เราคิดอะไร.

ธรรมดาของโลกจะได้ไม่ต้องโศกสลด ...สมพงษ์ ฟังเจริญจิตต์


ดับเบิ้ล สแตนดาร์ด : มาตรฐาน ๒ ชั้น : มาตรฐาน ๒ กลุ่ม

๔ ธันวาคมทุกปี องค์พระประมุขของชาติ จะมีพระราชดำรัส ชี้ทางรอดของสังคมไทย กลั่นกรอง ด้วยพระเมตตา ด้วยความห่วงใย เหล่าพสกนิกร ดุจดั่งลูกหลานของพระองค์ คุณธรรมพ่อกับลูก ยังคง ประทับตรา ตรึงใจ มิรู้เลือน ผิดกับนักบริหาร นักปกครอง ที่มีทั้งเลือกตั้ง ทั้งแต่งตั้ง มองประชาชน แค่ทางผ่าน ของอำนาจ เป็นเหยื่ออันโอชะ !

๔ ธันวาทุกปี ปวงชนชาวไทย ได้ของขวัญ ดุจโคตรเพชรเป็นคติข้อคิด เป็นธรรมนูญแห่งสังคม

หากนำไปขยายผล นำไปปฏิบัติตามกระแสรับสั่ง เมืองไทยอย่าว่าแต่จะเป็นเสือ เราจะยิ่งใหญ่กว่านั้น

ถ้อยคำสิริมงคลแห่งการบริหารปกครองบ้านเมืองของปีนี้ท่านทรงให้ข้อคิด เตือนสติ ระมัดระวัง กรณี "ดับเบิ้ล สแตนดาร์ด"

เกณฑ์มาตรฐานที่ยึดถือต่างกันระวังประเทศชาติจะวุ่นวาย จะอะลุ่มอล่วย จะยอมผ่อนปรนให้แก่กันและกัน ได้แค่ไหน

ที่นี่......วุ่นวายจริงหนอ เพราะสิ่งที่คุณทำ มันไม่เข้าท่าในสายตาผม และสิ่งที่ผมทำ มันไม่เข้าท่าในสายตาคุณ

วิธีการจัดการ เราต่างกันในลีลา เพียงแค่อยู่คนละพรรค หรือเป็นแค่คนละพวก

ของค้าของขายต้องเอาใจคนซื้อ อยากจะขายเมืองนอกต้องก้มหัวให้ ISO จะมากี่ตัว จะเปลืองอีกกี่ล้าน ก็ต้องยอมเขา

การ "พึ่งพา" มันอึดอัดคับแค้นอย่างนี้เองแหละหนอ

แต่วกเข้ามาเรื่องการบริหารประเทศ จะเอา ISOของฉันเป็นหลัก แล้วบีบบังคับให้ทุกคนมาเดินตามก็ใช่ที่

เมื่อน้ำมาปลาย่อมกินมด น้ำลดมดย่อมกินปลา สมบัติผลัดกันชม เป็นธรรมดาของโลกมนุษย์

พรรคไหนมา ก็ต้องเปิดโอกาสให้เขาจัดการ เราหมดอำนาจ วาสนา ก็ขอให้อดใจ คอยดู เฝ้าติดตามเป็นพี่เลี้ยง ช่วยแนะนำ สั่งสอน ตักเตือน

หยุดมาตรฐานประจำตัวไว้ก่อน ให้โอกาสคนอื่นแสดงมาตรฐานของเขาบ้าง

บ้านเมืองจะกลียุคเพราะเรา "ไม่จริงใจ" ต่อกัน

ระดับความจริงใจ มีถึง ๔ ระดับ ต้องศึกษา
๑. ให้วัตถุข้าวของ
๒. ให้เวลา
๓. ให้โอกาส
๔. ให้อภัย

วันนี้คนที่ดูแลประเทศ เขาเล่นเกมอะไรกันอยู่ ?

รัฐบาลก็ใหญ่โตจนห้ามวิจารณ์ ใครจะพูดไม่ดี พูดให้ด้อย ก็ตาถลน !

ฝ่ายค้าน ก็ทำหน้าที่เหมือนตัวอิจฉาในหนังไทย ติไปเสียทุกเรื่อง !

ถามว่าใครแย่กว่าก็ต้องว่า แย่พอๆ กัน ทำทุเรศทั้งคู่!

ท่านอาจารย์พุทธทาสกล่าวว่า "ตัวกู ของกู"นี่แหละ ร้ายนัก

มี"ตัวกู" ก็จะเริ่มมี "ตัวมึง"มี "พวกกู" ก็จะเริ่มมี"พวกมึง" ประชาชนก็พวกมัน

มี "ตัวกู" ก็จะเริ่มคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตัว

คิดถึงความดีความชอบที่หวงเอาไว้คนเดียว พวกเดียวกัน

มี "ตัวกู" ก็จะมีแต่ "รับชอบ" แต่ไม่นิยม"รับผิด"

มี "ตัวกู" ก็นึกว่าเก่ง-แน่ ประชาชนก็แค่ "ทางผ่าน" แห่งชีวิตเสี้ยวหนึ่ง ก็เท่านั้น

สังคม ประเทศชาติมีแต่เรื่องของ "พวกเรา"

ปัญหาของ "พวกเรา" ประโยชน์ของ "พวกเรา"

กูมึงจะหมดไป หล่อหลอม รวมเป็นหนึ่งเรียกเผ่าพันธุ์ใหม่ว่า "พวกมู" (กู+มึง)

พี่น้องคนไหนจะอาสาดูแลพ่อแม่แก่เฒ่าที่เจ็บป่วยก็ต้องดีใจ ไม่ใช่แข่งกันให้พ่อแม่ป่วยต่อไป อย่าให้พี่น้อง ทำสำเร็จ

!วันนี้ของเมืองสยาม จึงใกล้หายนะเข้าไปทุกขณะ

ขาดน้ำใจ ขาดความร่วมมือ ขาดการประสาน ขาดสามัคคี

มองขึ้นฟ้า ก็ว้าเหว่ นกกระจาบหายไปไหน? ทำไมไม่รวมพลังต่อสู้กับความยากจนของแผ่นดิน

นั่นไง เศษขนนกกระจุยร่วงหล่น เพราะมัวแต่ไล่จิกตีกัน อนิจจาเมืองไทย

แคว้นวัชชีใกล้แตก วัสสการพราหมณ์มิใช่แค่คนเดียว แต่มีมากมายมหาศาล สัญญาณบอกเหตุ อาเพศ เริ่มร้องเตือน

อัปริหานิยธรรม กะพร่องกะแพร่ง แค่ ๒-๓ เรื่องก็สอบตก!"หมั่นประชุมพร้อมกัน" เลิกประชุมพร้อมกัน อย่าได้หวัง

ห่วงแต่งานรอง จนลืมงานหลักของสภานิติบัญญัติ เพียงต่างรู้จักหน้าที่ บ้านเมืองจะก้าวกระโดดขนาดไหน ?

ใครขาดประชุม ออกทีวีทุกครั้งจะได้ไหม ท่านผู้ทรงเกียรติ

เรื่อง "เคารพเจดีย์" ก้ออีกเรื่อง สิ่งที่คิดกันมาก่อนประชุมจนหัวผุ สิ้นเปลืองเวลามหาศาล

เพียงแค่ไม่ใช่ของฉัน ก็สั่งการรื้อทิ้ง

บ้านเมืองวิปริตอาเพศ ดูหมิ่นดูแคลนความคิดความอ่านของกันและกัน

สิ่งดีๆ เข้าท่า แต่เราไม่ใช่ผู้ให้กำเนิดก็อย่าได้หวังผุดเกิด ทำอย่างกับเป็นมารหัวขน!

วันนี้เราจึงเริ่มใหม่ นับหนึ่ง ครั้งที่ร้อย ครั้งที่พัน ครั้งที่หมื่นไม่เข็ด และไม่เจ็บปวด แม้บ้านเมืองจะค่อยๆ ถูกประเทศ เพื่อนบ้าน เดินแซงไป เราก็ยังใจชื้น มองโลกในแง่ดี

เราเป็นเต่า พวกแซงไปก็แค่กระต่าย เชอะ สุดท้าย เต่าจะแซงให้ดู!"

โทษคนอื่นหมื่นแสนเท่าภูเขา โทษของเรามองเห็นเท่าเส้นขน ตดคนอื่นเหม็นเบื่อเราเหลือทน ตดของตน ถึงเหม็น ไม่เป็นไร"

ตั้งสติให้มั่น คำพังเพยโบราณแม้จะจริง ก็เป็นคำพังเพยฝ่ายนรก!

จะขึ้นสวรรค์ ก็ต้องฝ่าด่านอรหันต์ให้สำเร็จ

พักรบเสียแต่วันนี้ เด็ดดอกรักมาแซมผม

ปัญหาของบ้านเมือง ใหญ่โตเกินกว่าคนใดคนหนึ่งจะทำสำเร็จ

หนักหนาเกินกว่ารัฐบาลจะทำได้ ฝ่ายค้านต้องร่วมมือ!

จิตใจคับแคบ สิทธิการิยาะท่านว่า เกิดชาติหน้าจะมีสติปัญญาโง่เขลา จะทำกิจใดมักมีอุปสรรค อยากได้อะไร มักไม่สมปรารถนา

เอากฎแห่งกรรมมาขู่ไม่กลัว ก็แล้วไป

เรื่องของดับเบิ้ล แสตนดาร์ด คงต้องพึ่งผู้รู้ วิเคราะห์ หาแนวทาง เข้าสู่ภาคปฏิบัติ การบ้านของในหลวงท่าน ถึงจะยาก แต่ก็ไม่เกิน ภูมิปัญญาคนไทย และอย่าลืมการบ้าน ข้อแรก "เศรษฐกิจพอเพียง" ตั้งแต่รัฐบาล ชุดที่แล้ว ไปถึงไหนกันแน่

ช่วยกันทำทุกข้อให้ได้ "เอ" เถิดสาธุ

ทำให้สำเร็จถึงจะคุยได้ว่ารักในหลวงอย่างแท้จริง!


ทำงานไปพลาง เหยียบย่ำคานใต้โต๊ะไปพลาง

ประสิทธิภาพของการทำงานจะดีหรือเลว นอกจากจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับร่างกายและสมองแล้ว อารมณ์ และ จิตใจ ก็มีส่วน อยู่ไม่น้อย จิตใจที่สงบ เป็นสมาธิ ประสิทธิภาพของงาน ย่อมจะดี และสูงขึ้น อย่างแน่นอน ตรงกันข้าม ถ้าหากจิตใจว้าวุ่น ประสิทธิภาพของการทำงาน ย่อมจลดต่ำลง อย่างแน่นอน ดังนั้น การฝึกอบรม ด้วยวิธีใด วิธีหนึ่ง ที่สามารถ จะทำให้ตนเอง อารมณ์ และจิตใจ ที่สงบลงได้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

บิดขี้เกียจให้เต็มที่สักครั้งหนึ่ง หรือไปเดินสูดอากาศที่บริสุทธิ์ภายนอก มองดูความเขียวสดของต้นไม้ สีเขียวคราม ของท้องฟ้า และหมู่เมฆ ย่อมสามารถ ที่จะเปลี่ยนอารมณ์ได้ ก็จริงอยู่ แต่ว่ามีวิธีที่ เราไม่ต้อง หยุดพัก การทำงานกลางคัน นั่นก็คือ ทำงานไปพลาง เท้าทั้งสอง ก็เหยียบย่ำคานใต้โต๊ะไปพลาง เพื่อปรับเปลี่ยน อารมณ์ ให้ดีขึ้น

ถอดรองเท้าและถุงเท้าเสียก่อน เท้าทั้งสองให้เหยียบอยู่คานใต้โต๊ะ โดยใช้คานใต้โต๊ะนี้นวดใต้ฝ่าเท้า สิ่งที่ควรสนใจ ในการนวดนี้ ก็คือจะต้องใช้แรงกดฝ่าเท้าลงกับคาน ครั้งหนึ่งประมาณ สองสามวินาที ทำซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง เพียงครู่เดียว เท่านั้น ท่านจะรู้สึกว่า จิตใจเริ่มสงบลง อารมณ์ก็ดีขึ้นอย่างอัศจรรย์

จุดกระตุ้นที่สำคัญๆ ที่เกี่ยวพันกับอวัยวะต่างๆ ของร่างกายของเรา ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด จะรวมกันอยู่ที่ ใต้ฝ่าเท้า และจุดที่ อยู่ตรงกลางฝ่าเท้านี้ จะมีส่วนกระตุ้นสมอง ไขสันหลัง และ ระบบประสาท โดยเฉพาะ อวัยวะที่อยู่ ระหว่างช่วงอก ดังนั้น การกระตุ้นจุดที่อยู่กลางฝ่าเท้า จึงสามารถทำให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวค่อยๆ ดีขึ้นได้ และเกี่ยวกับการทำใจ ให้สงบนั้น จะได้ผลดีมาก

มีบางคนอาจจะถามว่า "เวลาทำงานเปลือยเท้าเปล่า ถ้าใครเห็นเข้ามิเป็นการไม่น่าดูหรอกหรือ" ตามความจริงแล้ว การบริหารเท้า ดังกล่าวนี้ เป็นการทำที่ใต้โต๊ะทำงาน ดังนั้น จึงไม่ต้องเกรงว่า จะมีใคร มาเห็นเข้า ในเวลาทำงาน อยู่กับโต๊ะ ถ้าหากว่า มีอารมณ์ร้อนรุ่มขึ้นมา กำลังสมองไม่สามารถ จะใช้ความคิด ได้ดี ก็ลองถอดรองเท้า ถุงเท้าออก แล้วเหยียบย่ำ ที่คานใต้โต๊ะ ทำงานนั้น เพื่อกระตุ้น จุดที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าดู ประสิทธิภาพในการทำงาน หรืออ่านหนังสือ ก็จะได้ผล ดีขึ้นทันที

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๓๘ มกราคม ๒๕๔๕)