หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

กล้าจน... วิถีคนฉลาดมี ‘ วิมุตตินันทะ


เมื่อนึกถึงสภาพยากจนข้นแค้น ใครๆ ต่างกลัวหัวหดแทบทั้งนั้น ยิ่งจนถึงขนาดขาดข้าวลงท้อง เหมือนน้องผู้หิวโหย มันน่าสมเพช กับชีวิตทุเรศบัดซบ ประมาณนั้น ทุกคนไม่อยากเห็นตัวเองต้องเคราะห์ร้าย และล้มเหลวสิ้นดี จนหมดท่า แค่จะหาข้าวยาไส้ยังไร้ปัญญา กลายเป็นว่าจะสู้หมากลางตลาดไม่ได้เสียแล้ว

นี่ก็เปรียบเปรย ให้มันเลยเถิดไปไกลอย่างนั้นแหละ ธรรมดาคนยังไม่ทันจน ถึงขั้นอดอยากปากแห้ง ท้องไส้กิ่ว อะไรหรอก คนย่อมฉลาด หาทางออกเอาตัวรอด ก่อนที่จะทนทุกข์ทรมานหิวโหย

และเพราะนิสัยฉลาดน้อย ไม่ยอมอยู่ด้วยเศรษฐกิจพอเพียง "ถึงจนทนกัดก้อน เกลือกิน" คนจนที่ก่อหนี้สิน มันยิ่งพาจน จมปลักดักดาน

แม้ความยากจนที่ต้องจ่ายค่าโง่ไม่รู้จักเสร็จพวกนี้ เมื่อมารู้ตัวเท่าทัน มันย่อมมีทางแก้กลับใหม่ได้เสมอ เช่น เริ่มต้นกินใช้ ให้มันน้อยกว่าที่ทำมาหาได้ ส่วนเหลือนี้ย่อมทำให้จนน้อยลงทุกวัน หรือรวยเพิ่มขึ้นทีละนิด...

สำหรับคนที่คิดพึ่งตนเอง ย่อมกินใช้ภายใน เฉพาะส่วนที่ตนทำมาหาได้ ตามความจริง คนไม่มีสิทธิ์ ที่จะกินใช้ เกินกว่าที่ตัวเองมี

ทุกคนที่จนยาก หากเข้าใจจุดยืนที่ต้องพึ่งตัวเองตามธรรมชาติของสัตวโลก ทุกชีวิตต่างต้องหากินเองเป็นทั้งนั้น วิสัยคน ย่อมจะต้องหากินเลี้ยงตัวรอดได้ไม่แพ้สัตว์ทั้งหลาย

ขอเพียงขยันกับฝึกฝนสมรรถนะ ให้เป็นทรัพย์ติดตัว ทีนี้จะไม่ต้องกลัวจนยากจนลำบากเพราะมันจะกลับ เป็นเรื่อง จนง่ายจนสบาย

คนไหนมาหัดกล้าจน ใหม่ๆ แม้จะดูจนยาก จนลำบากสักหน่อยบ้าง พอหัดๆ ไป มันจะกลายเป็น จนได้ง่าย จนได้สบาย หรือทนอดทนจนได้ โดยไม่ยากลำบากตรงไหน นักหนา

การหัดกล้าจนให้ลงตัว จริงๆ แล้ว ท่านว่าทำได้ง่าย เข้าเป้าแน่นอน ทิ้งเงินหมื่นเงินแสนวันนี้ มันจนลงทันตาเห็น ตรงกันข้ามกับเรื่องกล้ารวย คนไม่เคยมีเงินหมื่นเงินแสน ไปหาทางรวยมาซิ ให้มันรวยทันทีวันนี้เลย ยิ่งยาก หรือ กว่าจะทำได้ คงต้องคอยเป็นเดือนผ่านปี เห็นไหมว่า กล้ารวยทำได้ยาก ชักช้ากว่าหัดกล้าจน แต่คนก็แข่งกันทำ ในเรื่องยากเย็น แสนเข็ญ

จนอะไรหรือรวยอะไร
คนมักจะเพ่งแต่เรื่องเงินทองของสำคัญ จะต้องจนไม่ได้ จะต้องรวยให้ล้นอะไรเทือกนั้น สำหรับคนที่จนศีล จนธรรม ขาดแคลนปัญญาสัมมาทิฐิ ย่อมจะต้องสำคัญ มีวิสัยทัศน์ได้แค่นั้น

อย่างเช่นเรื่องจนเงินทอง ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โต ถึงไหนๆ ถ้าหากเราไม่ขาดแคลนทุนทางสังคม สิ่งแวดล้อม เป็นต้นว่า คนที่อยู่ในชุมชนเล็กๆ เกาะกลุ่มกันอยู่อย่างพี่น้อง นับถือลุงป้าน้าอาปู่ย่าตายาย มีธรรมชาติไร่นาป่าเขาห้วยน้ำ
สมบูรณ์ เป็นหมู่คนดีพึ่งตนเองได้ครบเครื่องเรื่องปัจจัยสี่โดยเฉพาะ เป็นเขตปลอดอบายมุข แม้ไม่รวยเงินทอง แต่ละบ้าน มีผลผลิตจากไร่นา ออกมาแบ่งปัน แลกเปลี่ยน แบบนี้มันจะไปจนยาก อะไรนักหนา ขอเพียงสมาชิก ขยันกับเก่ง สมรรถนะ ประหยัดกินใช้ เศรษฐกิจหมู่บ้าน ควรจะเหลือกิน เกินใช้ต่างหาก

ดังนั้น เบื้องหลังของความยากจนที่น่าเบื่อหน่าย มักจะมาจากเหตุจนหัวคิด หลงติดค่านิยม ไม่สั่งสมศีลธรรม

ความยากจนขาดแคลน นับตั้งแต่ปัจจัยสี่ เริ่มที่อาหาร หุงหาเองหรือซื้อสำเร็จ ทำกินเอง จะได้เป็นคนเลี้ยงง่าย ถ้าแขวนชีวิต ไว้ที่กับข้าวถุง คงได้ตายผ่อนส่ง

เรื่องกินเป็นข้อใหญ่ที่พาจน จะแก้จนต้องแก้นิสัย ปรับตัวอ่อนน้อมถ่อมตนลงมา ข้าวสารแพง หันมากินข้าวท่อน ก็ยังไหว ข้าวสวยไม่พอกิน เล่นข้าวต้มปนเผือกมันก็ยังดี มีทางเลือกเยอะไป แม้ไก่จะแพงโลด มีคนแนะ ให้กินซี่โครงไก่ ต้มฟัก คนเลี้ยงยาก ก็ต้องเลี่ยงได้แค่นั้นแหละ เผื่อมีปัญญาอีกนิด รู้จักกินฟักแกงส้ม ต้มถั่ว คั่วแกงเลียง ก็เหลือจะเลี้ยง ปากท้องไปวันๆ

ยิ่งดูคนอยากจนแบบชาวอโศก จะต้องไปกินให้ยากทำไมสามสี่ห้ามื้อ สองมื้อก็เหลือแหล่ แม้มื้อที่สาม ก็เต็ม คราบแล้ว มื้อหลังจะพักผ่อนด้วย จะให้สวยต้องช่วยลดให้เบาๆ หน่อย กินน้อยอายุยืน กินมากลำบากโรค

ถัดจากอาหารและยาเป็นเสื้อผ้า ถ้าไม่บ้าตามแฟชั่น มันจะต้องเปลืองอะไรนักเชียว ปีหนึ่งใครจะใส่ขาด สักเท่าไหร่ แต่นี้มันไม่ทันเก่า ซักเบื่อเลยโละทิ้ง จนหาผ้าขี้ริ้วได้ยากเต็มที แค่เสื้อผ้าก็ไม่ฉลาดซื้อใส่ แล้วจะไม่พาจน ยังไงไหว หนอคน

เรื่องเครื่องใช้สอยอื่นๆ ร้อยแปดพันอย่าง จะอ้างจำเป็น ก็หามารกบ้านเป็นขยะได้บานเบิก ความจนที่เกิดจาก กินมาก ใช้เฟ้อเห่อเหิม นับเป็นค่าโง่ส่วนตัวของแต่ละผู้คน ใครอยากรวย คงต้องอุดรูรั่วเอาเอง โดยเฉพาะการกินสูบ
ดื่มเสพ ตามค่านิยม และอบายมุข

รวยอย่างคน จนอย่างพระ
สำหรับคนฉลาดขยัน และเก่งในฝีมือสมรรถนะ ทำงานสำเร็จผลมากปริมาณ เพิ่มพูนมูลค่า ขณะเดียวกัน รู้จักกินใช้ หาได้น้อยย่อมกินน้อย แม้หาได้มากก็ควรกินน้อย แน่นอนว่ามันต้องเหลือเฟือจนรวยล้นตามลำดับ คนที่เข้าใจ หากินหาอยู่ พึ่งตนเลี้ยงตัวรอดแบบนี้ ในพระสูตรท่านว่า เหมือนตาดีข้างเดียว นับว่าสำเร็จผล ทางโลกียะระดับหนึ่ง เบื้องต้นพื้นฐาน

ทางก้าวหน้าสูงขึ้น จึงคือต้องมาบริหารส่วนเหลือกินเกินใช้วันๆ คืนๆ ธรรมดาปฏิบัติคือ สะสมความร่ำรวยเอาไว้ มันคงจะบังเกิดผลตามมาคือ เห็นแก่ตัวมากขึ้น ขี้โลภ ขี้หวง ขี้โมโห เอาแต่ใจตัวเก่งขึ้น ตามประสาคนมีเงิน เป็นอำนาจ รวยเงินแล้ว มีหวังรวยราคะ โทสะ โมหะ เพิ่มพูนทวีคูณโดยอัตโนมัติก็ว่าได้ ใครคิดว่านี้เป็นสูตร พาตัวเองเจริญขึ้น ท่านผู้นั้นย่อมเดินหน้าสะสม เพื่อขอติดอันดับมหาเศรษฐีโลกต่อไป ไม่มีวันจบสิ้น ถ้าไม่ตายเสียก่อน

ความรวยเงินของคนตาดีข้างเดียว ย่อมมีโดยประการฉะนี้แล

มหาเศรษฐีในแดนดินถิ่นแคว้นต่างๆ ย่อมมีมาแล้ว นับไม่ถ้วน ล้วนล้มหายตายจากไปนานา ลงท้ายประสาทกิน บ้าๆ บอๆ มีเยอะไป ถึงอย่างไร ก็ไม่เห็นวิเศษจนเป็นที่บูชานับถือ ของมหาชนต่อๆ มา อย่างเก่ง ก็เทิดทูนกราบไหว้ ในหมู่ทายาทคับแคบ ที่พลอยรวยไม่กี่รุ่น

ขณะเดียวกัน ยังมีคนส่วนน้อยอีกจำพวกหนึ่ง ซึ่งอยากจนแทนอยากรวย อันได้แก่ บรรดาศาสดาทั้งหลายในโลก ที่มหาชนศรัทธา ต่างพร่ำสอนนำพาให้คนกล้าเสียสละ ละลดความเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาเอก ของชาวพุทธ เป็นที่รู้กันดีนักว่าคือ คนจนผู้ยิ่งใหญ่ พวกเราซาบซึ้ง ที่พระองค์เป็นคนจน แบกะดิน แม้ไร้สิ่งสิน แล้วกลับมีปัญญา ตรัสรู้มหาศาล พระองค์อำลา จากชีวิตเจ้าชาย ในวังปราสาท สวมรองพระบาททองคำ โดยหันมาย่ำเท้าเปล่า ฉันข้าววันละมื้อ นอนกลางดิน เดินเทศนา พาคนตัดกิเลส ของสุดรัก สุดหวงแหนดีนัก สุดท้าย จบชีวิตกลางป่าน้อยๆ ใกล้เมืองเล็กๆ อย่างสงบเงียบเชียบ

วิถีชีวิตของพระพุทธองค์ ย่อมนับเป็นมาตรฐานมัชฌิมา ระดับสูงสุด อันไม่ควรเถียงแย้งใดๆ ได้ และเป็นตัวอย่าง ของคนที่เคยมีชีวิตจริง โดยเลี้ยงตัวเอง ด้วยก้อนข้าว จากชาวบ้าน ที่ศรัทธาวันต่อวัน นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาด จากเศษผ้า ปะติดปะต่อกัน เป็นแบบอมตะนำสมัย ไม่ล้าสมัยเร็ว เหมือนแฟชั่น บ้าบวมทั้งหลาย เสร็จแล้ว ทรงเทศนา เผยแพร่เคล็ดวิชาแก้ทุกข์ ให้แก่มนุษยชาติ เป็นแพทย์รักษาโรค ทางจิตวิญญาณ ทรงเปิดเผยสูตร สุดยอดวิชา หมดเปลือก โดยไม่เหลืออะไรปิดบังไว้เลย

พระบรมศาสดาจารย์ ซึ่งทรงประกาศสัจธรรมอันหาค่าบ่มิได้ คิดดูเอาเองเถอะว่า เป็นงานบริการ ทรงคุณค่า สูงส่งล้ำเลิศขนาดไหน ถ้าเกิดอุตริ คิดราคาแบบฉบับ ทุนนิยมบ้างแล้ว คงเป็นอัตราที่แพงเหนือชั้น กว่าสรรพสูตร
ที่เขาคิดค้น แล้วจดสิทธิบัตร เพื่อเรียกร้องเงินทองมหาศาล จากผู้ประสงค์จะเอาไปใช้ประโยชน์บ้าง วิถีโลกย์ ค้ากำไรกันแบบนี้ ในขณะที่พระพุทธองค์ ทรงทำงานให้บริการชั้นเลิศยอด โดยไม่ต้องคิดค่าตอบแทน แลกเปลี่ยน กลับคืนเลย

ชาวโลกควรจะหันมารู้จักการทำงานชนิดให้กำไรเป็นผลเสียสละแก่คนเต็มๆ แทนที่จะมุ่งหน้าทำงาน เพื่อดูดกำไร จากผู้คนสดๆ ด้วยเชิงได้เปรียบมากบ้างน้อยบ้าง ตามอัธยาศัย
ส่วนตัว เฉพาะสิทธิมนุษยชน แม้กระนั้น เมื่อหันมาหมุนหัวคิด ให้นำสมัย โดยสำนึกดี ย่อมบอกตัวเองได้ว่า เสียสละนั้น ดีจริงๆ นะ เป็นบุญเป็นคุณ ตรงข้ามกับการเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ ขืนรับเอามากกว่าให้เท่าไหร่ ยิ่งแย่เท่านั้น เท่ากับเป็นหนี้อีกต่างหาก

จนได้จนดี ชีวิตบุญนิยม
รวมความแล้ว ชีวิตคนที่พึ่งตนเองเป็น เลี้ยงตัวเองได้เพียงพอ จนเหลือกินเกินใช้ที่พอเหมาะ ส่วนเกินนี้ แสดงว่า เขาร่ำรวย ล้นเหลือแล้ว จึงควรแบ่งปันเฟือฟายจ่ายแจกให้คนที่จนอ่อนแอและจำเป็นต้องการ แทนที่จะทำตัวเอง เป็นพวกถมเท่าไหร่ไม่รู้จักเต็ม แบบนั้น ต้องถือว่ายังจนอย่างน่าสมเพชทั้งน่าเกลียด อย่าไปให้ใครเขารู้ไส้รู้พุง เป็นอันขาดเชียวนะ จะบอกให้

สำหรับคนอาจหาญ กล้าสละออก เพราะกลัวรวย แต่อยากจน ลงมาบ้าง เนื่องจากรู้แล้วว่า ถ้าสะสม ส่วนที่หามาใหม่ ได้เกินกว่าที่กินใช้ มันต้องรวยวันยังค่ำอยู่แล้ว จะไม่รวยทนไหวได้อย่างไร คนขี้เกียจรวยพรรค์นี้ จะมีด้วยหรือ... ก็จะประหลาดอันใด ในเมื่อคนเขาเชื่อมือตัวเอง ที่จะทำมาหาใหม่มาได้ทุกๆ วัน ด้วยใจขยัน และฝีมือสมรรถนะ ทำวันต่อวัน มันก็กินใช้ไม่หมดอยู่แล้ว แม้จะเผื่อสำรองเก็บไว้วันไหนบ้าง ก็ไม่ต้องมาก เพราะอาศัยมีญาติเยอะ ทางธรรมจึงไม่จำเป็น ต้องแขวนชีวิต ไว้กับเงินลูกเดียว ......

มนุษย์พันธุ์ใหม่ สายเลือดบุญนิยม ถึงกล้าจน กลัวรวย โดยมีเหตุผลอธิบายไว้ชัดเจน ถ้าไม่หมั่นไส้เสียก่อน คงฟังเข้าใจดีกระมัง

วิถีคนกล้ารวยไม่เสร็จ เมื่อมาเจอกับวิถีคนกล้าจน แม้จะขัดแย้ง ถึงขนาดกลับกันคนละขั้ว แต่ไม่เป็นศัตรู คู่กัดคู่แค้น ตรงไหนเลย ต่างคนต่างศรัทธา ทางใครทางมันบนโลกใบเดียวนี่แหละ สำคัญที่ใครจะต้องรู้จัก ละอายแก่ใจลึกๆ แค่ไหนหรือเปล่า เท่านั้นเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรจะจัดลำดับให้อันดับอย่างไรดี

อันไหนถือว่า ล้าหลังตกรุ่น อันไหนถือว่าล้ำหน้านำยุค ระหว่างกล้ารวยด้วยการสะสมไม่เสร็จ และกล้าจน เพราะทนรวยไม่ไหว เนื่องจากเห็นทุกข์ในการสะสม แถมกลัวบาปโทษฐานกักตุนเกินจำเป็น สู้สละออกเป็นบุญ เพื่อตัดกิเลส วิเศษสวรรค์ นิพพานใช่เลย

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๑ เมษายน ๒๕๔๕)