หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร


โลกทุกข์ร้อนเพราะความแตกแยก
แต่ความแปลกต่างสร้างโลกให้สุขสดสวย


เมื่อ ๒๐ ปีที่แล้วถ้าใครเคยอยู่ชนบท ก็จะได้สัมผัสชีวิตของผู้คนที่อยู่กันอย่างอบอุ่น ใครมีของกินอะไรดีๆ ก็จะเอามาแบ่ง แจกจ่ายกัน ตั้งแต่หัวบ้านถึงท้ายบ้าน บ้านแต่ละหลัง ก็เดินทะลุถึงกันได้หมด ไม่มีรั้ว ไม่มีลวดหนาม มาขวางกั้น ความสัมพันธ์กัน

แต่เมื่อถึงยุคโลกาภิวัตน์หรือโลกาวิบัติในขณะนี้ แม้ของพี่ของน้องก็จะต้องซื้อกันกิน ผัวกับเมีย ก็แยกใช้เงิน คนละกระเป๋า พ่อกับแม่เมื่อแก่ตัวลงมา ก็ไม่กล้าแบ่งที่ไร่ที่นาให้ลูก เพราะกลัวว่า ถ้าไม่มีสมบัติแล้วลูกๆ จะไม่ยอมเลี้ยงดู ฝ่ายลูกก็พยายามหาทาง บีบคั้นทุกวิถีทาง ที่จะให้พ่อแม่ปล่อยสมบัติ ออกมาให้ได้

ซึ่งดูๆ แล้วก็ไม่ต่างอะไรกับ "สงครามสังคม" เมื่อคนต่างพากันหลงเงินเป็นพระเจ้า ความทุกข์ร้อน และ ความแตกแยก ก็เกิดขึ้น

แม้แต่ไอ้หนุ่มบ้านนาไปเล่าเรียนจนจบปริญญา วันหนึ่งพี่ชายเห็นน้องที่เรียนจบปริญญามา นอนตื่นสาย จึงได้เข้าไป ปลุกให้ลุกขึ้น เขาเกือบถูกน้องชายลุกขึ้นมาเตะ เพราะเขาจบแค่ ป.๔ แม้จะเป็นคนส่งเสีย ให้น้องร่ำเรียนมา แต่ตอนนี้น้องของเขา ก็ไม่ใช่คนธรรมดา เหมือนแต่ก่อนแล้ว การศึกษา จึงทำให้คนหัวสูง เป็นดาวค้างฟ้า จนไม่สามารถลงมาติดดิน จะกลับมาทำไร่ทำนา เหมือนพ่อแม่ ที่เคยพาทำมาไม่ได้อีกแล้ว การหลงเงินก็ดี หลงเพียงแค่ความรู้ที่ท่องจำมาได้ก็ดี หรือแม้แต่หลงความดีที่ตนมีตนได้ก็ตาม ล้วนเป็น ความติดหลง ที่ทำให้สำคัญว่า ฉันแน่กันทั้งนั้น เมื่อแน่กับแน่และแน่มาเจอกัน อะไรจะเกิดขึ้น?

คุณสุรินทร์ นิลสุข ได้ประพันธ์บทกวีคติสอนใจเอาไว้ว่า

เจ้าหิ่งห้อยเห็นจันทร์ขยันขยับ
คิดว่าแสงเทียมจันทร์ทุกวันทุกวาร
ฝ่ายอึ่งอ่างเห็นหิ่งห้อยอร่อยเอร็ด
กระเถิบเท้าเข้าเคียงค่อยเมียงค่อยมอง
กะลาใหญ่ไพล่พลิ้วดังหวิวดังหวือ
ครอบหิ่งห้อยผู้ทรงปัญญงปัญญา
สามสหายไร้สติไม่ตริไม่ตรึก
จรดสวรรค์เพ้อเจ้อทะเยอทะยาน
ส่วนหิ่งห้อยส่องแสงก็แจ้งกระจ่าง
กิ้งกือเหยียดจรดกะลากะค่ากูคง ย
อึ่งอ่างพองต้องกะลาก็ว่ากูเหวย
ไม่ฟังใครตำหนิทั้งติทั้งเตือน
แสงสลับส่องหล้าสุธาสถาน
จนเนิ่นนานเชื่อใจมิไตร่มิตรอง
หวังเผด็จตอดเถ่อเผยอผยอง
ทำพุงพองโดดส่งก็ลงกะลา
ครอบกิ้งกือไม่มีประสีประสา
ครอบอึ่งอ่างในกะลาละลนละลาน
ต่างลืมนึกถึงทุกข์สนุกสนาน
มันคาดการณ์ต่อไปจะใหญ่จะยง
ทั่วนภางค์ที่คลุมมันลุ่มมันหลง
าวถึงวงขอบฟ้าสุธาสะเทือน
ถึงใครใหญ่ไหนเลยจะมีจะเหมือน
ทั้งสามเพื่อนเลยตายอยู่ในกะลา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าต่างก็หลงตัวกันว่าข้าฯแน่ ฉันก็แน่ อั๊วก็แน่ เราก็แน่ ต่างคนต่างแน่ สุดท้าย ก็จะพากัน แน่นิ่งนอนเน่า ในกะลาแห่งอวิชชากันหมด

โลกจะสุขสดสวยสักเพียงใดถ้าสัตว์ ๓ ตัวมีความแปลกต่าง จะได้หันมาช่วยกัน กิ้งกือช่วยดุน อึ่งอ่างช่วยดัน หิ่งห้อย คอยเปิดสปอตไลท์ให้เพื่อนๆ ได้ทำงาน เมื่อ ๓ แรงแข็งขัน สุดท้าย ก็ย่อมดันกะลา ให้หงายขึ้นมาได้ และย่อมได้พบ โลกสดใส ฟ้ากว้าง ซึ่งต่างก็เป็นเพียงจุดเล็กๆ ในโลกใบนี้ทั้งสิ้น

ชาวอโศกหรือกลุ่มศาสนาอื่นๆ ที่พยายามฝึกฝนปฏิบัติตน ให้เคร่งครัดตามคำสอนของศาสดา กลุ่มศาสนา เหล่านี้ ย่อมแปลกต่างไปจากชาวสังคมโดยทั่วไป เป็นความแปลกต่างที่ไม่ใช่ความแตกแยก เหมือนนิ้ว ๕ นิ้ว ที่มีความแปลกต่างกัน แต่ไม่แตกแยกกัน ต่างฝ่ายต่างช่วยกัน ทำหน้าที่ของตนไป เพื่อให้โลกนี้ สุขสดสวย ด้วย... เราทั้งผองพี่น้องกัน

‘จริงจัง ตามพ่อ‘

เราคิดอะไร นัยปก