๑๘. ร่วมกันสู้ หน้า ๒๐๐

พฤษภาทมิฬ

สาเหตุของวิกฤติการณ์พฤษภาทมิฬ!!

การพิจารณาที่สาเหตุของการเกิด วิกฤติการณ์ “พฤษภาทมิฬ” มิใช่เป็นการ ฟื้นฝอยหาตะเข็บ หากแต่เป็น การมองอย่างรอบด้าน เพื่อประโยชน์ สำหรับผู้ที่อาจจะมี ส่วนเกี่ยวข้อง กับเหตุการณ์ วิกฤติทางการเมือง ในภายหน้า (ซึ่งรอวันเกิดขึ้น ได้ทุกเวลา) ได้มีโอกาส ทบทวนป้องกัน การเกิดเหตุการณ์ เท่าที่จะเป็นได้ จากกรณี เหตุการณ์วิกฤติ ที่ผ่านมา จะพบว่า สาเหตุที่เป็นแรงผลักดัน ให้เกิดขึ้น ได้แก่

๑.การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ของอดีตนายกรัฐมนตรี พลเอกสุจินดา คราประยูร ที่มีต่อ กรณีอดข้าว ประท้วง รัฐธรรมนูญ ของ เรืออากาศตรีฉลาด วรฉัตร หรือ กรณีอดข้าวของ พลตรีจำลอง ศรีเมือง อดีตหัวหน้า พรรคพลังธรรม และ การแถลงโต้ตอบ การอภิปราย ของบรรดาสมาชิก พรรคฝ่ายค้าน ในวันแถลงนโยบาย ของคณะรัฐบาล ซึ่งพาดพิงถึง หัวหน้าพรรคการเมืองฝ่ายค้าน สองพรรค ลักษณะคำพูด แสดงความคิดเห็น ของอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นไปในทำนอง แข็งกร้าว ดูหมิ่น วางอำนาจ ต่อบุคคล ดังกล่าว และ การท้าทาย พลังการชุมนุม ของประชาชน ที่กำลังชุมนุม อย่างสันติ ดังกล่าวนี้ ก่อให้เกิดแรงผลักดัน คับข้องใจ ต่อผู้ชุมนุม ให้อัดแน่น มากยิ่งขึ้น เพื่อพร้อมที่จะระเบิด อารมณ์ออกมา ได้ทุกขณะ

ความผิดพลาดในข้อนี้ สะท้อนให้เห็นถึง บุคลิกภาพของ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ชัดเจนว่า มีความเหมาะสม เป็นได้เฉพาะ นักการทหาร เท่านั้น ขาดคุณสมบัติ ของนักการเมืองอาชีพ ที่พร้อมจะประสานประโยชน์ และ ประนีประนอม เพื่อหาทางคลี่คลาย เหตุการณ์ ด้วยวิธีการ ละมุนละม่อม

นอกจากนั้นยังอาจจะกล่าว ได้อีกต่อไปว่า คณะที่ปรึกษา นายกรัฐมนตรีเอง ก็ขาดความเฉลียว ไม่รู้เท่าทัน ต่อสถานการณ์ ทางการเมืองที่เกิดขึ้น โดยประเมิน พลังประชาชน ผู้เรียกร้อง ต่ำกว่าความเป็นจริง

การปล่อยให้อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาแสดงความคิดเห็น ทางการเมือง แต่ละครั้ง คำพูดแต่ละประโยค มีแนวโน้ม มุ่งไปสู่การทำลายล้าง ทางการเมือง ได้ตลอดเวลา

๒.ความพลิกพลิ้วเตะถ่วงของ ๕ พรรคการเมือง ฝ่ายรัฐบาล เกี่ยวกับการแก้ รัฐธรรมนูญ ที่ประชาชน เรียกร้อง การเรียกร้อง ของผู้ชุมนุม ในระยะแรกๆ ของการจัดชุมนุมนั้น มีเป้าหมายชัดเจนว่า ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในประเด็นต่างๆ อาทิ นายกรัฐมนตรี ต้องมาจาก การเลือกตั้ง และไม่มีบทเฉพาะกาล ประธานสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานรัฐสภา เป็นต้น ผลของการชุมนุม เรียกร้องในประเด็นเหล่านี้ ได้รับการประนี ประนอม จากแกนนำสมาชิก พรรคการเมือง ฝ่ายรัฐบาล ๕ พรรค ในเบื้องแรก ผ่านประธาน สภาผู้แทนราษฎร ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ทำนอง เป็นสัญญาประชาคม รับปากจะแก้ไข ซึ่งส่งผลให้ประชาชน สลายการชุมนุม รอฟังคำตอบ

แต่ครั้นใกล้ถึงกำหนดวันประชุมสภาฯ บรรดาสมาชิก แกนนำของ ๕ พรรคการเมือง ฝ่ายรัฐบาล กลับแสดงทีท่า ไม่รักษาสัญญา ประชาคม พยายามเล่นเกม ใช้คำพูดที่คิดว่า ชาญฉลาด อ้างหลักนิติศาสตร์ เพื่อเตะถ่วงเวลา การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ยืดออกไป

ลักษณะเช่นนี้ เมื่อบวกเขากับ การเสียสัจจะ ของอดีตนายกรัฐมนตรี และยิ่งเพิ่ม การให้สัมภาษณ์ ของหัวหน้า พรรคการเมือง และ รองหัวหน้า พรรคการเมือง ฝ่ายรัฐบาลบางพรรค เกี่ยวกับผู้ชุมนุมประท้วงว่า เป็นกลุ่มคน เพียงเปอร์เซ็นต์ เล็กน้อย เมื่อเทียบกับคน ทั้งประเทศ หรือตราหน้าผู้ชุมนุม เป็นเพียงม็อบรับจ้าง ตลอดจน การจะจัดม็อบ ออกมาต่อต้าน ปะทะสู้ทำนองนี้ จึงยิ่งเพิ่มอุณหภูมิ ความคับแค้น ไม่พอใจ ให้กับกลุ่มผู้ชุมนุม ที่มีต่อคณะรัฐบาล เป็นทวีคูณ

๓.บทบาทของรัฐสภาที่ไร้ประสิทธิภาพ ในการหาวิธีการ แก้ไขปัญหา จะเห็นว่า ในขณะที่อุณหภูมิ ทางการเมือง เกี่ยวกับ การชุมนุม เรียกร้อง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพิ่มดีกรี ร้อนแรงขึ้น ทุกขณะนั้น รัฐสภา ที่ประกอบไปด้วย คณะรัฐมนตรี สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา ไม่ได้แสดงบทบาท อย่างเข้มแข็ง แท้จริง ในการเสนอ แนวทางแก้ไข ยุติปัญหาการชุมนุม เรียกร้อง ของประชาชน ให้กับอดีต นายกรัฐมนตรี แต่ทว่า การหาแนวทาง แก้ไขปัญหาให้ กลับกลายเป็นว่า อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ความไว้วางใจ กองทัพ เป็นผู้เสนอ แนวทางแก้ไขปัญหา ให้กับตน ซึ่งกรอบการมองแก้ไขปัญหา ของกลุ่มนายทหาร ระดับผู้บัญชาการ กองทัพนั้น ย่อมอยู่ในขอบเขตจำกัด และเชื่อมั่น ในพลังอำนาจ ของกองทัพว่า จะสยบความเคลื่อนไหว กลุ่มผู้เรียกร้องได้

ดังนั้น แนวทางการแก้ไขปัญหา จึงนำไปสู่บทสรุป ในการใช้กองกำลังทหาร เข้าจัดการ จึงเป็นความผิดพลาด ในการตัดสินใจ ดำเนินการ ของอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ใช้คณะที่ปรึกษา ผิดกลุ่ม

เกี่ยวกับประเด็นนี้ มีคำถามให้น่าคิดเหมือนกันว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ ๕ พรรคการเมือง ฝ่ายรัฐบาล จงใจโดดเดี่ยว อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ถูกฆ่า ทางการเมือง อย่างเลือดเย็น เพราะปัจจุบันนี้ ภายหลังเหตุการณ์ วิกฤติผ่านพ้นไป เริ่มมีนักการเมืองจาก ๕ พรรค ออกมาให้สัมภาษณ์ กลับลำ แสดงความคิดเห็น ในเหตุการณ์ ที่ผ่านมา เป็นไปในทำนอง ถีบหัวเรือส่ง อดีตนายกรัฐมนตรี โดยสิ้นเชิง

๔.การปิดกั้นเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร อย่างเที่ยงตรง ของสื่อมวลชน จากเหตุการณ์วิกฤติ ที่เกิดขึ้น กล่าวได้ว่า การที่ฝ่ายรัฐบาล ใช้อำนาจแทรกแซง เสนอข่าวสาร ผ่านโทรทัศน์ วิทยุ ตลอดจน หนังสือพิมพ์ บางฉบับ เป็นไปในทำนอง ปิดกั้นเสรีภาพ ของผู้สื่อข่าว บิดเบือนโฆษณาชวนเชื่อ ให้ข่าวด้านลบ ในการกระทำ ของกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งเป็นการเสนอข่าว ด้านเดียวนั้น ยิ่งทำให้เกิดความสงสัย ต่อกลุ่มคน ที่ได้รับฟังข่าวสาร และอยู่ในบริเวณโดยรอบ กรุงเทพมหานคร หลั่งไหล เดินทางไปยัง ถนนราชดำเนิน เพื่อรับรู้ข้อมูล ที่แท้จริง เนื่องมาจาก การได้รับข่าวลือ ข่าวลวงต่างๆ นานา จากแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โทรสาร โทรศัพท์ เป็นต้น

ดังนั้น ปริมาณของผู้เข้าร่วมชุมนุม จึงเพิ่มมากขึ้น ทุกๆครั้ง ทุกๆชั่วโมง ของการชุมนุมเรียกร้อง ซึ่งข่าวสาร ที่เสนอจาก ฝ่ายรัฐบาล บิดเบือน ออกไป มากเท่าใด จำนวนคน ที่เข้าร่วมชุมนุม ก็มากตามไปยิ่งขึ้น โทรทัศน์ วิทยุ และผู้ประกาศข่าว บางคน บางสถานี สูญเสีย ความเชื่อถือไว้วางใจ ต่อผู้ชม จนยากที่จะกู้ภาพพจน์ คืนกลับมา

๕.ขาดผู้ควบคุมกลุ่มผู้ชุมนุม และไม่มีการจัดประสานงาน ระหว่างผู้ดำเนินการชุมนุม อย่างมีประสิทธิภาพ จากจำนวนคน ผู้เข้าร่วมการชุมนุม เป็นจำนวนมาก จะพบว่า ผู้นำกลุ่มการชุมนุมนั้น มีเพียงพลตรีจำลอง ศรีเมือง เท่านั้น ที่มีความสามารถ เพียงพอ ต่อการชี้นำ หรือห้ามปราม กลุ่มผู้ชุมนุมได้ ในสถานการณ์ล่อแหลม ที่พร้อม จะเกิด การปะทะ ระหว่าง ผู้สลายการชุมนุม และผู้ร่วมชุมนุม

ในขณะที่องค์กรหรือบุคคลอื่นๆ ที่ประกอบกันเป็น สมาพันธ์ประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็น องค์กรนิสิต นักศึกษา องค์กรเอกชน หรือ คนอื่นๆ เช่น นายแพทย์สันต์ หัตถีรัตน์ ครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ ไม่สามารถห้ามปราม จัดรูปขบวนการชุมนุมได้ อย่างมีทิศทาง เด่นชัด ดังนั้น เมื่อพลตรีจำลอง ศรีเมือง ถูกควบคุมตัวไป สภาพการเข้าแทรกแซง ของกลุ่มคนบ้าคลั่ง จำนวนหนึ่ง เข้ามายั่วยุ กระตุ้นให้เกิด การปะทะกันขึ้น อย่างง่ายดาย กอปรกับ ความคับแค้นใจ ต่อรัฐบาล ที่เก็บสะสมไว้ ของผู้เข้าร่วมชุมนุม เหตุการณ์วิกฤติ จึงเกิดขึ้น อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

๖. การใช้เจ้าหน้าที่และวิธีการสลาย กลุ่มผู้ชุมนุม ไม่เหมาะสม การสูญเสียชีวิต ของผู้ร่วมชุมนุม และทรัพย์สิน ทางราชการ ที่ยังประเมินตัวเลข ปริมาณผู้เสียชีวิต ไม่ลงตัว แต่ก็คาดว่า เป็นจำนวนร้อยขึ้นไป และอาคาร เอกสารทางราชการ ที่เสียหาย ไม่ต่ำกว่า สิบล้านบาท ตลอดจนความสูญเสีย ทางด้านคุณภาพจิตใจ ความรู้สึกของ ผู้เกี่ยวข้อง กับเหตุการณ์ ทุกฝ่าย ไม่น่าจะเกิดขึ้น เช่นที่กล่าวได้ หากทางด้าน ฝ่ายผู้ดำเนินการ สลายผู้ชุมนุม มีการวางแผน จัดเตรียมขั้นตอน การดำเนินการ ค่อยเป็นค่อยไป และใช้กำลัง เจ้าหน้าที่ ที่ได้รับการฝึกหัด เพื่อสลายฝูงชนโดยตรง
แทนที่จะใช้ กำลังทหาร ที่ถูกฝึกให้เป็น หน่วยล่าสังหารศัตรู ของประเทศชาติ มาทำหน้าที่ สลายฝูงชน ผู้เขียนสามารถกล่าว ยืนยันได้ว่า ทหารที่เข้า สลายฝูงชน บริเวณโรงแรม รัตนโกสินทร์ ในคืนวันที่ ๑๘ พฤษภาคมนั้น เป็นทหารจากหน่วย ศูนย์สงครามพิเศษ ซึ่งมีศักยภาพ ในการรบสูง เป็นที่ยอมรับทั่วไป ของประชาชนไทย

ดังนั้น การใช้ทหารหน่วยดังกล่าว ทำหน้าที่นี้ ความสูญเสียของชีวิต ผู้เข้าร่วมการชุมนุม ตลอดกระทั่ง การทุบตี กระทืบ ที่ทหาร กระทำต่อผู้ชุมนุม ที่ปรากฏภาพออกไป ตามวิดีโอต่างๆ จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ โดยง่ายดาย และ ความผิดพลาด ที่เกิดขึ้นนี้ ก็ยังไม่อาจจะกล่าวได้ว่า ทหารเป็นผู้ปฏิบัติการผิด เพียงผู้เดียว เพราะเป็นทหาร ชั้นผู้น้อย ที่อาจจะกระทำ การใดๆลงไป เนื่องมาจาก ได้รับข้อมูลบิดเบือน จากผู้ออกคำสั่ง

บทความพิเศษของ
ดร.รัตนะ บัวสนธ์ สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์

ฉบับ ๑๔-๒๐ มิ.ย.๓๕


 

อ่านต่อ ๑๙ ร่วมกันสู้อย่างอหิงสา

จากหนังสือ ... ร่วมกันสู้ ... พลตรี จำลอง ศรีเมือง * พฤษภาทมิฬ * หน้า ๒๐๐