ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


เมื่อโรงเรียนเปิดเทอมอีกครั้งในวันที่ ๘ มกราคม (โรงเรียนในประเทศสเปน จะปิดในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ตั้งแต่วันที่ ๒๓ ธันวาคม ถึง ๗ มกราคม) มันเป็นวันที่สดใส หิมะเริ่มละลาย ภายใต้แสงอาทิตย์ จึงมีน้ำไหลจากภูเขา ลงไปยังแม่น้ำมากขึ้น

ฤดูไข้หวัดก็เริ่มเช่นเดียวกัน ฉันเป็นกังวลเพราะนอกจากพี่น้องสกุล อิปาร๎รากิร๎เร่ ซึ่งฉันไม่รู้ว่า จะทำอย่างไรด้วยแล้ว 'เด็กของโรงเรียน' คนอื่นๆ ก็ขาดไปหลายคน นอกเหนือจาก มาร๎ต้า อาริเบ้ ซึ่งไม่มีเด็กคนไหน เคยเห็นเธอเลย

"นั่นไงบ้านของอาริเบ้ อยู่ห่างออกไปตรงโค้งนั่น แต่หนูรู้สึกว่าจะมีผู้ชายอยู่ในบ้านนั้น คนเดียว เขาไม่เคยไป มิสซาเลย เรฆิน่าบอก "หนูเคยเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่น เธอมีตุ๊กตาตัวโต ซึ่งร้องไห้ และหลับตาได้ด้วย อาจจะเป็นลูกสาวเขาก็ได้ค่ะ"

ฉันเองก็ไม่รู้จักครอบครัวนี้เสียด้วย พวกเขาอาจจะไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้านนี้ เป็นประจำก็ได้ เด็กหญิง อาจจะเรียนหนังสืออยู่ในเมือง อย่างไรก็ตามฉันจะไป สืบดูเพื่อ ความสบายใจ

แน่นอนว่าคนที่จะแนะนำฉันได้ดีที่สุดคือ บาทหลวงโฆเซ่ มาริ แต่สอง สามวันนั้น ท่านเผอิญไม่อยู่ ฉันจึงไปหาผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเกิดเป็นไข้หวัดใหญ่เสียอีก ภรรยาเขา บอกว่า หล่อนเองไม่เคยไปเปิดหีบ ซึ่งเทียบเท่าสำนักงานของเขาดูเลย แต่ทันที ที่สามีหล่อนดีขึ้น ก็จะรีบแจ้งให้ทราบ

แล้วฉันก็คิดถึงคนที่บ้านว่า พวกเขาอาจจะให้ข้อมูลแก่ฉันได้บ้าง แต่ฉันก็ลืมถาม ในวันพฤหัสบ่าย ฉันยกจักรยานลงมาจากห้องเก็บของและคิดจะไปขี่จักรยานเล่น พอเริ่มขี่ ก็ตัดสินใจ ไปทางบ้านของอาริเบ้ เผื่อจะเอาชนะพ่อเฒ่า ผู้ไม่นับถือ พระเจ้าคนนั้น

ฉันหาทางไปบ้านหลังนั้นได้ไม่ยากนักเพราะ 'เด็กของโรงเรียน' อธิบายให้ฉันรู้ก่อนแล้ว ทางซึ่งตรงดิ่งไปยังบ้านหลังนั้นเป็นทางเล็กๆ แคบๆ และไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่าน

ทันทีที่เลี้ยวโค้ง ฉันก็เห็นบ้านหลังนั้นอยู่ตรงหน้า ฉันลงจากจักรยานและเดินเข้าไป ใกล้บ้าน

ฉันไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นได้อย่างไรดี เป็นความรู้สึกคล้ายกับว่า ฉันเคยอยู่ ที่นั่นมาก่อน หรืออย่างน้อยก็เคยฝันถึง แต่ฉันก็ไม่เข้าใจความรู้สึกลึกๆ ในตัวเอง เมื่อได้พินิจพิจารณา บ้านใหญ่หลังนั้น ซึ่งเป็นบ้านที่สวยที่สุด เท่าที่ฉัน เคยเห็นมาในชีวิต แต่ก็แปลก ที่มันไม่ได้ดูแตกต่าง ไปจากบ้านหลังอื่นๆ ในหมู่บ้าน เท่าใดนัก ถ้าไม่กล่าวถึง การดูแลรักษา ประตูบ้านใหญ่ แต่ดูอบอุ่น หน้าต่างอยู่ ทางซ้าย และระเบียงซึ่งอยู่ใต้ชายคาบ้าน ชั้นบนสุด ดูคลาสสิคมาก

ฉันเคาะประตูเบาๆ ในตอนแรก เมื่อไม่มีใครมาเปิดจึงเคาะแรงขึ้น และในที่สุด ก็ตัดสินใจ เปิดประตูเข้าไป พร้อมกับเอ่ย "เดโอ กราเซียส" คำกล่าวขอบคุณพระเจ้า ในภาษาลาติน ซึ่งเป็นธรรมเนียม ของเบอิเรเชอานี้

ฉันเห็นม้านั่งยาวใหญ่สองตัวตรงทางเข้าและโต๊ะพับเก็บได้ตัวหนึ่ง บนขื่อมีพวง ข้าวโพด ใบไม้แห้ง เมล็ดพันธุ์ สีเหลืองๆ ห้อยอยู่ ฉันแปลกใจที่ได้กลิ่นหอมรวยรื่น

ผลควินซ์ที่แสนอร่อยนี่เอง มันถูกวางอย่างดีบนพื้นที่ปูด้วยผ้ากระสอบ ฉันสูด ลมหายใจ ด้วยความพึงพอใจ

"มีใครอยู่ไหมคะ" ฉันร้องถาม

ไม่มีใครตอบ

ฉันโผล่ไปดูห้องถัดไป ซึ่งก็ว่างเช่นเดียวกัน ในเตาผิงใหญ่มีลูกไฟแตกดังเปรี๊ยะๆ

เครื่องเรือนเป็นแบบพื้นๆ เช่นเดียวกับบ้านอื่นๆ ถึงแม้ว่าห้องจะดูไม่ค่อยเป็นระเบียบ แต่ก็มีอะไร บางอย่างที่มีเสน่ห์ บางสิ่งบางอย่างนี้เอง ทำให้ห้องนี้ แตกต่างไปจาก ห้องอื่นๆ ทั้งหมด ที่ฉันเคยเข้าไป และทำให้ฉัน รู้สึกสบายใจเมื่อได้อยู่ที่นี่

ฉันคิดขึ้นมาในทันทีทันใดว่า ฉันสามารถจะอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายๆ นั่งลงบนโซฟา ข้างเตาผิง โดยไม่รู้สึกแปลกแต่อย่างใด... มีบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งเป็นความกลมกลืน และเป็นหนึ่งเดียว กับความรู้สึกของฉัน แต่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร

ฉันกล้าถึงขนาดทดลองนั่งโซฟาหวายตัวนั้น แต่ฉันก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว น่าเกลียด จริงๆ ถ้าบังเอิญ ใครเข้ามาเห็นเข้าตอนนี้ล่ะก็ !

ฉันพยายามระงับอาการที่หัวใจเต้นแรงเมื่อออกจากห้อง แล้วเดินกลับไปทางเข้า บ้านใหม่อีกครั้ง ฉันกระแอมไอ และร้องเสียงดังว่า 'เดโอ กราเซียส' อีกหน

ฉันสังเกตเห็นว่ามีประตูอยู่อีกด้านหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องเป็นทางออก ฉันเปิด และออกมา ข้างนอกใหม่อีกครั้ง ช่างสวยงามอะไรเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นที่ราบ ที่ดกดื่นไปด้วย ไม้ดอกไม้ผล นานาพันธุ์ ร่มรื่น และงดงามจนทำให้ฉันเข้าใจ ความรู้สึกของเอวา มารดาแห่งมนุษย์ เมื่อได้ชื่นชมสรวงสวรรค์ เป็นครั้งแรก

โอ...ดูบ้านสิ ! ราวกับว่าเพิ่งจะผลิดอกออกมาจากพื้นดิน ลานบ้านที่สวยงาม หันไปทางทิศใต้ บานหน้าต่าง ทำด้วยไม้หนาราวกับป้อมปราการอย่างไรอย่างนั้น

ถ้าใครได้เป็นเอวาละก็ ! จำได้ว่าฉันคิดอย่างนั้น และในบัดดล อาดัมก็ปรากฏตัวขึ้น

ไม่ใช่เขาปรากฏตัวขึ้นหรอก ทว่าเขาอยู่ที่นั่นตั้งแต่ตอนที่ฉันไปถึง และกำลังมองฉัน เขม็ง จากบันไดพาด เขาคง จะซ่อมท่อน้ำ เพราะถือกุญแจเลื่อนอยู่ในมือ

"สวัสดีค่ะ" ฉันกล่าวเสียงสั่นๆ

"สวัสดีครับ" เขาตอบ เกือบจะพร้อมกันน้ำก็ทะลักออกมาจากท่อ โดนเสื้อแจกเก็ตหนัง ทางด้านซ้าย ของฉัน

"เขยิบไปทางขวาสิครับคุณ" เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ควงกุญแจเลื่อนเล่น ใบหน้า ไม่ได้แสดง ความรู้สึก สนใจอะไรฉันเลย

"ดิฉันมาพบคุณเรื่องมาร๎ต้าค่ะ" ฉันเริ่มการสนทนาอย่างระมัดระวัง

"เกิดอะไรขึ้นกับมาร๎ต้าหรือครับ"

"เปล่าหรอกค่ะ แต่ดิฉันคิดว่าแกน่าจะไปโรงเรียน"

"ไปโรง...เรียน งั้นหรือ"

"เอาล่ะค่ะ ดิฉันจะมาพูดกับคุณเรื่องเด็ก ดิฉันเพียงแต่อยากทราบว่า ลูกสาว ของคุณอยู่ที่ เบอิเรเชอา กับคุณหรือเปล่า หรือหากไม่อยู่ที่นี่ แกอาจจะเรียนที่อื่น บางทีอาจจะเป็น โรงเรียนประจำ... สรุปง่ายๆ ก็คือ แกได้เข้าเรียนหนังสือหรือเปล่าคะ"

"ผมว่าผมคงก่อเรื่องยุ่ง หรือคุณเป็นคนก่อก็ไม่ทราบ แต่ผมไม่มีลูกสาว ก็ผมยังโสด อยู่นี่ครับ"

ฉันหน้าแดงราวกับลูกตำลึงสุก แม้ว่าอากาศจะหนาว แต่ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลัง เหงื่อแตก

"ถ้าอย่างนั้น...เอ่อ...ดิฉันคงจะเข้าใจผิด ขอโทษด้วยนะคะ ดิฉันได้รับรายชื่อนี้ จึงมาตามหา เด็กหญิงอายุเจ็ดขวบชื่อ มาร๎ต้า อาริเบ้"

ฉันได้ยินเสียงอุทานและน้ำก็พุ่งมาที่ฉัน ฉันก้มตัวหลบทันแต่ก็ขยับเขยื้อนไม่ได้ เพราะอยู่ ระหว่าง น้ำที่พุ่งออกมาเป็นสองสาย

"ไปขึ้นบันไดด้านโน้น แล้วช่วยผมหน่อยครับ"

"ดิฉันไปล่ะค่ะ..." ฉันตอบอย่างเร่งรีบ

"คุณจะไปล่ะหรือ คุณไม่เห็นหรือครับว่าถ้าไม่ช่วยผม น้ำที่ขังอยู่ก็จะไปท่วมบ้านได้"

ด้วยความเป็นห่วงว่าบ้านอาจจะได้รับความเสียหาย ฉันจึงเชื่อฟังเขาและใน เสี้ยววินาที ฉันก็ขึ้นไป อยู่บนบันไดข้างๆ ผู้ชายแปลกประหลาดคนนั้น ช่วยเขาปิดท่อ ท่อหนึ่ง ในขณะที่ เขาจัดการ กับอีกท่อ

"ขอบคุณครับ" เขาบอกเมื่องานเสร็จ เราเดินมาที่ทางเข้าบ้านแล้วเขาก็ยื่นผ้าขนหนู มาให้ฉันเช็ดมือ

ถุงเท้าผู้ชายคู่หนึ่งวางพาดอยู่บนหีบ

"เอาล่ะค่ะ...คุณพอจะบอกดิฉันได้ไหมคะว่า บ้านของอาริเบ้ไปทางไหน"

"คุณก็อยู่ในบ้านนั้นแล้วนี่...ผมนี่แหละครับ อาริเบ้"

"ค่อยยังชั่วหน่อย...ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเกี่ยวข้องกับคุณอย่างไร ดิฉันอยากทราบว่า แกเข้าโรงเรียน ที่ไหนหรือเปล่าคะ ดิฉันเป็นครูที่นี่ค่ะ ไม่ทราบว่า บอกคุณไปแล้ว หรือยัง"

"อ๋อ...คุณครูนั่นเอง ผมน่าจะเดาออก"

ผลควินซ์ยังส่งกลิ่นหอมรวยริน แต่สายตาของฉันกลับจ้องมองไปยังม้านั่งตัวหนึ่ง โดยไม่ได้ ตั้งใจ ฉันเห็นเสื้อ สเว็ตเตอร์สองตัว ถุงเท้าสามคู่ เขาเองก็มองไปที่นั่นด้วย

"ผมว่าไม่ต้องเดาก็เห็นชัดกันอยู่แล้วว่าผมไม่มีแม่บ้านจริงไหมครับ อย่าเสียเวลา พูดเลย" เขากล่าว ด้วยเสียงขมขื่น

มันทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวด จึงละสายตามาจากเสื้อผ้า ราวกับว่ามันกำลังมอดไหม้

"ดิฉันไม่ได้มาพูดเรื่องบ้านหรือเรื่องของคุณ สิ่งเดียวที่ดิฉันสนใจคือ เรื่องของเด็กหญิง คนหนึ่งต่างหาก เอาเถอะ ดิฉันมาเพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบ ของคุณ คุณก็รู้ อยู่แล้วว่า โรงเรียนอยู่ที่ไหน ถ้าต้องการ จะอธิบายเรื่องนี้ละก็ เชิญที่โรงเรียนค่ะ ดิฉันจะต้อนรับคุณที่นั่น"

ฉันก้าวข้ามทางเข้าออกมาและปิดประตูดังปังใหญ่ การแก้แค้นของฉัน มีแต่ จะให้โทษฉัน ฝ่ายเดียว เพราะมันทับ เอานิ้วทั้งสี่ของฉันเข้าตอนปิดประตู ฉันทั้งเจ็บ ทั้งอาย เดินไปใกล้จักรยาน และขึ้นขี่มัน

ฉันยังอุตส่าห์เหลือบมองบ้านหลังนั้นอีกครั้ง...บ้านที่ฉันประทับใจ เขาเดินมาที่ประตู มองฉัน อย่างสงบเฉย ไม่ได้รู้สึกรู้สมต่อความไม่สบายใจ และนิ้วที่ฟกช้ำ ของฉันเลย ฉันถีบจักรยาน อย่างคล่องแคล่ว เพื่อจะให้เขาเห็นว่าฉันเป็นคนที่มีความมั่นใจสูง

วันนั้นถ้าฉันนอนเล่นอยู่ที่บ้านคงจะดีกว่ามาก !

ในตอนเลี้ยวโค้ง ฉันปะทะกับฝูงแม่วัวยักษ์ที่น่าเกรงขาม น่าสยดสยอง

ฉันหวาดกลัวมาก พวกมันค่อยๆ เดินมาหาฉัน...เอาเถอะ ! ถึงแม้ฉันไม่อาจ พูดได้ว่า มันเดินตรงรี่ มาที่ฉัน แต่มันก็อยู่กัน เต็มถนนนั่นแหละ และในเสี้ยววินาทีนั้น ฉันก็รู้สึกว่า ถูกปิดล้อมไปด้วยแม่วัว

ฉันกดกริ่งจักรยานอย่างสิ้นหวัง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร แม่วัวเหล่านั้นไม่ได้ถอยออกไป ฉันพยายาม ทรงตัว บนจักรยานอยู่เป็นเวลานานแต่ก็ทำไม่ได้ จึงลงไปกองกับพื้น ในที่สุด

คราวนี้ความกลัวยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงขีดสุด ฉันมองเห็นแต่ขาวัว ทั้งขาวและดำ อยู่รอบตัว เต็มไปหมด ฉันคิดว่าน่าจะถูกวัวเหยียบตาย

แต่เปล่าหรอก ! ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงที่ทำให้แม่วัวถอยห่างออกไป เมื่อฉันเอามือ ที่ปิดตาออก สิ่งแรก ที่เห็นก็คือชายคนนั้น พร้อมกับไม้กระบองใหญ่ในมือ และ 'เด็กของโรงเรียน' สองคน ซึ่งน่าจะเป็น ผู้ดูแลวัวฝูงนี้ ทั้งหมดมองดูฉันอย่างสมเพช

"ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ" เขาถาม

"เพียงแต่ตกใจค่ะ ขอบคุณ"

"ครูครับ จะให้เราไปส่งครูที่บ้านไหมครับ"

"ไม่ต้องหรอก ครูไม่เป็นอะไรจริงๆ"

เด็กสองคนมองดูฉันอายๆ คนที่ โตกว่าพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงสนิทสนมว่า

"ไม่ต้องห่วงหรอกครับครู ไม่มีใครเห็นอะไรของครูหรอกครับ"

ถ้าฉันไม่รู้สึกอายมากใน ขณะนั้น ฉันคงจะหัวเราะให้ สมอยาก แต่ฉันเหลือบมองไปที่ อาริเบ้ ก็ไม่รู้ว่า เป็นเพราะอะไร แต่เขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกหัวเราะเยาะมากขึ้น ฉันว่าหน้าเขาเกร็งๆ อย่างไรพิกล เขาเม้มปากแน่น ราวกับกำลังกลั้นหัวเราะ

ฉันคิดว่าตาเฒ่าผู้ไม่นับถือพระเจ้า และบ้านของเขาจะเหมือนกับคนอื่นๆ แต่มันไม่ใช่ ที่แย่ก็คือ ฉันนึกไม่ออก ว่าอะไรคือความแตกต่างนั้น

เด็กทั้งสองช่วยพยุงให้ฉันลุกขึ้น ฉันแสร้งทำเป็นว่าสิ่งสำคัญที่สุด สำหรับฉันในตอนนั้น คือสภาพของจักรยาน

"ครูลืมกระเป๋าสะพายครับ" อันชอนพูดขึ้น

"จริงสิ ส่งให้ครูหน่อยได้ไหม"

"ผมว่าหนังสือนี่ก็คงจะเป็นของคุณใช่ไหมครับ" ชายหนุ่มถาม "มันคงกระเด็นออกมาจาก กระเป๋าน่ะครับ"

"หนังสือ !" ฉันตะโกนร้องอย่างกระตือรือร้น มีหนังสืออยู่ !

ทั้งสามจ้องมองราวกับฉันเป็นบ้าไปแล้ว แต่ฉันกลับปีติยินดีอย่างยิ่ง ฉันกล่าวอำลา และจาก พวกเขามา

ใช่แล้ว ! ความแตกต่างอยู่ที่นั่นเอง ผู้ชายคนนั้นอ่านหนังสือเพราะในบ้านของเขามีหนังสือ อยู่หลายเล่ม ทั้งที่วาง ระเกะระกะอยู่ในห้อง วางเป็นแถวเป็นแนวอยู่บนหีบและที่วางถ้วย นี่ถ้าเป็นบ้านอื่น เขาคงเอาไว้แขวนถ้วย แต่ที่บ้านนี้ มันกลับเป็นชั้นหนังสือ แม้กระทั่ง ตามขอบหน้าต่าง ที่เตาผิง และ บนเก้าอี้ เกือบจะทุกตัว ก็มีแต่หนังสือ

ใช่แล้ว หนังสือนี่เองที่ทำให้บ้านหลังนั้นแตกต่างไปจากบ้านอื่นๆ เพราะที่เบอิเรเชอา ไม่มีใครอ่าน อะไรเลย แม้แต่บ้านของพวกโกญิก็ยังขาดสิ่งนี้ ทั้งๆ ที่พวกเขาชอบดนตรี และอานา มาริ เคยเรียนหนังสือ ในโรงเรียนของแม่ชี

ฉันค่อยๆ ทบทวนถึงบ้านที่ฉันเคยเข้าไป และสรุปได้ว่า นอกจากหนังสือแบบเรียน พระคัมภีร์ ปฏิทิน นักบุญ หนังสือพิมพ์ วารสารศรัทธาแล้ว ในหมู่บ้านไม่มีสิ่งพิมพ์ใดๆ เลย ยกเว้น ที่บาทหลวงโฆเซ่ มาริ และ ฉันแลกกันอ่าน มันทำให้ฉันเศร้าใจมาก

'ฉันต้องพยายามทำให้เด็กๆ อ่านหนังสือให้ได้' ฉันคิดขณะปั่นจักรยาน ไปเรื่อยๆ ...บางทีอาจจะเป็นทางรอดของพวกเขา การอ่านจะทำ ให้เราตื่นตัว และ เป็นที่มา ของการอยากแสวงหาความรู้และรักการเรียน ถ้าพรหมลิขิตกำหนด ให้พวกเขาอยู่ที่นี่ อยู่ในท้องทุ่ง หนังสือจะเปรียบเสมือนการศึกษาต่อเนื่องจากโรงเรียน

ฉันรู้สึกตกใจว่า 'เด็กของโรงเรียน' ของฉันจะอยู่ที่หมู่บ้านไปตลอดชีวิต ด้วยระดับ การศึกษา และความรู้ ที่ฉันให้พวกเขาจนถึงสิบสอง หรืออย่างมากที่สุด สิบสี่ปีเท่านั้น และ ฉันมั่นใจว่า หนังสือจะทำ ให้พวกเขาทันสมัย ทันโลก

ก็เพราะว่าฉันสลดใจที่เห็นเด็กๆ เป็นเช่นนี้ จมอยู่กับปัญหาโดยไม่มีทางออก หรือ โอกาส ที่จะหา ความรู้เพิ่มเติม มากกว่านี้ ความรู้ทั้งหมด ของพวกเขา จะสิ้นสุดลง ในวันที่ออก จากโรงเรียน และ ฉันไม่ต้องการ ให้เป็นแบบนั้น ฉันไม่ต้องการ ให้มัน เกิดขึ้นกับโฆเซ่ อิเซียร๎ เตเรซ่า โชมิน เมร๎เซเดส อันชอน และเด็กอื่นๆ

'ฉันจะตั้งห้องสมุด' ฉันพูดกับตัวเองหลังการตัดสินใจ ฉันพร้อมที่จะเสียสละเงินออม ในช่วง สามเดือน ที่ทำงานมานี้ ฉันจะต้องเริ่มโดยไม่รอช้า ถ้าขณะนี้พวกเขา ไม่อ่าน นิทาน ก็คงยากที่เขาจะอ่าน อย่างอื่น เมื่อโตขึ้น

เมื่อมาถึงบ้าน ความกระตือรือร้นของฉันช่างมีมากเสียจนทำให้ฉันลืมมาร๎ต้า อาริเบ้ บ้านหลังนั้น ผลควินซ์ และแม้กระทั่งฝูงแม่วัว สมองของฉัน ทำงานหนัก ฉันพยายาม นึกถึงหนังสือ ทุกเล่ม ที่เคยอ่าน เมื่อครั้งยังเด็ก มันอาจจะยังคง ดึงดูดความสนใจ จากเด็กๆ ในปัจจุบันได้

ฉันขึ้นไปบนห้องโดยไม่ได้แวะที่ห้องครัว ฉันหาสมุดและเริ่มเขียน

'ทุกเล่มของ เอเลน่า ฟอร์ตุน
ทุกเล่มของ โยฮานา สปีรี
บางเล่มของ เคานต์เตส ออฟ เซกูร์
ทุกเล่มของ จูลส์ เวิร์น
บางเล่มของ คาร์ล เมย์
ดูวรรณกรรมคลาสสิคบางเล่มที่ดัดแปลงให้เหมาะกับเด็กๆ'

เกี่ยวกับวรรณกรรมคลาสสิคนี้ ฉันไม่ค่อยสบายใจ ฉันไม่ชอบให้มีการย่อวรรณกรรม ที่ยิ่งใหญ่ ฉันรู้สึกว่า เป็นอาชญากรรมทีเดียว เพราะเมื่อเด็กๆ โตขึ้น พวกเขาคง จะไม่อ่านมัน ด้วยเหตุผลที่ว่า 'ฉันเคยอ่าน นานมาแล้ว' แล้วเขาก็จะไม่มีโอกาส รู้จักผลงาน ฉบับสมบูรณ์นั้น เมื่อถึงเวลา ที่เขาควรจะได้ลิ้มรส และชื่นชมมัน

ฉันจึงขีดวรรณกรรมคลาสสิคออก

แล้วถ้ากลับกันล่ะ พวกเขาอาจจะมีความจำที่ดีและอาจจะทำให้เขา อยากหางาน ชิ้นสมบูรณ์ อ่านก็ได้มิใช่หรือ

ฉันเขียนลงไปใหม่ว่า

'ดูงานวรรณกรรมคลาสสิคที่ดัดแปลงได้ดี'

ใช่ วิธีนี้คงจะดีที่สุด แม้ฉันจะรู้สึกกระตือรือร้น แต่ก็ยังกลัวว่าเด็กส่วนมาก จะได้เฉพาะ สิ่งที่เขาอ่านในตอนนี้ติดตัวไปตลอดชีวิต

ฉันเขียนหนังสือถึงน้องสาว พร้อมกับส่งรายชื่อที่เตรียมไว้ให้น้องไปซื้อ แล้วให้ช่วยดู ที่บ้านด้วย เผื่อว่า จะมีหนังสือนิทานเด็ก ของพวกเราเอง ถ้ามีก็ให้ช่วยส่งไปให้หมด ทางรถบัส เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้

ฉันได้รายชื่อสำนักพิมพ์หลายแห่ง จึงเขียนจดหมายไปขอรายชื่อวรรณกรรมเด็กและ เยาวชน คงต้องมี หนังสือใหม่ๆ จำนวนมากที่ฉันยังไม่รู้จักและนี่เป็นทางที่ดีที่สุด ซึ่งฉันจะรู้ได้

ฉันออกจากบ้านอีกครั้งพร้อมกับนำจดหมายสองฉบับและความรู้สึกเป็นสุข อย่างประหลาด ติดตัวไปด้วย จะแย่ก็ตรงที่ฉันเพิ่งรู้สึกตัวว่านั่งไม่ได้ เพราะมีรอยแผล ฟกช้ำ ดำเขียว ตรงที่ที่ฉัน ไม่อยากจะเอ่ยถึง

(อ่านต่อฉบับหน้า)

- หนังสือดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๔ เดือน กรกฎาคม - สิงหาคม ๒๕๔๗ -