ประทับใจคุณยายเพ็กลั้ง

ฉันจำได้ว่า พวกเราเริ่มแวะเยี่ยมเยียนทักทายคุณยายเพ็กลั้ง "ท่านผู้เฒ่าทวนกระแสแห่งปฐมอโศก" หลังจากที่ฉัน สูญเสียคุณยายของฉัน เมื่อประมาณ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๔๒ การสูญเสียคุณยาย อายุ ๙๔ ปี ที่มีร่างกาย แข็งแรง สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ทำให้ฉัน พี่สาว ลูกสาว และลูกชาย อดคิดถึง คุณยายของเราไม่ได้ เมื่อได้พบคุณยายเพ็กลั้ง พวกเราจึงเข้าไปทักทาย พูดคุย พอทราบว่า ท่านอายุไล่เลี่ย กับคุณยาย ของเรา คุยเก่ง มีอัธยาศัยดี ก็อดไม่ได้ที่จะรัก และยึดมาเป็น คุณยายของเรา กลายๆ ฉันยังบอก คุณยายเพ็กลั้งว่า คุณยายของฉัน ก็อายุไล่เลี่ยกัน แต่ไม่กล้า ที่จะบอกว่า ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว เมื่อไม่นานมานี้เอง

เดิมพวกเราจะขับรถตามใส่บาตรสมณะและสิกขมาตุของปฐมอโศกทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ จำได้ว่า ตั้งแต่ลูกสาวของฉัน อายุประมาณ ๔-๕ ขวบ ซึ่งลูกสาวจะอายุครบ ๒๐ ปี ในเดือนตุลาคม ๒๕๔๕ นี้ ในช่วง ๓-๔ ปีที่ผ่านมา ฉันมีความคิดว่า พวกเราน่าจะได้ เข้าไปในวัดบ้าง จึงเปลี่ยนจากการ ใส่บาตร เป็นการ นำอาหารไปถวายสมณะ ที่ศาลา ในวันอาทิตย์แทน นี่คือ สาเหตุที่ทำให้พวกเรา ได้พบและรู้จักกับ คุณยายเพ็กลั้ง

คุณยายเป็นคนคุยเก่ง ร่างกายแข็งแรง มีลักษณะเป็นชาวจีน รูปร่างสมส่วน เกล้าผมมวย แบบคนจีน ที่เรียกว่า "ต๋าจัง" ซึ่งฉันจำได้ว่า สมัยเป็นเด็ก ฉันจะเป็นคน "ต๋าจัง" ให้คุณย่าของฉันเสมอ ต่อมาไม่นาน คุณยายก็ตัดผมสั้น ท่านเล่าว่า ญาติธรรมมาตัดให้ และบอกว่าสบายดี สระก็ง่าย หวีก็ง่าย คุณยาย ช่วยเหลือตัวเองได้ดี

ต่อไปนี้ขอเขียนถึงคุณยายในเรื่องต่างๆ ที่ฉันประทับใจ

เยี่ยมญาติทุกวันอาทิตย์

ทุกวันอาทิตย์เราจะเตรียมอาหารไปถวายสมณะ และนำลูกยอสุกที่คุณแม่ของฉันเก็บไว้ไปถวายสิกขมาตุ เป็นหญิง เพื่อใช้ทำน้ำลูกยอ หลังจากที่สิกขมาตุป็นหญิง ย้ายไปประจำที่ศาลีอโศก ทุกวันอาทิตย์ เราก็จะทำน้ำลูกยอ ไปถวายสมณะ และสิกขมาตุที่ศาลา และต้องเตรียมไปเผื่อ คุณยายเพ็กลั้ง ๑ ถุง ทุกครั้งที่เรานำของขึ้นศาลา เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็จะต้องเดินไปเยี่ยม คุณยายที่บ้าน "ซิมเลี่ยงเลี้ยง" ซึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านกุสโลเป็นผู้ตั้งชื่อบ้านให้ เมื่อพวกเราไปถึง คุณยายจะหยุดทำงาน ที่ทำค้างอยู่ แล้วกุลีกุจอ มานั่งคุยด้วย พวกเราจะอยู่พูดคุยกับท่านสักพักใหญ่ จึงลากลับ

สภาพความเป็นอยู่ของคุณยาย
พวกเรามักพบคุณยายในชุดเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน กางเกงขายาวสีน้ำเงินหรือสีดำ เสื้อคอกลม แขนยาวสีฟ้าและมักจะมีรอยปะชุน ครั้งหนึ่ง เคยเห็นคุณยาย กำลังนั่งปะกระเป๋าเสื้อที่ขาด เพราะใส่กุญแจบ้าน ที่มีน้ำหนักมากบ่อยๆ คุณยายล้างจานชามเอง หลายครั้งที่พบ ท่านกำลัง นั่งซักเสื้อผ้า แรกๆ พวกเราก็อดคิดตำหนิ ลูกหลานของคุณยายไม่ได้ว่า ทำไมจึงปล่อยให้ท่าน มาอยู่คนเดียว และต้องทำงาน เหล่านี้เอง ทั้งๆ ที่ท่านก็อายุมากแล้ว แต่พอได้พูดคุย จึงรู้ว่าคุณยาย เป็นคนสันโดษ เป็นผู้มีธรรมะในใจ มีความสุขและพอใจ กับความเป็นอยู่ มี ๒-๓ ครั้ง ที่เราไปเยี่ยมแล้ว พบคุณยายหลับสนิท อยู่บนเตียงไม้ในบ้าน เมื่อเข้าไปดูเห็นท่านไม่ได้เป็นอะไร เพียงแค่นอนหลับเฉยๆ เราจึงไม่ปลุก ได้แต่วางถุงน้ำลูกยอไว้ รวมกับอาหารอื่นๆ คิดว่าเมื่อคุณยายตื่น และเห็นของฝาก ก็จะรู้ว่าพวกเรา มาเยี่ยม

คำสอนและพรจากคุณยาย
คุณยายเป็นคนคุยเก่ง ความจำดีมาก ท่านพูดภาษาไทยได้ดี แต่ก็ชอบพูดภาษาจีน ซึ่งฉันและพี่สาว พอจะฟังรู้เรื่อง และพูดได้บ้าง แต่ลูก ๒ คนของฉัน ไม่รู้เรื่องเลย พอจะ รู้เป็นคำๆ เพียงไม่กี่คำ เวลา คุณยายพูดเป็นภาษาจีน ลูก ๒ คน ก็จะนั่งปากหวอ และถามฉันว่า ท่านพูดอะไรบ้าง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันไม่ได้ไปวัดด้วย ลูกชายเล่าให้ฟังว่า เขาได้พูดภาษาจีนไปคำหนึ่ง น่าจะเป็นคำว่า "หมั่งก๊ก" ที่แปลว่า กรุงเทพฯ เท่านั้น แหละ คุณยายพูดภาษาจีนกับเขา เป็นชุดเลย ส่วนมาก ฉันมักจะเป็นคนคุย และพูดโต้ตอบ กับคุณยาย ท่านจะเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง ฉันบอกท่านว่า ฉันก็แซ่เอี๊ยวเหมือนกัน คุณยายเล่าเรื่อง เมืองจีน เล่าเรื่องเหมาเจ๋อตุง ซึ่งฉันฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง

สิ่งที่คุณยายมักสอนฉันและลูกๆ ก็คือ ท่านจะชูมือขึ้นมาแล้วก็จะนับทีละนิ้วและบอกว่า หนึ่ง คิดดี สอง พูดดี สาม ทำดี สามอย่างนี้ให้ทำเสมอ พระพุทธเจ้าสอนว่า ทำดีจะได้ดี เวลาพวกเราลากลับ ท่านก็จะให้พรว่า "ฮุดโจ้วปอห่อ" คือ ให้คุณพระคุ้มครอง ดูคุณยายมีความสุข ที่ได้พูดคุยกับพวกเรา และเราก็มีความสุข ที่ได้พูดคุยกับท่านเช่นกัน

ความเป็นผู้รู้จักพอของคุณยาย
ช่วงตรุษจีน เป็นธรรมเนียมของคนจีน ที่เวลาจะไปเยี่ยมเยียนใคร จะต้องมีส้ม ๔ ผลไปฝากกัน เพื่อเป็น สิริมงคล ธรรมเนียมนี้ ฉันจำได้ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กๆ และปฏิบัติมาโดยตลอด ฉะนั้น ในอาทิตย์ช่วง เทศกาลตรุษจีน ที่พวกเราเข้าวัด จึงเตรียมส้ม ๔ ผล ไปฝากคุณยาย ตามธรรมเนียมจีนด้วย เราพูด ภาษาจีน ว่า "ซินเจียอยู่อี่ เซงที่เกี่ยงคัง" ซึ่งแปลว่า ปีใหม่นี้ ขอให้คิดอะไรได้ดังใจ และมีสุขภาพ ที่แข็งแรง คุณยายก็ได้ให้พร พวกเรากลับมาเช่นกัน ส่วนส้ม ๔ ผล ท่านไม่ยอมรับไว้หมด รับไว้แค่ ๒ ผล คืนเรามา ๒ ผล ซึ่งก็เป็นไปตามธรรมเนียม ที่ถือปฏิบัติกัน บ่อยครั้งที่เราเตรียมของไปฝากหลายอย่าง แต่ท่านจะรับไว้ เพียงอย่างเดียว หรือไม่รับเลย ยกเว้นน้ำลูกยอ โดยจะบอกว่า มีอาหารที่ตักไว้พอแล้ว ถ้าเอาไว้อีกก็จะเหลือ จึงคืนเรามาและสอนว่า กินก็แค่พออิ่ม ไม่ต้องกักตุน ให้เอาไปเผื่อแผ่คนอื่น แบ่งให้คนอื่นๆ ได้กินบ้าง

การป่วยของคุณยาย

เรามักถามไถ่เรื่องสุขภาพว่า คุณยายมีโรคประจำตัวอะไรบ้าง ท่านบอกไม่เป็นโรคอะไรเลย ฉันเห็นข้อนิ้วมือ นิ้วเท้าของคุณยาย หงิกงอ จึงถามว่าปวดมั้ย ที่ถามเพราะว่า ฉันเป็นโรครูมาตอยด์ ถ้าไม่ดูแลรักษา ก็จะมีสภาพนิ้วมือนิ้วเท้า ที่หงิกงอ และเจ็บปวดมาก แต่คุณยายบอกว่า ไม่เจ็บไม่ปวด แสดงว่า ท่านไม่ได้ เป็นโรค รูมาตอยด์ สภาพหงิกงอ เป็นธรรมชาติ จำได้ว่า ในวันอาทิตย์หนึ่ง ช่วงก่อน วันวิสาขบูชา ปีนี้ เราไปเยี่ยมคุณยาย ตามปกติ แต่บ้านปิด เราจึงถามคุณป้านวล ซึ่งอยู่บ้านตรงข้าม จึงทราบว่าคุณยาย เป็นลม และไปโรงพยาบาล เมื่อทราบว่าท่านอยู่ที่ โรงพยาบาล สนามจันทร์ ฉันและพี่สาวจึงไปเยี่ยม ได้พบสมณะ และ ญาติธรรมหลายคน สักพัก ท่านสมณะกลับไป ฉันและพี่สาว จึงได้พูดคุย ถามถึงการป่วย ทราบว่า คุณยายเป็นลม ล้มพับลง ขณะนั่งปอกกระเทียม ให้ส่วนกลาง จึงรีบนำส่ง โรงพยาบาล พี่สาวของฉัน ได้แต่ยืนน้ำตาไหล ฉันไม่มีอาการเศร้าโศก ส่วนหนึ่งอาจมาจาก การที่เห็น คุณยายของฉัน สิ้นลมไปต่อหน้า ทำให้ฉันเห็นสัจธรรมของชีวิตว่า ความตายเป็นเรื่องปกติ ในงานศพ ฉันก็ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย เหมือนลูกหลานคนอื่นๆ พี่อารมณ์บอกว่า จะไม่มีการต่อท่อใดๆ ให้คุณยาย เพ็กลั้ง และจะนำกลับไปพักฟื้น ที่บ้านใน ปฐมอโศก ตอนนั้น ฉันคิดว่า คราวนี้ท่านคงจะสิ้นบุญแล้ว จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า หากคุณยายยังมีบุญ ก็ขอให้มีชีวิตอยู่ต่อ และหายเป็นปกติ เพื่ออยู่สั่งสอนลูกหลาน เป็นตัวอย่าง ให้ลูกหลาน คิดดี พูดดี ทำดี แต่ถ้าหาก ถึงอายุขัยแล้ว ก็ขอให้คุณยายละโลกนี้ไป อย่างสงบ อย่าได้ทุกข์ทรมาน

ปาฏิหาริย์ของคุณยาย
ฉันคิดว่า เป็นปาฏิหาริย์ที่คุณยายสามารถกลับมาอยู่ที่บ้าน ในปฐมอโศกได้อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ท่าน กลับมา พวกเราก็แวะเวียนไปเยี่ยม ทุกวันอาทิตย์ ท่านจำพวกเราได้ มีความจำดี แต่พูดไม่มีเสียง เนื่องจากสมอง ส่วนนี้เสียไป พี่สาวของฉันและลูกสาว ก็ได้แต่น้ำตาไหล ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาร้องไห้เพราะอะไร สงสาร ดีใจที่ท่านไม่ตาย หรือคิดถึงยายของเราที่ตายไป แต่ฉันไม่เคย น้ำตาไหล เวลาเยี่ยมคุณยาย ฉันมักจับไม้จับมือท่าน พูดคุยทั้งๆ ที่คุณยายคุยอะไรมา ฉันไม่รู้เรื่องเลย แต่จากรอยยิ้ม และแรง ที่จับมือฉัน ทำให้ฉันรู้ว่า คุณยายดีใจ มีความสุข และท่าน ก็แข็งแรงดี ฉันไม่คิดว่าคุณยาย จะสามารถ เอาชนะ ความเจ็บป่วย ได้ถึงขนาดนี้ ฉันยกนิ้วแม่มือให้ และบอกว่าท่านเก่งมาก ฉันได้ประจักษ์แล้วว่า จิตที่เข้มแข็ง และมีแต่กุศล จะสามารถเอาชนะทุกอย่างได้ เสียดายที่คุณยายไม่มีเสียง จึงไม่สามารถสื่อ ให้เข้าใจกันได้ ไม่เช่นนั้น พวกเราคงได้รับรู้ หรือ ได้คำสอนอะไร ดีๆ อีกมากมาย นี่คือสิ่งที่ทำให้ ฉันไม่ท้อถอย ที่จะเอาชนะ โรครูมาตอยด์ ที่เป็นอยู่

ปาฏิหาริย์ครั้งที่สอง
หลังจากที่คุณยายกลับมาอยู่ที่ปฐมอโศก พวกเราก็แวะเวียนมาเยี่ยมทุกวันอาทิตย์ ยกเว้น อาทิตย์ ที่ไม่ได้เข้าวัด มีอยู่ ๒ ครั้งที่เราเข้าไปเยี่ยมและพบว่าคุณยายต้องเข้าโรงพยาบาลอีก เราไม่ได้ไป เยี่ยมท่านที่โรงพยาบาล ได้แต่โทรศัพท์ถามอาการจากพี่อารมณ์ ทราบว่าต้องผ่าตัด ต่อมน้ำลายที่อักเสบ และกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ในปฐมอโศกได้ ฉันคิดว่า คุณยายคงต้อง จากพวกเรา ไปแน่แล้วคราวนี้ ยังถามพี่อารมณ์ว่า ได้เตรียมเสื้อผ้า ที่จะให้คุณยายใส่ เพื่อเดินทางไปไหว้พระ ตามธรรมเนียม คนจีนหรือยัง จำได้ว่า ตอนคุณยายของฉัน ไม่สบายมากๆ ท่านสั่งลูกหลาน ให้ใส่ชุดเดินทางไป "ไป้ฮุด" ซึ่งเป็นเสื้อผ้า หลายชั้น ใส่รอไว้ เวลาใกล้จะสิ้นลม คุณยายของฉันบอกว่า ท่านจะเดินทางแล้ว ฉันยังโวยวายว่า ท่านยังดีๆ อยู่จะตายได้อย่างไร ปรากฏว่าพอเที่ยงคืนไปแล้ว คุณยายไม่ตาย และ สั่งให้ถอดเสื้อผ้า และรองเท้าออก แล้วก็อยู่ต่อมาได้อีกนาน นี่คือธรรมเนียมของคนจีน ที่ใกล้จะสิ้นลม จะต้องใส่ เสื้อผ้าชุดขาว และชุดสีสวยงาม อีกหลายชั้น รวมทั้งถุงเท้า รองเท้า ถือพัด ถือ"เตี๊ยบ" ทราบมาว่า คือหนังสือเดินทาง ตามความเชื่อของคนจีน ไว้ให้พร้อม ฉันไม่ทราบว่า กรณีคุณยายเพ็กลั้ง จะต้องเตรียม แบบนี้หรือไม่ ฉันคิดว่า เป็นธรรมเนียมของ ชาวจีนที่ลูกหลาน ต้องจัดเตรียมให้ท่าน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ จากวันนั้นมา อีกหลายเดือนแล้ว คุณยายก็ยังไม่ต้องใส่ชุดเดินทาง นี่คือปาฏิหาริย์ ที่ทำให้คุณยาย มีอาการ ดีขึ้นเป็นครั้งที่สอง

ชื่นชมคุณยาย
ญาติๆ ที่เฝ้าคุณยายเล่าว่าคุณยายเป็นคนไข้ที่น่ารักมาก ไม่งอแง ยกเว้นมีการดื้อเล็กๆ เช่น ไม่ยอมกินข้าว เป็นบางครั้ง คุณยายกินยาน้อยมาก ส่วนใหญ่ใช้อาหารเป็นยา เป็นอาหารธรรมชาติ จากบ้านปัจจัยสี่ ทุกครั้งที่ฉันไปเยี่ยม ท่านจะจำได้และยิ้มอย่างมีความสุข มีอยู่ครั้งหนึ่ง พอเดินเข้าบ้าน เห็นท่านนั่ง บนรถเข็น พวกเราตื่นเต้นและดีใจมาก เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ฉันบอกพี่อารมณ์ว่าอยากเขียน เล่าเรื่อง ของคุณยายไว้ แต่ยังไม่ได้เขียนสักที วันอาทิตย์นี้ พี่อารมณ์ ให้หนังสือ "ท่านผู้เฒ่าทวนกระแส" ซึ่งเป็นเรื่องราว ของคุณยายเพ็กลั้ง ฉันอ่านแล้ว ยิ่งประทับใจ ในตัวท่านมากขึ้น ทำให้ต้องรีบเขียน บันทึกนี้ไว้ และ หากเป็นไปได้ ก็ต้องการเผยแพร่ ให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ เช่นกัน

มีอยู่วันหนึ่ง เราเห็นกระดาษวางรองอยู่ใต้ต้นไม้หน้าบ้านและมีขี้นกกองอยู่ คุณยายบอกว่า มีนกคู่หนึ่ง มาอาศัยอยู่บนต้นไม้ ตอนกลางคืน และจะขี้ลงบนพื้น คุณยายไม่ต้องการ ให้พื้นสกปรก ขณะเดียวกัน ก็ไม่คิดจะไล่นกไป จึงแก้ปัญหา ด้วยการนำกระดาษ มารองขี้นก และนำไปทิ้ง นี่คือตัวอย่าง ความเมตตาสัตว์ ของคุณยาย ที่ฉันได้สัมผัสด้วยตนเอง ฉันคิดว่า ด้วยจิตที่เป็นกุศล เป็นผู้มีธรรมะ ในดวงใจ การละเว้นการกินเนื้อสัตว์ และไม่ฆ่าสัตว์ รวมทั้งไม่ รังแกสัตว์ ของคุณยาย เป็นเหตุปัจจัย ให้คุณยายมีอายุยืนยาว ด้วยสุขภาพ ที่แข็งแรงสมบูรณ์ มีสติสัมปชัญญะ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ การล้มป่วย อย่างกะทันหัน ของคุณยาย คงสืบเนื่องมาจาก ความเสื่อมของอวัยวะ ที่ถูกใช้งานมานาน แต่ท่านก็สามารถ ผ่านพ้นความตายมาได้ อย่างอัศจรรย์ ฉันคิดว่า ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับตัวผู้ป่วยเอง เป็นสำคัญ และอีกสิ่งหนึ่ง ก็คือญาติผู้ดูแล คุณยายโชคดี ที่มีลูกหลาน ดูแล อาใจใส่ เป็นอย่างดี ฉันคิดว่า คุณยายไม่ใช่ผู้ป่วย หรอก เพียงแต่มีสภาพร่างกาย ที่ไม่อำนวย ให้เดินเหิน และช่วยเหลือตัวเองได้ อย่างแต่ก่อน แม้ว่าท่าน จะไม่สามารถลุกขึ้นมาเดิน และทำงาน ตามปกติได้ ฉันคิดว่าท่านต้องรู้และยอมรับความจริงตามความเป็นจริง ท่านจะไม่รู้สึกทุกข์ ไปกับอาการป่วย และ แม้ว่าต้อง ละสังขารจากโลกนี้ไป ฉันคิดว่า จิตของท่าน ก็จะต้องไปสู่ที่ดี และเป็นสุข อย่างแน่นอน และถึงอย่างไร ท่านก็จะเป็น "อาม่า" ที่อยู่ในใจของพวกเราทุกคน เหมือนเดิมตลอดไป

เยี่ยมครั้งสุดท้าย
วันอาทิตย์ที่ ๒๙ ก.ย.๔๕ เราเข้าวัดและไปเยี่ยมคุณยายตามปกติ ท่านซูบลงมาก แต่ยังสามารถจับ และบีบมือ ของฉันแน่น คุณป้าหงส์เล่าว่า คุณยายไม่ยอมกินข้าว มาหลายวันแล้ว และ เมื่อหลานว่า "ไอ้ขื่อ ไป้ฮุดรอ" ท่านก็พยักหน้า นั่นคือคุณยายพร้อม ที่จะละสังขารแล้ว ฉันฟังแล้ว รู้สึกว่า เราจะไม่ได้ มาเยี่ยม คุณยายอีกแล้ว ฉันบอกท่านว่า ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร แต่ก็ไม่กล้า ที่จะบอก ให้ท่าน "ขื่อไป้ฮุด" วันจันทร์ ฉันโทรถามอาการคุณยาย จากพี่อารมณ์แต่ไม่พบ วันพฤหัส ฉันนั่งอ่านบันทึก เรื่องความตาย แค่ปลายจมูก ซึ่งเป็นบันทึกเกี่ยวกับคุณยายของฉัน ในวันที่ท่านสิ้นลม พบข้อความว่า ก่อนยายจะตาย ท่านไม่ยอมกินข้าวมา ๒ วัน พออ่านถึงตรงนี้ ฉันรีบยกโทรศัพท์ หาพี่อารมณ์ แล้วก็ทราบ จากเด็ก ที่รับสายว่า คุณยายสิ้นลมแล้ว เมื่อคืนนี้

งานศพคุณยาย
เราเข้าวัดในคืนวันพฤหัสเพื่อร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพคุณยาย งานศพที่นี่จะไม่มีการสวดเหมือนในวัดทั่วๆ ไป แต่จะมีการเทศน์ให้ผู้ร่วมงานฟัง ซึ่งดูจะได้ประโยชน์กว่าการสวดภาษาบาลีที่ฟังไม่รู้เรื่อง หลังจาก สมณะเทศน์จบ เราเข้าไปกราบศพคุณยาย พี่สาวฉันร้องไห้อีก ครั้งนี้คิดว่า เป็นการร้องไห้ เพราะอาลัย คุณยาย ส่วนฉันรู้สึกใจหายอย่างไรบอกไม่ถูก แต่ก็คิดว่า ท่านไปสบายแล้ว ตามกุศล ที่ได้สั่งสมมา ตลอดชีวิต คืนวันเสาร์ ท่านจันทร์มาเทศน์หน้าศพ ท่านมีความ ผูกพัน กับคุณยาย ครั้งสมัยที่ท่าน เดินธุดงค์ และป'กกลด ที่บ้านคุณยาย เราได้ฟังพี่อารมณ์เล่าให้ ท่านจันทร์ฟังว่า คืนวันพุธ มือเท้า ของคุณยาย เริ่มเย็น ญาติๆ จึงทำความสะอาดร่างกายและเตรียมใส่เสื้อผ้าใหม่ให้ รวมทั้งเตรียม "เตี๊ยบ" ให้คุณยายถือ พนมมือไว้ตรงหน้าอก ตั้งแต่เวลา ประมาณ ๔ ทุ่ม ญาติๆ นั่งเจโตสมถะ เพื่อส่งวิญญาณ คุณยาย จนถึงเวลา ประมาณ ๐๑.๕๕ น. ของวันพฤหัส ท่านก็สิ้นลม อย่างสงบ นี่คือการปิดฉากชีวิต ที่สง่างามอย่างยิ่ง

เวลาบ่าย ๒ โมงของวันอาทิตย์ เราทั้ง ๔ คน ได้เข้าร่วมงานฌาปณกิจศพคุณยาย มีผู้มาร่วมงานมากมาย ฟ้าครึ้มแต่ฝนไม่ตก ท่านติกขวีโรเทศน์ หน้าศพเป็นครั้งสุดท้าย ท่านกล่าวว่า คุณยายคือครูผู้ยิ่งใหญ่ ที่เข้าถึงสวรรค์ ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ คือ มีความเป็นอยู่ที่สงบ กินเจ มักน้อย สันโดษ ฉะนั้น เมื่อท่าน จากโลกนี้ไปแล้ว บุญกุศลที่ท่านสั่งสมไว้ ย่อมส่งให้ท่านไปสู่สวรรค์ ในภพชาติที่ดี อย่างแน่นอน และ เราก็สัมผัสได้จริงๆ เพียงแค่ เวลา ๓ ปีเศษ แม้เราไม่ใช่ญาติ ทางสายเลือด แต่ก็เป็นญาติธรรม ที่มีความผูกพัน กับคุณยาย ฟังท่านติกขวีโรเทศน์แล้ว รู้สึกคอแข็ง เหมือนมีก้อนอะไร มาจุกอยู่ที่คอ แต่ไม่ร้องไห้ ส่วนพี่สาวฉัน ก็คงร้องไห้เป็นครั้งสุดท้าย ให้กับคุณยาย ที่พวกเรารักนับถือ และผูกพัน ร่างของคุณยาย กลับสู่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟแล้ว แต่คุณยายเพ็กลั้ง จะคงอยู่ในความทรงจำ ของพวกเรา ตลอดไป คุณยาย "ยอมจน" ท่านผู้เฒ่าทวนกระแส แห่งปฐมอโศก

(ดอกหญ้า ฉบับที่ ๑๐๔ พฤศจิกายน - ธันวาคม ๒๕๔๕ จำนวนพิมพ์ ๒๒,๐๐๐ เล่ม)