รู้ทันโรค - ธารดาว -
สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาวได้ด้วยหลัก ๗ อ.


เอาพิษภัยออก
หมายถึง การเอาสิ่งที่เป็นพิษเป็นโทษภัย ออกไปจากร่างกาย จากชีวิต จากครอบครัว จากสังคม จากสิ่งแวดล้อม

พิษภัย แบ่งได้เป็น ๒ ประเภทคือ

๑. พิษภัยภายในร่างกาย ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาเคมีของ ร่างกายเอง หรือเกิดจากความไม่สมดุลของร่างกายที่เกี่ยวเนื่อง กับพิษภัยภายนอกที่ร่างกาย รับเข้ามา เช่น อาหาร อากาศ น้ำ สารเคมีต่างๆ รวมถึงอารมณ์ด้านลบของตัวเองด้วย

๒. พิษภัยภายนอกร่างกาย ได้แก่พิษที่อยู่รอบๆ ตัวเรา เช่นพิษภัยจากอาหาร ขยะ สิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ ที่เป็นพิษ การใช้ปุ๋ยหรือสารเคมี ที่เป็นพิษต่อการกสิกรรม ข้าวของเครื่องใช้ประจำวันที่มีส่วนประกอบของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ รวมถึงอบายมุข ๖ ที่ทำให้ชีวิตเสื่อมต่ำ

*** ชีวิตที่เต็มไปด้วยสารพิษ
การมีชีวิตอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ ไม่เหมือนเมื่อ ๔๐-๕๐ ปีก่อนที่เรายังรองน้ำฝนกินได้ อาหาร พืชผักต่างๆ ที่ขายในตลาดยังเป็นอาหารสะอาด ปราศจากสารเคมีปนเปื้อน และสามารถสูดอากาศหายใจได้อย่างเต็มที่อย่างชื่นใจ

แต่ทุกวันนี้ สารพิษรายล้อมรอบตัว อากาศที่จะหายใจ เต็มไปด้วยไอเสียของรถยนต์ ควันจาก โรงงาน ควันบุหรี่ เขม่า ฝุ่นละอองต่างๆ แม้แต่ในบ้าน กลิ่นจากน้ำยาขัดพื้น ยาฉีดกันยุง ยาฆ่าแมลง ล้วนแต่เป็นอันตรายต่อระบบหายใจ ต่อตับ ต่อปอด และเลือดของเรา

อาหารที่กินก็ล้วนเต็มไปด้วยสารปรุงแต่งรส กลิ่น สี เพื่อให้อาหารดูน่ากิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหารที่มีไขมันหรือน้ำตาลสูง แต่มีกากใยต่ำซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสารพิษในระบบการย่อยอาหารที่ทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อเรอเหม็นเปรี้ยว หรือแม้กระทั่งกลายเป็นมะเร็ง ในที่สุด

นอกจากนี้สารพิษยังเกิดจากการกระทำและวิถีชีวิตของตัวเราเองอีกด้วย เช่น การอยู่ในบ้านที่อับชื้น เต็มไปด้วยฝุ่น การสูบบุหรี่ ในห้องและรถยนต์ที่ปิดหน้าต่าง บ้านที่เปิดแอร์ตลอดเวลา ซึ่งทำให้แบคทีเรีย ไวรัส เจริญงอกงาม อยู่รอบๆ ตัว วิถีชีวิตการทำงาน ที่อยู่แต่ในห้องแอร์ และเหงื่อไม่ออกเลย ซึ่งทำให้ระบบการขับพิษตามธรรมชาติเสียไป ทำให้ไตต้องทำงานหนักเกินกว่าเหตุ ทั้งๆ ที่ร่างกายสามารถขับสารพิษออกได้หลายทาง และเมื่อเราไม่ใช้งานกล้ามเนื้อเลย ความอ่อนแอ ก็เริ่มเกิดขึ้น กลายเป็นภาระ ของร่างกาย และต้นตอของโรคภัยต่างๆ

ความเครียดก็เป็นต้นเหตุของพิษในร่างกาย คนที่เครียดบ่อยจะทำให้การทำงานของร่างกายผิดเพี้ยน ไม่เป็นไปตามปกติ เพราะเมื่อฮอร์โมน ความเครียดหลั่ง ร่างกายจะดึงน้ำตาลจากตับมาเก็บไว้ที่กล้ามเนื้อ ขณะเดียวกัน หัวใจก็เตรียมทำงานหนัก เพื่อกระจายออกซิเจน แต่เมื่อเตรียมแล้ว ไม่ได้ระบายพลังงานออก ระบบของร่างกายจะแปรปรวน เพราะหัวใจทำงานหนัก ความดันโลหิตสูง ตับเริ่มมีปัญหาเพราะถูกดึงน้ำตาลออกมาตลอดเวลา จนลุกลามกลายเป็นโรคต่างๆ

ความจริงในภาวะที่สุขภาพแข็งแรง ร่างกาย คนเราสามารถที่จะขจัดสารพิษได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ทั้งทางลมหายใจออก ทางเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ แต่ถ้าไม่รู้ ไม่เข้าใจ แล้วเราเอาสารพิษเข้าตัวอยู่ตลอดเวลาจนมีปริมาณมาก เมื่อเกินกว่าที่ร่างกาย จะกำจัดได้หมด ของเสียหรือสารพิษ ที่ตกค้างอยู่ในร่างกาย ก็จะทำให้เกิดโรคพื้นๆ เช่น หวัด ภูมิแพ้ อ่อนเพลีย ปวดหัว อาหารไม่ย่อย ไปจนกระทั่งถึงโรคอันตรายอย่างโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือโรคมะเร็ง

*** อาการที่แสดงว่ามีสารพิษสะสมในร่างกาย
ปวดเมื่อยร่างกาย เป็นภูมิแพ้ ปากและลมหายใจเหม็น เป็นสิว เหงือกมีเลือดออก เป็นไซนัส มีลมในท้อง อารมณ์แปรปรวนง่าย นอนไม่หลับ ตาแดงและคันที่ตา มีเสมหะมาก เป็นหวัดบ่อย ท้องผูกประจำ ไอบ่อยๆ เบ้าตาเขียวคล้ำ อารมณ์หงุดหงิด เหนื่อยเพลียง่าย ลิ้นเป็นฝ้าหนา
ปวดหัวบ่อย คลื่นไส้ น้ำมูกไหลตลอดเวลา มี ผื่นคันตามตัว เจ็บคอ ปัสสาวะมีกลิ่นแรง

*** วิธีรับมือกับสารพิษ
จากอาหาร เพื่อเป็น การป้องกันไม่ให้สารพิษเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น เราต้องเรียนกันตั้งแต่การปรับพฤติกรรมการกิน โดยกินอาหารให้ช้าลง และเคี้ยวให้ละเอียด หลีกเลี่ยงอาหารย่อยยากพวกเนื้อสัตว์ แป้งขัดขาว อาหารหวานมันที่มีกากน้อย อาหารปรุงแต่ง อาหารสำเร็จรูป แล้วหันมากินอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดสี และผักผลไม้ปลอดสารพิษต่างๆ เพื่อช่วยทำความสะอาดลำไส้ ไม่ให้มีเศษอาหารตกค้างนานเกินไป รวมทั้งยังช่วยดักจับสารพิษในลำไส้ด้วย

นอกจากการปรับเปลี่ยนชนิดของอาหารและวิธีการกินแล้ว วิธีล้างพิษอีกอย่างหนึ่งก็คือ การอดอาหาร (fasting)

ลีออน ไชทาว นักธรรมชาติบำบัด ชาวอังกฤษ กล่าวไว้ว่า

"การอดเป็นวิธีการรักษาที่เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์รู้จัก มนุษย์ดึกดำบรรพ์จะหยุดกินโดยสัญชาตญาณหากรู้สึกไม่สบาย ดื่มน้ำเท่าที่ต้องการ แต่ไม่กินอะไรเลยจนกว่าจะหาย"

การอดอาหาร ในที่นี้หมายถึง การควบคุมตัวเองไม่ให้กินอาหารในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งต่อเนื่องกัน โดยมากจะทำ
๑-๒ วัน เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนและสะสาง ทำความสะอาดตัวเอง แทนที่จะใช้พลังงานหมด ไปกับการย่อยอาหารอย่างที่เคยเป็น อาหารที่รับ-ประทานได้ในระหว่างอดอาหาร คือ น้ำผลไม้และผลไม้ (ชนิดใดชนิดหนึ่งต่อวัน) เพื่อลดภาระการย่อยอาหารให้ทำงานน้อยที่สุด และควรเป็นผลไม้ที่ไม่หวานจัด เช่น ฝรั่ง แตงโม แคนตาลูป มะม่วงดิบ มะละกอ แอปเปิ้ล หรือแครอท

วิธีล้างพิษอีกอย่างหนึ่ง คือ การดื่มน้ำคั้นจากผักผลไม้หรือชาสมุนไพร เรียกว่า เครื่องดื่มบำบัด (juice therapy) เพราะเอนไซม์ที่มีอยู่ ในผักผลไม้จะช่วยกระตุ้น บำรุง และชะล้างส่วนต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานดีขึ้น น้ำผักผลไม้ที่ให้เอนไซม์ จะเป็นน้ำที่ได้จากการคั้น ไม่ใช่การปั่น และดื่มทันทีโดยไม่ผสมสารปรุงแต่งใดๆ โดยการดื่มแต่ละครั้งควรจะเป็นน้ำคั้นจากผักหรือผลไม้เพียงชนิดเดียวเท่านั้น เพื่อให้ได้รับสารอาหารนั้นๆ อย่างเต็มที่

เราสามารถหมุนเวียนชนิดของผักผลไม้ที่ใช้ไปได้เรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลายขึ้น เช่น น้ำแครอท ช่วยในการล้างไขมันและการทำงานของตับ น้ำมะระ ช่วยฟอกเลือดและการทำงานของไต น้ำกระเทียม ช่วยฆ่าเชื้อโรค ส่วนชาสมุนไพร นั้น สามารถดื่มได้ตลอดวัน เช่น รากบัว ช่วยระบบหายใจ ไซนัส มะตูม ช่วยให้ เจริญอาหาร แก้จุกเสียดแน่นท้อง ขิง แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว ดอกคำฝอย ช่วยขับปัสสาวะและลดไขมันในเส้นเลือด เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การอดอาหารเพื่อล้างพิษ อาจไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมสำหรับทุกคน ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรืออยู่ในวัยกลางคนไปแล้ว ควรหลีกเลี่ยงเทคนิควิธี หรือหากต้องการทำควรปรึกษาแพทย์ก่อน

จากอากาศ ได้แก่ การหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่ ควันพิษรถยนต์ อยู่ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์

*** ขับเหงื่อเพื่อขับพิษ
นอกจากการหายใจที่ถูกวิธีจะช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานเต็มที่แล้ว การขับเหงื่อก็เป็นวิธีกำจัดสารพิษที่ตกค้างอยู่ ออกทางผิวหนัง (ซึ่งเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย)

การขับสารพิษออกทางผิวหนัง สามารถ ทำได้หลายวิธี เช่น การอบซาวน่า หรือ อบสมุนไพร ซึ่งทั้งสองวิธีนี้ใช้หลักการเดียวกัน คือ ใช้ไอความร้อนเพื่อให้ร่างกายขับเหงื่อ กำจัดสารพิษภายในร่างกายออกมา กระตุ้นระบบ ไหลเวียนโลหิต ผิวพรรณจึงผุดผ่องสดชื่น มีน้ำมีนวล และช่วยคลายเครียด

ผู้ที่มีปัญหาอุปสรรค เช่น เป็นโรคหัวใจ โรคไต ความดันโลหิตสูง โรคปอด ลมชัก ท้องเสียอย่างรุนแรง อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ กำลังมีประจำเดือน ควรหลีกเลี่ยงการอบซาวน่า

*** ทำความสะอาดลำไส้ใหญ่
เมื่อเราเริ่มกำจัดสารพิษด้วยวิธีการต่างๆ ไปแล้ว สภาพภายในร่างกายก็จะเริ่มเข้าที่เข้าทาง และพร้อมจะทำงานเต็มที่กว่าเดิม แต่เพื่อให้ขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการดูดซึมอาหารได้ ทำงานสมบูรณ์ยิ่งขึ้น การแพทย์แนวธรรมชาติบำบัด จึงแนะนำให้ทำความสะอาดอวัยวะสุดท้ายหรือลำไส้ใหญ่ให้สะอาดด้วย

การสวนล้างลำไส้ใหญ่ต่างจากการสวนท้องเพื่อการขับถ่าย การสวนลำไส้เป็นการ ล้างพิษออกจากลำไส้ใหญ่ ที่มีเศษอาหาร หรือ คราบไขมันตกค้างอยู่ ซึ่งการขับถ่ายปกติ ไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ นี่จึงเป็นคำตอบว่า แม้แต่คนที่ขับถ่ายทุกวันเป็นปกติ ก็ยังควร สวนล้างลำไส้ใหญ่

หมายเหตุ อ่านวิธีแนะนำการล้างพิษอย่างละเอียดได้จากหนังสือต่างๆ ที่มีวางจำหน่ายทั่วไปตามร้านหนังสือ

*** ล้างพิษในหัวใจ
ถึงแม้ว่าสารพิษส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก ร่างกาย เช่น อาหาร อากาศ หรือเชื้อโรค แต่พิษอีกจำนวนหนึ่ง ก็เกิดขึ้น จากจิตใจของเราเองด้วย โดยเฉพาะอารมณ์โกรธ เกลียด วิตกกังวล จนทำให้เกิดความเครียด

ทุกครั้งที่เกิดความเครียด ปฏิกิริยาต่างๆในร่างกายจะแปรปรวนไปหมด ต่อมหมวกไตซึ่งทำหน้าที่หลั่งฮอร์โมนฉุกเฉิน จะตอบสนองความโกรธทันทีด้วยการทำให้หัวใจเต้นถี่ ความดันสูง น้ำตาลในเลือดสูง กล้ามเนื้อหดเกร็ง ม่านตาขยาย ผิวหนังขับเหงื่อจนเปียกชุ่ม ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้เกิดหัวใจวายเฉียบพลันได้

ดังนั้นการควบคุมอารมณ์และฝึกจิต จึงเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่เป็นตัวสกัดกั้นไม่ให้พิษภายในเกิดขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบผิวหนัง ตับ ไต ลำไส้ใหญ่ รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันให้ ทำงานดีขึ้นด้วย

การทำสมาธิหรือฝึกจิตใจให้จดจ่ออยู่กับตัวเอง เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมอารมณ์ เพราะเมื่อเราไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ ร่างกายก็เป็นอิสระและมีความสุข จึงนับได้ว่า การล้างพิษด้วยวิธีต่างๆ อาจเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวิถีชีวิตสมัยใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ

*** อบายมุข
อบายมุขนับเป็นพิษภัยอย่างหนึ่งที่ทำให้ คนเราเสียสุขภาพได้ทั้งร่างกายและจิตใจ อบาย หมายถึง ความต่ำ ความเสื่อม มุข มีความหมายว่า หน้า ปาก ทาง หัวหน้า ประธาน อบายมุข จึงหมายถึงหัวหน้าแห่งความเสื่อม หัวหน้านรก ต้นทางเข้าออกแห่งความเสื่อม หรือประธานแห่งความฉิบหาย

ใครเดินหลุดเข้าไปในเส้นทางนี้ ย่อมนับว่าได้เดินบนเส้นทางแห่งความพินาศฉิบหายตั้งแต่ปากทางทีเดียว ยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งยากจะเดินกลับออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรยากเกินไปสำหรับหัวใจที่แน่วแน่ที่ต้องการพาตนเองออกจากเส้นทางนรก หรือความทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจ

อบายมุข ๖ ได้แก่
๑. สิ่งเสพติดมึนเมาให้โทษทุกอย่าง ซึ่งไม่ใช่มีเพียงแค่ เหล้า บุหรี่ เฮโรอีน ฝิ่น กัญชา ยาบ้า ยาอี โคเคน แต่รวมทั้งกาแฟ เครื่องดื่ม ที่ผสมกาเฟอีนทุกชนิด น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง เหล่านี้คือสิ่งเสพติดที่บั่นทอนสุขภาพ
๒. เที่ยวกลางคืน
๓. เที่ยวดูมหรสพการละเล่น
๔. เล่นการพนัน
๕. คบคนชั่วเป็นมิตร
๖. เกียจคร้าน

อบายมุขทั้ง ๖ นี้ พระพุทธองค์ตรัสสอน ให้ละเว้นเด็ดขาด เพราะแม้ข้อเดียวก็ก่อความเดือดร้อนทั้งแก่ตนครอบครัวและสังคมอย่างมากมายแล้ว ทั้งยังเสียนิสัยที่ดีๆ และเสียทรัพย์ที่หาด้วยความยากลำบาก รวมถึงเป็นทางมาแห่ง โรคภัยไข้เจ็บสารพัด

โทษการเสพของมึนเมาให้โทษ
๑. เสียทรัพย์
๒. ก่อการทะเลาะวิวาท
๓. เป็นบ่อเกิดแห่งโรค
๔. เป็นเหตุให้เสียชื่อเสียง
๕. เป็นเหตุให้ไม่รู้จักละอาย
๖. เป็นเหตุบั่นทอนกำลังปัญญา

ไม่ว่ายุคกาลไหนๆ อบายมุขยังทำหน้าที่ของมันอย่างเข้มแข็ง และทำร้ายคนได้อย่างถึงที่สุด เมื่อเหล้าเข้าปาก เหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะทำได้ ก็สามารถทำได้ ด้วยอำนาจแห่ง ความเมา ดังตัวอย่างที่พบเห็นบ่อยๆ

โทษของการเที่ยวกลางคืน
๑. ไม่คุ้มครอง ไม่รักษาตัวเอง
๒. ไม่คุ้มครอง ไม่รักษาครอบครัว
๓. ไม่คุ้มครอง ไม่รักษาทรัพย์สมบัติ
๔. เป็นที่ระแวงของคนอื่น
๕. คำพูดโกหกในที่นั้นๆ ย่อมปรากฏในผู้นั้น
๖. เหตุแห่งทุกข์เป็นอันมากเข้ามาแวดล้อม

โทษของการเที่ยวดูมหรสพการละเล่น
๑. มีรำที่ไหน ไปที่นั่น
๒. มีขับร้องที่ไหน ไปที่นั่น
๓. มีประโคมดนตรีที่ไหน ไปที่นั่น
๔. มีเสภา (กลอนขับเป็นเรื่องยาวด้วยจังหวะและดนตรี) ที่ไหน ไปที่นั่น
๕. มีเพลงที่ไหน ไปที่นั่น
๖. มีเถิดเทิงที่ไหน ไปที่นั่น

โทษของการเล่นการพนัน
๑. ผู้ชนะย่อมก่อเวร
๒. ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสียไป
๓. เสื่อมทรัพย์ในปัจจุบัน
๔. คำพูดของคนเล่นการพนัน ไปพูดในที่ประชุมฟังไม่ขึ้น
๕. ถูกผู้คนหมิ่นประมาท
๖. ไม่มีใครประสงค์จะแต่งงานด้วย

โทษของการคบคนชั่วเป็นมิตร
๑. พาให้เป็นนักเลงการพนัน
๒. พาให้เป็นนักเลงเจ้าชู้
๓. พาให้เป็นนักเลงเหล้า
๔. พาให้เป็นคนลวงผู้อื่นด้วยของปลอม
๕. พาให้เป็นคนโกงเขาซึ่งหน้า
๖. พาให้เป็นนักเลงหัวไม้

โทษของการเกียจคร้านทำงาน
๑. มักอ้างว่าหนาวนัก จึงไม่ทำงาน
๒. มักอ้างว่าร้อนนัก จึงไม่ทำงาน
๓. มักอ้างว่าเวลาเย็นแล้ว จึงไม่ทำงาน
๔. มักอ้างว่าเช้าอยู่ จึงไม่ทำงาน
๖. มักอ้างว่ากระหายนัก จึงไม่ทำงาน

"ขี้เกียจ" เป็นกิเลสที่ทำให้คนเสื่อมค่าจากความเป็นผู้ประเสริฐอย่างแท้จริง อยู่ที่ไหนใครก็ระอา ไม่อยากร่วมงานด้วย เพราะขี้เกียจแล้วก็หาวิธีอู้งาน ถ้าเป็นลูก พ่อแม่ก็เหนื่อยใจ เกิดมาเป็นคนแทนที่จะได้สั่งสมบุญ กลับสั่งสม อบายมุขเป็นสมบัติ ช่างน่าเสียดาย

สมณะโพธิรักษ์ ได้ให้ลักษณะคนขยะ ๖ ประการ ซึ่งทำให้คนไม่เป็นคน ดังนี้
๑. ไม่ทำอะไรเลย ไม่คิดอะไรเลย
๒. มีเวลา มีโอกาสว่างๆ อยู่ แต่ไม่หางานทำ
๓. มีงาน มีสิ่งควรทำยิ่งกว่านั้นอยู่แท้ๆ แต่ไม่ทำ กลับไปทำสิ่งที่ตนชอบและเพลิดเพลิน
๔. หางานเบาๆ ทำ เพื่อไม่ต้องทำงานที่หนักกว่า
๕. มีงานทำ แต่ไม่อยากทำดื้อๆ
๖. นอนเกินกว่าควร พักเกินกว่าควร เล่นหรือเริงรมย์มากกว่าควร อยู่ว่างๆ เกินกว่าควร

ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๖ พฤศจิกายน- ธันวาคม ๒๕๔๗