dokya

ใบแรก

วันนี้ ดิฉันมีสมมุติฐานใหม่ว่า อุปสรรคขัดขวางการพัฒนาประเทศไทย คือ คำสาปแช่งของคนไทย

หลายสิบปีมาแล้วที่ดิฉันได้ยินคนโน้นคนนี้พูดถึงข้อด้อยต่างๆ มากมายในสังคมไทย แล้วเราก็ยังหาทางแก้ไขไม่ได้ ในขณะเดียวกัน คนดีๆ ก็ถูกทำร้าย ถูกทำลาย ด้วยวิธีการสารพัด จนทุกวันนี้ เราชักจะไม่แน่ใจว่า ใครเป็นคนดีหรือไม่ดี อย่างไร

ท่านผู้อ่านลองคิดดูสักหน่อยเถิดว่า เมืองไทย (หมายรวมถึงคนไทยด้วย) มีข้อเสียอะไรบ้าง

มีหนทางใดที่จะแก้ไขปรับปรุงได้บ้างไหม ถ้ามีหนทางแก้ไข มีใครลงมือทำบ้างหรือยัง ถ้ามีคนลงมือทำบ้างแล้ว เขาได้รับการสนับสนุนส่งเสริมอย่างไรบ้าง และเขาต้องประสบปัญหาอุปสรรคใดบ้าง หรือไม่

ลองเปรียบเทียบดูว่า ระหว่างการส่งเสริมการกระทำอันเป็นประโยชน์แก่สังคม และคนที่เสียสละเพื่อส่วนรวม กับการพูดซ้ำซาก ถึงแต่ข้อบกพร่อง โดยไม่แก้ไข เหตุการณ์ใด เกิดขึ้นมากกว่ากัน

ขั้นต่อไป ก็มาทบทวนตนเองว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของการพูดซ้ำซากถึงข้อบกพร่อง โดยไม่ร่วมด้วยช่วยแก้ไขหรือเปล่า แล้วลองจำลอง ภาพใครคนหนึ่ง (สมมติว่าเป็นประเทศไทย) ที่ถูกคนล้อมกรอบ ชี้หน้าด่า ตั้งแต่ข้อหาอุกฉกรรจ์ จนถึงข้อหา ขี้หมูราขี้หมาแห้ง เหมือนถูกสาปแช่งว่า แกมันเลว แกมันโง่ แกมันไม่พัฒนา จนฝังเข้าไปอยู่ใน ก้นบึ้งของจิตใจ กลายเป็นอัตตาที่ชั่วร้าย

เป็นไปได้หรือไม่ว่า เหตุที่เรา (ประเทศและคนไทย) ต้องตกอยู่ในภาวะทุกข์ เพราะคำสาปแช่งของตัวเราเอง

หลายท่านคงเคยได้ยินพุทธสุภาษิตที่ว่า จิตเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง ถ้าเราตั้งจิตไว้ดี แล้วกระทำดีตามที่ตั้งจิตไว้ ก็ย่อมจะเกิดผลดี อย่างแน่นอน ฉะนั้น แทนที่เราจะมอง บ้านเมืองเราด้วยความไม่พอใจ เนื่องจากไปเปรียบเทียบ กับบ้านเมืองอื่น ที่เรามองเห็นไกลๆ หรืออย่างฉาบฉวย (จึงเห็นแต่ความสวยงาม) เราน่าจะมองบ้านเมืองเรา อย่างที่เราเป็น ท่ามกลางเหตุปัจจัยแวดล้อม ที่เป็นอยู่จริง โดยไม่เพ้อฝัน แล้วช่วยกันสร้างบ้าน แปงเมือง บนพื้นฐาน ความเป็นไทย ของเราเอง

ช่วยกันล้างอัตตาอันหลากหลาย มาหลอมรวมเป็นอัตตาเดียวกัน คือ อัตตาแห่งความเป็นไทย เพื่อรวมพลังพัฒนาประเทศชาติ ด้วยความเชื่อมั่นว่า เราพึ่งตนเองได้ และเราพึ่งพากันเองได้

(จากหนังสือ ดอกหญ้า อันดับที่ ๙๔ หน้า ๓)