- ฟ้าเมือง ชาวหินฟ้า -


อยู่ที่ปัจจุบัน

เช้าๆ ค่ำๆ
ใต้แสงดาวสลับแสงอรุณ
คือคืนวันที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป
จากต้นกำเนิดอันไม่สิ้นสุด
สู่จุดหมายที่ไร้ขอบเขต
ข้างหลังคือหุบเหวลึกของอดีต
มืดมิดว่างเปล่าไม่เห็นก้น
ข้างหน้าคือผืนฟ้าแห่งอนาคตที่ไพศาล
เวิ้งว้างไร้จุดหมาย
ฉันเอะใจ
ว่ากำลังอยู่ ณ ตำแหน่งไหน
ของห้วงจักรวาล

ปีใหม่มาถึงอีกแล้ว เป็นหลักบอกเวลาว่า เวลาผ่านพ้นไป ๑ ปี พร้อมกับอายุขัยของชีวิตที่หดหายไปอีก ๑ ปี

มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีสติปัญญา มนุษย์ทุกคนจึงรู้อยู่แก่ใจว่าเวลาในชีวิตของแต่ละคนนั้นมีจำกัด สักวันหนึ่งทุกคนจะต้องตาย จากโลกนี้ ไปอย่างแน่นอน

คนที่เรารักเราผูกพัน จะต้องตายจากเราไป หรือไม่เราก็ต้องตายจากคนเหล่านั้นไป สุดแต่ใครจะจากโลกนี้ไปก่อน

แม้แต่คนที่เราเกลียดชังอาฆาตพยาบาทก็เช่นเดียวกัน จะต้องตายจากเราไป อยู่ที่เวลาก่อนหลังที่ใครจะตายก่อนใครเท่านั้น

อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ทุกวันนี้อยู่ที่ประมาณ ๖๕-๗๕ ปี อาจจะดูหมือนยาวนานสำหรับคนที่มีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมาน แต่เป็น ช่วงเวลาเพียงไม่นานนัก สำหรับคนที่มีชีวิตอยู่กับการทำงานอย่างสร้างสรร ด้วยจิตใจที่รู้ ตื่น เบิกบาน

และยิ่งเป็นเพียงเสี้ยวเวลาอันน้อยนิด เมื่อเทียบกับอายุของอวกาศและเวลาในมหากัลป์นี้ ที่อุบัติขึ้นพร้อมกับการระเบิด ของมวลสาร และพลังงาน ที่อัดแน่นเป็นเนื้อเดียวกันจุดเล็กๆ จนมีค่าเป็นอนันต์ แล้วกำเนิดเป็นเอกภพที่กว้างใหญ่ไพศาล เมื่อกว่า ๒๐,๐๐๐ ล้านปีก่อน ตามทฤษฎีบิ๊กแบ๊ง (Big Bang)

หรือเมื่อเทียบกับอายุของดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่ชื่อว่าโลกดวงนี้ซึ่งกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ ล้านปีก่อน

หรือเทียบกับอายุของสิ่งมีชีวิตชนิดแรกที่กำเนิดขึ้นในทะเลบนโลกนี้ เมื่อประมาณ ๕๐๐ ล้านปีก่อน

หรือเทียบกับอายุของบรรพบุรุษมนุษย์คนแรก ที่มีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ ๑๕๐,๐๐๐ ปีก่อนในทวีปแอฟริกา แล้วขยายเผ่าพันธุ์ กระจาย ไปสู่ทวีปอื่นๆ ของโลกเมื่อประมาณ ๘๐,๐๐๐ ปีก่อนในเวลาต่อมา

หรือเทียบกับอายุของอารยธรรมมนุษย์ที่เริ่มก่อตัวสร้างบ้านแปงเมืองตามลุ่มน้ำสำคัญๆ ต่างๆ เมื่อราว ๑๐,๐๐๐ ปีก่อน

หรือเทียบกับอายุของพระพุทธ-ศาสนาที่กำเนิดขึ้นในโลกนี้เมื่อประมาณ ๒,๕๐๐ ปีก่อน

หรือเทียบกับอายุของคริสตศาสนาที่ถือกำเนิดมาในโลกเมื่อ ๒,๐๐๐ ปีก่อน
หรือเทียบกับอายุของศาสนาอิสลาม ที่กำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ ๑,๕๐๐ ปีก่อน

หรือเทียบกับอายุของสงครามคูเสด ที่เป็นการรบพุ่งระหว่างชาวคริสต์กับชาวมุสลิม เพื่อแย่งชิงกรุงเยรูซาเรมซึ่งเป็น เมืองศักดิ์สิทธิ์ ทางศาสนาของทั้งสองศาสนา ที่สิ้นสุดสงครามอันยืดเยื้อยาวนานไปเมื่อประมาณกว่า ๑,๐๐๐ ปีก่อน

เวลาที่เราจะต้องตายจากกัน เร็วช้าก่อนหลังต่างกันเพียง ๑๐-๒๐ ปีนั้น เป็นห้วงเวลาที่สั้นนิดเดียว เมื่อเทียบกับหลัก บอกเวลา ดังที่กล่าวมาแล้ว ทำไมเราต้องมาเข่นฆ่ากัน ให้เสียเวลา ยังไงๆ ก็ต้องตายจากกันไปอยู่แล้ว ทำไมมนุษย์ ไม่เอาเวลา ที่มีจำกัดของชีวิต มาใช้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อแก่นสารของความเป็นมนุษย์ ที่มีโอกาสอุบัติมาใช้ชีวิต เพียงช่วง เวลาสั้นๆ ในโลกนี้ ให้เกิดความเจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้นในแก่นสารคุณค่าของความเป็น มนุษย์ที่แต่ละคนเป็นอยู่

ความยาวสั้นของห้วงเวลานั้นขึ้น อยู่กับการเปรียบเทียบ ถ้าเทียบกับห้วงเวลาที่สั้นกว่า เวลาแต่ละปีที่ผ่านไป ก็นับเป็น ระยะเวลา ที่นานพอสมควร แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับกรอบอ้างอิง ของห้วงเวลาที่ยาวกว่า เวลา แต่ละปีก็สั้นนิดเดียว

ถ้าใช้อายุกัลป์ของมนุษย์หรือค่าเฉลี่ยอายุของมนุษย์ทุกวันนี้เป็นกรอบการอ้างอิงเปรียบเทียบ เวลาในแต่ละปี ที่ผ่านพ้น ไปนั้น นับได้ว่า เป็นห้วงเวลาที่ ไม่ยาวนานมากนัก

ลองถามตัวเองดูซิ เรามีเวลาเหลือที่จะอยู่ในโลกนี้ต่อไปอีกกี่ปี และจะมีโอกาสได้ฉลองปีใหม่อีกสักกี่ครั้ง จะเห็นได้ว่า เวลา แต่ละปี ไม่นานนักเลยจริงๆ

แต่โดยปรกติคนเรามักจะไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องเวลาที่เหลือของชีวิต เพราะเราไม่อยากนึกถึงความตาย และไม่อยาก คิดถึง ความจริง ที่จะต้องเผชิญกับการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ฉะนั้นกลไก ป้องกันตัวเองทางจิต (Defence mechanism) ประการหนึ่งที่จิตไร้สำนึก (unconscious) ของมนุษย์ออกแบบมาเพื่อขจัดความทุกข์กังวลในเรื่องนี้ ก็คือ การลืม และการกลบเกลื่อน

การนอนหลับและลืมปัญหาต่างๆ ไป ชั่วคราว คือตัวอย่างหนึ่งในการทำหน้าที่ของกลไลป้องกันตัวเองทางจิตแบบนี้ เมื่อตื่นขึ้น เราจึงรู้สึกสดชื่น เพราะปัญหาความทุกข์กังวลในรายละเอียดบางส่วน ได้ถูกกลไกทางจิต ทำให้ลืมเลือนไป ภายหลัง การนอนหลับ

การลืมความหลัง หรือทิ้งความหลังในบางเรื่อง จึงเป็นกลไกป้องกันตัวเองทางจิตอย่างหนึ่ง ที่ช่วยให้ผู้คนมี สุขภาพจิต เป็นปรกติ แต่ขณะเดียวกันก็อาจเป็นกลไกที่ไปกลบเกลื่อนบดบัง ทำให้เราละเลยต่อแก่นสารความจริงบางอย่าง ของชีวิต ที่ไม่ควรลืมเลือน หรือมองข้าม


มองในแง่มุมนี้ งานเฉลิมฉลอง ปีใหม่ที่มนุษย์จัดขึ้น ก็คือผลแห่งการทำงานของกลไกป้องกันตัวเองทางจิต ที่มนุษย์สร้าง ขึ้นมา เพื่อกลบเกลื่อนบดบัง ให้ลืมสัจจะความจริงเกี่ยวกับวันเวลาที่เหลือน้อยลง และกำลังจะเข้าใกล้ความตาย มากขึ้นๆ ของชีวิต

เพราะเวลาที่ผ่านพ้นไปหนึ่งปี ย่อมหมายถึงการใกล้ความตายเข้าไปอีกหนึ่งปี และเวลาของชีวิตที่หดสั้นลดน้อยลง หนึ่งปีนั้น อันที่จริง เป็นเรื่องที่พึงสลดสังเวช แต่เพื่อกลบเกลื่อนความจริงอันไม่น่าอภิรมย์นี้ กลไกป้องกันตัวเองทางจิต ก็เลยผลักดัน ให้มนุษย์ ในแต่ละอารยธรรม สร้างวัฒนธรรมแห่งงานรื่นเริงเฉลิมฉลองปีใหม่ขึ้นมา เพื่อบดบังห้วงเวลาอันน่าสลด และชวน ให้นึกถึงความตายที่ใกล้เข้ามาดังกล่าว

ด้วยเหตุนี้ สำหรับผู้มีปัญญาเข้าใจแก่นสารความจริงของเวลาตามที่เป็นจริง โดยไม่ถูกกลไกป้องกันตัวเองทางจิต กลบเกลื่อน บดบัง ห้วงเวลาแห่งการส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ที่จะมาถึง จึงควรจะเป็นห้วงเวลาแห่งการนึกทบทวน ตำแหน่ง แห่งที่ของชีวิต ในช่วงเวลาที่เหลือ

ถ้าสมมติเวลาในชีวิตของเราลดน้อยลงเหลือ ๑๐ ปี ๕ ปี หรือ ๑ ปีเราควรจะใช้เวลาที่เหลือของชีวิตดังกล่าว ให้เกิดประโยชน์ สูงสุด ต่อแก่นสารคุณค่าของชีวิตอย่างไร

มีปณิธานอะไรที่เรายังทำไม่สำเร็จ และตั้งใจจะทำให้สำเร็จภายในเวลา ๑ ปี ๕ ปี หรือ ๑๐ ปี ของระยะเวลาในชีวิต ที่เหลือ นั้นๆ บ้างหรือไม่

ปีใหม่มาถึงอีกแล้ว ทำไมเวลาผ่านไปเร็วจัง

หวังว่าเราคงจะได้มีโอกาสพบกัน ใหม่...ในปีใหม่ปีหน้า

- ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๒๒ พ.ย. - ธ.ค. ๒๕๔๘ -