โบนี่ มาร์ติน
(เกือบจะ) โชคร้ายที่เกิดมารวย

เขียนโดย โฆเซ่ หลุยส โอไลยโซล่า แปลจากภาษาสเปนโดย สว่างวัน ไตรเจริญวิวัฒน์
พิมพ์ครั้งที่ ๑ : ๒๕๔๒ ราคาเล่มละ ๗๕ บาท (รวมค่าส่ง) สั่งซื้อได้ที่ ธรรมทัศน์สมาคม ๖๗/๕๐
ถ.นวมินทร์ คลองกุ่ม บึงกุ่ม กทม. ๑๐๒๔๐ สั่งจ่าย ปท.คลองกุ่ม
ผลกำไรจะนำไปช่วยเด็กยากจนในชนบท (เริ่มลงในฉบับที่ ๙๑ )

ตอน ๕
จากนั้น ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ในวันที่สามและ ที่สี่ฝนยังคงตกต่อไป คุณป้าอังกุ๊สเตียส มาช่วยคุณนายมาร๎ติน ทำความสะอาดบ้าน แต่โบนี่คิดว่า เปล่าประโยชน์ เพราะต่อให้ปัดกวาดเช็ดถู แทบตายอย่างไร บ้านก็ยังคงมีสภาพ เก่าโทรม และมืดทึบอยู่ดี

พอวันที่ห้า คุณป้าอังกุ๊สเตียสพูดกับโบนี่ว่า "โบนี่จ๊ะ ทำไมมาหมกตัวอยู่ในบ้านทั้งวัน ไม่ออกไปเล่นกับลูเซีย และ กลาร่า บ้างล่ะจ๊ะ ทั้งสองคนไม่กล้ามาที่นี่ เพราะค่อนข้าง ขี้อาย "

'เชอะ ขี้อาย แต่ดุยังกับเสือแน่ะ' โบนี่นึกในใจ เขายังจำรสหมัดตรงจมูกไม่รู้ลืม และราวกับ คุณป้าอังกุ๊สเตียส จะเดาความคิด ของเด็กชายออก เธอถามขึ้นว่า

"หลานคงไม่โกรธที่ลูเซียต่อยเอานะ เขาบอกว่าไม่ได้ตั้งใจเลย "

'แหม ! โชคดีนะที่ไม่ได้ตั้งใจ' เด็กชายคิด 'ไม่งั้นป่านนี้ฉันคงตายไปแล้วมั้ง' แต่โบนี่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขากำลัง ท้อแท้ สิ้นหวัง ทว่าความ โศกเศร้า ของแม่มีมากกว่ามาก เด็กชายได้ยินเสียงแม่ ร้องไห้ทุกคืน ดังนั้น จึงพยายาม ไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย ให้เธอทุกข์ใจ เพิ่มขึ้นอีก ขนาดอุตส่าห์ ลองกินซุปถั่วต้ม ของคุณป้าอังกุ๊สเตียส เพื่อเอาใจแม่ แต่ก็ไม่สามารถ ทนกินได้ แทบจะคายทิ้ง ต่อหน้า คุณป้าเลยแหละ

"หนูไม่ชอบเหรอลูก" คุณป้าแปลกใจ "คงจะยังไม่หิวกระมัง " คุณป้าพูดโดยไม่รู้สึกโกรธ

ตลอดสิบห้าวันที่ผ่านมา โบนี่ออกจากบ้าน เพียงเพื่อไปซื้อของให้แม่ ซึ่งมักจะเตือนเสมอว่า "ใช้เงินระวังหน่อยนะจ๊ะ อย่าใช้จ่าย ในสิ่งไม่จำเป็น เรายังไม่รู้เลยว่า พ่อจะส่งเงินมาให้อีกเมื่อไหร่"

ที่ร้านขายของชำร้านเดียวประจำหมู่บ้านมีของทุกอย่าง แต่ไม่มีอะไรถูกใจโบนี่ แม้สักอย่างเดียว แม้กระทั่งพวกขนม ก็ยังดูหน้าตา แปลกๆ ยิ่งกว่านั้น ยังดูเก่าและมีฝุ่นจับเขรอะ สิ่งเดียวที่โบนี่ยอมกินคือ แฮมที่ห่อพลาสติก อย่างดี


สิบห้าวันผ่านไป โรงเรียนเปิดเทอม แต่ที่หมู่บ้าน 'เอล๎ กัสตาญาร๎' ไม่มีโรงเรียน นักเรียนต้องไปเรียน ที่เมือง 'ลาส บาตวยกาส' จะมีรถโรงเรียนมารับที่ หมู่บ้านนี้และหมู่บ้านเล็กๆ รอบๆ ยังมีเด็กอื่นๆ อีก ๗ คน รวมทั้งลูกพี่ลูกน้อง ของโบนี่ ที่ไปกับรถรับส่ง แต่โบนี่ ไม่ยอมพูดคุย กับใครเลย

เมื่อลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนมาถึงป้ายจอดรถ พวกเธอจะจ้องดูพื้น เพื่อหลีกเลี่ยงการพูดกับเด็กชาย กาเนโล่ มาพร้อมกับ เด็กหญิง ทั้งสองเสมอ มันจะนั่งนิ่งด้วยขาหลังสองข้าง และไม่ขยับไปไหนเลย เมื่อเด็กๆ กลับจากโรงเรียนยามบ่าย สุนัขน้อย ยังคงนั่ง อยู่ตรงนั้น ประหนึ่งว่า มันไม่ได้ลุกไปไหนเลย ตลอดทั้งวัน

ทันทีที่เด็กหญิงทั้งสองก้าวลงจากรถโรงเรียน กาเนโล่จะกระดิกหาง ดีอกดีใจ ต้อนรับเด็กหญิง กลาร่า จะก้มลง จูบทักทาย ราวกับว่า มันเป็นมนุษย์มากกว่า เป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่ง แล้วเอาของกิน ที่เหลือจากโรงเรียนให้มัน

ที่โรงเรียน โบนี่ทำให้คุณครูทุกคนแปลกใจมาก เพราะเด็กชายรู้ดีมาก ในบางเรื่อง ขณะที่ไม่รู้อะไรเลย ในอีกหลายเรื่อง
แต่ที่ยิ่งทำให้คุณครู ประหลาดใจ คือ ความไม่น่ารัก ของเด็กชายโบนี่ มาร๎ติน

วันหนึ่ง ฝนหยุดตก พระอาทิตย์สาดแสงจ้า แต่อากาศไม่อุ่นขึ้น เพราะใกล้วันคริสต์มาส เข้ามาทุกที เช้าวันนั้น คุณป้าอังกุ๊สเตียส ซึ่งมักเตรียมขนมปัง มาเป็นอาหารเช้า สำหรับเด็กๆ พูดว่า

"หนาวจริงๆ นะ ป้าได้กลิ่นหิมะด้วยล่ะ ป้าอธิบายให้โบนี่ฟังว่า ถ้าหิมะตกเมื่อไหร่ พวกหนูต้องหยุดเรียน ดูโน่นสิ เห็นเมฆพวกนั้นไหม"

ไกลออกไปแถวๆ ภูเขาจะเห็นหมู่เมฆดำทะมึน ลมหนาวยะเยือกพัดผ่าน ราวกับจะนำ เกล็ดหิมะมาด้วย

เด็กๆ ซึ่งรอรถโรงเรียนอยู่บริเวณจัตุรัส สวมเสื้อกันหนาวทำจากผ้าร่ม ผูกผ้าพันคอ เด็กๆ สะบัดเท้าไล่ความหนาวเย็น อยู่ไปมา กาเนโล่นั่งตาหรี่ปรือ แต่ก็นั่งนิ่ง อยู่กับที่เหมือนเดิม ไม่เคลื่อนไหว แม้ท่ามกลางความหนาวเย็น บางครั้งกลาร่า โอบกอดสุนัขน้อย เพื่อให้ไออุ่นแก่มัน

ลูเซียพูดกับเด็กคนอื่นๆ (ยกเว้นโบนี่ ซึ่งเธอไม่เคย แม้แต่จะเหลือบแลมอง)

"แม่ฉันบอกว่า วันนี้มีกลิ่นหิมะลอยมา เพราะฉะนั้น บางทีเราอาจจะไม่ต้อง ไปโรงเรียนกันก็ได้ "

"ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ เถอะ !" เด็กทุกคนร้อง

เมื่อรถโรงเรียนมาถึง ลูเซียบอกกับคนขับว่า

"นี่โตริบิโอ วันนี้พวกเราไม่ไปโรงเรียนกันนะ เดี๋ยวหิมะก็ตกแล้ว "

"อะไรนะ โตริบิโอ พวกเธอกลัวหมาป่ากันหรือ ทุกคนขึ้นรถเดี๋ยวนี้ ! "

อากาศยังคงหนาวเหน็บตลอดวัน บางครั้งเมฆทะมึนลอยผ่านมา โปรยเกล็ดหิมะลงมา ๒ - ๓ เกล็ด แล้วก็ลอยผ่านไป พระอาทิตย์ ฉายแสงออกมาอีก ทำให้เกิดรุ้งกินน้ำ อันงดงาม

หลังอาหารกลางวัน ลมหยุดพัด ก้อนเมฆ สีเทาหวนกลับมา อย่างไม่ทันรู้ตัว แล้วหยุดนิ่ง หิมะเริ่มโปรยลงมา อย่างหนัก
คุณครูอนุญาตให้เด็กๆ ยืนดูหิมะจากหน้าต่าง สักครู่ ครูใหญ่เดินเข้ามาประกาศว่า

"เด็กๆ ที่กลับกับรถโรงเรียน กลับได้แล้ว"

"ไชโย ! " เด็กๆ เฮลั่น

"อะไรกัน" ครูใหญ่ถาม "อยู่ที่โรงเรียนนี่ หนูๆ ไม่สนุกกันเลยหรือ ถึงได้ดีอกดีใจกันขนาดนี้"

เด็กๆ พากันหัวเราะ ทุกคนตื่นเต้นมากเพราะเป็นวันแรกที่หิมะตก แต่โตริบิโอ คนขับรถโรงเรียน มีท่าทีวิตกกังวล เขาไล่เด็กๆ ขึ้นรถ อย่างเร่งด่วน ให้ไปวิ่งเล่นต่อในรถ

"คุณครูโตมัสครับ หิมะตกหนักเหลือเกิน" โตริบิโอพูดกับครูใหญ่ "ผมเป็นห่วงว่าช่องเขาจะถูกปิดเสียก่อน "

"คุณลองดูก็แล้วกัน" ครูใหญ่บอกอย่างครุ่นคิด "ถ้าเห็นว่าจะข้ามช่องเขาไม่ได้ เราก็ต้องหาทางให้เด็กค้างที่โรงเรียน"

"ยอดไปเลย !" เด็กที่ฟังผู้ใหญ่ทั้งสองคุยกันร้องลั่น "พวกเรานอนที่นี่กันเถอะ !"

แต่เด็กคนอื่นแย้งว่า

"ไม่เอาหรอก พวกเรากลับบ้านกันดีกว่า พรุ่งนี้ เราไม่ต้องมาโรงเรียนแน่ๆ"

เพราะความวุ่นวายและความวิตก กลาร่าจึงมานั่งคู่กับโบนี่โดยบังเอิญ พอรู้สึกตัว กลาร่าก็ส่งยิ้มให้เด็กชาย โบนี่จ้อง หน้าของกลาร่า แล้วจึงสังเกตเห็นว่า ฟันของกลาร่า เป็นสีเหลืองคล้ำ ราวกับว่าไม่เคย แปรงฟันมาก่อนเลย ทว่า เด็กหญิง มีดวงตา เป็นประกายสดใส สวยงามมาก

ทั้งครูใหญ่และโตริบิโอยังคงถกเถียงกัน ในที่สุดโตริบิโอจึงตัดสินใจออกเดินทาง

หิมะเกล็ดใหญ่ๆ ตกลงมาไม่ขาดสาย ชั่วเวลาไม่นาน ทุ่งหญ้าก็กลายเป็นสีขาวโพลน เด็กๆ ดีใจมาก พากันร้องเพลง ที่ซ้อมไว้ สำหรับวันคริสต์มาส โบนี่รู้สึกสบายใจ เพราะเขาเอง ก็ชอบหิมะเหมือนกัน เด็กชายรู้จักหิมะ เป็นอย่างดี เพราะเขามักจะไปเล่นสกี สมัยอยู่ที่โรงเรียนเก่า ตั้งแต่เมื่อยังเป็นเด็ก เล็กกว่านี้มาก บางปีโบนี่ยังได้ไปที่ เทือกเขา แอลป์ส ในฝรั่งเศส ระหว่างทางเด็กๆ ทุกคน ก็ร้องเพลงคริสต์มาส แบบนี้เหมือนกัน ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกเศร้ามาก เพราะตอนนี้เขาไม่มีเพื่อนเลย เด็กชายหันกลับไปมองกลาร่า ซึ่งยังนั่งอยู่ข้างๆ และเมื่อกลาร่ายิ้มให้อีก โบนี่ก็ถามขึ้นว่า

"คิดว่าหมาจะยังรอเธออยู่ไหม"

เด็กหญิงพยักหน้า

"ถึงหิมะจะตกหนักขนาดนี้งั้นเหรอ" โบนี่ถามย้ำ

"ใช่จ้ะ" กลาร่าตอบเสียงเบา ๆ "มันรอฉันเสมอ"

รถโรงเรียนเริ่มไต่ขึ้นเนินไปทางช่องเขา และแล้วทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไป ทั่วบริเวณงดงามกว่าทุกครั้ง ในขณะเดียวกัน หิมะตก หนักขึ้นทุกที จนมองไม่เห็นถนน โตริบิโอ เริ่มกล่าวคำสบถ และตะโกนเสียงดังลั่นใส่เด็ก ที่ทะเลาะกัน ตรงทางเดิน

"ทุกคนนั่งอยู่กับที่เดี๋ยวนี้ ไม่ยังงั้น เราแย่แน่ๆ ! "

"เกิดอะไรขึ้น หรือลุงเกิดกลัวหมาป่าขึ้นมาบ้างเหมือนกันใช่ไหมล่ะ" เด็กนักเรียนโตคนหนึ่งแหย่

เด็กคนอื่นหัวเราะครืน แต่โตริบิโอไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น เขาขับรถอย่างระมัดระวัง แม้กระนั้นรถก็ยังลื่นไถลเป็นบางครั้ง
เมื่อรถแล่นไป จนเกือบจะถึงช่องเขา โตริบิโอหยุดรถพลางพูดว่า

"เราต้องใส่โซ่แล้วล่ะ ใครจะช่วยฉันได้บ้าง"

"ผมครับ" โบนี่อาสา เด็กๆ ในรถรู้สึกแปลกใจมาก เพราะพวกเขา ไม่เคยได้ยินเด็กนักเรียนใหม่คนนี้ พูดนอกห้องเรียน มาก่อนเลย

ยิ่งไปกว่านั้น เด็กหลายคนยังไม่รู้เลยว่า ทำไมต้องใส่โซ่ แต่โบนี่ลงจากรถ พร้อมกับคนขับรถ ด้วยท่าทีที่มาดมั่น

"คนอื่นๆ ห้ามลงจากรถเด็ดขาด !" โตริบิโอสั่ง "ไม่ยังงั้น เราต้องแย่แน่ๆ"

คนขับรถและโบนี่ช่วยกันเอาโซ่ออกมา และเริ่มพันโซ่รอบล้อหน้าทั้ง ๒ ข้าง เป็นเรื่องยากลำบากจริงๆ เพราะโซ่ ทั้งเก่ามาก และบิดเบี้ยว คนขับรถหลุดคำสบถ ออกมาเรื่อย ๆ และยิ่งดุเดือด ขึ้นทุกที โบนี่ ซึ่งไม่ได้สวมถุงมือ ต้องคอยเอามือซุกใต้รักแร้ เพื่อให้รู้สึกอุ่น โตริบิโอ จึงตะโกนเข้าไปในรถ

"ใครก็ได้เอาถุงมือให้เด็กคนนี้หน่อย ! "

ลูเซียลูกพี่ลูกน้องของโบนี่ลงจากรถและยื่นถุงมือให้ พร้อมกับเข้าไปช่วยเหลือคนทั้งสอง โดยไม่ต้อง มีใครเอ่ยปาก ทั้งสามคน ต้องออกแรงมาก เพื่อดึงโซ่ให้ตึงพันไปรอบล้อ ลูเซียดึงโซ่ พลางสบถได้ดุเดือด พอๆ กับคนขับรถ ครู่ต่อมา โตริบิโอพูดขึ้นว่า

"เอาล่ะ ฉันว่าใช้ได้แล้วนะ คอยดูสิว่าจะเป็นไง เด็กๆ ขึ้นรถได้แล้ว ! "

โบนี่กลับไปนั่งที่เก่า เด็กชายสลัดหิมะให้หลุดจากตัวก่อนจะนั่งลง กลาร่าถามว่า

"ทำไมเธอรู้ล่ะว่าต้องใส่โซ่ยังไง"

โบนี่ยักไหล่ ราวกับจะไม่ตอบคำถามเด็กหญิง แต่แล้วก็พูดขึ้นว่า

"ตอนฉันไปเล่นสกีที่ฝรั่งเศส ฉันเคยเห็นเขาทำยังไง"

ลูเซียซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ อธิบายว่า "เขาไม่ได้เป็นคนใส่โซ่สักหน่อย โตริบิโอเป็นคนจัดการต่างหาก โบนี่แค่ช่วยเท่านั้น" เด็กหญิงเสริม เป็นเชิงท้าให้โบนี่แย้ง "แล้วฉันก็ช่วยด้วยเหมือนกัน"

แต่โบนี่ไม่พูดอะไร เด็กชายสังเกตเห็นว่าฟันของลูเซียสกปรกเหมือนกัน แต่ดวงตาของลูเซียไม่งดงาม ผิดกับกลาร่า ซึ่งไม่ต้อง สงสัยเลยว่า เป็นเด็กหญิงที่แต่งตัวได้เก๋ และน่ารักมาก

รถโรงเรียนเริ่มเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้ามากๆ หิมะตกหนัก จนมองเห็นไม่ไกลเกินครึ่งเมตร เด็ก เล็กๆ บางคนนั่งหลับ
ในขณะที่เด็กโตหยุดร้องเพลง และเริ่มบ่นพึมพำ ต่างไม่ชินกับรถที่แล่นอืดขนาดนี้ โตริบิโอกังวลใจมาก จนไม่แม้แต่ จะพูด คำสบถอีกต่อไป เขาตั้งใจขับรถเต็มที่ รถก็ยังลื่นไถล ไปบนไหล่ถนน เป็นครั้งคราว แม้จะใส่โซ่แล้ว เด็กผู้ชาย แสร้งหัวเราะ สนุกสนาน ในขณะที่เด็กหญิง บางคนเริ่มร้องไห้

"ทุกคนเงียบเดี๋ยวนี้นะ ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก" โตริบิโอตะโกนสั่ง

เด็กหญิงคนหนึ่งร้องไห้กระซิกๆ ลูเซียจึงเดินเข้าไปปลอบ กลาร่าอธิบายให้โบนี่ฟังว่า

"ถ้าเราไปถึงช่องเขาได้ ก็เหลือแค่แล่นรถลงเนินไป ก็จะถึงหมู่บ้านของเราแล้วล่ะ"

ถึงตอนนี้ ล้อรถเสียดสีกับโลหะส่งเสียงดัง เอี๊ยดอ๊าด แล้วรถบัสก็หยุดลง โตริบิโอร้องบอกโบนี่ว่า

"ไอ้หนู มานี่ ลงไปกับฉันหน่อย คนอื่นนั่งนิ่งๆ อย่าขยับไปไหนนะ"

เมื่อทั้งสองลงมาดู ก็เห็นว่าโซ่เส้นหนึ่งหลุดออกมา และพันอยู่กับเพลารถ

"มาลองดึงดูซิ !" โตริบิโอบอกโบนี่

ทั้งคู่พยายามดึงโซ่อยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่าดึงไม่ออกแน่ หิมะยังคงตกตลอดเวลา จนสูงขึ้นมาถึงหัวเข่า

"ซวยชะมัด !" โตริบิโอพูดต่อเมื่อระงับความรู้สึกได้แล้ว "เคราะห์ร้ายจริงๆ อีกนิดเดียว ก็จะถึงหมู่บ้านแล้ว"

"ตรงไหนเหรอ" โบนี่ถาม เขามองอะไรไม่เห็นเลยนอกจากหิมะ

"ตรงนั้นไงล่ะ" คนขับรถชี้ให้ดู "ห่างออกไปแค่สามกิโลเมตรลงเนินไปเรื่อยๆ ถ้ามีแต่เด็กโตล่ะก็ อาจจะพอเดินไปได้"

โตริบิโอลองเดินขึ้นเนินซึ่งอยู่ ใกล้มาก ปรากฏว่า ตัวจมไปในหิมะถึงเอว โบนี่ ซึ่งเดินตามโตริบิโอ ก็จมลงไปเหมือน กัน

"หิมะไม่เคยตกหนักอย่างนี้มาตั้งหลายปีแล้ว เคราะห์ร้ายจริงๆ" คนขับรถบ่น โตริบิโอมองดูรถบัส ล้อรถจมอยู่ใต้หิมะ ต้องใช้รถ แทรกเตอร์ จึงจะดึงรถออกมาได้

โตริบิโอครุ่นคิดพลางพูดว่า "บางทีพวกที่หมู่บ้าน อาจจะออกมาตามหาเราก็ได้"

แต่พูดไปแล้วเขาก็คิดว่าคงเป็นไปได้ยาก เพราะหิมะตกหนัก ทางขาด คงไม่มีรถใครแล่นผ่านมา ตามถนนสายเล็กๆ แบบนี้

ขณะนั้น ประมาณบ่ายสี่โมง แต่สภาพอากาศรอบตัว ดูขมุกขมัวราวกับว่าค่ำแล้ว

"เราต้องค้างคืนที่นี่หรือเปล่าครับ" โบนี่ถาม

"ไม่รู้เหมือนกัน คนที่หมู่บ้านถ้าเขาไม่เห็นเรากลับลงไป คงจะส่งคนมาช่วยเรามั้ง ฉันว่าไปเถอะ ขึ้นไปบนรถกันดีกว่า"

ก่อนจะขึ้นรถ โตริบิโอเปิดช่องเก็บของ แล้ว นำผ้าห่มออกมา จะแจกบรรดาเด็กเล็กทั้งหลาย โบนี่ เหลือบไปเห็น ถุงพลาสติก ใหญ่มากใบหนึ่ง สกปรกมีคราบน้ำมันจับ เด็กชายคว้าถุงไว้ และพูดกับโตริบิโอว่า

"ผมแน่ใจว่าถ้าใช้ถุงพลาสติกใบนี้ ผมคงจะลงไปจนถึง 'เอล๎ กัสตาญาร๎' ได้"

คนขับรถไม่เข้าใจว่า โบนี่หมายความว่าอย่างไร จึงถามงงๆ ว่า "อะไรนะ"

"แบบนี้ไง" โบนี่อธิบาย เขานั่งบนถุงพลาสติก ใช้ทั้งมือและเท้า ผลักให้ตัวเองเคลื่อนไปข้างหน้า คนขับรถ ดูเด็กชาย เคลื่อนที่ ด้วยถุงพลาสติก ราวกับใช้รถเลื่อน

"เฮ้ย ! เยี่ยมไปเลย"

โบนี่หยุด แล้วลากถุงพลาสติกขึ้นไปบนยอดเขา ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตร เมื่อไปถึง เด็กชายถามว่า

"ทางลงไปหมู่บ้านอยู่ตรงไหนเหรอครับ"

"จะบ้าไปแล้วเรอะ ไอ้หนู" โตริบิโอตะโกนเรียก "กลับมานี่เดี๋ยวนี้ ! ฉันมีปัญหายุ่งยาก เกินกว่าจะปล่อยให้เธอ เล่นรถเลื่อนอย่างนี้นะ !"

แต่โบนี่มีนิสัยไม่ยอมเชื่อฟังใครอยู่แล้ว ยิ่งเป็นแค่คนขับรถ แล้วยังบังอาจมาตะโกนใส่เขาแบบนี้ล่ะก็ ยิ่งไม่มีทาง !

อ่านต่อฉบับหน้า

(หนังสือ ดอกหญ้า อันดับที่ ๙๔ หน้า ๙๖-๑๐๔)