019 ครอบครัวหรรษา - พริม -
ตาวิเศษเห็นนะ !


"ป๊อก.!.!.. เฮ้ย! ไม่แม่นอีกแล้ว"
"ไปกันเถอะ ปล่อยมันไว้อย่างงั้นแหละ เดี๋ยวคนเก็บขยะก็มาเก็บเองแหละ รีบไปกันเถอะ"

สองวัยรุ่นอายุประมาณ 18 ปี รีบเข้าห้องเรียนในสถานกวดวิชาแห่งหนึ่ง สำหรับเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยไม่หันกลับมามองขวดน้ำอัดลมที่แตกกระจายอยู่ข้างๆ ถังขยะ อันเป็นผลมาจากพฤติกรรมมักง่ายของตน

"แม่ ! ดูพี่ๆ พวกนั้นสิ" น้องปุยทึ้งเสื้อของแม่และชี้ไปยังเด็กวัยรุ่นสองคนที่เพิ่งลับหายเข้าไปในสถานกวดวิชาที่มีชื่อเสียง

"มีอะไรหรือ" แม่ถามด้วยความสงสัย "ปุย จะเอาอะไรหรือ ?" เป็นคำถามที่แม่คุ้นเคยดีกับลูกสาวคนนี้ที่อยากได้โน่นอยากได้นี่อยู่เสมอตามประสาเด็ก

"เปล่าค่ะ... ก็พี่พวกนั้นขว้างขวดน้ำอัดลมไม่ลงถัง น้ำหกเลอะพื้นไปหมดเลย ดูสิคะ" พลางขมวดคิ้วเพ่งสายตาไปยังถังขยะ "แล้วก็วิ่งหนีเข้า ไปข้างในเฉยๆ เลยค่ะ" ปุยฟ้องแม่เหมือนเด็กกำลังรายงานความผิดของเพื่อนให้คุณครูฟัง

"เราไปช่วยเขาเก็บกันดีไหมจ๊ะ" แม่ชักชวนลูกสาวให้ไปเก็บขวดน้ำนั้นลงถังขยะ เพราะลำพังถ้าแม่จะสั่งให้ปุยไปเก็บ ปุยคงจะอิดออดและโต้กลับเนื่องจากตัวเองไม่ได้เป็นคนทำ

ตลอดระยะทางกลับบ้านซึ่งรถติดค่อนข้างมากเพราะอยู่ในช่วงเวลาเลิกงาน ปุยซึ่งนั่งริมหน้าต่างรถประจำทางมองออกไปข้างนอกด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในขณะที่แม่กำลังง่วนอยู่กับการดูใบเสร็จค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ซื้อของไป

ชายคนหนึ่งกำลังสูบบุหรี่ยืนรอรถประจำทางอยู่หน้าป้าย พอรถมา ด้วยความรีบเร่งก็ทิ้งบุหรี่ลงพื้น แล้ววิ่งขึ้นรถเบียดตัวแทรกกลุ่มคนที่กำลังลงจากรถ เด็กวัยรุ่นกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน มือข้างหนึ่งถือขนมอบกรอบเคี้ยวเล่นระหว่างรอรถ รถมาพอดี สิ่งที่เหลือไว้เป็นที่ระลึกมีเพียงถุงขนมและเศษขนมที่หกเกลื่อนกลาดบริเวณนั้น
"แม่ แม่" ปุยเรียกแม่เสียงดังลั่นในรถ พร้อมทั้งเอามือจิ้มไปที่กระจกเหมือนจะให้แม่หันมาดูสิ่งที่อยู่ข้างนอกรถ

"จุ๊ๆๆ เบาๆ ปุย รบกวนคนอื่นเขา" แม่เอ็ดลูกสาวที่ซุกซนเหมือนลิงและส่งเสียงเอะอะ ในขณะที่สายตายังไม่ละจากใบเสร็จต่างๆ

"แม่คะ ทำไมพวกพี่ๆ เขาชอบทิ้งขยะไม่ลงถัง ถังขยะก็อยู่ข้างๆ เอง" ปุยพูดพลางชี้มือไป ที่ถังขยะก่อนที่รถประจำทางจะค่อยๆ เคลื่อนไป

แม่ซึ่งขณะนี้เสร็จภารกิจพอดิบพอดีหันมามองหน้าลูกสาว และเห็นใบหน้าของเด็กน้อยที่แฝงความไม่พอใจระคนสงสัย เธอคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะสอนลูกในรู้จักคำว่า "ตาวิเศษ"

"ปุย ลูกรู้จักตาวิเศษไหมจ๊ะ" แม่ถามไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่ต้องการเพียงแค่เปิดประเด็นเท่านั้น

"อ๋อ รู้สิคะ ตาวิเศษก็คือตาที่มองทะลุผ่านอะไรได้หมดเลยใช่ไหมคะ อย่างเช่น มองเห็นว่ามีอะไรอยู่ในกล่องของขวัญ" ปุยตอบด้วยความภาคภูมิใจในความฉลาดของตัวเอง

"จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะ" แม่ตอบให้ปุยดีใจ และสนใจในสิ่งที่แม่จะพูดต่อไป "ปุยจำไม่ได้หรือลูกที่มีเพลงร้องว่า อ๊ะ อ๊ะ อย่าทิ้งขยะ ตา วิเศษเห็นนะ ทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทาง...." แม่ร้องเป็นเพลงให้ปุยฟัง พลันเหลือบตาไปมองคนเห็นนั่งข้างๆ ที่กำลังอมยิ้มอยู่ เธอเขิน แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่ความเคอะเขินจากการถูกมอง แต่เขินที่กำลังร้องเพลงให้ลูกสาวฟังบนรถประจำทางที่มีคนแน่นขนัด

"ใช่ๆ ปุยเคยได้ยิน ที่ตัวเขียวๆ ตาดุๆ นึกออก แล้ว ตัวนั้นเค้าเรียกว่าตาวิเศษเหมือน กัน" ปุยดีใจ ที่สามารถโยงเรื่องต่างๆ ที่แม่พูดได้

"ใช่จ้ะ ตัวนั้นแหละเค้าเรียกว่าตาวิเศษ ตาวิเศษจะคอยจับตามองคนที่ทิ้งขยะไม่ลงถัง หรือทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง" แม่อมยิ้มเมื่อเห็นลูกสาวยิ้มแป้น ภูมิใจที่ได้เป็นตาวิเศษ "อย่างเมื่อสองวันก่อน ตอนที่เราไปเที่ยวสวนกัน ปุยจำได้มั้ย ปุยยังเก็บเศษถุงพลาสติกใส่ถังขยะเลย" แม่หยุดนิดหนึ่งให้ปุยได้คิด

"จำได้ จำได้ค่ะ แม่ยังบอกให้ปุยไปทิ้งในถังที่มีรูปถุงพลาสติกด้วย แม่บอกว่าคนเก็บจะได้เก็บง่าย" ปุยทบทวนความจำเมื่อสองสามวันก่อน

"ใช่แล้วจ้ะ... ที่แม่ให้ปุยทิ้งลงในถังนั้นเพราะอะไรรู้ไหม ก็เพราะว่าแต่ละถังใส่ขยะไม่เหมือนกัน บางถังใส่เศษอาหาร บางถังใส่ขยะที่มีสารพิษ บางถังใส่พลาสติก สามารถเอาไปรีไซเคิลได้"

"อะไรคือ 'สไลเดอร์' คะ" ปุยทำหน้างง "มันเหมือนกับที่อยู่ในสนามเด็กเล่นแถวบ้านรึเปล่าคะ"

แม่ขำที่ลูกสาวทำสีหน้างงๆ พยายามที่จะโยงเข้ากับสิ่งที่ตนคุ้นเคย "ไม่ใช่จ้ะ เขาเรียกว่า รีไซเคิล เป็นภาษาอังกฤษ เป็นการนำขยะบางอย่างที่ใช้แล้วไปผ่านวิธีการเฉพาะเพื่อแปรรูปใหม่อีกครั้ง"

"อ๋อ.." ปุยทำท่าเหมือนจะเข้าใจ

แม่รู้ว่าสิ่งที่แม่ต้องการจะสอนลูกสาวตอนนี้ ไม่ใช่คำว่ารีไซเคิล แต่ต้องการให้ลูกสาวเห็นความสำคัญของการทิ้งขยะให้ถูกที่ และการแยกขยะตามประเภท เธอรู้ว่าลำพังสองสิ่งนี้ก็ยากอยู่แล้วที่จะอธิบายให้ลูกสาวเข้าใจและนำไปปฏิบัติให้เป็นกิจวัตร

"แม่คะ แล้วปุยจะได้เห็นตาวิเศษตัวจริงๆรึเปล่าคะ" เด็กน้อยเปลี่ยนเรื่อง รีไซเคิลน่าเบื่อสำหรับเธอไปแล้ว

"ทุกคนเป็นตาวิเศษได้ทั้งนั้นแหละจ้ะ แม้แต่ตัวปุยเองก็เป็นตาวิเศษได้ ตาวิเศษอยู่ในตัวเราทุกคนแหละ ก็อย่างที่แม่บอกไง ปุยเพิ่งเป็นตาวิเศษไปเมื่อกี๊เอง" แม่ยิ้มให้ลูกสาว

"ปุยเป็นไม่ได้หรอกค่ะแม่ เพราะปุยตัวไม่เขียว แล้วก็ไม่ได้ตัวกลมๆ อย่างตาวิเศษด้วย" ปุยแย้ง เมื่อสำรวจตัวเองเปรียบเทียบกับตาวิเศษแล้วไม่เหมือนกันซักนิดเดียว

"ทำไมปุยจะเป็นไม่ได้ล่ะ อันนั้นเป็นแค่รูปเท่านั้น แต่ปุยทำหน้าที่เป็นตาวิเศษได้ ปุยเห็นคนทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง ทิ้งขยะไม่ลงถัง ปุยเห็น ปุยก็เก็บลงถังให้" แม่หยุดนิดหนึ่งให้แน่ใจว่าลูกสาวยังฟังอยู่ "ปุยมีตาวิเศษมองเห็นคนทิ้งขยะไม่ลงถัง แล้วก็ทำหน้าที่ตาวิเศษเอาขยะไปทิ้งลงถังไง" แม่ภูมิใจนิดๆ ในความคิดของตนที่ช่างผูกเรื่องราวต่างๆ ได้ราวกับนิยาย


แม่มองรถรอบข้างที่เคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า เป็นธรรมดาของกรุงเทพฯ เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องปัญหาจราจรติดขัด ห้าโมงเย็นแล้ว สองแม่ลูกยังนั่งอยู่บนรถประจำทาง และไม่มีวี่แววจะถึงที่หมายเลย แต่แม่ไม่ได้เอาบรรยากาศที่น่าหงุดหงิดนี้มาเป็นอารมณ์ เธอใส่ใจที่จะใช้เวลาในรถสอน ลูกสาวต่อ ดีกว่าอารมณ์เสียเพราะรถติด

แม่เริ่มพูดต่อเมื่อเห็นว่าปุยยังให้ความ สนใจอยู่ ยากพอสมควรที่จะดึงให้เด็กสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ "เราก็เป็นตาวิเศษให้ตัวเองได้นะ อย่างเช่นว่า ปุยคิดจะทิ้งเปลือกท็อฟฟี่ลงพื้น ตาวิเศษในตัวปุย จะบอกว่า อ๊ะ อ๊ะ !..."

"อย่าทิ้งขยะ ตาวิเศษเห็นนะ ทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทาง ใช่ไหมคะแม่ อิอิ" ปุยรีบต่อเพลงจนจบ

"ใช่แล้วจ้ะ นอกจากเราจะทิ้งขยะให้ลงถังแล้ว เรายังต้องระวังอีกอย่างนะ" แม่ย้ำ

"อะไรหรือคะ" ปุยฉงน

"ก็เวลาเราทิ้งขยะ เราต้องดูด้วยว่าขยะที่เราทิ้งไปจะเป็นอันตรายกับคนรอบข้างรึเปล่าไง" แม่ยิ้ม "ปุยจำได้ไหม แม่เคยทำแก้วรูปแมวสีน้ำตาลที่บ้านแตก แล้วแม่ทำยังไง" แม่พยายามให้ปุยค่อยๆ ทบทวนในสิ่งที่เคยเห็นเคยรู้มาก่อน แต่บางครั้งอาจจะลืมเลือนไปบ้างเมื่อเดือนก่อน...

"ปุย ไปหยิบเศษกระดาษหนังสือพิมพ์มาให้แม่ซักสองสามแผ่นสิจ๊ะ แม่ทำแก้วแตก" แม่เรียกลูกสาวที่กำลังเล่นขายของอยู่หน้าบ้าน

"นี่ค่ะ" ปุยยื่นให้แม่และกำลังจะวิ่งกลับไปทำหน้าที่แม่ค้าสมมุติของตนต่อ พลันเหลือบมาเห็นแม่กำลังห่อเศษแก้วด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อย่างระมัดระวัง "แม่จะเอาไปให้ใครหรือคะ" ปุยถามด้วยความแปลกใจ เพราะเห็นอยู่ว่าแก้วใบนั้นใส่น้ำไม่ได้แล้ว

"เปล่าหรอกจ้ะ แม่ห่อก่อนทิ้งเพราะไม่อย่างนั้นคนเก็บขยะอาจโดนแก้วบาดได้" แม่พูดขณะกำลังห่อเศษแก้ว และใส่ถุงพลาสติกอีกชั้น เพื่อความแน่ใจว่าเศษแก้วแหลมคมจะไม่โผล่ออกมา

"ทำไมต้องทำด้วยล่ะคะ" ปุยถามต่อ ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ๆ แม่เพื่อดูให้ชัดๆ

"ระวังนะลูก เดี๋ยวโดนเศษแก้ว ถ้าแม่ไม่ห่อแล้วมันไปบาดคนอื่นเลือดไหล ปุยคิดว่าพวกเขาจะเป็นยังไงล่ะ"

"พวกเขาก็ต้องเจ็บมาก.....แล้วก็ร้องไห้ด้วย"

"ใช่แล้ว อย่านึกแต่เพียงว่าเราทิ้งลงถัง หมดเรื่องแล้ว คนอื่นอาจจะเดือดร้อนเพราะเราก็ได้ ถ้าเป็นพ่อแม่คนอื่นโดนเศษแก้วนี้บาดมือเจ็บ ทำงานไม่ได้ ถ้าติดเชื้อต้องเข้าโรงพยาบาล ต้องเสียเงินเสียทอง ลูกๆ พวกเขาก็ลำบาก จริงไหม?" แม่พยายามพูดเป็นลำดับให้ปุยเห็นภาพ

"จริงด้วยค่ะ น่าสงสารพวกเขา" ปุยทำ ปากเบ้

จำนวนคนบนรถประจำทางมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ผิดกับปลากระป๋อง โชคดีที่แม่และปุยขึ้นรถมาตั้งแต่ต้นทางจึงได้นั่งยาว วิถีชีวิตของคนกรุงมีแต่ความรีบเร่ง รีบร้อน จนทำให้บางครั้งลืมนึกถึงคนอื่น

"นึกออกแล้ว... ปุยนึกได้แล้ว ตอนนั้นปุยยังช่วยแม่เอาถุงเศษแก้วไปทิ้งหน้าบ้านเลย"

"ใช่แล้ว เราต้องไม่ทำร้ายและทำลายสังคม รู้ไหมจ๊ะปุย สังคมก็คือเพื่อนบ้านเรานี่แหละ" แม่พูดปิดท้าย ไม่รู้เหมือนกันนะว่า ปุยจะรู้ไหมว่าแม่ต้องการจะสอนให้ลูกรู้จักคิดถึงคนอื่นนอกจากตัวเอง

รถประจำทางแล่นมาถึงป้ายอ่อนนุช ซึ่งเป็นป้ายที่จะต้องลง

"ปุย! ถึงแล้ว ป้ายหน้า เตรียมตัวลงได้แล้ว ใส่รองเท้าให้เรียบร้อย"

"ค่ะ ค่ะ" ปุยรีบเร่งสวมรองเท้าอย่างรวดเร็ว

แม่มองดูลูกสาวที่กำลังง่วนอยู่กับรองเท้าผ้าใบคู่เก่งของตัวเอง แกยังเด็กนัก แต่ความเป็นเด็กไม่ใช่อุปสรรคต่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ หวังว่าช่วงเวลาบนรถวันนี้จะทำให้ปุยได้แง่คิดอะไรบ้างไม่มากก็น้อย

ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๖ พฤศจิกายน- ธันวาคม ๒๕๔๗