ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน
เขียนโดย ลูเซีย บาเกดาโน่ แปลจากภาษาสเปน โดย รัศมี กฤษณมิษ
พิมพ์ครั้งที่ ๒ : ๒๕๔๒ ราคาเล่มละ ๘๐ บาท (รวมค่าส่ง) สั่งซื้อได้ที่
นางรัศมี กฤษณมิษ ๒๐๒๙/๑๗๖ ถ.เจริญกรุง ๗๗ วัดพระยาไกร บางคอแหลม ปท.วัดพระยาไกร
กรุงเทพฯ ๑๐๑๒๐ โทร. ๒๑๖-๙๑๕๐ โทรสาร ๒๑๖-๙๑๕๑
เริ่มลงในฉบับที่ ๑๐๘ (ต่อจากฉบับที่แล้ว)

ตัวโรงเรียนตั้งอยู่บนที่ราบ และฉันไม่มีวันจะลืมความรู้สึกแรกที่ได้สัมผัสเมื่อย่างเท้าเข้าไปในห้องเรียน ตรงกลางห้อง มีหนูสวยงามสองตัวกำลังแทะอะไรบางอย่างอยู่อย่างขะมักเขม้น

"มันกินอย่างนี้แหละ ! มันกินอยู่อย่างนี้ แล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น" เปโย่ อุทานอย่างรันทดใจ

"เมียผมวางน้ำตาลผสมยาเบื่อให้มันกิน แต่ท่าทางมันจะชอบเพราะไม่เห็นตายสักตัวเลย"

ฉันหลับตาลงและกำหมัดแน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ ไม่คิดแม้แต่จะถามว่าที่โรงเรียนมีหนูมากขนาดไหน

ในนาทีนั้นเองที่ฉันตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นั่นเพียงเทอมเดียว แล้วขอลาหยุดโดยไม่รับเงินเดือน รอไปจนกว่า จะหาโรงเรียนใหม่ที่ดีกว่านี้ได้ ฉันชักไม่มั่นใจว่าจะอดทนอยู่ได้ครบเก้าเดือนหรือเปล่า สงสัยว่าจะเกิน ความสามารถ ของฉันเป็นแน่แท้

ฉันกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องอย่างรวดเร็ว แล้วฉันก็รู้สึกอ้างว้างเหลือเกิน ผนังห้องเป็นสีน้ำเงินซีด หลอดไฟ ก็เล็กเกินไป ดูราวกับถูกจองจำอยู่ในโคมไฟแก้วทรงกลมสีน้ำเงินซีดๆ เช่นเดียวกับผนังห้อง ทำให้บรรยากาศ สลดหดหู่ และซึมเศร้ายิ่งนัก

เพดานห้องก็เต็มไปด้วยรอยกระดำกระด่างแห่งบทกวีหยดน้ำที่ซึมผ่านลงมา ฉันเริ่มจินตนาการ ถึงโรงเรียน ที่มีเด็กๆ สีน้ำเงินและความเพลิดเพลินจากเสียงติ๋งๆ ของหยาดฝนที่ตกลงสู่พื้นห้อง

ฉันน่าจะกรีดร้องให้สมอยาก !

นี่ฉันต้องทนทำข้อสอบยากๆ ถึงสี่ร้อยหกสิบห้าข้อเพียงเพื่อทางการจะส่งฉันมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้หรือ !

โต๊ะครูตั้งอยู่บนพื้นไม้กระดานซึ่งเหยียบทีไรก็จะส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทีนั้น แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดูดีที่สุดในห้องเรียน แม้ว่าจะลงขี้ผึ้งจนหนาเตอะก็ตาม บนโต๊ะมีขวดหมึกแก้วทรงเหลี่ยมใบโต และปากกาขนนกเสียบอยู่ สองด้าม อุปกรณ์ซึ่งฉันเคยเห็นเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเท่านั้น แต่ก็จำแทบไม่ได้แล้วว่ามันมีรูปทรงอย่างไร ดูสิ มันยังมีให้เห็น อยู่อีกที่เบอิเรเชอานี่ ! มุมหนึ่งของโต๊ะตั้งลูกโลกจำลองใบใหญ่ ที่มีรอยนิ้วของเด็กๆ และรอยหมึก เลอะเปรอะไปหมด

ฉันหลุบตาลง ซ่อนไม่ให้ใครสังเกตเห็นน้ำตาที่กลบตาอยู่

"เอาละครับ ครูก็ได้เห็นโรงเรียนแล้ว" เปโย่พูดอย่างร่าเริง ขณะยกเก้าอี้ที่ขาข้างหนึ่ง มีเชือกมัดไว้ และล้มอยู่ กับพื้นขึ้นมาตั้ง

"ค่ะ ดิฉันเห็นแล้ว" ฉันตอบพร้อมกับรีบจ้ำอ้าวออกจากสถานที่อันไม่น่าอภิรมย์นั้นอย่างรวดเร็ว

แล้วฉันก็ต้องมาเดินตามหลังผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง เขาเดินเร็วมาก ยังดีที่เราไปถึงที่หมายในไม่กี่อึดใจ ถ้าไม่ใช่เพราะสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ ฉันคงจะชื่นชมบ้านหลังนั้นมากกว่านี้เป็นแน่ บ้านที่ฉันจะอาศัยอยู่ นับแต่นาทีนี้เป็นต้นไปเป็นบ้านหลังใหญ่ ดูอบอุ่น น่าสบาย ตรงมุมด้านนอกของบ้านและหน้าต่าง ตกแต่ง ด้วยหินสีเทา ข้างบนมีระเบียงไม้หนาแผ่นใหญ่ ประดับประดาด้วยกระถางไม้ดอกงามสะพรั่ง เถาองุ่น พันธุ์ดีและใบสีเขียวขจีเลื้อย เลาะเกาะพันไปทั่วผนังบ้าน ฉันรู้สึกชอบบ้านหลังนี้

"ครูมาถึงบ้านแล้วนะ !" เปโย่ตะโกนบอกขณะเดินเข้าบ้าน

ในเวลาเดียวกัน ประตูครัวก็เปิดออก ฉันเห็นหญิงชราคนหนึ่งยืนอยู่ที่ธรณีประตู เธอมีผมสีขาวโพลนดุจหิมะ เธออ้าแขน ออกเป็นสัญญาณแห่งการต้อนรับอันอบอุ่น

ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงการไปเยือนบ้านหลังนั้น ฉันมักจะเห็นภาพของเธอตรงทางเข้าบ้านซึ่งมีแสงสลัวๆ ทำให้ ผมสีขาวโพลน ของเธอดูเด่นราวกับขนมเมเร็งเก้ยักษ์๔ ผู้หญิงอีกคนที่อยู่ด้านหลังหญิงชรา คือภรรยา ของเปโย่ อุ้มเด็กคนหนึ่งอยู่ เด็กน้อยรีบก้มหน้างุดซบไหล่แม่ทันทีที่ฉันพยายามจะลูบไล้แก

เราเข้าไปในห้องครัวขนาดใหญ่ที่มีควันไฟและแมลงวันเต็มไปหมด ฉันอยากจะให้เขาพาไปยังห้องของฉัน เหลือเกิน แต่ไม่กล้าบอก

พวกเขาให้ฉันดื่มช็อกโกแลต โดยไม่ถามฉันเลยว่าอยากจะดื่มหรือไม่ ฉันไม่กล้าปฏิเสธ แม้ในขณะนี้ เมื่อนึกถึง มันก็ยังรู้สึกคลื่นเหียน วิงเวียนอยู่เลย

เมื่อไม่อาจเอาชนะความโศกเศร้าได้ ฉันก็เลยกินทุกอย่างที่พวกเขาเอามาให้ ฉันรู้สึกไม่สบอารมณ์เอามากๆ จนไม่ได้ยิ้ม ให้แม้กับเด็กผู้หญิงที่น่ารักและดูท่าทางเป็นมิตรคนนั้น แกเป็นลูกสาวคนโตของบ้าน ที่ฉันอาศัยอยู่ แก้มแดงและมีผมสีทอง แกเป็นคนพาฉันไปที่ห้องนอน และพยายามแสดงความปรารถนาดี ที่พ่อของแกไม่เคยแสดงเลยด้วยการ ช่วยฉันยกกระเป๋า แต่เนื่องจากมันหนัก เกินกำลัง แม่ของแกจึงเป็นคน ยกแทน เด็กน้อยเลยต้องพอใจเพียงแค่ได้ช่วยหิ้วกระเป๋าสะพายของฉัน

ฉันมองรอบๆ ห้องนอนด้วยสายตาพึงพอใจ เฟอร์นิเจอร์แม้จะใหญ่โตเทอะทะ แต่ก็ให้ความรู้สึกที่ดี

เตียงเหล็กทรงสูงมีผ้าคลุมที่ถักด้วยโครเชต์อย่างงดงาม กระจกในห้องน้ำนั้นฝ้าเลือนจนมองแทบไม่เห็น ยังดีที่ตอนนั้นฉันไม่อยู่ในอารมณ์อยากสวยอยากงาม เห็นได้ชัดว่าห้องเพิ่งทาสีมาหมาดๆ เพราะยังมีกลิ่นสี และยาฆ่าแมลงอยู่เลย เฉพาะยาฆ่าแมลงนี่เขาคงโรยกันเป็นกำมือกระมัง ถึงได้ไม่มีแมลงวันเหลือให้เห็น แม้แต่ตัวเดียว

ฉันวางกระเป๋าลงบนเตียงแล้วเปิดมันออก หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาแขวนไว้ในตู้อย่างหมดอาลัย

ไม่รู้ฉันจะเอาข้าวของเสื้อผ้าออกมาทำไมให้เหนื่อย ถ้าอยู่ได้ถึงเทศกาลคริสต์มาส ฉันคิดว่าตัวเองคงเป็น วีรสตรีแน่ๆ

ฉันออกไปที่ระเบียงซึ่งมีกระถางไม้ดอกงดงาม ทำให้ฉันคิดว่าห้องนี้คงจะเป็นห้องที่ดีที่สุดของบ้าน การที่พวกเขา ให้ฉันอยู่ห้องที่ดีที่สุดทำให้ฉันละอายใจ และเริ่มมีความรู้สึกที่ดีต่อครอบครัวนี้

มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งวิ่งใกล้เข้ามาและจอดที่หน้าบ้าน ชายคนหนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีทึมๆ สวมหมวกนิรภัย ก้าวลงมาและเดินเข้าบ้านไป

เมื่อกลับเข้าห้อง ฉันก็ได้ยินเสียงพูดอยู่ข้างล่างซึ่งตรงกับห้องฉันพอดี เนื่องจากพื้นห้องเป็นไม้ และหลังคา ก็ไม่มีฝ้าเพดาน ฉันจึงได้ยินเขาคุยกับเจ้าของบ้านอย่างชัดเจน

"ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณอิซาเบล" ชายที่ขี่มอเตอร์ไซค์พูด "ผมจัดการทุกอย่างได้ เรื่องสำคัญที่สุด คือเสื้อผ้า กับอาหาร คุณยังทำให้ผมต่อไปได้เหมือนเดิมนั่นแหละ"

"ผมเสียใจครับที่คุณพ่อต้องไปจากที่นี่" เปโย่พูด "ไม่รู้สิ มันเหมือนกับว่าพวกเราไล่คุณพ่อไป"

"ไม่เอาน่า เพื่อเห็นแก่พระเจ้า อย่าพูดอย่างนั้นเลย ผมไม่ได้ไปไหนสักหน่อย ก็แค่ไปนอนที่บ้านเท่านั้นเอง เราอย่าพูดถึงมันมากความดีกว่า เรื่องสำคัญที่สุดคือ ตอนนี้เรามีครูแล้วไม่ใช่หรือ"

"ใช่ครับ แต่คิดดูสิว่า พวกเรามีกันเท่าไหร่ในหมู่บ้าน แล้วไม่มีใครอยากจะรับครูไว้ที่บ้านเลยสักคน"

"ช่างมันเถอะ ! แต่ละคนต่างก็มีปัญหาของตัวเองทั้งนั้น และมันก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร เราแก้ปัญหา ได้แล้วนี่ เออ...แล้วครูเป็นไงบ้างล่ะ พวกคุณประทับใจไหม"

ฉันมองห้องนอนอันแสนอ้างว้าง เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่า ไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นใคร เขาก็เคยอยู่ห้องนี้ มาก่อน และไม่มีบ้านไหนเลยที่ต้องการจะรับฉันไปอยู่ด้วย ชายคนนั้นต้องออกจากที่นี่ไปเพื่อให้ฉันได้มีที่อยู่

ฉันได้รับการต้อนรับที่น่าเวทนาที่สุด ! ฉันถอนหายใจและรู้สึกสมเพชตัวเองยิ่งนัก แล้วเวลานี้ พวกเขาจะพูด อะไร ถึงฉันบ้างก็ไม่รู้

"ยังเด็กอยู่มากค่ะ ครูสาวของเรา" ภรรยาเปโย่พูด "แต่ดูท่าจะเป็นคนดีค่ะ"

"จริงครับ เธอยังเด็กมาก ท่าทางอรชรอ้อนแอ้น นี่ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าเธอจะจัดการกับโรงเรียนได้อย่างไร"

โรงเรียนบ้าๆ ! ฉันอุทานเสียงดังอย่างเหลืออด เราอยู่ในช่วงปลายเดือนกันยายน ฉันคงต้องทนทุกข์ไปอีก สามเดือน ทำไมหนอ ฉันจึงคิดอยากจะเรียนครูในขณะที่อาชีพช่างทำเล็บยังมีรายได้ดีกว่านี้เยอะ ทั้งยังไม่ต้อง มาทำงานในสถานที่อย่างนี้ด้วย

เสียงเคาะประตูเบาๆ ปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์

แม่หนูผมทองถักเปียนั่นเอง แกพูดกับฉันยิ้มๆ ว่า ให้ลงไปทานอาหารเย็นได้แล้ว

ลำพังแค่คิดว่าจะต้องลงไปทานอาหารเย็นร่วมกับคนเหล่านั้น ฉันก็รู้สึก ไม่ค่อยสบายเสียแล้ว แต่ฉันก็ไม่ได้ ปฏิเสธ ฉันจะต้องแสดงให้พวกเขารู้ตั้งแต่บัดนี้ว่าฉันไม่ใช่เด็กอีกต่อไป หากแต่เป็นผู้ มีความสามารถ เป็นครูที่เก่ง สอบได้คะแนนยอดเยี่ยมหลายวิชา อีกทั้งยังตอบแบบสอบถามที่ยากที่สุดได้ถูกต้องอีกด้วย ยิ่งกว่านั้น ยังสามารถจะบริหารโรงเรียนที่มีเด็กถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบคนได้สบายๆ แน่นอน ฉันทำได้จริงๆ

ฉันเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว ใส่เสื้อและกระโปรงดำ เกล้ามวยเรียบๆ ออกมาจนถึงบันไดแล้ว ก็ต้องวิ่งกลับไป ที่ห้องอีก

ครั้งเพื่อสวมรองเท้าส้นสูง

ฉันมองตัวเองในกระจกแล้วอยากหัวเราะออกมาดังๆ ฉันดูประหลาดอย่างไรชอบกล เหมือนเด็กเอาชุดแม่ มาใส่มากกว่าจะดูเหมือนครูธรรมดาๆ อย่างที่ควร แต่กระจกบานนั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะตัวมันเอง ก็เลอะเทอะพร่าเลือน

พวกเขาคอยฉันอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว ฉันนึกละอายใจ ชายคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์แนะนำตัวเองว่า เขาคือ บาทหลวง ประจำหมู่บ้าน หลังจากจับมือทำความรู้จักกันแล้ว ก็เริ่มระดมตั้งคำถามฉันเป็นชุดๆ

ดูท่าทางท่านไม่ได้แค้นเคืองแม้แต่น้อย ที่ต้องสละห้องเดิมให้ฉันอยู่ ถึงกระนั้นฉันก็ยังไม่ค่อยจะถูกชะตา กับท่านหรอก

ก็แล้วทำไมคุณพ่อถึงต้องหัวเราะเยาะฉัน

เริ่มตั้งแต่ชื่อของฉันเป็นลำดับแรก ท่านว่าฉันไปเอามาจากไหน เกิดมาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย

"แน่ล่ะค่ะ มันต้องมีอะไรอีกมากที่คุณพ่อไม่เคยได้ยินมาก่อน"

ฉันตอบเสียงเข้ม ฉันคงจะติดวิธีพูดแบบชาวบ้านเข้าแล้วโดยมิต้องสงสัย

และเมื่อพวกเขาเอาเนยแข็งออกมา ก็เป็นตอนที่ฉันไม่สบอารมณ์เอามากๆ แล้ว

"มาดูซิว่า ครูจะมีอะไรเล่าให้พวกเราฟังบ้าง" คุณพ่อยังคงเยาะเย้ย และมองดูฉันด้วยใบหน้าที่คล้ายตัวตุ่น ในขณะที่คิดว่ามันเป็นเรื่องตลก

"พ่อชอบคุยกับสาวๆ ที่มาจากในเมือง อยากรู้ว่าพวกเธอคิดกันยังไง"

แต่เด็กสาวในเมืองไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะทำอะไรโง่ๆ เพื่อให้ท่านพึงพอใจ ทว่าฉันพยายามที่จะไม่ให้ท่านรู้ว่า ฉันรำคาญและไม่พอใจ ก็อย่างที่แม่พร่ำบอกว่า บาทหลวงน่ะคือผู้รับใช้ของพระเจ้า

คืนนั้นฉันเข้านอนด้วยความรู้สึกสับสนงุนงง ครอบครัวที่ต้องอาศัยอยู่ด้วยนับแต่นี้ ช่างแตกต่างจาก ครอบครัวของฉันเสียเหลือเกิน เราไม่มีอะไรเหมือนกันเลย

ฉันเอนตัวพิงศีรษะกับกระจกที่ระเบียง รู้สึกตะครั่นตะครอคล้ายจะเป็นไข้ พยายามมองฝ่าความมืดออกไป

ไม่มีอะไรเลย...ฉันไม่เห็นอะไรเลย มีแต่ดวงไฟดวงหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไปและดูราวกับกำลังล้อฉันอยู่ และมีเสียงสุนัขเห่าแว่วมา

พระเจ้าช่วย ! ฉันถอนหายใจ เป็นไปได้หรือที่ใครสักคนจะอยู่ที่นี่ ไปตลอดชีวิต ท่ามกลางความมืด และ ความเงียบเช่นนี้

มันเป็นสภาพที่มนุษย์ธรรมดาสุดจะทนอยู่ได้ !

ฉันซบหน้าลงกับหมอน รู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยวเหลือเกิน

ประตูห้องค่อยๆ เปิดออกอย่างแผ่วเบา ใครคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้เตียงของฉัน

"ย่าเอาน้ำมาให้ เผื่อหนูอยากจะล้างมือล้างหน้า"

ท่ามกลางความมืดที่แทบจะมองไม่เห็นแม้เงา ผมสีขาวโพลนของคุณย่ามิกาเอล่ากลับทำให้ฉันนึกถึง ดวงจันทร์ อันแจ่มจรัสในยามราตรี

"แล้วหนูจะรู้ว่าอยู่กับพวกเรานี่ดีนะ" หญิงชราพูดกับฉันอย่างอ่อนโยน

นับเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินวาจาอันอ่อนหวานตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาที่นี่

ฉันรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจ ฉันนั่งอยู่บนเตียง ยื่นแขนออกไปโอบรอบคอคุณย่ามิกาเอล่า แก้มฉันแนบซบ อยู่กับไหล่ที่งุ้มงอของท่าน ในนาทีนั้นฉันก็รู้สึกดีและสบายใจขึ้นมาก

"ค่ะ หนูก็ว่าอย่างนั้น ราตรีสวัสดิ์ค่ะคุณย่า"(อ่านต่อฉบับหน้า)* ๔ เมเร็งเก้ คือ ขนมชนิดหนึ่ง ทำด้วยไข่ขาว ปั่นกับน้ำตาลจึงมีสีขาวโพลน


-ดอกหญ้าอันดับที่ ๑๐๙ กันยา-ตุลา ๒๕๔๖-