ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


ฉันอยู่เบอิเรเชอามาเดือนครึ่งแล้ว จำได้ว่าคิดจะอยู่เพียงเดือนเดียวแล้วเผ่นกลับบ้าน แต่ไม่รู้เพราะ เหตุใด ฉันจึงลืมความตั้งใจเดิม หรือบางทีอาจเป็นเพราะเวลาผ่านไปรวดเร็ว ราวติดปีกบิน

"เอาเถอะ ไหนๆ ก็ไหนๆ ฉันจะอยู่จนถึงคริสต์มาส" ฉันบอกตัวเองอย่างปลงตก

แล้ววันคืนก็ล่วงผ่าน ฉันไม่รู้สึกโศกเศร้าหรืออารมณ์เสียแม้แต่น้อย บางสิ่งบางอย่างในตัวฉัน ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น อันที่จริงฉันเองแหละที่เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยๆ

มีอยู่วันหนึ่ง ฉันรู้สึกว่าตัวเองสวยและสดใสเป็นพิเศษ (แม้ว่ามันออกจะไม่เหมาะที่เราจะชม ตัวเอง) แต่ที่เบอิเรเชอา นี้ไม่เคยมีใครพูดจาเกี้ยวพาราสีฉันเลย

ก็อย่างที่ฉันบอก ความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่สุดนั้นอยู่ภายในจิตวิญญาณของฉันเอง ฉันเริ่มคิดถึง พระเจ้าอย่างจริงจัง พระองค์ทรงรักฉันและมีพระประสงค์จะให้ฉันรู้จักรัก ฉันพยายามอดทน และอ่อนโยน กับเด็กๆ มันเป็นเรื่องน่าเศร้า ที่พวกแกไม่สนใจเรียนเลย แม้แต่น้อย ไม่เห็นความจำเป็น และความมหัศจรรย์ของการได้เรียนรู้ เด็กๆ คิดเพียงว่าโรงเรียน คือสถานที่ที่จะต้องไปขณะยังเล็ก และจะเลิกไปได้ก็ต่อเมื่อเขาเป็นประโยชน์กับทางบ้าน บางคนถึงขนาดคิดว่า โรงเรียนเป็นที่ ที่เด็ก ต้องไปเพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่สร้างความรำคาญ ให้ทางบ้าน และแม่ก็จะทำงานได้สะดวกขึ้น

เด็กๆ ที่น่าสงสารเหล่านี้จะคิดอะไรกันได้ ในเมื่อบรรดาพ่อและปู่ส่วนใหญ่ แทบจะอ่านหนังสือ ไม่ออก ทว่าพวกเขากลับมีความภาคภูมิใจที่จะบอกว่า แม้ไม่ได้เรียนเรื่องบวกลบคูณหารมาเลย แต่ก็ไม่เคย มีใครหลอกพวกเขาได้นี่เราไม่พูดรวมถึงพวกที่โตหน่อย และช่วยงานในเรือกสวน ไร่นาได้ การบ้าน ที่ต้อง ทำต่อที่บ้านมักจะถูกทิ้งไว้ทำเป็นอันดับสุดท้าย ราวกับเป็นส่วนเกิน หรือเป็นการพักผ่อน สิ่งแรกที่ต้องให้ความสำคัญคือการเก็บพืชผลในท้องทุ่ง ต้อนฝูงแกะ เข้าคอก ขี่จักรยานไปส่งนม และ เนยแข็งให้โรงแรมที่อยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง หรือบางทีก็ช่วยพ่อ ลุง หรือปู่หว่านเมล็ดพันธุ์ เมื่อปฏิบัติภารกิจ ทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็เหนื่อยจนไม่มีแรง จะหยิบ หนังสือ ขึ้นมาอ่าน และอยากไปนอนมากกว่า จะอยากรู้จัก ชื่อแหลมต่างๆ ในประเทศสเปน เขาคงจะคิดถึงงาน ของเช้าตรู่ วันต่อไปว่า จะต้อง ต้อนแกะ ไปกินหญ้า และเก็บไข่ไก่ก่อนไป โรงเรียนมากกว่าเรื่องกษัตริย์เฟร๎นันโด เอล กาตอลิโก้ ซึ่งอภิเษกสมรสกับพระราชินี นามว่า อิซาเบล และรบชนะพวกแขกมัวร์ เด็กๆ ไม่สนใจ บุคคลทั้งคู่นี้ แต่อย่างใด เพราะพระองค์ สวรรคตไป หลายร้อยปีแล้ว และคงไม่มาซื้อแอปเปิ้ล ซึ่งเหลือ มากมาย ในปีนี้ที่บ้านของ พวกเขา อีกทั้งยังไม่มาแลกไข่กับเนยอย่างที่พวกแม่บ้านต้องการ

ฉันจะทำอย่างไรให้ ฆัวนิต้า โฆราฆูเรีย เข้าใจว่า แม้เธอจะต้องอยู่ที่หมู่บ้าน นี้ไปตลอดชีวิต การรู้หนังสือ ก็ยังจำเป็นอย่างยิ่งอยู่ดี เพราะไม่ว่าเธอจะทำอะไร หากเธอรู้หนังสือ เธอก็จะทำได้ ดีกว่าเสมอ

"หนูไม่เห็นว่าจำเป็นต้องเรียนเรื่อง ภาคประธานกับภาคแสดงเพื่อจะไปรีดนมวัว" เธอตอบฉัน อย่างหน้าตาเฉย

"ดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดีค่ะคุณพ่อ" ฉันบอกกับบาทหลวงเมื่อพบท่านนั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวน ตอนที่ฉันไปช่วยโตมัสเก็บมะเขือเทศ "ดิฉันว่าจะต้องมีอะไรสักอย่างที่จะปลุกพวกเขาให้ตื่นขึ้น เด็กพวกนี้ส่วนมากเป็นเด็กฉลาด จะเห็นได้ชัดจากเวลาที่พวกแกเล่นซุกซนกัน เพียงแต่พวกแก ไม่มีความปรารถนาหรือความใฝ่ฝันที่จะเรียนรู้ พูดได้ว่า

ไม่สนใจเอาเลย ! และที่ทำให้ดิฉันเศร้าใจยิ่งนักก็คือ เด็กโตๆ ที่นี่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ชีวิต ในอนาคต ของพวกแกมีอยู่ทิศทางเดียวเท่านั้นคือทำไร่ทำนา แล้วการไถคราดหรือเก็บเกี่ยวนี่ ก็ไม่เห็นจำเป็น ต้องรู้ไวยากรณ์สักหน่อย บางวันดิฉันออกจากโรงเรียนอย่างสิ้นหวัง พลางคิดว่า ที่พวกแกพูดมานั้น ไม่มีเหตุผลหรอกหรือ"

ฉันคิดว่าบาทหลวงไม่ได้ฟังฉัน เพราะแทนที่ท่านจะให้กำลังใจหรือตักเตือนอย่างคราวก่อนๆ ท่านกลับมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า

"ดูซิ มูริเอล ช่างสงบเงียบอะไรเช่นนี้ เธอไม่รู้สึกว่ามันเป็นที่ที่เหมาะกับการอ่านหนังสือ หรือ สวดมนต์ หรอกหรือ"

"ค่ะ" ฉันตอบงงๆ

"ต่อหน้าสิ่งสวยงามเช่นนี้สิ ที่เราเรียกพระเจ้าอย่างชื่นชมโสมนัสว่า 'พระผู้สร้างผืนดิน ขุนเขา และทะเล' เธอว่าไหม"

ฉันเห็นด้วยและมองไปเบื้องหน้าเช่นเดียวกับคุณพ่อ เห็นทัศนียภาพอันงดงาม ซึ่งเป็นผลงาน ชิ้นที่สาม (ผลงานชิ้นที่ ๑ คือแสงสว่าง ๒ คือท้องฟ้า ๓ คือแผ่นดินและพืชพันธุ์) ของพระผู้ เป็นเจ้าปรากฏอยู่ มีต้นสนและต้นไม้หลากชนิดนานาพันธุ์ปกคลุม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยามตะวัน ยอแสง อาบไล้ไปทั่ว ทุกหนทุกแห่ง ท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าสดใส ในตอน กลางวัน ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีหม่นลง และแต่งแต้ม ตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย ด้วยหมู่เมฆ สีแดงอมส้ม ดูงามวิจิตรดุจระลอกคลื่นในทะเลเพลิง ทิวไม้สูงลิ่ว ที่อยู่ริมแม่น้ำ ต่างก็ส่งลำนำ อันไพเราะ ประหนึ่งดนตรี ประสานไปกับเสียงน้ำในลำธาร ที่ซัดสาด หมู่วัชพืช และโขดหิน น้อยใหญ่ริมตลิ่ง

คุณพ่อไม่ได้ชี้ให้ฉันดูทัศนียภาพที่สวยงามนั้นหรอก ทว่ากลับชี้ไปยังท้องทุ่งทางขวามือ ฉันมองเห็น ผืนดินที่ปราศจากต้นไม้ ดอกไม้ หรือแม้แต่วัชพืช ราวกับเพิ่งจะประสบกับ แผ่นดินไหวมา

"เธอเห็นท้องทุ่งนั้นไหม มูริเอล ไม่สวยอย่างที่อื่น ไม่มีใครคิดจะไปเดินเล่นที่นั่น พ่อเอง ก็คงไม่คิด จะไปนั่งเล่นหรือนอนอ่านหนังสือ พ่อว่ามันทำให้ทัศนียภาพเลวลงด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้น ชาวบ้านก็ได้ เตรียมผืนดินนั้นไว้เพื่อการหว่าน ที่ที่ว่างเปล่าและแห้งแล้งนี้ รอคอย มือที่อบอวลไปด้วยความรัก มาสัมผัส และหว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปในรอยไถ และหลังจากนั้น ก็ให้รู้จักรอคอย"

ความเปรียบของคุณพ่อช่างจับใจนัก ! และฉันคงมีสีหน้าที่สดชื่นขึ้น เพราะคุณพ่อเอง ก็ยิ้มเช่นกัน

"เธอก็ต้องทำเช่นเดียวกัน เตรียมดิน ใส่ปุ๋ย และหว่านเมล็ดพันธุ์ จากนั้นก็รอคอย ถ้าผืนดิน พร้อม และได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เมล็ดพันธุ์ทุกเมล็ดก็จะงอกงามและให้ผล แต่เธออย่าลืม นะว่า การหว่านเขาทำกันตอนต้นฤดูหนาวและไปเก็บเกี่ยวเอาปลายฤดูร้อน"

ฉันจึงตัดสินใจรอคอย คิดทบทวนในใจว่า ฉันต้องพยายามรู้จักนักเรียนของฉัน เพื่อจะได้รู้ว่า ต้องหว่านอะไรลงไปในสมองน้อยๆ ที่ไม่รู้ว่าฉันห่วงใยพวกแกเพียงใด เด็กเหล่านั้นท่องสูตรคูณ ไปพร้อมๆ กับเล็งที่จะขว้างก้อนกระดาษ ให้ถูกหูซ้ายของเพื่อน ซึ่งนั่งอยู่สองแถวหน้า

และในวันเดียวกันนั้นเอง ฉันก็หัดขี่จักรยานจนเป็น

ฉันชอบไปขี่จักรยานเล่นไกลๆ เรื่องนี้ต้อง ขอบคุณโตมัสผู้บังคับให้ฉันหัดเมื่อรู้ว่าฉันขี่จักรยาน ไม่เป็น เขาหัวเราะอย่างสนุกสนานโดยเฉพาะตอนแรกๆ ที่ฉันยังกลัวอยู่ ขนาดที่ตะโกนร้องไป แต่ก็ไม่หยุด ถีบว่า "โตมัส โตมัส อย่าปล่อยอานนะ เดี๋ยวดิฉันก็หกล้มหัวแตกหรอก"

เขาคิดว่าครูจะต้องรู้ทุกอย่าง (แน่นอน ยกเว้นเรื่องขี่จักรยานเป็น) หากว่าฉันเป็นวิศวกรโยธา เขาคง ไม่ชื่นชมฉันขนาดนี้ เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้เขารู้ว่า การเรียนครูนี่เป็นวิชาชีพหนึ่ง ที่ง่ายที่สุดแล้ว และ ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็เรียนได้

"ก็อาจจะใช่...แต่....." โตมัสพูดเพียงเท่านี้

มาว่ากันเรื่องจักรยานต่อ ฉันสนุกกับมันมาก ถึงกับเขียนจดหมายที่แสนอ่อนหวาน ไปอ้อน ที่บ้านว่า เนื่องจากฉันต้องไปบ้านผู้ปกครองของนักเรียนหลายคนที่อยู่ไกลออกไปจากหมู่บ้าน ฉันจึง น่าจะมี จักรยานสักคัน

แน่นอน ฉันอธิบายเพิ่มเติมว่าในทุกหนทุกแห่งต้องมีการเสียสละกันบ้าง ดังนั้นทางบ้านไม่ต้อง สงสารฉันหรอก ฉันเพียงแต่เล่าให้ฟังเฉยๆ เท่านั้น เพราะฉันต้องเล่าถึงความเศร้าของ ครูน้อย ที่น่าสงสาร และแสนขยันหมั่นเพียรอย่างฉัน ให้ใครสักคนฟัง

ฉันลงชื่อและวาดรูปที่น่าขบขันของมูริเอลจอมเซ่อซ่า กำลังหอบฮั่กๆ หลังจากขี่จักรยานมาได้ เจ็ดสิบแปดสิบกิโล ตามหลักป้ายที่แสดงให้เห็น ข้างล่างมีภาพรองเท้าสเก็ตและเครื่องหมาย กากบาท คร่อมอยู่พร้อมกับเครื่องหมายคำถาม

ฉันว่าแค่นี้ก็คงเพียงพอที่จะทำให้เอเลน่าใจอ่อน เพราะเธอมีจักรยานใหม่เอี่ยม สีดำและเบา ราวกับ ขนนก อยู่คันหนึ่ง ซึ่งเธอไม่เคยขี่มันเลย

ฉันปิดซองจดหมายแล้วเอาไปให้ลูกชายผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นเจ้าของรถจักรยานที่ฉันหัดขี่ นี่แหละ ส่งให้ที่ไปรษณีย์

จากนั้นฉันก็ลงมือตรวจการบ้าน เตรียมการสอนของวันรุ่งขึ้นโดยไม่รู้สึก ตะขิดตะขวงใจ แต่อย่างใด

และยังไม่รู้สึกจนกระทั่งได้รับจักรยาน ที่น้องสาวฉันส่งมากับรถโดยสารเพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น พร้อมกับ ชุดนอนผ้าสักหลาดเนื้อบาง สบู่กล่องหนึ่ง และหนังสือเล่มหนึ่ง

ตอนนี้แมลงวันเริ่มน้อยลงแล้ว ตัวฉันเองก็คุ้นเคยและมีความสุขกับการอยู่ที่โรงเรียนมากขึ้น เด็กๆ รักฉัน และฉันรู้สึกว่าพวกผู้ใหญ่ก็เริ่มยอมรับฉันมากขึ้น แม้เขาจะวิพากษ์วิจารณ์ว่า ฉันสวมกางเกง และไปมิสซา โดยไม่ได้ใส่ถุงน่อง อีกทั้งพ่อของเด็กๆ สกุล อิปาร๎รากิร๎เร่ ก็ตำหนิ ฉันที่ไปตัดต้นเฮเซลนัท ของเขาเข้า

ฉันเพียงแต่อยากทำคันธนูให้เด็กๆ เท่านั้นเอง ก็ฉันจะไปรู้ได้อย่างไรว่าไอ้กิ่งยาวๆ โค้งได้และ งอก ออกมา ตรงทางเดินพอดีจะเป็นต้นเฮเซลนัทเล่า ช่างเป็นความโง่เขลาที่น่า อับอายของฉัน เสียจริง

อานา มาริ กับฉันกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน และเธอได้แนะนำเพื่อนใหม่ให้ฉันรู้จักอีกหลายคน บางครั้ง ในวันอาทิตย์ เราก็เอาอาหารเที่ยงไปกินกันบนเขา (ในจดหมายที่ฉันเขียนถึงน้องชาย ฉันคุยอวดว่า ฉันหัดไต่เขาเวลาว่างด้วย)

ฉันคิดว่าการได้คบหาสมาคมกับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ทำให้ฉันมีชีวิตชีวาขึ้น ต่อให้เราเป็นคน โรแมนติก หรือรักธรรมชาติสักเพียงใด หญิงสาวอายุยี่สิบเอ็ดปี ก็ไม่เหมาะที่จะเก็บตัว อยู่ตาม ลำพัง มิตรภาพ การได้ไปเที่ยว หรือการสนทนารอบกองไฟ โดยมีชายหนุ่มคอยปิ้งซี่โครงหมู หรือไส้กรอกให้ นับว่า เป็นสิ่งที่วิเศษมากสำหรับฉัน

หมอคนหนึ่งเพิ่งมาใหม่ เขาเป็นชายหนุ่มที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ซาราโกซ่า และ มาอยู่หมู่บ้าน ได้ไม่นาน เขาเป็นคนน่ารักและร่าเริง เขามักจะทำให้เราได้หัวเราะกัน เพราะเขาชอบกิน เนื้อย่างโดยแกล้งทำท่านั่งคุกเข่ากับพื้นและเห่าอย่างสุนัข

เราสนิทกันมาก บางครั้งก็ไปขี่จักรยานเล่นตามลำพังและบางครั้งก็ไปกินอาหารว่างแถวใกล้หมู่บ้าน

แต่คนที่ฉันสนิทด้วยมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยคือ อานา มาริ และ เฟร๎มิน โกญิ เราชอบอะไร คล้ายๆ กัน เช่น บ่ายวันอาทิตย์หนึ่งที่ฝนตก ฉันอยู่บ้านของพวกเขาตลอดบ่าย อานา มาริ เคยอยู่โรงเรียน ประจำ ของคณะนักบวชโดมินิกัน และเคยหัดเรียนเปียโนจนเล่นได้ดีจากที่นั่น พี่ชายเล่นกีตาร์ พ่อ และลุงเล่นหีบเพลงชัก พวกเขาจึงตั้งวงคอนเสิร์ตได้สบายๆ

ฉันซึ่งเล่นอะไรไม่เป็น แถมยังร้องเพลงแย่มากอีกด้วย จึงพอใจที่จะฟังและเต้นรำนิดหน่อย หากมีใคร อยากเต้นรำ

ฉันคิดว่าแม้จะพยายามเท่าไร ก็คงไม่มีทางพบครอบครัวอย่างนี้ได้ พวกเขาเป็นเกษตรกร เช่นเดียวกับ เพื่อนบ้านอื่นๆ ในเบอิเรเชอา แต่แม้เขาจะทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น เขาก็ยังมีเวลา หัดเพลงใหม่ๆ เพื่อจะสร้างความสุข ให้แก่ยามบ่าย ที่น่าอภิรมย์ ช่างวิเศษจริงๆ !

แล้วเดือนพฤศจิกายนก็ผ่านพ้นไปโดยที่ฉันไม่รู้ตัว ต้นไม้เริ่มผลัดใบ ลมหนาวพัดผ่าน กิ่งก้านของมัน พร้อมกับส่งคำทักทายเบื้องต้นมาให้เราได้เตรียมตัวกัน เพราะมันเข้ามาใกล้ เบอิเรเชอาเต็มทีแล้ว

ถึงตอนนี้ฉันก็ลืมไปแล้วว่า ฉันคิดจะจากที่นี่ไปเมื่อคริสต์มาสมาเยือน ฉันรับปากจะเป็นแม่ อุปถัมภ์ ให้ลูกในท้องของอิซาเบล และเขียนจดหมายถึงแม่บอกให้ส่งรองเท้าบู๊ทกันน้ำ ผ้าพันคอ และเสื้อ สำหรับ ฤดูหนาวทั้งหมดมาให้ฉันด้วย

(อ่านต่อฉบับหน้า)