น่ารู้จัก โดย ผศ.รัศมี กฤษณมิษ ตอน...
วนิดา วงศ์พิวัฒน์
 

วนิดา วงศ์พิวัฒน์ จบวิศวะฯ มาเป็นแม่ค้าขายผักให้วัด

ถาม: : คุณวนิดาช่วยเล่าชีวิตวัยเด็กให้ฟังสิคะ
ดิฉันเป็นชาวกรุงเทพฯ เกิดแถวนางเลิ้ง ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี เลี้ยวซ้ายเจอ สนามม้า เลี้ยวขวาเจอสนามมวย หน้าบ้านก็เป็นนซ่องโสเภณี หลังบ้าน คือวัดโสมนัส เรียกว่า อยู่ในสถานที่ ที่แทบจะล้อมรอบไปด้วยแหล่งอบายมุข เกือบทั้งสิ้น ดิฉันมีพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน คนฐานะทางบ้านไม่ค่อยดีนัก คุณพ่อเป็นคนดุเจ้าโทสะ ชอบกินเหล้าสูบบุหรี่ และชอบเล่นไพ่ ส่วนคุณแม่ เป็นคนดีมาก และเกลียดคนกินเหล้า เล่นการพนัน แต่ดูเหมือนเกลียดอะไร จะได้อย่างนั้น ตัวเองเห็นคุณพ่อเล่นไพ่ตั้งแต่เด็กจึงชอบเล่นไพ่มาก เรียกว่าเข้ากระแสเลือดก็ว่าได้พี่น้องทุกคนเล่นเป็นหมด เพราะคุณพ่อฝึกให้เล่นไม่ว่าจะเป็ฝนโป๊กเกอร์เผเแก้าเก ไพ่ป๊อกจับหมูรัมมี่เล่นแบบ ๓ วัน ๓ คืนไม่นอนก็ได้ เรียกว่าเราฝึกสมองกันมาตั้งแต่เด็กๆ แถมคุณพ่อมีหลานๆ มาจากต่างจังหวัดอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเรามาอยู่ เพื่อเรียนหนังสือขาไพ่จึงเยอะมาก
ถาม: เล่นไพ่กันขนาดนี้ไม่เสียการเรียนหรือคะ

ไม่เลยค่ะเพราะพวกเรา๕คนพี่น้องจะรับผิดชอบการเรียนกันเองเนื่องจากคุณแม่เสีย ตั้งแต่พวกเรายังเล็กคุณพ่อก็แต่งงานใหม่และไปอยู่กับแม่ใหม่พวกเราจึงต้องดูแลและรับ ผิดชอบกันเอง
ถาม: ทราบมาว่าเรียนหนังสือเก่งคุณวนิดาจบจากที่ไหนมาบ้างคะ
ชั้นประถมที่โรงเรียนอนุสิทธิ์ พิทยาชั้นมัธยมที่โรงเรียน เบญจมราชาลัยมัธยมปลายที่ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและจบ คณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย
ถาม: สมัยนั้นมีผู้หญิงเรียนวิศวะฯกัน สักกี่คนคะ

๗ คนค่ะ ในปีพ.ศ. ๒๕๑๐ ที่ดิฉันเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ ถาม: เป็นผู้หญิงเข้าวิศวะฯ ต้องกินเหล้าด้วยหรือเปล่าคะ ก็กินกับเขาได้สบาย เพราะว่าดิฉันเห็นคุณพ่อกิน ตั้งแต่เด็ก จึงกินเป็นมาก่อนแล้ว
ถาม: ชอบแต่งตัวไหมคะ
แต่งหน้าแต่งตัวไม่เป็นค่ะเป็นคนไม่มีรสนิยมเลยค่ะเมื่อก่อนยังนึกน้อยใจตัวเองว่า ทำไมถึงแต่งตัวไม่เป็น ผ้ าก็ซื้อไม่เป็นออกแบบก็ไม่เป็น อยากสวยกับเขาเหมือนกัน แต่มันแต่งตัวไม่เป็นจนโต แล้วมาปฏิบัติธรรม จึงได้เข้าใจว่า เป็นบุญของเรา ไม่ต้องมาล้าง มาลดละเรื่องนี้
ถาม: ได้ข่าวว่าป็นคนขยันมากจนได้รางวัลพนักงานดีเด่น

ค่ะเป็นคนขยันชอบทำงานมากตอน ยังเรียนอยู่ที่จุฬาฯบริษัทหนึ่งมาติดต่ออาจารย์ ขอนิสิตหญิง ที่กำลังจะจบไปทำงานเป็นหัวหน้า แผนกหนึ่ง ที่บริษัทเขา ซึ่งมีแต่ผู้หญิงทำงาน อาจารย์เลยส่งดิฉันไป
ถาม: เพราะสอบได้เกียรตินิยมหรือเปล่าคะ
ก็ด้วยค่ะและเพราะอาจารย์เห็นว่าเรารับ ผิดชอบงานดี ส่งไปอาจารย์จะได้ไม่เสียชื่อ จากนั้น ดิฉันก็ไปเรียนต่อโท ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) รัฐบาลแคนาดาให้ทุน แล้วก็ไปทำงาน ที่บริษัทผลิตยาที่นี่ล่ะค่ะ ที่ได้เข็มทอง พนักงานดีเด่น
ถาม: ช่วยเล่าเรื่องชีวิตคู่สักหน่อยนะคะ
ขณะที่เรียนปริญญาโทอยู่ที่ AIT ก็พบกับสามีซึ่งกำลังเรียนปริญญาเอกอยู่ที่เดียวกัน เราแต่งงานกันมีลูก๒คนและต่างคนก็ยังทำงานอยู่ ตอนนั้นสามีเป็นนอาจารย์อยู่ที่จุฬาฯ เขาก็ทำหน้าที่รับส่งลูกไปโรงเรียน ต่อมาสามีทำธุรกิจส่วนตัว ก็เลยให้ดิฉัน ออกจากงาน มาดูแลลูก
ถาม: ช่วงที่ลูกไปโรงเรียนคุณวนิดาทำอะไรคะ

ก็ไปช็อปปี้งเดินศูนย์การค้าไปทัวร์ ต่างประเทศบ้างลากพี่น้องไปด้วยหลายคน เพราะฐานะ ทางบ้าน เริ่มดีขึ้นหลังจากที่สามี ออกมาทำธุรกิจส่วนตัวเราก็กลายเป็นคน ใช้เงินแบบคนทั่วๆ ไป
ถาม: สนุกไหมคะชีวิตช่วงนั้น

ก็สนุกดีเหมือนกันไปแล้วก็มาคุยกันว่า ฉันไปมาแล้วนะที่นั่นที่นี่
ถาม: แล้วเป็นไงมาไงถึงมาเจอวัดคะ
ที่จริงแล้วบ้านอยู่ไม่ไกลจากสันติอโศก ช่วงนั้นสนใจศาสนาแบบ ไสยศาสตร์ ไปหาพระ เพื่อดูหมอ อ่านหนังสือ ประเภทอิทธิฤทธิ์ อยากมีหูทิพย์ตาทิพย์อยาก บรรลุอรหันต์ เผอิญมีน้ามาบวชที่ สันติอโศกกับพระโพธิรักษ์ ดิฉันก็ได้ข่าวว่า พวกนี้ไม่กิน เนื้อสัตว์กินแต่เปลือกกล้วย เปลือกมังคุดอะไรทำนองนี้ ก็เลยคิดว่า ทำไมถึงได้ เพี้ยนอย่างนี้ จึงยังไม่คิดมา แต่พระก็พยายาม เอาหนังสือไปทิ้งไว้ให้อ่าน ดิฉันก็ลอง พลิกๆ แสงสูญดู ปรากฏว่าอะไรนี่ ทำไม มีแต่ด่าคนอื่น ใครๆ ก็ไม่ดี ก็ยังไม่สนใจอีก จนได้เท็ปเสียงปลุกมาฟัง และได้หนังสือชื่อ พระพุทธองค์ทรงสอน เล่มนี้อ่าน แล้วรู้สึก สะดุด รู้สึกจะมีทางไปแล้ว เพราะตอนที่อ่าน จากหนังสืออื่นๆ เขาจะสอนว่า ให้เรา ปฏิบัติธรรม ด้วยการนั่งหลับตาให้หลับตาภาวนา ไปเรื่อย จนสักวันหนึ่ง เมื่อบารมี เราถึงจุด เราก็จะบรรลุอรหันต์เอง แต่หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ เขาบอกว่า ปฏิบัติธรรม ต้องเป็นไป ตามขั้นตอน โลก มี ๔ โลก ๑.โลกอบาย ซึ่งต้องละ อบายมุขก่อน ๒. โลกกาม ๓. โลกธรรม ๔. โลกอัตตา พอได้รู้อย่างนี้ ก็คิดว่าเรามีหวังแล้ว สามารถเริ่มต้นที่ ก.ไก่ หรือ บันได ขั้นที่ ๑ ก็เลยเริ่มมาศึกษามาปฏิบัติ พอเริ่มลงมือก็เจอ ข้อ ๑ เข้าไปเต็มๆ เรื่องโลกอบาย เพราะเรามีอยู่เพียบเลย ทั้งเล่นไพ่และกินเหล้า
ถาม: เลิกยากไหมคะ

กว่าจะเลิกได้ขนาดต้องไปตั้งสัจจะกับพระมีท่านถิรจิตโตที่ดิฉันไปหาบ่อยเพื่อขอ คำปรึกษาท่านเคยขอให้ท่านช่วยด่าแรงๆ จะได้เลิกเล่นไพ่ ท่านก็บอกว่าอาตมาไม่ด่า คุณหรอก เพราะคุณทำอย่างไร ก็ได้อย่างนั้น เลยยิ่งเจ็บปวดใหญ่เลย ดิฉันจึงใช้วิธี ตรวจศีล ส่งท่านว่าวันนี้ผิดศีลอะไรบ้าง พอถึงข้ออบายมุข ก็ผิดอยู่เรื่อย ท่านก็เขียน เตือนมา จนในที่สุด ก็ตัดสินใจเลิก ช่วงที่ปฏิบัติใหม่ๆ ไฟแรง เลิกได้หลายปี เพื่อนๆ บ่นกันใหญ่ว่า ขาไพ่ขาดขาใหญ่เสียด้วย ดิฉันบอกเพื่อนว่า เลิกเล่นแล้ว ไม่ต้องมาชวน เพื่อนก็งงกัน ว่าเอะ! สันติอโศก เป็นนยังไง จึงทำให้ดิฉันเลิกเล่นไพ่ได้ ดิฉันเลิกได้ อยู่หลายปี จนมาเจอเพื่อนอีกที เพื่อนบอกไม่เจอกัน ตั้งนานแล้ว ไปสังสรรค์กันสักที ไม่เป็นไรหรอก ดิฉันก็ใจอ่อนเออ! เอา ก็เอานานๆ ทีไม่เป็นนไร
ถาม: ฝีมือยังดีอยู่ไหมคะ

ดีค่ะ เสียตลอดเลย ก็คงอย่างที่พ่อท่านว่า “ได้แล้วมันก่อเวร” ถ้าเสียก็เป็นวิบาก แต่ไม่ก่อเวร เพราะไม่มีใคร อาฆาตเรา ดิฉันไม่มีดวง ทางการพนัน แต่ใจรัก ได้เล่นแล้ว มันสนุก
ถาม: อบายมุขอื่นๆ ล่ะคะ

ก็กินเหล้าสูบบุหรี่ บุหรี่นี่ ถ้าเล่นไพ่ ก็จะสูบบุหรี่ไปด้วย มันจะเท่ดิฉันหัดสูบบุหรี่ ตอนเรียน วิศวะฯ เป็นค่านิยม ที่ไม่ถูกหรอกค่ะ แต่ก็สูบมาเรื่อย จนหมอที่ตรวจร่างกาย บอกว่า ถ้าคุณไม่เลิกสูบ เป็นมะเร็งแน่นอน ก็เลยเลิกเด็ดขาด
ถาม: แล้วเข้ามาช่วยงานวัดเต็มตัวทางบ้านไม่ว่าอะไรหรือคะ

ดิฉันโชคดีทางบ้านลงตัวมีคุณแม่สามีน้องสาวสามีช่วยดูแลมีเด็กลูกจ้างอีก๒คน ส่วนลูกก็ไปเรียนต่อต่างประเทศ ทั้ง ๒ คน เพราะฉะนั้น ตื่นเช้าก็ไปวัดได้เลย ไม่มีอะไร ต้องดูแลรับผิดชอบ ดิฉันมาถึงวัดไม่เกิน ๘ โมงเช้า บางทีทำงานถึง ๒ทุ่มไม่แน่นอน
ถาม: ทำงานหนักขนาดนี้ได้เงินเดือนไหมคะ

เงินเดือนศูนย์บาทค่ะแต่ดิฉันได้กินอาหารที่ดีจากทางวัดอาหารครบหมู่มีคุณค่า ปลอดสารพิษ ทำให้สุขภาพแข็งแรง
ถาม: มาที่วัดทำอะไรบ้างคะ

งานที่ดูแลอยู่เวลานี้ คือ ที่ศาลา ๑ ไปเปลี่ยนเวรขายผัก ยิ่งถ้าเสาร์-อาทิตย์นี่ ต้องมา ช่วย ไม่ช่วยไม่ได้เลย เพราะลูกค้า เยอะมาก ทำการเงินด้วย ดูแล ชมร.จตุจักร ดูแล กองบุญสวัสดิการ ทำ เกี่ยวกับการเงินเป็นส่วนใหญ่ ที่จริงตอนมาแรกๆ ก็มา แบบประเดี๋ยว ประด๋าว ฟังธรรมวันอาทิตย์ แล้วก็กลับ อาทิตย์ละหนพอดีเห็น ป้ายว่า ถ้าญาติธรรมท่านใด สนใจจะรับงาน ไปช่วยที่บ้าน ให้ติดต่อที่ สิกขมาตุบุญจริง ดิฉันก็ดีใจ รีบไปติดต่อ ท่านก็ให้เท็ปมาถอด และ พิมพ์เก็บเข้าเล่ม พิมพ์ดีด ก็ไม่เป็นหรอกค่ะ แต่ใจรัก พิมพ์ก็อกๆ แก็กๆ เป็นเดือน สามีมาเห็นก็ว่า เขาใช้ คอมพิวเตอร์ กันแล้วตอนนี้ เลยซื้อคอมฯ มาและให้ดิฉัน ฝึกใช้ ดิฉันก็ช่วยงานพิมพ์ เรื่อยมา จนพ่อท่านดำริจะสร้าง ศาลาวิหารก็มีคนมาบอกว่า “พี่วนิดา ช่วยติดต่อ ให้สามีพี่ มาช่วยได้ไหม” เพราะเขาเป็น วิศวกรโครงสร้าง เขาก็ยินดี ทีนี้เลย มาช่วยกัน ทั้งสามี และ ภรรยา ช่วงนั้นสนุกมาก งานวิหารก็ยุ่ง ยังต้องออกตระเวน ไปดูที่อื่นๆ ว่าเขาตกแต่งวิหาร ตกแต่งหินกันอย่างไร บางแห่ง เขาสร้างไปไม่รู้กี่พันล้านบาท งบเยอะ แต่ของเรางบน้อยมาก และงานบางช่วง ก็มีปัญหา ดิฉันทุกข์มาก เพราะเป็นคนทำอะไรแล้ว ต้องทำให้ดี ดิฉันเป็นคน ใจร้อน ขี้กังวลด้วย เลยทุกข์ไปกันใหญ่ ท่านธัมมาวุโธ เคยบอกว่า “คุณน่ะโง่เล่นทุกข์ ล่วงหน้า เหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้นเลย คุณก็ทุกข์ไป ก่อนคนอื่น เขาเป็นนานสองนาน ”ดิฉันมาคิดก็เห็นจริง เดี๋ยวนี้ก็พยายามตัด ที่จะไม่ทุกข์ล่วงหน้า
ถาม: ทำไมถึงไปขายผักอยู่ที่ศาลา ๑ ได้คะ

ดิฉันเห็นคุณปะศิริพรทำงานศาลา ๑ ขายผักเสร็จกลางคืนก็ต้องมาคิดบัญชีตื่นตี ๒ ไปทำงานเห็นคุณปะเพลียมาก ดิฉันเลยอาสาว่าจะช่วยทำบัญชีศาลา๑ให้เขาทำงาน เสร็จจะได้ไปนอนได้เลยไม่ต้องมาทำบัญชีอีกพอจะทำเรื่องเงินก็ต้องเดินไปเก็บบัญชี ที่ร้านศาลา๑ เห็นงานเยอะ แต่มีคนอยู่ไม่กี่คน เลยต้องโดดลงไปช่วยเขา เพราะเห็นใจ ทีนี้เข้าไปแล้วออกมายากค่ะ เพราะขาดคนจริงๆ (ปะแปลว่า ผู้ปฏิบัติ เป็นขั้นตอนแรก ของผู้เตรียมตัวบวช) ลูกค้าก็น่ารัก ชื่นชมร้านเราว่า ทำไมขายได้ถูก อยู่ได้เหรอ ก็เลยบอกเขาว่า พวกเรา เป็นอาสาสมัคร มาทำงาน ไม่มีเงินเดือน ของจึงถูกได้ เพราะไม่ต้อง จ่ายค่าจ้าง ร้านเราเปิดตั้งแต่ตี ๕ จัดผักจัดผลไม้ สารพัดทุกอย่าง ต้องใช้แรงงาน และเวลามาก ถ้าดิฉันไปช่วยหน้าร้าน เขาก็จะเบาขึ้นไปทำอย่างอื่นได้ ไม่ต้องทำๆ หยุดๆ มาคิดเงิน
ถาม: แล้วไม่รู้สึกอะไรหรือคะว่า ตัวเองเป็นถึงวิศวกร จบจุฬาฯ ฐานะก็ดี แต่มากลายเป็น แม่ค้าขายผัก

รู้สึกภูมิใจที่เราทำอะไรก็ได้ ลูกค้าบางคน เห็นดิฉันคิดเงินก็จะ ถามว่า ทำไมคิดเก่ง คิดเร็วขนาดนี้
ถาม: มีอุปสรรคบ้างไหมคะ ในการทำงาน

มีแน่ค่ะดิฉันต้องศึกษากิเลสตนกิเลสเพื่อนร่วมงานต้องพยายามลดละ รู้เท่าทันกิเลส เราเห็น คนอื่นโกรธ ก็จะพยายาม ไม่ทำอย่างเขา
ถาม: เคยคิดบ้างไหมคะว่าเราอยู่บ้านก็สบายดีแล้วทำไมต้องมาหาเรื่องที่วัด

ไม่เคยเลยค่ะกลัวแต่จะไม่มีงานทำเรื่องที่จะกลับไปอยู่บ้านสบายๆ ไม่เคยคิดเลยค่ะ
ถาม: มีอะไรจะฝากเกี่ยวกับเรื่องงานเรื่องความขยันบ้างไหมคะ

พ่อท่านบอกว่าคนเราเกิดมาก็เพื่อตายก่อนตายก็น่าจะทำอะไรให้เป็ยนประโยชน์ต่อโลก ต่อตัวเองไม่ใช่หายใจทิ้งไปวันๆ ดิฉันศรัทธาพ่อท่านมากจึงมีปีติหล่อเลี้ยงแม้เวลาจะ ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ดิฉันได้รู้จักอโศกมา ๑๕ ปี ยังมีปีติเหมือนเดิม ไม่เคยคิด อยากหยุดงาน ชั่วโมงไหนที่ไม่มีอะไรทำ ก็ต้องเดินหาว่าจะทำอะไรดี บางทีก็เอา หนังสือธรรมะมาอ่าน ดิฉันได้ฝึกตัวยอมมากขึ้น แรกๆ ยากต่อไปก็ง่ายขึ้น รวมทั้งตัวสัมมาคารวะด้วย เพราะเรา ใจร้อน พูดอะไรแล้ว ดูแข็งห้วน เราก็ฝึกมีสติ ฝึกทำอะไรให้ช้าลง เสียงพูดอ่อนโยนขึ้น ไม่งั้นจะดูเหมือนไปดุคนอื่น
ถาม: มีข้อบกพร่องที่อยากแแก้ไขและทำให้ดีกว่านี้ไหมคะ

มาใหม่ๆ ดิฉันตั้งเป้า อยากบวชเป็นสิกขมาตุ แต่ตอนนี้ไม่เอาแล้ว แค่ทำงานรับใช้ ศาสนารับใช้พ่อท่านไปจนกว่าชีวิตจะหาไม ่ให้ดีที่สุด สุดกำลังของตนเอง ตั้งเป้าไว้ แค่นี้ค่ะ
ถาม: ทางสายนี้คิดว่าเลือกดีแล้วยังคะ

เลือกถูกต้องแล้วค่ะ และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นค่ะ

(น่ารู้จัก โดย ผ.ศ.รัศมี กฤษณมิษ ดอกหญ็า อันดับที่ ๙๖)