หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

มองไปข้างหน้า
กับการเปลี่ยนแปลงของโลก (ตอน ๑)
ดร.นิติภูมิ นวรัตน์
บรรายที่ราชธานีอโศก ในงานปีใหม่อโศก'๔๕ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๔

วันที่ ๓๑ ธันวาคมของทุกปี ตั้งใจว่าจะมาที่นี่ เฉพาะวันนี้วันเดียว ได้รับชักชวนน่าจะเกิน ๒๗ แห่ง มาได้จริงๆ ก็แค่ ๓ แห่ง ในคืนนี้ ก็จะมีประมาณ ๒ ทุ่ม อีกแห่ง เที่ยงคืนอีกแห่ง คืนนี้คงไม่ได้นอน ต้องตระเวนไปเรื่อยๆ แต่มันก็ดีอย่าง ผมว่า ในสังคมจริงๆ เขารับข่าวคราวจากสื่อ แล้วสื่อบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็น สื่อทางโทรทัศน์ สื่อหนังสือพิมพ์แล้ว โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง สื่อโทรทัศน์ และสื่อหนังสือพิมพ์ เป็นสื่อที่ผม อยากบอกว่า มักจะเชื่อไม่ค่อยได้ ถามว่า มีอคติไหม ผมเองแต่เดิม ที่จะมาเขียน หนังสือพิมพ์ ผมคิดว่า หนังสือพิมพ์ เป็นสื่อที่ผม ไว้เนื้อเชื่อใจได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

แต่พอวันนี้จะเขียนหนังสือพิมพ์ วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ จะเขียนครบปีที่ ๕ แล้ว ความไว้เนื้อเชื่อใจ ในหนังสือพิมพ์ ก็ลดลงไปเรื่อยๆ เพราะว่าจะมีผลประโยชน์ เยอะแยะไปหมด ผมไม่ได้หมายถึง หนังสือพิมพ์ ฉบับใดฉบับหนึ่ง แต่พูดถึง หนังสือพิมพ์ในบ้านเรา ซึ่งไม่เหมือนกับหนังสือพิมพ์ ในบางประเทศ เช่น หนังสือพิมพ์ ของประเทศ ที่เขามีหนังสือของรัฐ หรือของหน่วยงาน มันก็มียกตัวอย่าง เช่นสมมติ ถ้าผมเป็นหน่วยงานใหญ่ๆ แล้วผมจะไม่อยาก ให้หนังสือพิมพ์โจมตี ผมก็เพียงแต่เอาโฆษณา ไปลงไว้สักเดือน โฆษณาหน้าหนึ่งนั้น ตกประมาณ ๔ แสนบาท ถ้าเป็นฉบับใหญ่ๆ ถ้าเอาไปยันไว้ สักเดือน ๔x๓ = ๑๒ วันละ ๔ แสนบาท ๑๐ วันก็ ๔ ล้านบาท เพียงเดือนเดียว ปาเข้าไปถึง ๑๒ ล้าน แล้วหนังสือพิมพ์ ไปชักออกเดือนเดียว ซึ่งก็โอนเอนทันที

ต่อไป ผมคิดว่าสื่อบ้านเราจะต้องระมัดระวังขึ้นเรื่อยๆ อย่างสื่อโทรทัศน์ พอมาเริ่มทำงาน ภาพต่างๆ หลายภาพ เขาก็ไม่ให้เอาออก เช่น ภาพเด็กตายในอัฟกานิสตาน จริงๆ แล้วมันน่าจะเอาออก ให้เห็นว่า เด็กเขาตาย กันยังไง ผมไปอิรักมา ก็มีสภาพของเด็ก ที่เป็นโรคมะเร็ง ตั้งแต่อายุ ๒-๓ ขวบ เป็นเรื่องน่าแปลก โรงพยาบาล แทบทุกแห่ง จะมีเด็กเป็นร้อยๆ พันๆ คนที่เป็นโรคมะเร็ง ซึ่งเกิดจากอาวุธเคมี แบบชีวภาพ ที่สหรัฐอเมริกา กับอังกฤษไปหย่อนไว้ แต่พอจะเอามา ออกทีวีจริงๆ ภาพเหล่านี้ ออกไม่ได้เลย ถ้าท่านสำรวจ หนังสือพิมพ์ต่างๆ เดี๋ยวนี้จะเห็นเป็นภาพ ที่ยั่วกิเลสมาก ข้างหน้าจะเป็น ภาพโป๊มากขึ้น ถามว่าเห็นด้วยไหม เราทำงานในหน่วยงานไหน บางสิ่งก็เห็นด้วย บางสิ่งก็ไม่เห็นด้วย แต่ผมก็ยัง ตัวเล็กเกินไป แล้วก็ไม่ได้เป็น เจ้าของหนังสือพิมพ์ด้วย

ในทางโทรทัศน์ก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้เริ่มมีเป็นค่านิยม ที่เพี้ยนไปเยอะแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไหลมาจากตะวันตก ในหลายประเทศ เขาให้รายงานข่าวไปพร้อม ปลดเสื้อผ้าไปเรื่อยๆ ที่ประเทศบัลแกเรียเอง ซึ่งถ้าย้อนหลังไป ๑๕ ปี เป็นประเทศเรียบร้อยมาก เพราะเขาเคยใช้ระบบ การปกครองแบบ สังคมนิยม พูดง่ายๆ ว่า เคยเป็นแบบ คอมมิวนิสต์ เรียบร้อยมาก ถึงแม้ไม่ใช่มุสลิม ก็จะมีผ้าสามเหลี่ยมผืนใหญ่ รัดผมเรียบร้อย แล้วเวลาแค่ ๑๐ ปี เท่านั้นเอง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นต้นมา ไม่น่าเชื่อว่าบัลแกเรีย จะเป็นประเทศอย่างนี้ หน้าจอทีวีนั้น พอเขาเริ่มกระจายข่าว ไปได้ ๒-๓ นาที ก็ปลดเสื้อนอกออก พูดไปได้อีก ๕ นาที ก็ปลดกระโปรงออก พูดไปได้พักหนึ่ง ก็ปลดยกทรงออก มันเป็นอย่างนี้ แล้วเดี๋ยวนี้ ได้ข่าวว่า มีหลายประเทศ เริ่มจะเป็นอย่างนี้ ต่อไปสังคมจะเสื่อม ที่เสื่อมนี่ เสื่อมเพราะสื่อ จริงๆ สื่อน่าจะทำ ให้สังคมดี แต่ปรากฏว่า สื่อนั้นกลับทำให้ สังคมเสื่อม

การที่สังคมเสื่อมอย่างนี้ ผมก็คิดว่า การจัดพูดลักษณะนี้ ที่เห็นหน้าเห็นตากันแล้ว ก็จัดพูดขึ้นมา ตอนนี้เยอะ มากเลยน่ะ ผมพึ่งกลับมา จากภูเก็ต ไปพูดเมื่อ ๓-๔ วันที่แล้ว ไม่น่าเชื่อ ว่าอะไรมันเกิดขึ้นอย่างนี้ รถจอดยาว ประมาณ ๕-๖ กิโล เขาจัดให้พูด ประมาณ ๓ ชั่วโมง รถจะจอดสองข้างทาง ผู้คนมาจากทั้งกระบี่ จากทั้งสตูล พังงา และภูเก็ต คือ เขาอยากฟัง เห็นหน้าเห็นตา สุขภาพผมเอง คงพูดได้สักปีหน้าปีหนึ่ง ปีต่อไป คงจะพูดไม่ไหวแล้ว เพราะคอไม่ไหวจริงๆ แต่ก็จะต้อง มีคนพูดขึ้นมาใหม่ๆ ดังนั้นการพูด การจัดลักษณะนี้ ผมอยากจะให้เกิด เพราะมันเป็น การสื่อสารทางหนึ่ง แล้วมันได้ผลจริงๆ บางทีอ่านจากหนังสือพิมพ์ ดูจากโทรทัศน์ มันมีหลายอย่าง ที่ไม่สามารถ จะพูดได้แล้ว

จะเห็นว่าประเทศที่เขาปฏิวัติสมองคนได้นั้น ประเทศรัสเซีย สมัยก่อนเขาปฏิวัติคน เขาปฏิวัติจากไหนก่อน จากสมองคน ประเทศจีน เวียดนาม ก็เหมือนกัน เขาปฏิวัติจากการพูดจากัน ในประเทศอย่างเราๆ คงไม่มีการ ปฏิวัติอะไร ยกเว้น เป็นการปฏิวัติความคิด เพราะมันมีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ในความคิดที่เรียกว่า เป็นเศษขยะ ที่เกาะอยู่ตามความคิด เต็มไปหมด ถ้าเราไม่ปฏิวัติ ขยะก็จะสะสมขึ้นมาเรื่อยๆ พอขยะสะสมมากขึ้น วันหนึ่งพอมัน แข็งแรงขึ้นมา มันก็จะ กลายเป็น แกนความคิดไปเลย

เดี๋ยวนี้เราจะเห็นว่า นักเรียนไทยชั้นมัธยม ถ้าเป็นนักเรียนชายนั้น มันเป็นประเพณีไปได้ยังไงไม่รู้ เป็นการโทรม เพื่อนหญิง ถ้าคนไหนผ่าน มัธยมต้นมาน่ะ แล้วไม่ได้เกาะกลุ่มไปสัก ๔-๕ คน ไปเอาเพื่อนนักเรียนหญิงไปโทรม เขาถือว่าคนเหล่านี้ ไม่ได้ผ่านชั้นมัธยม มันเริ่มกลายเป็น ประเพณีที่เลวมากแล้ว ผมจะใช้คำว่า เลวทรามมาก นี่แหละ เราต้องใช้สื่อ และจะต้องใช้ การพูดจาอย่างนี้ เพื่อกำจัดขยะเหล่านี้ออกไป

ผมเพิ่งกลับมาจากเวียดนาม ไปบ่อย บางทีชาวอโศกท่านทั้งหลาย คงจะเบื่อเรื่องของเวียดนาม เต็มทีแล้ว แต่ถึงจะเบื่ออย่างไร ประเทศนี้ ก็เป็นตัวอย่างที่ดีพอสมควร แก่ประเทศเรา ในบางแง่ ของเราก็มีดีกว่าเขามาก ในบางมุม

ถ้าเราสามารถจะเอาดีของเรามาส่วนหนึ่ง กับเอาส่วนดีของเขามาส่วนหนึ่ง สองอย่างเอามาบวกกัน มันก็มีแต่ดีกับดี ถ้าเอาสองอย่าง บวกกันได้ ก็กลายเป็นมหาดี ดียกกำลังสอง แล้วผมก็เอาออก ในรายการไอทีวี เป็นรายการ ๒ ทุ่ม ๔๐ ถึง ประมาณ ๓ ทุ่มกว่า ตอนนี้ก็ให้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง เราไปเจอชั้นเรียนภาษาไทย พึ่งเรียนได้ประมาณ ๑๐ เดือน เท่านั้นเอง แต่คนที่เรียนนั้น สามารถพูด อ่าน เขียน เป็นภาษาไทย อย่างที่ผมพูดอย่างนี้เลย และ ในกรุงฮานอย มีอยู่ ๒ แห่ง ที่เขาสอน แห่งละ ๓๐ กับ ๓๐ รวมกันเป็น ๖๐ แล้วคน ๖๐ ไปไหนเจอใคร ก็พูดจาได้อย่างนี้เลยครับ ใช้คำราชาศัพท์ ได้ถูกต้อง ใช‰คำของทางพระได้หมด นี่พูดถึงประสิทธิภาพ ของการพัฒนาคนของเขา

หันกลับมาดูของเราครับ ของเราทำไมครับ ๑๐ ปี หรือบางที ๑๒ ปี บางคนเรียน ภาษาอังกฤษ ABCD.... ตั้งแต่ ป.๑ จนถึงชั้น ม.๖ หมายความเรียนทั้งหมด ๑๒ ปี บางคนยังอ่านพูด ภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่ของเขาใช้เวลาแค่ ๑๐ เดือน เท่านั้นเอง ในการสอนภาษาไทย เขาพูดเขาอ่านเขาเขียน เขียนบทความ เขาก็เขียนได้ ในบ้านเรา ยังมีอะไร อีกเยอะมาก ที่เราต้อง มาใช้สื่ออีกแบบหนึ่ง เป็นสื่อในทางนี้แหละ แล้วผมค่อนข้างที่จะดีใจมาก ที่ทราบว่าขณะนี้ มีหลายหน่วยงาน ไว้เนื้อเชื่อใจชาวอโศก ใช้ทางแบบชาวอโศก ในการพัฒนาคน

นี่คือสิ่งที่อยากเห็นมาก ย้อนหลังไปเมื่อประมาณสัก ๑๐ ปีที่แล้ว คนยังไม่เข้าใจเรา ผมเองก็เป็นคนหนึ่ง ที่ยัง ไม่เข้าใจด้วย ก็ยังไม่รู้ คนกลุ่มอโศก ทำอะไรกันบ้าง แต่พอมาวันนี้ สังคมเริ่มเข้าใจ รู้สึกตื้นตันใจ จัดงานที่นครปฐม ที่มีชาวไนจีเรียมา ท่านผู้ว่าฯ จังหวัดนครปฐมก็ไป ท่านพลตรีจำลอง ศรีเมือง ก็ไปต้อนรับขับสู้ ผมทราบว่า เมื่อวานนี้ ท่านผู้ว่าฯ จังหวัดอุบลราชธานี ก็มาที่นี่ พอฟังแล้ว รู้สึกขนลุกซู่ นี่แสดงว่า หน่วยงานราชการ เขายอมรับ

และผมทราบว่า ทางกลุ่ม ธ.ก.ส. ก็ส่งคนมาอบรมกับพวกเราหลายสิบรุ่นแล้ว เราได้มีโอกาส ปลูกเมล็ดพันธุ์อย่างนี้ ขึ้นมา ผมเชื่อว่า ถ้ามีอย่างนี้ขึ้นมา เราไปรอด แต่เดิมก็ไม่รู้ว่า จะมีที่ไหนบ้าง ที่จะเอาชาติบ้านเมืองรอด เพราะใน ความเป็นจริง ถ้าท่านอยู่ใน วงการสื่ออย่างผม อยู่ในวงการระหว่างประเทศอย่างผมบ้าง แล้วเรามอง ประเทศ จากข้างในออกไป มองประเทศ จากข้างนอกเข้ามา เราจะเห็นว่า มีอะไรหลายอย่างที่เกาะกิน จนกระทั่งว่า เรารู้สึก ตระหนกตกใจ แต่ไม่รู้ จะไปร้องแรก แหกกระเชอกับใคร

เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ที่ผ่านมา ผมได้เต้นรำกินข้าว กับท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของลาว ท่านเป็น รองนายกรัฐมนตรีด้วย บังเอิญไปแถวหน้ารามคำแหง มีการจัดงานเลยสังสรรค์กัน ในระหว่างสังสรรค์ เฮฮากัน ท่านก็จูงมือผม ไปนั่งคุยกัน ในห้องสองต่อสอง ท่านปิดห้อง เล่าอะไรให้ฟัง ฟังแล้วหนาวสะท้าน ในข้อมูลบางอย่าง

ดังนั้น สิ่งที่ผมอยากจะทำในอนาคต ไม่ทราบว่าท่านหัวหน้าพรรคเพื่อฟ้าดิน (คุณขวัญดิน สิงห์คำ) จะอนุญาต หรือเปล่า ผมอยากจะเรียนเชิญ รองนายกรัฐมนตรี และท่านรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงต่างประเทศของลาว มาคุยให้ชาวอโศกฟัง ท่านคงจะคุย เปิดอกไม่ได้ เหมือนคุยกับผม แต่ในหลายๆ อย่าง ผมคิดว่า มีแนวทาง พัฒนาประเทศ คล้ายๆ กัน เป็นการพึ่งตนเอง เหมือนกับของ ในหลวงเรา เหมือนกับชาวอโศกด้วย จังหวัด อุบลราชธานี ก็ไม่ไกลจากลาวด้วย ผมว่าโอกาส จะร่วมมือกันได้มันมี และ น่าจะเป็นประโยชน์อย่างสูง

พอฟังของลาวแล้ว ก็ยังไม่น่าตกใจเท่ากับไปฟังของพม่า พม่าจะมีผู้นำ ท่านตันส่วย ขิ่น ยุ้นต์ วันหนึ่งผู้ใหญ่ ในบ้านเมืองเรา ก็เอาบทความของผม ที่เขียนเกี่ยวข้องกับพม่า คือวันหนึ่ง ผมไปประเทศมาเลเซีย แล้วไปเห็น บทความ ของประเทศ สิงคโปร์บ้าง ของมาเลเซียบ้าง ที่เขียนโดยฝรั่งเศส เอามาขาย ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เราก็รู้สึก ไม่ค่อยสบายใจ เลยมาเขียนโต้ตอบ ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ว่าความสัมพันธ์ ระหว่างรอบๆ บ้านเรานี่ สงสัย มันน่าจะมี ตัวชักใย ทำให้เราทะเลาะ เบาะแว้งกันหรือเปล่า

แล้วทางของพม่า เขาขนาดแปลบทความ ของนักเขียนแต่ละคน ของเวียดนามก็ทำ พม่าก็ทำ ทำเสร็จแล้ว ก็ส่งให้ ผู้ใหญ่อ่านดู วันหนึ่ง มีพลเอกท่านหนึ่ง ก็ได้นำบทความของผม ให้พันโทท่านหนึ่งแปล แล้วนำไปให้ผู้ใหญ่ ของพม่าอ่าน ปรากฏว่าพอไป ผู้ใหญ่สูงสุดของพม่า เขาบอกว่า อ่านบทความนี้แล้ว

ถ้าสื่อจะทำหน้าที่ ก็ทำหน้าที่เชื่อมโยงประสานได้เหมือนกัน แล้วผมไปพม่า เขาก็นำผู้นำพม่าคนหนึ่ง ที่อายุ เท่ากับผม โดยปกติ ผู้นำพม่าจะต้อง ๖๐ กว่า แต่เขาจัดผู้นำไว้คนหนึ่ง เป็นลำดับ ๓ ของวงการข่าวกรอง และเป็นยศพันเอก

มีคนกระซิบบอกผมว่าคนนี้ ต่อไปในอนาคต จะต้องไต่ไปเป็นผู้นำของพม่า ทางการพม่า อยากจะให้เจอกันไว้ก่อน นั่งคุยกันนานมาก ผมไปโดยเครื่องทหาร บังเอิญผมเป็นที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของฝั่งไทยด้วย เขาก็จัดห้อง ให้เราคุยกัน ๒ คน พอคุยฟังข้อมูล เราก็ตกใจ นี่เราขนาดเป็นสื่อ ยังไม่เคยรู้เรื่องมากขนาดนี้ เขาอยากจะให้ เรารับทราบได้

วันหนึ่งผมไปประเทศมาเลเซีย ไปกับท่านวันนอร์ เรื่องเกี่ยวกับรถไฟ จะไปพบกัน ท่านมหาเดร์ มุฮัมหมัด ซึ่งเป็นนายก รัฐมนตรี ผมก็เป็นคนที่สนใจ รถไฟเหลือเกิน เลยไปเชิญประธานบอร์ดรถไฟ ของมาเลย์มานั่งคุย เราก็เอา ประธานบอร์ด คุณวีระ มุสิกพงศ์ไป และเชิญผู้ว่าการรถไฟไปด้วย ก็ประชุมกัน เจอนักการเมืองมาเลเซีย ได้นั่ง แลกเปลี่ยน ข้อมูลกันอีก แล้วผมเป็นคน ปากไม่ค่อยอยู่สุขด้วย แม้ว่ามาเลเซียให้ข่าวกับเราไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่เป็นเรื่องที่ เขาเรียกว่า สิ่งที่ ประเทศไทย น่าจะทำ แต่เราไม่ทำ กลับมาคิดว่า จะมีเปลี่ยนแปลงพอสมควร โดยเฉพาะเรื่อง ทางด้านรถไฟ

สิ่งที่น่าจะเกิด ก็ไม่เกิด แต่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง เพราะมันถูกมาก ถ้าเรามีการรถไฟดีๆ และทุกประเทศ ก็เห็นพ้อง ต้องกันว่า จะพัฒนารถไฟ

ผมไปเวียดนามคราวนี้ เจอผู้หลักผู้ใหญ่บ้าง แม้จะไม่ใช่ระดับสูงสุด แบบที่ไปพม่า ลาว มาเลเซีย แต่ก็ได้เจอ ระดับที่พอ จะคุยกันรู้เรื่อง ผมเห็นว่าทุกคนตั้งใจจะพัฒนา และเดี๋ยวนี้ เขาประสานงานกันหมด คือไม่มีประเทศใด ประเทศหนึ่ง ทำงานคนเดียว ประเทศที่ทำงานคนเดียว ต่อไปจะไปไม่ได้ เดี๋ยวนี้ท่านฮุนเซ็น ที่เป็นนายกรัฐมนตรีเขมร ก็ทราบแล้วว่า จะทำอะไร ต่อสายตรงมาก่อน

ในยุคท่านทักษิณ เราต้องชมเชยท่านอย่างหนึ่งว่า ท่านไม่ได้สร้างศัตรูกับเพื่อนบ้าน ในยุคของรัฐบาลที่แล้ว เพื่อนบ้าน จะไม่เอากันเลย ทะเลาะกันไปหมด แต่ในยุคนี้ ความสัมพันธ์ก็ปรับปรุงไป เพื่อนบ้านดีใจกันใหญ่ เดี๋ยวนี้ เขาจะเริ่มให้แล้ว เอาผู้ว่า เขมร ลาว เวียดนาม มาฝั่งไทย จะมีการทัวร์ไปมาหาสู่กัน บรรยากาศเริ่มจะดี แต่มันก็ อะไรบางอย่าง ที่ผมเห็นว่า มันมีการซ่อนรูปอยู่ ไม่ทราบว่าจะคุยให้ท่านฟัง ดีหรือไม่ดี

(อ่านต่อฉบับหน้า)

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๑ เมษายน ๒๕๔๕)