เราคิดอะไร.

ฝุ่นฟ้าฝากฝัน ฟอด เทพสุรินทร์
คนดีต้องมีสังวร


เช้ามืดในฤดูหนาว ชาวบ้านหลายคนยังคงนอนคุดคู้กันอยู่ สมานตื่นแล้ว คว้าตะกร้าเพื่อออกไป เก็บผักผลไม้ ที่สวนท้ายหมู่บ้าน พอเดินออกจากบ้าน ก็มองเห็นกลุ่มชายวัยกลางคน ซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน กำลังนั่งล้อมวงผิงไฟ คลายหนาว สมานจึงแวะเข้าไป นั่งร่วมวงด้วย

"แหมท่านอบต.สมาน ช่างขยันแท้ออกไปสวนแต่เช้ามืด มานั่งผิงไฟเคี้ยวเม็ดมะขาม คุยกันก่อน" เพื่อนบ้าน ออกปาก ทักทาย พร้อมเขี่ยเม็ดมะขาม ซึ่งหมกไว้ในขี้เถ้าออก สมานนั่งลงหยิบเม็ดมะขามที่สุกหอม ขึ้นมาขบเปลือก ก่อนเคี้ยวกรุ๊บๆ ผู้ใหญ่สี ที่ผิงไฟอยู่อีกฟาก เริ่มเรื่องสนทนาก่อน "ผมอ่านหนังสือพิมพ์เมื่อวานนี้ ลงข่าวพระชื่อดัง ถูกสีกาฟ้อง บอกว่าได้แอบ ไปเสพสังวาสกัน จนเกิดมารหัวขน เพศหญิง แล้วไม่ยอม รับเลี้ยงดู ผมไม่อยากจะเชื่อเลย ก็ดูท่าท่านสมถะ เทศน์สอนญาติโยม ก็น่านับถือ น่าศรัทธามาอยู่ตลอด"

"เรื่องนี้ อดีตก็เคยมีแต่ไม่ชัดเจนโด่งดังเหมือนยุคนี้" เพื่อนร่วมวงผิงไฟสนใจฟังสมานพูด พลางเคี้ยว เม็ดมะขาม อย่างเพลินๆ

"วัดเก่ากลางหมู่บ้าน เจ้าอาวาสชื่อพระชมท่านบวชเรียนมา ตั้งแต่วัยเด็ก มาจนถึงวัยเบญจเพส ท่านเป็นพระ ที่เทศน์เก่ง สมถะดีด้วย ชาวบ้านต่างศรัทธากันทั่ว"

ที่สนามหญ้าหลังกุฏิพระ จะมีบ่อน้ำใสที่ชาวบ้านได้ร่วมแรงกันขุด ลึกสิบกว่าเมตร นำเอาหินที่ตัด เป็นสี่เหลี่ยม ตั้งเรียงกันไว้ ตั้งแต่กลางบ่อน้ำ ขึ้นมาจนถึงปากบ่อเพื่อกันดินพัง น้ำในบ่อ จึงใสสะอาด ชาวบ้านจะมาตักน้ำบ่อ ที่วัดเอาไปไว้ เป็นน้ำดื่ม น้ำใช้ หน้าที่ตักน้ำส่วนใหญ่ จะเป็นหญิงสาว เพราะผู้ชาย จะเลือกไปทำงาน ที่หนักกว่า เช่น งานขุดดิน ฟันหญ้า "ช่วงบ่ายทุกวัน พระชมก็จับไม้กวาดทางมะพร้าว กวาดเศษใบไม้ตามปกติ และแทบทุกครั้ง ที่มองไปยังศาลา หลังเก่าโทรมๆ ท่านมัก จะพูดขึ้นว่า "ศาลาเก่าโทรมจริงหนอ หากอาตมามีเงินมีทอง จะจัดสร้างขึ้นใหม่ ให้สวยงามเลย

"หลายเดือนต่อมา ขณะที่พระชมกวาดใบไม้อยู่นั้น ก็พูดขึ้นเช่นเดิม หากอาตมามีเงินทอง อาตมาจะสร้างศาลา ให้งามเลย ทันใดนั้น พื้นดินก็แยกออก ไหโบราณสองใบ โผล่ขึ้นมาตั้งตรงหน้า เมื่อหายตกตะลึง พระชมก็รีบเปิดไหใบแรก ดูมองเห็น แท่งเงิน รูปรางหมูอัดเต็มอยู่ รีบเปิดไหใบที่สอง มองเห็นแท่งทอง รูปรางหมูแบบเงินโบราณ อัดแน่นอยู่เช่นกัน พระชม เงยหน้า ขึ้นยิ้ม พร้อมเผยความนัย เปล่งวาจาว่า คราวนี้แหละ ลูกสาวกำนัน ที่มาตักน้ำในบ่อวัดทุกวัน คงตกลง กับเราแน่เลย พอพระชมพูดจบลง ไหโบราณทั้งสองใบ ก็ผลุบหายไป ในพื้นดินทันที พระชมตกใจ ทรุดลงนั่งคุกเข่า พร้อมตะโกนออกไปว่า "ไหเงินไหทองจงกลับมาก่อน อาตมาจะสร้างศาลา" ทุกคนที่ฟังกันอยู่ ต่างพากันหัวเราะ ในเนื้อหาและท่าที ของสมาน ที่ทำมือทำไม้ แสดงท่าประกอบ

"ที่จริงแล้ว พระสงฆ์ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ก็มีอยู่ไม่น้อย ซึ่งท่านจะมีปัญญารอบรู้ และเป็นผู้ชี้นำ ในชุมชน ให้รู้รักสามัคคี ทั้งมีน้ำใจ ช่วยเหลือแบ่งปัน ให้รู้จักบุญรู้จักบาป และท่านยังนำพา ให้ผู้คนในชุมชน ตื่นตัว มาพัฒนา ตนเอง ไปสู่ความดีงาม ที่สูงส่งได้"

"แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพระรูปไหนปฏิบัติดีหรือไม่ดี" ผู้ใหญ่สีพูดแบบคาใจ

"ที่จริงเรื่องศีลธรรมนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ยากที่จะรู้และเข้าใจได้ง่าย ผู้ที่จะรู้เรื่องของพระได้ดีนั้น จะต้องเป็น ผู้มีพื้นฐาน ศีลธรรม พอสมควรก่อน จะได้มีมาตรวัด พอจะพูดกันเข้าใจได้ ดังคนที่มีศีลห้า ถึงจะรู้แนวทาง ของพระโสดาบัน" สมานนึกถึง เรื่องสัตว์ ๖ ชนิด จึงนำมาเสริมให้เพื่อนๆ ฟังต่อ

"ผมเคยได้ฟังพระท่านเทศน์มาว่า บุรุษผู้มีแผลทั่วตัว แล้วเข้าไปสู่ป่าหญ้าคา หน่อหญ้าคา และใบหญ้าคา ย่อมตำ และ บาดบุรุษผู้นั้น ให้ได้รับทุกข์โทมนัสฉันใด ภิกษุบางรูป ที่ไม่ตั้งใจสังวร ก็จะได้รับ ทุกข์โทมนัสไม่ต่างกัน

"เมื่อภิกษุไม่สังวร ได้เห็นรูปที่น่ารัก ก็หลงชื่นชม ไปในรูปที่น่ารักพอใจ และคิดเกลียดชัง ในรูปอันไม่น่ารัก ไม่ตั้งสติไว้ ไม่ใช้ความหนักแน่น ของจิตใจออกมาอดกลั้น ไม่ใช้ปัญญา มาพิจารณา ในทวารทั้ง ๖ ที่เข้ามาสัมผัส ให้รู้แจ้ง ความทุกข์ โทมนัส ก็จะเกิดกับภิกษุนั้น ตามจริง

"พระท่านได้เปรียบบุรุษจับสัตว์ ๖ ชนิด ที่มีนิสัยและความเป็นอยู่ต่างกันคือ จับงู จระเข้ นก สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก ลิง แล้วผูกด้วยเชือก อันเหนียวแน่น แล้วโยงเชือก ขมวดปมเอาไว้ตรงกลาง ปล่อยไป สัตว์ ๖ ชนิด จะดึงไปสู่วิสัย ที่ต่างกัน ของตนๆ งูก็จะดึงเข้าสู่จอมปลวก จระเข้ก็จะดึงลงน้ำ นกก็จะดึงสู่อากาศ สุนัขบ้านก็จะดึงเข้าบ้าน สุนัขจิ้งจอก ก็จะดึงเข้าสู่ป่าช้า ลิงก็จะดึงเข้าป่า สัตว์ตัวไหน มีกำลังมากกว่า ก็จะดึงสัตว์อื่น คล้อยตาม ไปสู่อำนาจแห่งตน

"ส่วนภิกษุที่ท่านสังวร เมื่อได้เห็นรูปที่น่ารัก ย่อมไม่น้อมใจไปกับรูปอันน่ารัก ย่อมไม่ขัดเคือง ในรูปอันไม่น่ารัก จะตั้งสติไว้ มีความอดทนสูง มีปัญญาพิจารณาแยกแยะ จนรู้แจ้งว่า สิ่งนั้นดี หรือไม่ดีอย่างไร ในทุกครั้งที่ทวารทั้ง ๖ ได้รับเข้ามา และจะรู้ชัด ซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับไป ไม่ให้เหลือ แห่งอกุศลธรรมต่างๆ จนรู้สึกได้ เกิดขึ้นตาม ความเป็นจริง ภิกษุที่สังวรอยู่ตลอดเวลา กายคตาสติ ก็จะเป็นเสาหลัก อันมั่นคง สัตว์ ๖ ชนิดเหล่านั้น ต่างก็จะไป ตามวิสัยของตนๆ ด้วยความลำบาก และหมดแรง สัตว์เหล่านั้น ก็จะยืนแนบ นั่งแนบ นอนแนบ อยู่กับเสาหลัก ที่เป็น กายคตาสติ ของภิกษุ ผู้ที่ท่านสังวร อยู่เสมอ" เพื่อนบ้านเคี้ยวเม็ดมะขามเงียบ ฟังกันอยู่ สมานรีบหักมุม เรื่องเข้ามาใกล้ตัว

"เรื่องสัตว์ ๖ ชนิด เปรียบดั่งตัวกิเลสใหญ่ที่ทรงพลังอยู่ในตัว ตัวไหนมีฤทธิ์แรงกว่าเช่น เรื่องผู้หญิง ยาเสพติด การพนัน และ สิ่งมอมเมาร้อยแปด หากไม่สนใจ ศีลธรรม ไม่รู้จักสังวร ปล่อยตัวปล่อยใจ ไปตามค่านิยม ที่จัดจ้าน ก็จะไม่ต่าง จากบุรุษ ผู้มีแผลอยู่ทั่วตัว ที่ตกอยู่กลาง ดงหญ้าคา ความทุกข์โทมนัส ก็จะเกิดอยู่ร่ำไป"

สมานพูดเรื่องธรรมะสัพเพเหระได้เต็มปาก เต็มคำ เพราะทุกคนในกลุ่ม คือเพื่อนบ้าน ที่รู้จักกันมานาน

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๓๘ มกราคม ๒๕๔๕)