เรื่องสั้น - คืนวันเพ็ญ -

ทรัพย์ใดควรใฝ่หา

"เอิน" เด็กหญิงผิวคล้ำ ร่างสูงผอมบาง วัย ๑๓ วางกระทงใบตองค่อนข้างตื้นที่กลัดด้วยไม้ไผ่ลงในเข่งใบย่อม ซึ่งมีกระทง อยู่ค่อนเข่ง เธอพูดบ่นๆ กับ "เนียม" ผู้เป็นแม่ซึ่งนั่งจักไม้ไผ่อยู่ใกล้ๆ

"หนูเบื่อจัง ทำกระทงทีไร เสียเวลาเหลือเกิน ทำไมแม่ไม่ใช้แม็กซ์ที่เขาใช้เย็บกระดาษน่ะ กดแก๊บๆแป๊บเดียวก็เสร็จเป็นกระทง เดี๋ยวนี้ ใครก็ใช้แบบนี้ทั้งนั้น นี่แม่ต้องมานั่งจักไม้ไผ่ แล้วก็เหลาเกลาอยู่นั่นแล้ว กว่าจะได้เข็มกลัดไม้ไผ่สักอัน"

เนียมยิ้มกับลูกสาววัยรุ่น เอินจะช่วยเธอทำกระทงขนมตาลเป็นประจำช่วงวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ แม้ลูกสาวจะทำไปบ่นไป เธอก็ไม่เคยอารมณ์เสียกับลูก เพราะรู้นิสัยลูกสาววัยรุ่นคนนี้ดีว่า ถึงจะบ่นแต่เอินก็ช่วยเธอทำ จนเสร็จทุกที

"แม่ว่ามันช่วยให้เราขายถูกได้ ไม้ไผ่หลังบ้านไม่ต้องซื้อ ใบตองก็มีของเราเองในสวน ใช้ไม้กลัดก็ดูเป็นไทยๆ ดี เสียเวลาหน่อย แต่ก็ฝึกให้เรารู้จักใจเย็น"

เนียมไม่เคยเบื่อที่ต้องใช้มีดจักตอกจักไม้ไผ่เป็นซี่ๆ แล้วเหลาเกลาจนได้ไม้ไผ่ซี่เล็กยาวกลมกลึงขนาดพอเหมาะใช้กลัดกระทง ปลายด้านหนึ่งเหลาให้แหลมเวลากลัดก็แทงปลายแหลมแล้วดึงไม้กลัดไปจนเกือบสุดปลายอีกด้าน แล้วหักกลัดกระทง ไปเรื่อยๆ จนหมดไม้กลัดยาวนั้น จึงค่อยเริ่มไม้กลัดอันใหม่

"ขนมตาลนี่ก็เหมือนกัน ใช้เวลาทำตั้งนาน ขายวันหนึ่งได้กำไรไม่กี่สิบกี่ร้อย ไม่เห็นจะคุ้มเลยแม่" เอินยังบ่นกะปอดกะแปด

"เอิน ขนมตาลที่เราทำนี่นะ เป็นสูตรโบราณของยาย ไม่ต้องใส่ผงฟู หอมกลิ่นตาลแท้ เราเลี้ยงตัวได้ ไม่ต้องรบกวน เบียดเบียนใคร กำไรไม่มากแต่เราก็พออยู่ได้นี่ลูก"

"แบบนี้เมื่อไหร่จะรวยล่ะแม่ เพื่อนหนูเล่าว่า เรื่องรวยน่ะ ไม่ยากเล้ย" เอินทำเสียงสูง "ขอให้หน้าตาพอดูได้ ถ่ายรูปขึ้น กล้าๆ สักหน่อย เป็นนางแบบดารา นักร้อง เดี๋ยวเดียวก็มีรถหรูๆ ขับ มีบ้านราคาเป็นล้าน"

"แล้วมันจะเป็นได้ง่ายหรือลูก เขาก็ต้องคัดเลือก ไม่ใช่ว่าจะเป็นได้ทุกคน" เนียมติง

"ก็ต้องเสี่ยงซีแม่ มีการประกวดอะไรที่ไหนก็พยายามไปสมัคร โชคก็คงเข้าข้างสักวัน" เอินพูดนัยน์ตาเคลิ้มฝัน

"แม่รู้มั้ย จุ๊บแจงอายุ ๑๕-๑๖ เอง ตอนที่เข้าประกวดสาวพราวน่ะ แล้วก็มาเป็นนางแบบโฆษณาสบู่ไลค์ ได้ค่าตัวตั้ง ๑ ล้าน ต่อมาแสดงละครทีวีอีก ค่าตัวตอนละ ๑ หมื่นแน่ะ ถ้าเป็นนางเอก บางคนแสดงเก่งๆ ละก็ค่าตัวตอนละ ๕ หมื่นเลยนะแม่ เล่นสัก ๕ เรื่อง ก็ได้เงินเป็นล้าน ไหนจะเงินจากการโชว์ตัวอีก อู๊ย...ไม่รู้จะเอาเงินไปเก็บที่ไหน"

เนียมยกกะละมังแป้งขนมตาลซึ่งหมักได้ที่แล้ว มาวางข้างๆ ตัว แล้วบอกลูกให้ช่วยหยอดกระทง เอินผลักเข่งกระทงมาใกล้ๆ ใช้ช้อนตัก แป้งขนมตาลหยอดกระทงละช้อน ก่อนวางกระทงบนลังถึงอย่างคล่องแคล่ว

"แม่ นีน่า นักร้องที่ชอบโชว์หน้าอกใหญ่ๆ น่ะ เขาร้องเพลงโชว์ตัวแต่ละทีค่าตัวเป็นล้าน แล้วเดี๋ยวนี้ภูผา ดาราเอกใน ต้มโคล้งปลา ถ้าใครจะให้เขาเป็น พรีเซนเตอร์โฆษณาสินค้า ต้องจ่าย ๒๕ ล้านเชียวนะแม่ เพราะเขาเป็นดารา ระดับอินเตอร์แล้ว"

เอินบรรยายค่าตัวของดารา นักร้อง ที่ทราบมาจากการคุยกันในวงเพื่อนๆ ที่โรงเรียน เพื่อนๆ แต่ละคนต่างมีดารา นักร้อง คนโปรด และรู้เรื่องส่วนตัวละเอียดแทบจะทุกฝีก้าว ดาราคนโปรดชอบกินอะไร ชอบไปเที่ยวที่ไหน ตอนนี้ควงกับใคร เอิน จึงพลอย ได้รับรู้ไปด้วย และรู้สึกคล้อยตามเพื่อนๆ ว่า อาชีพ นางแบบ ดารา นักร้อง เป็นอาชีพสบายโก้เก๋ และรวยเร็ว

"เอินระวังหน่อย เดี๋ยวน้ำลงน้ำลายกระเด็นลงขนม" เนียมเตือนลูก

"มีเงินมากๆ ใครๆ ก็ชอบ หนูก็อยากรวย รวยแล้วคนก็นับหน้าถือตาเป็นคนมีเกียรติ ไปที่ไหนใครก็ต้อนรับ ให้ความสำคัญ ให้ค่า ไม่มีใครอยากจนหรอกแม่"

"เงินทองอาจให้ความสะดวกแก่เรา แต่ไม่ได้ให้ความสุขที่แท้จริงแก่เราหรอก เงินทองยิ่งมีก็ยิ่งอยากมีอีกไม่สิ้นสุด เป็นทรัพย์ที่ พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า โจรปล้นได้ ไฟไหม้ได้ น้ำท่วมได้ พ่อแม่ลูกพี่น้องเพื่อนฝูงฆ่ากันเพราะเรื่องเงินมีตัวอย่างมากมาย หนังสือพิมพ์ ลงข่าวทุกวัน" เนียมพูดให้สติแก่ลูก

"คนก็ขี้เกียจตาย ไม่อยากได้เงิน ก็ไม่ต้องทำงานน่ะซี" เอินสงสัย

"แม่ไม่เคยสอนให้ลูกขี้เกียจนี่ คนไม่ทำงานชีวิตก็ไร้ค่ายิ่งกว่าเศษอิฐเศษหิน แม่สอนลูกมาตลอดให้ขยัน เราทำงานอย่างขยัน อาจจะไม่ได้เงินมากมายเหมือนดารา ใจเราก็ไม่ต้องไปทุรนทุราย แต่ถ้าขยันด้วยเรี่ยวแรงของเรา แล้วมีรายได้มาก ก็ต้องหัด แบ่งปัน เสียสละช่วยเหลือคนอื่น เพราะคนที่ทำงานเต็มที่แต่ยังอดอยากก็ยังมีอีกมาก ก็ช่วยเหลือกันไป"

"ก็ไปเป็นดารา หาเงินให้ได้เยอะๆ แล้วเอาไปช่วยเหลือคน ไม่ดีหรือแม่"

"ก็ดีลูก แต่ไม่ใช่เอาเงินไปให้เขาเฉยๆ ช่วยแบบนี้เงินเท่าไหร่ก็ไม่พอ ต้องช่วยให้เขามีอาชีพที่พึ่งตัวเองได้ เช่นปลูกพืชปลูกผัก แบบนี้จะดีกว่า แต่แม่ว่ายากนะที่ดาราจะคิดอย่างนี้ หนูเห็นดาราคนไหนมีเงินเยอะๆ แล้วช่วยเหลือคนอื่นอย่างเต็มที่ โดยไม่มี ผลประโยชน์ตอบแทนบ้างล่ะ ก็อาจช่วยบ้างนิดหน่อย เป็นเศษๆ เงินจากรายได้ที่เขามีมหาศาล หนูสังเกตได้เลยว่า คนที่เข้า ไปอยู่ในอาชีพนางแบบ ดารา นักร้องน่ะ เมื่ออยู่ในวงการมายานี้แล้ว มันยากที่เขาจะลงมือช่วยเหลือคนอื่น อย่างจริงจัง แบ่งปันเสียสละเงินทองที่หามาได้ง่ายๆ นั้นเพื่อช่วยคนอื่นทั้งๆ เขามีโอกาสทำได้ นี่เป็นเพราะเขาติดสบาย ติดโก้เก๋ คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อใช้ของฟุ่มเฟือย อาชีพประเภทนี้ทำให้คนหยิบโหย่ง ส่วนใหญ่นิสัยเสีย พวกเขากลัว ความลำบาก ที่สุดเลย มีแต่จะหาวิธีรวยยิ่งๆ ขึ้น"

เอินนิ่งฟังแม่พูด แล้วนึกถึงเจน ซึ่งเรียนห้องเดียวกัน พ่อแม่ของเจนมีฐานะค่อนข้างยากจน แต่เมื่อมีคอนเสิร์ต ของนักร้อง คนโปรด บัตรราคาเป็นพัน เจนก็มีวิธีหาเงินซื้อบัตรเข้าไปชมคอนเสิร์ตจนได้ เอินไม่รู้ว่าเงินค่าบัตรคอนเสิร์ตคราวนั้น เจนขอ พ่อแม่ หรือหามาได้ด้วยวิธีใด

"พวกดารา นักร้อง เขามีเงินมากมายใช้ไม่ขาดมือ ก็เพราะมีวิธีการดึงเงินออกจากมือของครอบครัวคนอื่น บางครอบครัว ก็ยากจน แต่ก็ต้องพยายามหาเงินให้ลูกไปซื้อตั๋วดูคอนเสิร์ต ไม่งั้นเดี๋ยวลูกมันประชด ฆ่าตัวตาย ก็ยิ่งวุ่นวายทุกข์ใจ ไปกันใหญ่" เนียมพูดพร้อมกับถอนใจ

"อยากไปดูเองนี่ เขาไม่ได้บังคับสักหน่อยว่าต้องไปดูเขา" เอินแย้ง

"ไม่ได้บังคับก็จริง แต่วิธีการโฆษณาของเขา มันเร้าใจวัยรุ่น ท่าเต้นใหม่ๆ ยังโง้นยังงี้ คนควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็ต้องอยากไปดู นี่แหละ สังคมนิยมเงิน ใครไม่รู้เท่าทันก็ต้องตกเป็นเหยื่อ"

เนียมมักพูดคุยกับลูกแสดงความคิดเห็นมุมนั้นมุมนี้ เอินก็สนิทใจกับแม่ แม้แม่จะเรียนจบป.๖ แต่เอินก็รู้สึกว่า แม่รอบรู้ เข้าใจชีวิต ชี้ทิศทางให้เดินไปอย่างเหมาะควรมั่นใจได้

"ถ้าคนเราลดความโลภหลงบ้างนะเอิน คนจะอยู่กันเป็นสุขกว่านี้ คนเราน่ะรวยเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ ถึงแม้บางคน ปากเขา จะพร่ำบอกว่า รวยพอแล้วๆ แต่เขาก็ยังแสวงหาสะสมเพิ่มพูนไม่รู้เสร็จสิ้นหรอก แม่จะเล่าเรื่องคนขี้โลภสักเรื่อง ฟังมั้ยลูก"

"นิทานชาดกแน่เลย" เอินคาด เพราะตั้งแต่จำความได้ เอินเป็นต้องได้ฟังนิทานต่างๆ นิทานชาดกบ้าง นิทานอีสปบ้าง เป็นประจำ ก่อนนอน บางเรื่องแม่ก็เล่าซ้ำๆ แล้วเอินก็นอนฟังเรื่องซ้ำๆได้เหมือนกัน

เนียมยิ้มกับลูก "นิทานชาดกเรื่องนี้น่าสนใจลูก พระพุทธเจ้าท่านได้เล่าเรื่องพระเจ้ามันธาตุราชว่า พระองค์เป็นพระ มหากษัตริย์ ที่มีอำนาจมาก เพียงตบมือ ฝนแก้วก็ตกพรั่งพรูสูงเท่าหัวเข่า ฝนไม่ได้ตกลงมาเป็นน้ำนะลูก แต่ตกลงมาเป็นแก้ว เป็นรัตนะ มีค่าโน่นแน่ะ ก็ยังไม่พอใจ ขอให้จักรแก้วพาไปเทวโลก พระองค์เสพสุขในทิพยสมบัติสวรรค์ชั้น จาตุมหาราชิกา อยู่นาน ก็ยังไม่พอใจ ก็ขึ้นไปเสพเสวยทิพยสมบัติชั้นดาวดึงส์อีก จนท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่ ในชั้นดาวดึงส์จุติไปตั้ง ๓๖ องค์ พระองค์ ก็ยังครองทิพยสมบัตินั้นอยู่ ต่อมาก็คิดว่า ฆ่าท้าวสักกเทวราชดีกว่า จะได้ครองทิพยสมบัติในเทวโลกแต่ผู้เดียว
แต่ท้าว สักกเทวราช ไม่มีใครฆ่าได้ เกิดมาด้วยผลบุญที่สร้างไว้ หมดบุญก็จุติไปเอง พระอินทร์ล่วงรู้ว่า พระเจ้ามันธาตุราช คิดไม่ดี ก็เลยให้เทพบริวาร ผลักพระเจ้ามันธาตุราช ตกสวรรค์ ร่างพระองค์ตกลงไปที่อุทยาน ของพระองค์เอง ตอนนี้ เวลาผ่านไป หลายหมื่นปี ราชสมบัติก็ตกเป็นของทายาท ไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น ตอนนี้ไม่มีใครรู้จักพระองค์ พระองค์ได้แต่พร่ำเอ่ย ก่อนสิ้นลมว่า "ข้าคือพระเจ้ามันธาตุราชแห่งเมืองนี้" เมื่อรู้ว่าคือกษัตริย์เมื่อหมื่นๆ ปี ที่แล้ว มหาอำมาตย์จึงถามว่า จะสั่งเสียอะไร ในบั้นปลายชีวิตนี้ พระเจ้ามันธาตุราชก็บอกว่า พวกท่านจงประกาศให้ชาวเมืองรู้ว่า ข้าคือพระเจ้ามันธาตุราช ผู้มีฤทธานุภาพ ขึ้นไปครองราชสมบัติบนสวรรค์ มีความสุขยาวนาน ยังไม่สมอยาก ก็มาตายเสียก่อน"

"ถ้าเป็นหนู มีทรัพย์สมบัติสูงเท่าหัวเข่า หนูก็พอใจแล้ว"

"ไม่ง่ายหรอกลูก ที่คนจะหยุดความพออยู่แค่นั้นเพราะพอได้ถึงจุดที่เราคาดหวังแล้ว เราก็มีความอยากได้เพิ่มขึ้นอีก ต้องฝึกตน ลดละกิเลส จึงจะพอยับยั้งความอยากความต้องการลงได้บ้าง พระพุทธเจ้าท่านจึงบอกว่า ต่อให้เงินทองตกมา ดังห่าฝน ความอยากของคนก็หาอิ่มไม่ ไม่รู้จักพอ เหมือนทะเลไม่อิ่มน้ำนั่นแหละ"

เอินยกลังถึงขนมตาลไปนึ่ง แล้วกลับมานั่งหยอดแป้งใส่กระทงต่อ

"อริยทรัพย์ ๔ คือ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา เป็นทรัพย์ที่ประเสริฐ เกิดเป็นคนควรพยายามแสวงหาทรัพย์เหล่านี้ จะได้เป็น เศรษฐีที่แท้จริง ทรัพย์นี้ไม่มีใครปล้นได้ ไฟไม่ไหม้ น้ำไม่ท่วม พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้นะลูก"

เนียมเป็นหญิงชาวบ้านมีการศึกษาเพียงอ่านออกเขียนได้ เมื่อมีลูกก็ตั้งใจเลี้ยงลูกอย่างเอาใจใส่ รักแต่ไม่ตามใจ และฝึกลูก ให้ช่วยหยิบนั่นหยิบนี่ ทั้งทำบางอย่างด้วยตนเองตั้งแต่เล็กๆ เพื่อเติบใหญ่จะได้พึ่งตนเองได้ ไม่เป็นภาระสังคม เนียมคิดว่า ถ้าเลี้ยงลูกไม่ดี โลภจัดเอารัดเอาเปรียบ เห็นแก่ตัว ก็ถือว่าเป็นขยะสังคม เป็นบาปอย่างหนึ่งเหมือนกัน

-เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ -