ธรรมปัจเวกขณ์ (ครู)
วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๒๕

การเรียนหรือการศึกษา ที่เราได้ศึกษากันมา การเรียนนั้นมี ๑.ครู ๒.นักเรียน ผู้ที่เป็นครู ไม่ได้หมายความว่า ผู้พูดเท่านั้น ผู้ที่เป็นครู คือ ผู้ที่ทำได้ด้วย พูดสอนด้วยกายกรรม ก็เป็นตัวอย่าง อันดีงามด้วย สอดซ้อนกันไป มีจิตใจอันสูง ที่จะเป็นครู ตามคุณสมบัติ ซึ่งมีไว้ในตำราของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมพรัก ที่ได้บอกว่า เป็นครูคืออะไร เป็นได้จริงถึงจริง ผู้ที่ถึงครูชั้นสูง ก็จะเป็นครูชั้นสูง ก็จะเป็นครูที่สูง ในสภาพ ที่เป็นครูสูงไปแล้ว มันก็จะสูงไปไกล เป็นสภาวะ ที่หมุนรอบเชิงซ้อน งานจะมาก อะไรต่ออะไร ก็จะเกิดขึ้นเยอะ ผู้ที่เป็นเด็ก นักเรียนชั้นเล็ก ก็จะเข้าใจได้ยาก เช่นว่า ---

ครูทำงานขึ้นมากๆ เด็กนั้นนะ เวลามาเรียนศาสนา จะต้องให้อยู่ ในกรอบข่าย ให้อยู่นิ่งๆ จัดแจงให้อยู่ อย่าให้มีงานมาก ให้พยายามอ่าน อย่างช้าๆ อย่าพยายามเคลื่อนไหว เพราะฉะนั้น สภาพของนักเรียน ชั้นต้นๆ ก็จะเป็นภาพ ของผู้ที่ ตรงกันข้ามกับครู เมื่ออาการ กิริยาของครู ที่ทำงานมากๆ เป็นการเคลื่อนไหวเยอะ เร็ว ส่วนนักเรียน ชั้นต้นๆนั้น เป็นการเคลื่อนไหวน้อย ก็จะเห็นความขัดแย้ง กันชัดเจนว่า ครูไม่ได้เป็นตัวอย่าง ให้แก่นักเรียน ดังนี้เป็นต้น ก็เป็นความผิดพลาด ที่เด็กชั้นต้นนั้น จะเข้าใจครู ที่มีความเป็น อย่างนั้นไป ---

ขณะนี้ภาวะของอโศก กำลังเกิดอย่างนี้ ขึ้นแล้ว เพราะว่าเราโตขึ้น ภาวะก็สูงขึ้น งานการก็มากขึ้น มีอะไรต่ออะไร อีกเยอะแยะขึ้น แต่เด็กนักเรียน ผู้ที่ไม่รู้ภูมิตนเอง แล้วก็ไม่รู้ความจริง อันนี้ก็ต้อง ขอให้ซับทราบ ผู้ที่เป็นนักเรียน ผู้ที่จำเป็น ที่จะอยู่ในฐานะ อย่างนั้นๆ อย่าพึ่งเข้าใจครู ไปในทางที่ผิดอย่างนั้น กลับเห็นว่า ครูนั้นเสื่อมต่ำลงไปแล้ว เพราะว่า ไม่เป็นเหมือนอย่างตัวเอง กำลังอยู่ในกรอบข่าย คือ นิ่งๆ ช้าๆ แล้วก็กระทำอะไร ต่ออะไรน้อย บทบาทน้อย อยู่เฉยๆมาก แล้วก็จะบอกว่า นักเรียนนั้นน่ะดี เพราะว่า แน่นอน ครูก็ต้องสอนอย่างนั้นๆ ก่อน สำหรับฐานะ นักเรียนชั้นต้น ความขัดแย้ง หรือว่า ความไม่สอดคล้อง อย่างนี้มีอยู่ นี่ยกเป็นตัวอย่าง ง่ายๆ ---

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังไม่ถูกฐานะ สภาพที่ หมุนรอบเชิงซ้อน สภาพที่มันเห็นๆรอย ขัดแย้งอย่างนี้ มันจึงมีอยู่ ขอให้พวกเรา ได้ไตร่ตรอง ได้ศึกษา แล้วอย่าพึ่งไปคิดอะไร ที่มันยังไม่ถูกต้อง มากเกินไปนัก เพราะว่า มันมีอะไร อยู่อีกเยอะ ที่เราจะค่อยๆ ศึกษากัน หรือแม้แต่ ผู้ที่ท่านหยุด ท่านทำงานมาแล้ว ท่านจะต้องพัก ท่านต้องหยุดบ้าง แม้แต่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ยังมีเวลาพัก เวลาหยุดน่ะ เวลาที่จะทำอะไรอันหนึ่ง ซึ่งก็กลับไปกลับมา อยู่ในช่วง ในกาละ ในเวลา เราก็จะต้องเข้าใจอีก เห็นว่า ผู้ที่เป็นครู ที่ท่านทำงานแล้ว ท่านก็หยุด ก็เข้าใจว่า ครูนั้นผิดอีกแล้ว ใช้ไม่ได้อีกแล้ว ไม่ทนอีกแล้ว เป็นคนเสีย คนเลวอีกแล้ว ขัดแย้งกันอีกแล้ว อะไรต่างๆนานา พวกนี้ ---

สิ่งเหล่านี้ก็ยากอีกแหละ ที่จะทำความเข้าใจ ให้ผู้ที่ยังไม่รู้ สภาวะซับซ้อนพวกนี้ เพราะฉะนั้น เราเป็นนักเรียน ถ้าเราแน่ใจ ก็ทำตามฐานะ ของเราไปบ้าง สิ่งเหล่านี้ เรายังไม่เข้าใจ อย่าพึ่งไปตัดสิน เราอย่าพึ่ง ไปดูแคลนง่ายๆ ---

ข้อสำคัญ สิ่งที่เรากำลังหัดอยู่นั้น ดูให้ชัด อ่านให้แจ้งว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ โดยเฉพาะ เป้าหมาย ทางด้านปรมัตถ์ ด้านกิเลสของเรา ในขอบข่ายพฤติกรรม ข้างนอกก็ตาม ที่จะเป็น เครื่องขัดเกลาของเรา แม้เราจะทำอย่างนั้น แต่ของเรานั่น ทำได้หรือยัง และเราสังเกต แม้ครูท่านทำ อย่างนั้นๆ ไม่เหมือนกับเรา ท่านยังทรงภูมิ ท่านยังทำได้อยู่หรือเปล่า ถ้าท่านทำได้อยู่ ท่านไม่ได้ลดหย่อนลงไป ท่านก็ยังมีภูมิธรรม อันนั้นอยู่ แม้ท่านจะมีกิริยา แตกต่างจากเรา ไม่ใช่ท่าน จะต้องทำตาม เหมือนกับเรา ท่านยังทรงภูมิ ท่านยังทำได้อยู่หรือเปล่า ถ้าท่านทำได้อยู่ ท่านไม่ได้ ลดหย่อนลงไป ท่านก็ยังมีภูมิธรรม อันนั้นอยู่ แม้ท่านจะมีกิริยา แตกต่างจากเรา ไม่ใช่ท่านจะต้อง ทำตามเหมือนเรา ท่านอาจจะทำตาม ให้ดูตอนแรก เวลาหัดเดิน ท่านก็เดินให้ดู เวลาหัดคลาน ท่านก็คลานให้ดู แล้วจะให้ครูท่านคลาน เหมือนอย่างเรา ที่กำลังหัดคลาน อยู่นั่นตลอดนิรันดร์ ไม่ได้ ครูท่านเดินเป็น ท่านวิ่งได้ด้วย แต่เราซิ กำลังหัดคลาน ตอนแรก ท่านจะคลานให้ดูบ้าง ชั่วระยะหนึ่ง เสร็จแล้ว ท่านก็ต้องไปทำอื่น ช่วยฐานะอื่น ทำอะไรอื่นๆอีก ซึ่งถ้าจะให้คลาน เหมือนอย่างเรา หรือ คลานนำเราอยู่ อย่างนั้น จึงจะเรียกว่า ท่านสอนน่ะ ไม่ได้ ---

และเมื่อสูงขึ้น ท่านก็จะสอนคน อีกหลายชั้น หลายระดับ เสร็จแล้ว ท่านไม่ได้สอนเรา เราก็จะบอกว่า ท่านไม่สอนเราแล้ว เดี๋ยวนี้ ท่านไปสอนผู้อื่นหมดแล้ว อย่างนั้น ก็อยากได้แต่ครู ยิ่งเป็นครู ที่จะต้องสอนมาก สอนทุกชั้น แล้วเราก็จะไป เที่ยวร่ำร้อง ให้ท่านมาสอนเรา ทั้งๆที่เราไม่เดิน หรือ เดินช้าเตาะแตะ แล้วก็จะไปอ้อนวอน จะไปร่ำร้อง ให้ครูใหญ่นี่ มาสอนเราอยู่นั้น มันไม่ถูก ครูน้อยเขาก็มี แต่เราก็มีมานะ เราก็มีความยึดถือตัวตน อยากจะได้ครูใหญ่ มาสอนเรา และ เราก็ไม่ค่อยก้าว มันเป็นไปไม่ได้ ---

ครูใหญ่ท่านก็สอนมากขึ้น ยิ่งมีคนมากขึ้น ยิ่งมีความกว้าง คำว่าครูใหญ่นี่ ต้องบริหาร ต้องดูแล กว้างขึ้นอีกด้วย แล้วก็สอน ชั้นสูงขึ้นอีก มีภาวะอะไรต่ออะไรอีก อยู่ในอโศกเรา กำลังมีภาวะพวกนี้ ซับซ้อน ขึ้นมาเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องที่จะต้อง ศึกษา แม้แต่พระเอง ก็ไม่เข้าใจอันนี้ มีอยู่ ก็ขอให้พยายาม ไตร่ตรอง พิจารณา ไม่อย่างนั้น จะเกิดแพ้ภัยตัว เมื่อเกิดแพ้ภัยตัวแล้ว เราก็แหนงหน่าย ไม่ยินดี ไม่ศรัทธา ไม่เลื่อมใส แล้วมันก็ตกหล่นไป แยกไป ซึ่งก็ได้แต่สงสาร ซึ่งก็ไม่อยาก ให้เป็น ---

เพราะฉะนั้น ก็เตือน ก็แนะนำ ให้พิจารณา สิ่งภาวะซับซ้อน ที่ยกๆขึ้นมา ให้พิจารณา ในวันนี้บ้าง ไม่มากนัก และ ไม่ได้วิเคราะห์อะไร เยอะแยะนัก เป็นแต่เพียง ยกตัวอย่าง อุทาหรณ์ หรือเรื่องราว ให้ไปคิด มันก็มากกว่านี้อีก แต่ว่ายกแค่นี้ ก็ให้พิจารณา ในภาวะซับซ้อน ที่มันทั้งเกิดการปลูกฝัง ทั้งเกิดการขยับขยายน่ะ ขยายตัว ทั้งปลูกฝังลงไป ซ้อนๆๆ มันก็จะมี ความกว้างขึ้นด้วย จะมีความแน่นขึ้นด้วย ---

ผู้ใดยังไม่แน่น ยังไม่มีภูมิ ยังไม่ทรงภูมิ ของแต่ละงานน่ะ งานเรามีเหมือนกันกับที่ อื่นๆ เขามีน่ะ งานต่างๆ เขามีกันเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็น งานโน่นงานนี่ เข้าไปซอยโน้น ซอยนี้ หมู่บ้านนั้น หมู่บ้านนี้ มีงาน ---

ที่จริง การมีงานของชุมชนนี่ มันเป็นยัญพิธี ที่มีคุณค่า แต่เสร็จแล้ว พอไร้ปัญญา ก็เอางาน ไอ้ที่เขามีคุณค่านั่นล่ะ ไปเป็นงาน รวมกลุ่มชน แล้วไม่เกิดคุณค่าอะไร เราเอง เราก็มีงาน งานของเรานี่ มีงานชุมนุม มันก็งานปีใหม่นั่นล่ะ เราก็ถือว่า ก็งานปีใหม่ เราเรียก สันติโศกก็ตาม เราก็ถือฤกษ์ อันนี้เสีย เราก็จัดขึ้นโดย เป็นตัวตั้งตัวตี ในละแวกนี้ ถ้าใครเขาเห็นดี เขาก็มาทำบุญ มาสังสรรค์ มาอะไรต่ออะไร ทั้งญาติใกล้ ญาติไกล ไม่ญาติก็มา มาแล้วมาทำไม งานส่วนใหญ่ เขาจัดงานชุมนุมปีใหม่ สังสรรค์ เขาปล่อยเปรตกัน โปรดเปรต ให้เปรตระเริงร่า ให้เปรตอ้วน เขาไม่ได้ฆ่าเปรต เสร็จแล้ว วันปีใหม่ ก็กินเหล้า ไอ้ไม่ค่อยกิน ก็กินวันนี้ละ ไม่เคยกิน บางคน มันกินวันนี้ล่ะ ไอ้ที่กินมาน้อยๆ วันนี้กินให้หนัก กินเหล้ากินยา บันเทิงเริงรมย์ บ้าๆ บอๆ ไม่เคยอดนอน อดมันคืนนี้ อดทำไม ถ้าอดเพื่อที่จะบำเพ็ญ อะไรต่ออะไร เพื่อขัดเกลากิเลส ไม่เป็นปัญหาน่ะ อดเอาแรงนั้นไป และอะไรไป ก็ไปเต้น ไปดีด ไปแอ้แอ่นอะไร ก็แล้วแต่ จะถลุงเถลิงอะไร ของเขาไป ไม่ได้เรื่อง ให้จิตของเรา เสื่อมลง ทรามลง เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้นี่ ยัญพิธีนี้ ก็เป็นยัญพิธี ที่ไร้คุณค่า ไม่เกิดบุญ ไม่เกิดประโยชน์ แต่ผลาญ แต่เราห้ามอะไร เขาไม่ได้ นี่แหละคือ จารีต ประเพณี ทั่วโลกน่ะ ทั่วโลก ขนาดนาเบะบอก ที่ญี่ปุ่นนี่ ๓ วันเลย วันปีใหม่นี่ เขาหยุดกันเลย กินแล้ว ก็นอนมันลูกเดียว เที่ยว กิน นอน เที่ยวเหมือนปีใหม่ ของคนจีนนั่นแหละ กิน นอน เที่ยว บรรลัยจักรไป ให้หมดท่าไปเลย นี่แหละ ยัญพิธีที่ได้เป็น จารีตประเพณี ที่เป็น ศีลพตปรามาส ที่ได้ผลาญ พร่า เสียหายหมดแล้ว ---

เราก็ไม่รู้จะไปล้มล้างเขาได้ยังไง เราก็ต้องทำเพื่อ ขึ้นค้านแย้ง ทวนกระแสเขา ขึ้นมา ปีใหม่เรา ๓ วันเหมือนกัน แต่ว่า เราจะบำเพ็ญธรรม ขัดเกลากิเลส ไม่ใช่กิเลสอ้วน ไม่ใช่บันเทิง เริงรมย์ แต่จะขัดเกลา มีสารัตถะ เอาอะไรต่ออะไร ที่จะมีเชิงนำ เชิงแนะ ให้มาละลด อะไรต่ออะไรให้ทำ แต่ก็บันเทิงของเรา พวกเราจะพยายาม หาเรื่องบันเทิง ไม่ใช่จะให้มัน เคร่งเครียด ซีเรียสเกินไป ให้มันบันเทิง แต่ว่าไม่ใช่บันเทิง จนกระทั่งเสีย ไม่ใช่บันเทิง จนกระทั่ง มอมเมาเปรต หรือว่า โปรดเปรต ให้เปรต มันยิ่งได้ใจ ได้กิเลสยิ่งอ้วน อิ่มหมีพีมันขึ้น แหม! มันอดทนอดข่ม มาเหลือเกิน มันกลับกัน กับพวกเรา ชาวบ้านนี่ อดทนมาเหลือเกิน โอ้โหย อุตส่าห์ถนอมกล่อม ทนอัด ทนฝืน ทนกด ทนข่ม มา พอถึงวันปีใหม่ มีเท่าไหร่ เอาล่ะ ทีนี้เลี้ยงให้อ้วนเลย นี่มันไม่ได้หมายความว่า ให้ถอดถอนอะไร ในปีหนึ่งๆ นี่ละ สภาวะ ของโลก หรือสภาวะ ของลัทธิบางลัทธิ ที่เขากดข่ม กดข่ม พอถึงเวลาเปิดโปง ขึ้นมาแล้วปั๊บ เขาก็อ้วน ให้กิเลส มันอ้วนเข้าไป แต่ของเรานี้ มันไม่ต้องไปกด ไปดันอย่างนั้น เพราะว่า เราปล่อยจริงๆ เราละจางคลาย มาตลอดปี ----

ยิ่งมาถึงวันสำคัญนี่ ยิ่งตั้งใจละ ให้เป็นก้อน เป็นกอบเป็นกำไปเลย ให้ได้มากๆ ใครไม่หลุดไม่พ้นอะไร วันนี้เป็นวัน สัจจาธิษฐาน ลอยแพมันเลย เอากดข่ม หรือว่า ทนฝืน หัดหยุด ให้มันหลุดมันพ้น นี่เป็นเรื่องของ โลกกับธรรม ที่เรามองกัน คนละสายตา มองกันคนละทาง ทางโลกเขาไม่รู้ตัว เราพูดอย่างนี้ ไม่ใช่ใส่ความ เป็นความจริงหรือไม่ คุณฟังเอา ด้วยเหตุผล ด้วยปัญญาน่ะ เป็นความจริงหรือไม่ ให้รู้ ---

เมื่อเรารู้เป้าหมายอย่างนี้แล้ว ยัญพิธีของเรา ที่เรากระทำอยู่จริงนั้น ก็ขอให้เราเข้าใจว่า ยัญพิธีของเรา ทุกครั้ง ทุกมื้อ ทุกคราวนั้น ก็ทำเพื่อที่จะ ให้มีอะไรบันเทิง ทุกคนทุกระดับ มันมีระดับอ่อน ระดับกลาง ระดับแก่อะไร มีหลายระดับ เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องมี เครื่องสื่อ หลายชั้น มีทั้งชั้น มีหนัง มีภาพยนต์ มีสไลด์ มีอะไร ที่จะบันเทิง ไปมากกว่านี้ ในอนาคต มันอาจจะปรุงอะไร มากกว่านี้ ก็ตามใจ แต่เราก็จะต้องดึงไว้ ซึ่งเนื้อหา ไม่ใช่บันเทิง เริงรมย์ มอมเมา เหมือนอย่างชาวโลก เรามีคนหลายชั้น จึงต้องมีสื่อ อยู่หลายระดับ เพราะเราจะไปดูถูก ดูแคลนว่า อู๊! วันนี้ แหม! ไอ้นี่ชั้นต่ำ เราต้องเอื้อเกื้อกูล เป็นมวลเป็นมิตร ผู้ที่ได้ละลดได้แล้ว ไม่ติดแล้ว เราจะไปดูถูกดูแคลน สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ ต้องเอื้อเฟื้อเกื้อกูล ชั้นอื่น ตอนอื่นเขาบ้างล่ะ พอเป็นพอไปน่ะ แล้วเราก็จะได้ อุ้มชูช่วยเหลือกัน ดึงดูด กันขึ้นมา สู่สิ่งที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แต่จะเอาเคร่งๆๆๆ จริง ใหม่ๆ เรายังไม่แก่กล้า เราเคร่งไว้ก่อนน่ะ ใหม่ๆ เรายังกลุ่มเล็ก เราอย่าพึ่งไปโน้มน้อม หรือว่า ไปโอนอ่อนกับเขา มากนัก เพราะว่า กลุ่มเรายังเล็ก แรงเราก็ยังไม่เหนียวพอ ถ้าเผื่อว่า แรงเราเหนียวแล้ว กลุ่มก็โตขึ้น มีพลังพอ ที่จะไม่ให้ผีฉุดไปได้ เพราะฉะนั้น เราล่อผีได้ ใกล้ผีขึ้นไปได้ ถ้าเราแข็งแรง ถ้าไม่แข็งแรง ไปล่อผี ผีดึงไปเลย ตายเลย เพราะฉะนั้น จะยืดหยุ่น หรือว่า เราจะอนุโลม กับสิ่งที่ เราจะเอื้อคนอื่นนี่ ต้องประมาณให้ดี ต้องดูตน ดูตน มีอัตตัญญุตา มีอัตตัญญุตา ประมาณให้ดี ไม่อัตตัญญุตา ไม่ดี ตาย ผีมันดึงไปตายเลยน่ะ ---

งานที่เราจะมีคราวนี้ วันนี้เป็นวันสุกดิบ อีกหน่อย ญาติโยมก็คงจะทยอยกันมา นี่ก็มากันบ้างแล้วน่ะ ขาดหายไป ๒ เดือน ก็โผล่หน้ามาก่อนเขา เหมือนกันน่ะ โผล่หน้ามารายงาน เอา หายไป ก็รู้แล้วว่าหายไป ไม่เห็นต้องบอกเลย ก็รู้แล้วว่า หายไป ญาติโยมจะมากัน เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องจัดแจง ดูที่ดูทาง ดูอะไรต่างๆ ด้านโน้น เราก็จะถมทราย เขากวาดทราย กวาดอะไรต่ออะไรกันน่ะ ผู้ว่าง อยากจะไปขนทราย กันบ้างก็ได้ มีที่ปัดที่เก็บ ---

ข้อสำคัญอีกอันหนึ่ง ก็คือว่า เราทำสะอาดกัน แต่ว่าไม่ใช่ไปรื้อกัน จนเกินการนะ ทำสะอาด เพราะว่า ยังไม่ถึงคราวจะรื้อนะ บางอย่าง รื้อไปเดี๋ยวนี้แล้วไม่ได้ เราซ่อมไม่ได้ หรือว่า เราเอาเก็บกวาด หรือว่า ตั้งมันไว้ไม่ได้ ให้มันอยู่กัน อย่างงั้นก่อน บางอย่าง บางอัน แต่ว่าทำสะอาด ให้มันได้น่ะ เราจะทำความสะอาด อย่างไร ที่จะดีน่ะ อย่างนั้น ก็ต้อนรับปีใหม่ แล้วความสกปรกเก่า นี่ โละๆๆๆ กันบ้าง จะได้สะอาดใหม่ พอสะอาดใหม่แล้ว ปีใหม่ต่อไป ก็ให้มันสะอาด อยู่อย่างนั้นๆ ไม่ใช่สะอาด แต่ตอนปีใหม่ พอเลยปีใหม่ไปแล้ว สกปรกอย่างเก่า มันก็ปีใหม่ ไม่มีประโยชน์อะไร ---

นี่เราพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ก่อนนี้ สันติโศกนี่ รกกว่านี้ เลอะกว่านี้ สะอาดน้อยกว่านี้ แต่มาย่างเข้าปีนี้แล้ว ก็พอสมควร กว้างขึ้น ความสะอาดสะอ้านดีขึ้น เชื้อโรค หรือว่า ตัวสัตว์พิษสัตว์ร้าย หายไปเยอะ เราก็อยู่ อย่างปลอดภัย เราก็อยู่ อย่างสุขภาพดี มีสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นไป เยอะเหมือนกัน แต่สะอาดกว่านี้ได้อีก ได้อีก โดยที่เรา ไม่ต้องไป ทำลายอะไร แล้วเราก็ไม่จำเป็น ที่จะต้องเร่งรัดพัฒนากัน จนกระทั่ง ทำเหมือนกับ เสร็จแล้ว ก็ไม่มีแรงทำต่อ ทำกันได้ในครา ครั้งนี้เท่านั้น ไม่ใช่ เราค่อยๆ เสริมสานไป ให้มันมั่นคง มีอะไร ที่จะคอยช่วยเหลือ เฟือฟายกัน นี้เตรียมโน่น เตรียมนี่ หลายอย่างอยู่ เพื่อที่จะติดจะตั้ง จะโน่นจะนี่ อะไรต่ออะไรอยู่ ---

ถ้าผู้ใดว่าง หรือผู้ใด ไม่มีงานเร่งด่วนอะไร เราจะเอางานนั้น มาทำในวันนี้ แล้วก็พักไว้ได้ ก็พักไว้ก่อนน่ะ เพราะว่า ปีใหม่แล้ว งานเสร็จแล้ว เราค่อยทำต่อก็ได้ ไม่เร่งรัดก็เอาไว้ ส่วนงานเร่งรัดก็ยังมี อย่างห้องเท็ปนี่ กำลังจะต้องทำ ให้มันทันเหมือนกัน ช่วยกันขยับขยาย ขนย้าย ปัดเช็ดอะไร ก็ช่วยกัน ทางด้านตั้ง ทางด้านโน้น ทางเป็นโรง ทางด้านที่ใหม่นี่ ทางด้านพวกนี้ เราก็เก็บกวาด หรือว่าเรียง ทำอะไรต่ออะไรไป พอจะเหมือนทุกๆปี นี่บอกให้ทราบ อารามิกา ก็โยกย้ายเข้ามาอยู่ ในโน้นได้ สำหรับ อารามิกาฝ่ายหญิงน่ะ ข้างนอกนี่ ก็จะพวกอาคันตุกะ ผู้ที่มางานกัน ก็จะได้พักข้างนอกน่ะ ข้างในก็อารามิกาก็ไป ดินปีนี้ ไม่เป็นปัญหา เพราะว่าปีนี้ของเรา สะอาด สะอ้านขึ้น ดินเราปักกลด ตามต้นไม้ พื้นดิน ได้สบายเลย ไปเดินดูก็ได้ ไม่เดินดู จะดูก็เห็นแล้วแหละ ก็เดินเข้า เดินออกอยู่น่ะ ที่ดินปีนี้ ไม่เหมือนปีกลายหรอก ที่ดินปีนี้ เราได้พัฒนาขึ้นมา ดีขึ้นมากแล้ว พักได้ ปักกลดได้สบาย ---

ปีกลายนี้ยัง บางที่บางแห่ง พวกคุณก็ไม่กล้า กลัวงูบ้าง กลัวไอ้แมงอะไร ต่ออะไรบ้าง แต่ปีนี้ไปดูแล้ว ไม่มีปัญหา ปักกลดอะไร ต่ออะไรของเรา อยู่ได้สบาย ส่วนด้านโน้น ที่ตรงโน้น อารามิกา คงใช้ไม่ได้ ทีนี้เขาจะบอกว่า ลองดู จะให้ฝ่ายหญิง ที่ใหม่นี่น่ะ ซึ่งก็คิดว่า อาตมาว่า เป็นไปได้นะ ถ้าเผื่อว่าอย่างไรเสีย ฝ่ายหญิง จะไม่มีที่ มากมาย อะไรนัก ก็เหมาเข่งฝ่ายหญิง ให้ที่เวิ้งนั้น เสียก่อนเลย ก็ได้ ---

ส่วนฝ่ายชายนั้น ไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก ศาลานี้ก็เหมาให้ ข้างบนข้างล่าง อะไร นอกจากนั้น อื่นๆ บ้านเรือนอื่นๆ ที่ช่วยเหลือ เฟือฟายกันอยู่ ที่ช่วยเหลือ เฟือฟายกันไปนะ ผู้หญิงมันก็มี อีกอันหนึ่ง ที่ตรงนี้ เมื่อเวลา ถมทราย เสร็จแล้ว วันนี้ต้องเร่งมือ ที่จะทำรั้ว ไม่อย่างนั้น ไม่ทำรั้วแล้ว ยิ่งฝ่ายหญิงไปพัก ไม่ค่อยน่าดู เสาก็เอาไปแล้ว แหม! ที่นี่ร่ำรวยเหลือเกิน เสาทำรั้วแค่นั้น ไม้แก่นต้นเท่านี้ แต่มันช่วยไม่ได้ เรารวยนี่ ทำยังไงได้ เราก็ต้องใช้กันไป ที่จริงเสาเก่าเขาน่ะ คุณอางค์เขาเหมา มาให้ก็เอา ช่วยกันขุด ช่วยกันฝัง สังกะสีอยู่ไหนล่ะ มีมั่ง เอาอย่าง มั่งมีซี ไอ้พอไปพอกั้นน่ะ อย่างน้อยที่สุด ก็งานนี้ ก็ต้องมีรั้ว มีเขตอะไรบ้างน่ะ ไม่ต้องทำประตูหรอก ทำปิดหมดเลย ก็เดินออกสบายๆ ไม่ มีไอ้นั่นอะไร ไม่ต้องทำ ยังๆ ไม่ต้อง ทำประตูประเตอ อ๋อ! จะทำประตูลัด เข้ามาทางนี้เลยหรือ เอ้อ! เพื่อที่จะไปได้ เพราะว่าถมแล้ว ก็คงเปิดได้ รั้วน่ะ เปิดง่ายจะตายไป หยิบนิดหนึ่ง อย่าหยิบแรงนะ หยิบแรง ร่วงเลยนะ ไอ้รั้วนั่นน่ะ หยิบแรงร่วง เปิดได้ไม่ยากอะไรหรอก เปิดก่อน เปิดนิดหน่อย เปิดพอเดิน พออะไร จะได้ไปห้องน้ำ จะได้ไปโน่นไปนี่ เพราะห้องน้ำหญิง มันอยู่ทางโน้นเลยทีเดียว อ้า! ก็ได้ ----

แม้ฝ่ายชาย ที่ลานนี้ก็พักได้ลานนี่ ลานนี้ก็พัก ไม่เหมือนปีกลายนี้ นี่ลานทราย เรียบร้อยน่ะ พักกันเรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไร ปีนี้แขกเหรื่อ จะมาเกินพัน ก็ไม่ต้องห่วงอะไร เป็นไปได้นะ ไม่ต้องคิดอ่านว่า จะต้องไป ที่โน่น ที่นี่ ปีกลายนี้คิดว่า เราจะเลื่อนไป พฤกษชาติ เอ๊! มันไม่ถูกเรื่องนะ ที่จริง มันงานเรา แล้วเราจะไปทำที่ สวนพฤกษชาติ เดี๋ยวสวนพฤกษชาติ เขาจะหาว่า เราจะไปฮุบ เอาที่เขาอีก ละ ไม่... ทำเป็นตัวตนของเราน่ะ ---

เพราะฉะนั้น เราก็เขยิบของเราไป ทุกๆปีนี่แหละ มันก็เป็นได้น่ะ แต่ละปี มีอีกอันหนึ่ง ก็คือหินคลุก หินคลุกที่มัน ลงถนนนี่ ขณะนี้นี่ ข้างหน้าก็ถมหลุม ถมบ่ออะไร พอเป็นพอไป แล้วถ้าใคร จะเอาน้ำไปหยอด ไอ้หลุมที่เอาหินคลุก ใส่ลงไปนี่ เอาน้ำไปหยอด หยอดๆ ให้มันมีน้ำเจือบ้าง แล้วมันก็จะผนึก กันขึ้นมา พอสมควร ก็ได้น่ะ ถ้าแม้ว่ามัน มีแรง ถ้าไม่มีแรง จะไม่หยอด ก็พอเป็นไปนั่นแหละ แล้วหินคลุกที่เหลือนี่ เราจะโกยมาถมที่ ทางด้านหน้าบ้าน หน้าครัว หน้าบ้านคุณไสว หน้าบ้านมานพน่ะ หน้าบ้าน คุณบุญธรรมนี่ เลยนี่ ถนนที่ตรงนี้มันเละ เพราะฉะนั้น หินคลุกนั่น เราเอง มาผสมทราย แต่ละกอง นี่ข้างบ้าน คุณอางค์นี่ก็ตาม ทรายที่เหลือนี่ พวกนี้ ก็ตาม ที่ทราย ที่มุงที่ใหม่ มุงโน่นเลยก็ตาม จะเอาผสมกับไอ้ๆ หินคลุก อะไรต่ออะไร จะถมพวก เลอะ พวกนี้ ให้มันให้เรียบร้อยได้ (มีเสียง ถาม) ก็สาดซี ก็สาด นั่นละ ก็ดู ปรับดู เราเอง เรากะว่าจะทำ จะให้จะถมนี่ ปีนี้ เราไม่ได้ลงเท่าไหร่ปีนี้ ทุกปีเราก็ลงไป หลายตังค์ทุกปี แต่ปีนี้เราไม่ได้ลง เพราะฉะนั้น ก็ปรับนิดหน่อย ถนนนี่ ปรับนิดหน่อยนะ พยายามช่วยกัน เท่าที่มี นี่พูดไป ก็จะเห็นได้ว่า มันยังมีอีกเยอะ ที่เราไม่ได้ช่วยกัน เพราะว่างานเราก็ทำ คนนั้นทำบ้าง คนนี้ทำบ้าง อาตมาก็ไม่อยาก จะไปจี้ไปไชอะไร มากมายนัก มันก็พอ เป็นไปได้ ขนาดนี้แหละ พอถึงวันนี้ วันที่ ๓๐ แล้ว ก็ทำยังไงได้ มันมีแค่นี้ เดี๋ยวญาติโยมมา ก็ช่วยกัน พวกเราอยู่นี่ ก็ช่วยกัน ทำไปก่อนน่ะ ให้มันแล้ว มันเรียบร้อย ทุกปีนี่ ทำเรียบร้อย แม้แต่ป้ายชื่อ ติดถนน ข้างโน้นข้างนี้ ป้ายไม่เข้าไม่ออก ปีนี้ไม่ต้องปิดป้าย มันก็คง ไม่มีปัญหาอะไร บอกเลยว่า ไม่ต้องเข้า เขาเห็นที่แล้วนี่ เราปูอิฐปูอะไรๆ เต็มไปหมด แล้วถนนนี่ พอถึงเวลา ถึงวันไอ้นั่นก็ เอารถออกไปจอดซอย ถ้าเผื่อว่า ถนนของเรานี่ ทำไว้ดี มันรถ หยุดได้ มันก็แอบๆๆๆ อยู่ไปทางโน้นได้ ที่จริงข้างหน้าโน่น ก็จอดได้ ถนนใหญ่นี่ ก็จอดได้ ถ้ามีงานก็จอด มันไม่เป็นไรหรอก ยังไม่เป็นไรหรอก ยังไม่ถึงกับขนาด มีมือดี มาขโมยอะไร กันหรอกแถวนี้ ตอนนี้ มันยังไม่นั่นอะไรนัก ก็พอเป็น พอไป ---

นี่เป็นเรื่องราวที่เราจะบอกเกริ่น ให้รู้กัน สำหรับวันนี้ วันสุกดิบ สำหรับงานพรุ่งนี้กัน ที่เราจะทำนี่ ก็เป็นองค์ประกอบ จำเป็น ที่เราจะต้องปรุง ปรุงนั่น ปรุงนี่ มีรูปนั่น รูปนี่ เหมือนกับยัญพิธี ของงานอื่นๆเขา เขานั่นสนุกสนาน เฮฮากันเลย แล้วเขา ก็แฝงว่า เราจะมาทำบุญกัน ก็ไปนิมนต์พระมา มา เป็นนิดหน่อยน่ะ เอาพระมา แล้วก็มาใส่บาตรกัน กระเบะกระบะกันไป ใส่บาตร ก็กว่าจะใส่ ก็อธิษฐานแล้ว อธิษฐานอีก บางที ยังไม่หายเมาหรอก อธิษฐานนั่นนะ อ้า! ใส่บาตรวันที่ ๑ เลี้ยงกันตั้งแต่ วันที่ ๓๑ พอรุ่งเช้ามา ก็ยังไม่หายเมาหรอก อธิษฐาน โอ๊! ขอให้ได้หลายคนนะเมีย คนเดียวนี่ มันก็ยังไม่พอ อะไรก็อธิษฐาน ไปตามเรื่องตามราว บ้าๆบอๆ หรือต้องการโน่น ต้องการนี่ ก็ยังทำ อะไรไม่ถูก อยู่นั่นเอง ---

นี่อาตมาบิณฯมา ที่ทวีทรัพย์ บิณฑบาต ไม่รู้ว่าเพื่องานนี้ หรืองานที่แล้วไม่รู้ ได้นะ สายสิญจน์นี่ มีทุกบ้านเลย สายสิญจน์นี่ รู้สึกจะโยงกัน ทุกบ้านเลย มีสายสิญจน์ ทั้งนั้นน่ะ แล้วเวลามาก็พับ พระท่านมาก็ นโม ตัสสะ ภควโต นี่มือ สายสิญจน์นี่ ติดที่มือนี้ไป มันคงไปตามสาย ส่งเสียงตามสาย ไปทุกรั้วบ้าน ออกจาก บาตรน้ำมนต์นี่ มนต์มันอยู่ที่นี่ มนต์มันอยู่ที่ บาตรน้ำมนต์นี่ มันก็ไปตามสื่อ ไอ้น้ำ มันก็ไม่ขึ้นมา ตามสายเสียด้วยนะ มันไปยังไง ใช้น้ำก็ไม่จริง ใช้ด้ายก็ไม่จริง ไม่รู้จะใช้อะไรกันแน่ สิญจนยัญนี่ คือยัญ ใช้น้ำเป็นสื่อ คือประสาคนโง่น่ะ ประสาผู้ที่ไม่รู้ นึกว่ามันจะเป็นไปอย่างงั้น อย่างงี้ ต่อสายต่ออะไร ไปเป็นรูปให้เห็นชัดๆ ถ้าไม่ต่อสาย ไม่รู้ว่ามันจะไปถึง เลยต่อโยงใย ดูแล้ว มันตลก ---

เมื่อเราเกิดปัญญาญาณแล้ว ก็จะเห็นชัดเลย มันเป็นเรื่องตลก ของเด็กๆ เล่นกันน่ะ อย่า อย่าไปข่มเขา ก็แล้วกันนะ มันเรื่องเด็กๆ เล่นกัน มันตลกอย่างนั้นน่ะ ทำแล้ว เขาก็ไม่เข้าใจ แต่เขาต้องทำ เพราะว่า ภูมิฐานเขาอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เราพูดนี้ พูดเราน่ะ แต่เราไปพูดเขา ไปพูดว่า ให้เขาฟังนี่ บางที เขาเอากระบอง มาตีกบาล ไม่รู้ด้วยนะ อาตมาอย่างงี้แล้ว คุณเห็นอาตมาพูด เลยเอาไปพูดตาม ไม่รู้ กาลเทศะ ไม่รู้หมู่กลุ่ม ไม่รู้บุคคล ดีไม่ดี เขาขว้าง ลูกน้อยหน่าให้ ไอ้ลูกน้อยหน่า สมัยนี้ มัน ฟังนะ ลูกน้อยหน่า รู้จักไหม ถ้าขว้างลูกน้อยหน่าให้ แล้วจะมาว่า อาตมายุ ไม่ได้นะ อาตมาไม่ได้ยุ นะ อาตมาบอกให้ทราบน่ะ ---

เพราะฉะนั้น เรื่องที่แม้จะเอาเรื่องอะไร มาผสม ในยัญพิธีว่า จะเกิดบุญ เกิดกุศล มันก็ไม่ได้บุญ มันไม่เป็นความชำระ ทำบุญปีใหม่ สังสรรค์โน่นนี่ มันไม่เป็นบุญ แห่งการชำระ สังสรรค์กันก็ สัมพันธ์สังคม เอาไว้ ด้วยเหล้า ด้วยความเฮฮา ด้วยดนตรี ด้วยเอะอะมะเทิ่ง ด้วยความเอิกเกริก โลกีย์ อะไรต่ออะไร ที่เขาผูกด้วยโลกีย์ อย่างนั้นๆ เพราะฉะนั้น การที่ผูกด้วยโลกีย์อย่างนั้น จึงเป็นการผูกอย่าง เปราะบาง เป็นการผูกอย่าง ไม่มีแก่นสาร ไม่มีสาระอะไร ไม่มีคุณธรรม ไม่มีสิ่งลึกซึ้ง มีแต่เปลือก ผิดอย่างที่ว่านี่ นี่อาตมาไม่ได้ใส่ความนะ คุณฟังให้ดีๆเถอะ คุณดูเถอะ เอาขนมเค้ก มากินกัน จนไปหมดแล้ว นี่กินขนมเค้กกัน จนหน้าเป็นเค้ก ไปหมดแล้วนี่ อะไรกันนัก กันหนา ก็ไม่รู้ เห่อกัน ไม่รู้จักเศรษฐศาสตร์ เกินการน่ะ ไม่เป็นแก่นสาร เห่อรูปนั้น เห่อรูปนี้ คนทำเค้กขาย ก็รวยไปซีน่ะ ของขวัญ ห่อของขวัญ มาแลกสลากกัน พวกนี้ มันไอเดียของพ่อค้า... ขายนี่มันเก่ง มันยั่วยุกัน เสร็จแล้ว พวกนี้ก็ ขายของ ขี้หมาอะไร ที่มันขายไม่ออก ปีใหม่ มันเอามาห่อใส่เสร็จ คนไม่มีเวลา เท่าไหร่หรอก ซื้อยันเตเลย มันสนุก มันเลย ขายมันมือเลย จริงๆ มันห่อขี้หมาขาย ไม่รู้เรื่องกันหรอก พวกนี้นี่ ปีใหม่นี่ มันห่อขายกันจังเลย โอ้โห! ข้างนอกนี่ ผูกบงผูกโบว์ ข้างในอะไรก็ไม่รู้ มันเอามา ผสมผเสผสาน ก็ขายกัน ขายกันเป็นเทน้ำ เทท่าเลย เสร็จแล้ว ก็มาจับสลากกันซี ก็เราถือว่า เราจับสลากนี่นะ ได้อะไรก็ ช่างหัวมัน แต่ที่ไหนได้ บางทีก็ เละเทะเปลืองเปล่า เศรษฐกิจ ฉิบหาย วายป่วงไปหมดเลย ไม่ใช่ได้ดีนะ ไม่ใช่ประเทศดีนะ ไม่ใช่ประเทศ ได้ดีนะ ฉิบหาย วายป่วงนะน่ะ เป็นทางได้ ของพ่อค้า ที่รีดเงิน อย่างงั้นน่ะ ไม่เข้าเรื่องเลย แล้วทำไม จะต้องส่งเสริม ไอ้กิจกรรม ที่ผลาญพร่า เหล่านี้ ก็ไม่รู้น่ะ ส่งเสริมกันจังเลย เขามองแง่ตื้นๆ เขาบอกว่า ไอ้ส่งเสริมกันอย่างงี้ มันทำให้ ประชาชน เข้ามาสัมพันธ์กัน สามัคคีกัน ไม่จริงหรอก ตำรวจนี่ งานนี้ตำรวจ งานไม่ใช่เบา ทะเลาะ เบาะแว้ง กันจริง มันมีอันหนึ่ง ที่เราต้อง พยายามทำใจ สามัคคีกันนะ ปีใหม่แล้ว ปีใหม่แล้วนะ แล้ว มันมีน้ำหนักของใจ ที่อดที่ทน ขนาดไหน กันเล่าคุณ แล้วมันก็จะกินเหล้า แล้วมันก็ต้อง เอะอะ แล้วมัน ก็ต้องอะไร กิเลสมันหวงตัว หวงตน ขี้เหนียวอะไร มันก็มีอยู่ แม้มันจะทำใจว่า เอาน่า ปีใหม่นี่ เราต้องเอื้อเฟื้อกันนะ เราต้องอะไรๆกันนะ แม้อย่างนั้น มันก็ยังไม่พอ แต่มันก็เป็นได้ สำหรับ เขาทำนั่นแหละน่ะ จะบอกว่า ในแง่ที่เขาเจตนา อันนั้น เขาจะไม่มีเจตนา ให้บรรยาย เป็นโวหาร ให้บรรยายเป็น วิชาการ เขาก็รู้ว่า แง่จิตวิทยา แง่นั่นแง่นี่ ได้อะไร เขาก็รู้ เขาบรรยายถูก แต่โดยพื้นฐาน เนื้อแก่นสารของคน มันไม่ได้จริง แล้วไอ้ที่มา ฉาบพอกนั่นน่ะ มันเป็นการฉาบพอก ด้วยสี ด้วย...รส มันฉาบน้ำตาล มากไป ใส่สีเยอะไป เนื้อนิดเดียว มีแต่ของปลอม ฉาบพอก อยู่นั่นเยอะ แก่นสารน้อย นี่มันเป็นอย่างนี้ ---

เมื่อวัดกันกับอย่างที่เราทำแล้ว เมื่อวัด เมื่อเทียบกันแล้ว จะเห็นได้ว่า เราเอง นี่ไม่ใช่ยกตน ข่มท่านนะ แต่บอกสัจจะ ให้ฟังน่ะว่า แม้แต่ทุกวันนี้ อาตมาพิสูจน์ โลกให้ดูเสมอๆ ว่าอะไร กรรมกิริยาอะไร การงานอะไร เราก็ทำ เขาก็ทำ มันไม่เหมือนกันหรอก นี่งานปีใหม่ เขาก็งานปีใหม่ ไม่เหมือนกัน งานปลุกเสก เราก็ปลุกเสก เราก็ปลุกเสกไม่เหมือนกัน อย่างนี้เป็นต้น เทียบเคียงให้เห็นว่า มันอันเดียวกัน แต่มันไม่ใช่ อันเดียวกัน มันต่างกัน มีสาระ มีรูปแบบ มีเนื้อหา แก่นสาร องค์ประกอบอะไร มันไม่เหมือนกัน มันต่างกันน่ะ ---

เราก็ต้องพยายามย้ำยืนยัน เพื่อที่จะทำ ให้เรา เกิดคุณค่า แม้งานนี้ปีใหม่ จะรวมพล เราไม่ได้รวม ได้แค่หมู่บ้านนี้ เท่านั้นหรอก แต่ต่อไป มันก็จะย่อย ไปเป็นหมู่บ้าน ขณะนี้ เราจำเป็นที่จะต้อง ให้มันมีน้ำหนัก น้ำเนื้อ เพราะฉะนั้น สถานที่มันมีน้อย พุทธสถานนี่แห่งหนึ่ง งานปีใหม่ของเรานี่ ของชาวอโศก งานปีใหม่มีที่เดียว สันติอโศก ที่อื่นไม่ใช่งานปีใหม่หรือไง เพราะฉะนั้น เราต้องมา ปีหนึ่ง มีที่นี้แห่งเดียว ต่อไปในอนาคต พองานปีใหม่ เอ้า! มีวัดอยู่ ๔๐ จังหวัด มีวัดทั้งนั้น แล้ว อย่ามา ที่เดียวนะ ตายเลยทีนี้ ๔๐ จังหวัดมีหมด แล้วมันแพร่หลาย อย่างนี้แล้วน่ะ แต่ละวัด ก็รับที่ จะจัดงานปีใหม่ ก็จัดแต่ละวัด ๔๐ วัด จัดของใครของมัน ก็ถิ่นตัวเอง ที่ตัวเอง หรือ แม้แต่ทุกวันนี้ อย่างที่อาตมาชี้ แต่ละซอย แต่ละหมู่บ้าน แต่ละตรอกนี่ เขาจัดของเขา ก็เป็นสามัคคีน่ะ ในหมู่บ้าน หมู่กลุ่ม เขามา พยายาม ที่จะมาเรียนรู้ เป้าหมาย หรืออุดมการณ์ร่วมกัน แก่นร่วมอันเดียวกัน มีเป้าหมายอะไร เหมือนกัน ทุกคนก็มีเป้าหมาย ความสุขเย็น ต้องการสันติสุข ต้องการความไม่เห็นแก่ตัว ต้องการกันเป็น ภราดรภาพ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นมิตรสหายอันดีกัน อยู่ร่วมกัน มีอะไร เอื้อเฟื้อกัน อย่าเอาเปรียบ เอารัดกันนะ มีความโลภน้อย มีความโกรธน้อย เป้าหมายแกนนี้ โลกทั้งโลก เหมือนกันหมด แต่เขาไม่เข้าใจ เขาทำแล้ว มันไม่ได้เนื้อ มันไม่ได้สภาพนั้น ออกไป เขาไม่เข้าใจ แต่เขาก็ทำบ้าง จะว่าในทางโลกทีเดียวนี่ ที่เขาทำนี่ มันไม่ได้ผลเลย ก็ไม่ใช่ มันได้ผล แต่ผลนั้น เมื่อคำนวณต่อการลงทุนแล้ว มันเหมือนกับเรา ทำเพชรขึ้นมาใช้นี่ ทุกวันนี้ วิทยาศาสตร์ เขาทำเพชรขึ้นมาใช้ได้ แต่ทุน ที่ลงไปทำเพชร นั้นไม่คุ้ม ได้เพชรขึ้นมาก้อนหนึ่ง ลงทุนเข้าไป เกินกว่าที่จะต้องไปซื้อ เพชรสด เขามาเลยดีกว่า ซื้อเพชรแท้ๆของเขา มาเลยดีกว่า ทำเพชรใหม่ขึ้นมา แต่ก็ได้คุณภาพ เหมือนกันกับ เพชรจริง เหมือนกัน แต่ไม่คุ้มกับการลงทุน อย่างนี้แหละ ฉันเดียวกันเลย ที่เขาทำ จะว่าไม่ได้ ไม่จริง ได้ ได้ผลบ้าง จะเกิด ภราดรภาพ จะเกิดสมานสามัคคี จะพยายาม ให้เขาละ ลดอะไร ออกมาบ้าง ให้เขาลดความโลภ ต่างคน ต่างทำนะ เอาข้าวหม้อมา มาทำทานกันบ้างนะ มาโน่นนี่ บ้างนะ เขาจ่ายออกมา เหมือนกัน แต่ไม่ใช่จ่ายออกมา เพื่อจะจ่ายออกไป จ่ายออกมา เพื่อแลกเอา อะไรเข้าไป อย่างน้อย เสพย์อารมณ์ หรือว่าจะได้อะไร มาเพิ่ม มีแง่เชิง อย่างนั้น มากกว่า ---

เพราะฉะนั้น การจัดงานอะไรต่ออะไร อย่างที่ว่านี้ ทุกวันนี้ มันเสียมากกว่าได้ จะบอกว่า เขาไม่ได้ผลนั้น ไม่จริง เขาได้ผล แต่ผลนั้น ไม่คุ้มกัน ถ้าคิดอย่างนี้ แม้เชิงเศรษฐศาสตร์ อย่างละเอียดแล้ว ขาดทุน ขาดทุน ยิ่งคิดถึงด้าน นามธรรมด้วยแล้ว อู๊ว! ขาดทุนยับเยิน แต่แค่วัตถุนี่ เขาก็ยังขาดทุนนะ ที่จริงน่ะ ไม่ได้กำไรหรอก จะได้กำไรก็คือ คนเอาเปรียบเอารัด เขาคอยจ้องท่าที ที่จะเอาเปรียบจริงๆ แม้แต่คน ที่จะไป จับสลากอย่างงี้ แล้วก็หาเหลี่ยมคู ที่จะไปจับสลาก แหม! ปีใหม่ ต้องหาเหลี่ยมคู ไปจับสลาก เราต้องลงทุนน้อยๆ แล้วไปจับสลากน่ะ จับหลายๆ แห่ง เอ้า! ลงทุนอย่างนี้นี่ ไม่ใช่ชี้โพรง ให้กระรอกนะ เสร็จแล้ว ก็หวานเลยทีนี้ ปีใหม่นี่ เราต้องไปลงทุนกับเขา หลายๆ กรุ๊ป เขาจับสลากที่ไหน ไปเลย เราซื้อของถูกๆไป เอาไปแอบลงในนั้น ไม่ลงชื่อเสียด้วยนะ แต่เรามีของถือไปนี่นะ เราไม่ลงชื่อ ไม่บอกให้ใครรู้ ใครๆจับได้ จะได้ไม่รู้ว่าของเรา เสร็จแล้ว เราก็ไปจับสลาก แน่นอน ก็คงมีคน ที่กล้าเสียสละ กล้าซื้อของแพง กล้าซื้อของ ที่มีราคา เกินกว่าเรา มาลงรวม จับแล้ว มันก็ต้องได้ ถ้ายิ่งเราไปซื้อ แหม! ซื้อท็อฟฟี่ ไปอันหนึ่ง ห่อค่อนข้างโต ใส่อะไรยัดไส้โตๆ กล่องเบ้อเร่อ แต่ท็อฟฟี่อันเดียว ไปจับสลากกับเขา แล้วเราจับมา มันก็ต้อง ได้ราคา มากกว่าท็อฟฟี่ซี คนซื้อท็อฟฟี่ ไปหลอกเขา มันจะมีสักกี่คนกัน อย่างนี้ เป็นต้น แล้วก็ไปจับซี่ หลายๆเจ้า หลายๆวง เออ! ปีนี้ เราจับสลาก เราก็รวยได้ แล้วก็ได้กำไรตั้งเยอะ ก็ได้ นี่พูดง่ายๆ แนะให้ฟังนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้คิดมาก่อนหรอก คิดเดี๋ยวนี้ ก็เห็นปฏิภาณ ไอ้ที่จะเอาเปรียบ เอารัดกัน หาทางโกง ที่จะอะไรๆ มันก็ได้ทั้งนั้นล่ะ จะว่าไปแล้ว แล้วมันก็มีอยู่ ในมนุษย์ เหล่านี้ มีเชิงไม่สุจริตแบบนี้ ปนๆ เปๆ ขี้โลภ ขี้อะไรอยู่ ต่างๆนานา ---

เพราะฉะนั้น ในโลกนี้ เรารู้แล้ว เราเป็นคนเสียสละ เราเป็นคนขัดเกลา ของเรามาทำงาน เราก็ไม่ได้ไปอัดอั้น ตลอดปี ตลอดชาติมา ปีหนึ่งมาอัดอั้น แล้วก็มาโปรดเปรต เราปล่อยเปรตหรือ ก็ไม่ได้ทำ แต่ว่าเราได้ขัดเกลา ปล่อยปละมา ค่อยๆจาง ค่อยๆคลายมา ตลอดเวลา จนกว่า จะถึงเวลานี้ พอถึงปีใหม่แล้ว แทนที่เราจะมาโปรดเปรต เรากลับจะปล่อย ให้ยิ่งกว่านี้ จะลดละให้น้อยกว่านี้ เราจะตัดสินใจเลย มันสิ้นปีแล้ว ปีหน้าเรา แหม! ทำมาทั้งปี มันไม่เด็ด ปีนี้ต้องเชือดคอมัน ตอนนี้ละ ปีใหม่ ฉันจะไม่ให้มีแล้ว ไอ้เรื่องกิเลสต่างๆ ที่ค้างคานี่ ต้องอย่างนี้ มันจึงจะถูกต้อง ในแนวทาง ที่พวกเราเป็นอยู่น่ะ เพราะว่า เราไม่จำเป็นที่จะต้อง มาปล่อยเปรต เพราะว่า เราไม่ได้กด ไม่ได้ดัน ถ้าปฏิบัติถูกทาง ของพระพุทธเจ้าแล้ว ตลอดปีมา เราไม่ได้กดดัน เราสบายๆ มาสลายมันไม่ได้ มันยังไม่หมด มาสลายใหญ่เลย ในก่อนจะสิ้นปีแล้ว ต้องตั้งกำลังใจ ต้องตั้งจิตให้ดีๆเลย ทลายกำแพง กิเลสนี่ ให้มันสิ้นสูญไป ให้มันถึงที่สุด อย่างนี้เป็นต้น เราก็จะต้อง กระทำ ---

มันจะมีอะไรก็แล้วแต่ ใครเห็นแก่ตัวมามาก ก็ลองดู สิ้นปีนี้ลองดูซิ แม้ที่สุดแค่ ๓ วัน นี่ แสดงความไม่เห็นแก่ตัว ให้ได้มากๆ ความเสียสละมากๆ ลองดูซิ มันจะเป็นยังไงนะ มันจะพอมี เหตุพลวปัจจัย พอให้เรา จะปี ๒๖ จะได้เกิดเป็นคน เสียสละมากๆได้ เห็นแก่ตัวน้อยๆ ได้บ้างหรือไม่ ลองดูซิ หรือว่า มันขี้เกียจนัก ก็มาลองขยันดู ๓ วันนี่ โอ้โห! ตลอดปีมานี่ ไล่เบี้ยมาเลย นี่คิดงบดุลแล้ว ขี้เกียจ มาตลอดทั้งปี มาเลย เอ้า! ๓ วันนี้ ขยันให้มันเต็มที่ ดูซิน่ะ มานอน มา แหม! เอาแต่นอนอุตุ มาทั้งปี ๓ วันนี้ ไม่นอนมันละ จะขยันหมั่นเพียร ลองดูซิ อะไรที่จะทำให้ตัวเอง ละลด หรือว่าทำ ให้มันแรงๆน่ะ มันก็จะดีขึ้นนะ ---

นี่เป็นแนว หรือว่าเป็นเชิงที่เปรียบเทียบ กับโลกเขาให้ฟัง ว่าเราก็อยู่ร่วมโลก แต่เราก็ต้องเป็น ตัวอย่างโลก ไม่ใช่ทำ ให้ไปตามๆ โลกเขา แล้วก็เลอะๆ เทอะๆ ก็พาลงนรก ลงเหว ลงทางเละ ทางเลอะ อะไร เราก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ เราต้องรู้เป้าหมาย ต้องรู้รายละเอียด ต้องรู้ความจริง เราจึงจะเป็นคนที่อยู่ อย่างมีคุณค่า ตัวเราเองก็ได้พัฒนา ช่วยดึงโลกเขาไว้ ด้วยนะ ---

เอ้า! นี่ก็สิ่งที่จะกำชับกำชา ที่จริงจะบอก กำชับด้วยว่า ขอแรงทำงาน แบ่งเบา อะไรต่ออะไรบ้าง ที่เรายังไม่เรียบร้อย เดี๋ยวพรุ่งนี้งาน ยังจะมีอะไรขลุกขลัก มันก็ไม่ดีน่ะ ก็เท่านั้นเอง พูดเป้าหมายใหญ่ ที่จะพูด ช่วงนี้นะ แล้วก็เน้นสาระ อะไรต่ออะไร สู่กันฟังแล้ว เอ้า! ต่อจากนี้ เราก็จะได้รีบ รับประทานอาหารกัน ก็ไม่รีบละ รับประทาน อาหารธรรมดานี่แล้ว ไม่ใช่บอกพูดไปแล้ว ก็เลย ไปรีบ ที่จริงไม่ได้ตั้งใจ จะมาให้รีบๆ รับประทาน แต่ว่า เวลาเรา ผ่านไปแล้ว ก็จะได้รับประทาน อาหารกัน เสร็จแล้ว จะได้ช่วยกันทำงาน เพราะเวลา มันก็ผ่านไป ผ่านไป เอ้า! เอาละ พอ

 

สาธุ.