยตลอดเวลา โดยตั้งเวทีใหญ่ อยู่ตรงหน้าประตู รัฐสภาพอดี

ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน เข้าไปในสภาได้สักพัก ก็ทยอยกันออกมาปราศรัย ให้ประชาชนฟัง คุณทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ เล่าว่า เมื่อนายกฯ เริ่มแถลงนโยบาย ส.ส.พรรคฝ่ายค้านทุกคน ก็เดินออกนอกห้องประชุม เป็นการประท้วง ตามที่ ได้ตกลงกันไว้ ทั้ง ๔ พรรค พอนายกฯ แถลงเสร็จ จึงกลับเข้าไปใหม่ หัวหน้าพรรค และ ส.ส.คนสำคัญ ของพรรคฝ่ายค้าน ผลัดกันขึ้นปราศรัย โดยทั่วกัน

การชุมนุนของพวกเรา ที่ไหนก็ที่นั่น มักจะไม่เครียด มีเพลงมีดนตรี คั่น สร้างความบันเทิงเริงรมย์ ให้แก่ผู้ฟัง วันนี้ "บิ๊กสุ" คือ สุรชัย จันทิมาธร หรือ หงา คาราวาน ก็มาด้วย ร้องเพลงที่แต่งใหม่เอี่ยมชื่อ "ดาวเผด็จการ" ท่ามกลางเสียงปรบมือ และโห่ร้อง อย่างเซ็งแซ่

อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ได้ปราศรัยกับ ผู้ร่วมชุมนุมว่า เมื่อตอนเช้า วันเดียวกันนี้ สภาคณาจารย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เรียกประชุมคณาจารย์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ เพื่อพิจารณา กรณีนายกฯ มาจากคนนอก และเห็นพ้องต้องกันว่า จะยอมให้ เรืออากาศตรีฉลาด และ พลตรีจำลอง ตายไม่ได้

ในเวลาต่อมา อาจารย์นริศ ชัยสูตร ประธานสภาคณาจารย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ขึ้นอ่านมติของ ที่ประชุม สภาคณาจารย์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์

ตอนเย็น หมออุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ได้ขึ้นไปบนเวที เล่าให้ผู้ร่วมชุมนุมฟังว่า ผมเขียนแจ้งผู้ไปเยี่ยมว่า "ผมต้องตัดสินใจอย่างนี้ เพราะอยู่ในฐานะที่สามารถจะเสี่ยง ได้มากกว่าคนอื่น เนื่องจากไม่มีลูก ไม่มีห่วง ไม่มีพันธะผูกพันใดๆ ผมไม่ต้องการ จะเป็นเยลซิน หรือคานธี ผมไม่ต้องการโด่งดัง ผมเป็นผม จำลอง ศรีเมือง" หมออุดมศิลป์ ยังได้อ่าน จดหมายของผม ทุกคำ ให้ผู้ชุมนุมฟัง


"๖ พ.ค.๑๗.๐๐ น.
ที่ผมว่า ๗ วัน อาจจะไม่ถึงดี เพราะสภาพอากาศ ร้อนมาก และ ๒ คืนที่แล้ว นอนได้ไม่เกินคืนละ ๑ ช.ม. กำลังปรับปรุง โดยซื้อหูฟัง ของโฆษกวิทยุมาใส่ เราปราศรัยกัน ทั้งวันทั้งคืน เหนื่อยก็หลับ ตื่นก็ฟัง หยุดช่วงเช้าเท่านั้น

ผมไม่วิตกอะไร ทุกเรื่องที่ตัดสินใจ เล็งในเกณฑ์ต่ำเสมอ คราวนี้ก็นึกว่า "ตาย" หากไม่ตายคือ เป็นผลพลอยได้เพิ่มเติม

อดอาหารแบบเคร่งอย่างนี้ ยากมาก แม้ผมจะกินข้าวมื้อเดียว ติดต่อมา ๑๓ ปีแล้วก็ตาม พออดได้ ๒ วัน ก็รู้สึกอ่อนเพลีย บางครั้ง รู้สึกหวิวๆ ตาลาย เวลาเดินไปรถสุขา ต้องค่อยๆย่าง เกรงว่าจะล้มตึงก่อนเวลา และผมไม่ยอมให้ใคร พยุงด้วย ซึ่งเป็นการแสดง ความอ่อนแอ อยากอดเอง ก็ต้องพึ่งตัวเอง

เรียนยืนยันอีกทีครับ ไม่อยากใหญ่ ไม่อยากดัง ไม่อยากเป็นเยลซิน ไม่อยากเป็นคานธี วันนี้ผมยอมเสียมารยาท นั่งสมาธิ อย่างเดียว เป็นส่วนใหญ่ ไม่ทักทายคนมาเยี่ยม เพื่ออยู่นานขึ้นหน่อย ผมห้ามใครพัดให้ เพราะจะดูอ่อนแอเกินไป

จำลอง"


ประมาณหกโมงเย็น ครูประทีป ได้ขึ้นปราศรัย และส่งตัวแทน ไปยื่นหนังสือต่อ พลเอกสุจินดา ขอให้ลาออก จากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี โดยกลุ่มผู้ชุมนุม จะขอฟังคำตอบหน้ารัฐสภา ปรากฏว่า พลเอกสุจินดา ได้ออกจากรัฐสภา ไปแล้ว เพราะประธานรัฐสภา เห็นท่าไม่ดี รีบรวบรัดปิดประชุม ก่อนหกโมงเล็กน้อย แทนที่จะให้มีการอภิปราย ถึงสองยาม ตามที่ตกลงกันไว้ สร้างความไม่พอใจ ให้กับส.ส. ในสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน และยังสร้างความโกรธแค้น ให้กับผู้ที่ไป ร่วมชุมนุม หน้าสภาอีกด้วย

ได้มีผู้นำจดหมายเปิดผนึก ของมหาวิทยาลัยเอกชน ๕ แห่ง ขึ้นไปอ่านบนเวที มหาวิทยาลัยทั้ง ๕ นั้น ประกอบด้วย สถาบันเทคโนโลยีสังคม (เกริก) มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยหอการค้า มหาวิทยาลัย ธุรกิจบัณฑิตย์ ได้มีจดหมายเปิดผนึก เรียกร้อง ให้พลเอกสุจินดา ลาออกจากตำแหน่ง พร้อมกับให้สถาบันนิติบัญญัติ แก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้นายกรัฐมนตรี มาจากการเลือกตั้ง

ประมาณสามทุ่ม ปรากฏรายงานข่าวว่า ได้มีการเคลื่อนย้าย กำลังทหาร จำนวนกว่า ๒๐๐ นาย พร้อมอาวุธครบมือ ไปประจำ บริเวณสวนรื่นฤดี พร้อมกับ กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ อีกจำนวนมาก เพื่อควบคุมสถานการณ์ ในบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นบ้านพัก ของพลเอก สุจินดา คราประยูร


 

อ่านต่อ ๗
ยิ่งชุมนุมยิ่งเพิ่ม

 

จากหนังสือ .. ร่วมกันสู้ ... พลตรี จำลอง ศรีเมือง * อายใครต่อใคร * หน้า ๖๗-๘๗