หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

ตอน.. บ้านนอกไปดูหนัง


น้อยรู้สึกตัวทันทีที่ได้ยินเสียง"ขะม่อน"ของปรีดา พอหายงง ก็กระโดดลุกขึ้นยืน กำมือให้เหลือ นิ้วชี้กับนิ้วกลาง ยื่นตรงออกมา แล้วร้องว่า "ขะม่อน" บ้าง โดยคิดแต่เพียงว่า สงสัยเด็กในเมือง เขาพูดกันอย่างนั้น ปรีดาหัวเราะกว้าง อธิบายว่า

"ดาว่า ขะม่อน แล้ว น้อยมาว่า ขะม่อน อีกไม่ได้ ในหนังฝรั่งน่ะนะ พอขโมยเอาปืนจี้ ที่ข้างหลังปุ๊บ แล้วพูดว่าขะม่อน คนถูกจี้ ต้องยกมือขึ้น ทั้งสองข้าง ยังงี้ๆ" ปรีดาทำท่าให้ดู "แปลว่า ยอมแพ้ไง บางทีคืนนี้ น้อยจะได้เห็นในหนังก็ได้ แต่ไม่รู้ เรื่องนี้มีหรือเปล่า อ้วนผอม น่ะมีแน่ น้อยไปแต่งตัวเหอะ เราเดินล่วงหน้าไปก่อน จะได้ไปฟัง เขาเล่นดนตรี ที่หน้าวิก แล้วก็มี ขนมขาย เยอะแยะด้วย"

คืนนั้น น้อยเห็นชาวเมืองบางนรา เดินไปตามท้องถนนราดยางสีดำ ในทิศทางเดียวกับเธอ เป็นหมู่ๆ ต่างกับชาวแว้ง ที่พอค่ำลง ก็ปิดประตู อยู่กันแต่ในบ้าน เว้นแต่เวลาบ้านไหน เขามีหนังควน หรือ เมาะยง(๑) ก็ไปดูกัน แต่นี่ปรีดาบอกว่า คนในเมือง เขาก็ทำกันอย่างนี้ ทุกค่ำคืน คือใครๆ ก็ไปหน้าวิก บางคนไปดูหนัง บางคนก็ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน บางคน ก็ไปเดินโช(๒)เฉยๆ

"แปลกดี" น้อยคิด "คนในเมืองนี้ไม่ยักกะหุงข้าวกินที่บ้าน มาเสียสตางค์ กินข้าวนอกบ้าน กันทำไม ก็ไม่รู้"

ป้าคิมไม่ได้มาด้วย เพราะต้องอยู่เป็นเพื่อนลุงเกลื่อน ที่ไม่ค่อยสบาย พ่อกับแม่เดินรั้งท้าย เพราะจะไม่เข้าไปดูหนังด้วย นานๆ จะได้เห็นพ่อกับแม่ เดินเล่นกันตามสบายแบบนี้ ถัดมา เป็นพี่สุนีย์ ที่เดินจูงมือพี่แมะไป ปรีดากับน้อยเดินล่วงหน้าคนอื่น ไปไกลลิบแล้ว คืนนี้น้อย กับพี่แมะ ได้แต่งตัวชุดใหม่เสียที ชุดที่น้าผิน ช่างเย็บเสื้อฝีมือดีที่สุด ของอำเภอแว้งเย็บให้ ปรีดาซึ่งแต่งตัว เหมือนเด็กผู้ชายตามเคย ชมว่า

"น้อยสวยจังเลย พี่แมะก็สวย ดามีแต่กางเกงขาสั้นทั้งนั้น"

น้อยเกือบสะดุดเท้าตนเอง เพราะคำชม เธอยิ้มอย่างกระดาก ก่อนพูดว่า
"จริงเหรอ ดา ใครๆ ก็ว่าน้อยไม่สวย แขกยังว่าน้อยเต๊าะจอแมซีกิ๊อะโบ๊ะ (ไม่สวยสักนิดเดียว)" เธอเลี่ยงไปพูด เกี่ยวกับตนเอง เป็นภาษามลายู "เขาว่าน้อยดีแต (ดำ) แล้วยังกูฆุห์ (ผอม) ด้วย พี่แมะเขาปูเต๊ะห์ (ขาว) ดาก็ปูเต๊ะห์เหมือนกัน"

"ช่างมันเหอะน้อย สวยไม่สวยก็ ใครๆ เขาก็ว่าดาไม่สวยเหมือนกัน ไม่เรียบร้อยด้วย แล้ว... ยัง.. อะไรรู้ไม้.. ให้ทาย" ปรีดาว่าพลางหัวเราะ อย่างไม่รู้สึก แปลกอะไรเลย น้อยสั่นศีรษะ ปฎิเสธ

"ทายไม่ถูกเหรอ ดาสอบได้ที่โหล่ไง สอบซ้อมก็ที่โหล่ สอบไล่ก็ที่โหล่" ปรีดาเฉลยคำถาม พลางหัวเราะคิก ขณะที่น้อยหยุดชะงัก พูดไม่ออก ไปครู่หนึ่ง รู้สึกละอาย ที่ตนคิดมาก ไม่เข้าเรื่อง ปรีดาสอบได้ที่โหล่ ก็แสดงว่า เขาเรียนไม่เก่งเลยน่ะซี แต่ปรีดา ก็ไม่เห็นน้อยใจ แถมยังรู้จัก ของกินแปลกๆ ที่เธอไม่เคยเห็น ชื่อนางเอกหนังฝรั่ง ปรีดาก็รู้จัก ภาษาฝรั่ง ขะม่อน ก็ยังรู้เลยว่า ขโมยฝรั่ง ต้องพูดอย่างนั้น เวลาจี้จะเอาของคนอื่นข้างหลัง เธอนิ่งไปสักพัก จึงพูดขึ้นว่า

"งั้นดาก็อยู่ชั้นเดียวกับมามุ มามุเป็นเพื่อนน้อยที่แว้ง เขาเก่งเหมือนดา ขึ้นต้นไม้ก็เก่ง ว่ายน้ำ ก็เก่ง หาปลาก็เก่ง ดาอายุเท่าน้อย แต่ถีบรถถีบ(๓)เป็นแล้ว แล้วยังรู้ด้วยว่า นางเอก หนังฝรั่ง คืนนี้ ชื่ออะไร เด็กแว้งอย่างมามุกับน้อย ไม่รู้หรอก"

"ก็พี่นีย์กับใครๆ ในเมืองเขาพูดถึงอยู่เรื่อย โดโรธีลาเม่อ(๔)น่ะ เขาว่าสวยมาก แล้วเขาก็ชอบ พระเอก ชื่อเออร่อนฟิน(๕)ด้วย คนนี้มีหนวดนะน้อย ดาชอบเหมือนกัน ชอบเวลาเขาฟันดาบ ฉึ่กฉั่กน่ะ ฟันเก่งชะมัดเลย แต่ที่ดาชอบที่สุด ก็ต้องโน่น"

น้อยมองหน้าปรีดา เธอได้ฝังชื่อนางเอกพระเอกฝรั่งที่ได้ยิน มาไว้ในสมองแล้ว แต่คนที่ปรีดา ชอบที่สุดนี่ ต้องเป็นคนที่ ยอดเยี่ยมจริงๆ เธอจะจำไปเล่า เพื่อนที่แว้งบ้าง จึงถามว่า "ใครล่ะดา แล้วเขาเก่งยังไง ฟันดาบเก่งอีกเหรอ?"

"จอนนี่ไวสะมุนเล่อ(๖) ก็ทาร์ซานไงน้อย" ปรีดาตอบ แต่ยังไม่ทันบอกว่าเก่งอย่างไร ก็พอดี เดินกันมาถึงหน้าวิกเสียก่อน น่าเสียดายจัง น้อยคิด ไม่เป็นไร ไว้ถามปรีดา ตอนไปเที่ยว ชายทะเลกัน พรุ่งนี้ก็ได้

หน้าวิกบางนราคืนนั้น ช่างสว่างไสวไปด้วยแสงไฟฟ้า ผู้คนก็แออัดกันเต็มไปหมด ตรงทางเข้า เขาแขวนป้าย ขนาดใหญ่ เขียนชื่อเรื่องหนัง ที่จะฉายไว้ว่า

"คืนนี้ เชิญชมภาพยนตร์ยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่เรื่อง ผจญไฟป่า"

ถัดเข้าไปทั้งสองข้างทาง เป็นห้องแถวขายกาแฟ และขายของกินเรียงราย หน้าห้องแถว เหล่านั้น มีรถเข็นขายก๋วยเตี๋ยว แบบที่ปรีดา มาซื้อไปตอนกลางวัน คนยืนคอยซื้อกันเป็นกลุ่ม สุดแท้แต่ใครชอบแบบไหน เจ้าไหน ก็บอกคนทำไป อย่างนี้เขามาซื้อ เอากลับไป รับประทาน ที่บ้าน น้อยเห็นทั้ง คนปรุงก๋วยเตี๋ยว และลูกน้อง ทำงานกัน มือเป็นระวิง แถมเสียงคนที่นั่ง ในร้านกาแฟ ยังร้องสั่ง ออกมาไม่หยุด เดี๋ยวคนนี้ จะเอาแบบนั้น คนนั้นจะเอาแบบนี้ คนโน้น ห้ามใส่โน่นใส่นี่

ปรีดาฉุดน้อยให้เดินต่อ มาถึงส่วนที่เป็นแถวขายขนมถาดแล้ว บนโต๊ะมีขนม นานาชนิด เต็มไปหมด ล้วนแต่สวยงาม น่ารับประทาน ทั้งนั้น พอใครสั่งซื้อ แม่ค้าก็หยิบเอาใบตอง ที่เจียนซ้อนกัน และทำความสะอาดมาอย่างดีแล้ว ห่อให้เขา กลัดห่อขนม ด้วยไม้กลัด ก้านมะพร้าว ถ้าเป็นขนมที่มีน้ำเชื่อม อย่างขนุนเชื่อม หรือ ครองแครง แม่ค้าก็ตักใส่ ในกระทงก่อน แล้ววางกระทงนั้น ลงบนใบตอง ที่ฉีกไว้เป็นแถบ เรียกว่าเตี่ยว ก่อนที่จะกลัด ด้วยไม้กลัด อย่างนี้น้ำเชื่อม จะไม่รั่วไหลออกมา

คราวนี้ถึงตาน้อยฉุดมือปรีดาไว้บ้าง "เดี๋ยวก่อนดา เดี๋ยวเดียวแหละ น้อยอยากคอยแม่ก่อนค่ะ"

ปรีดาหยุดตามคำขอร้องทั้งที่ยังเดาเหตุผลของน้อยไม่ออก พี่สุนีย์กับพี่แมะ ที่เดินตามหลังมา ก็พลอยหยุดไปด้วย เมื่อพ่อกับแม่มาถึง เห็นเด็กๆ หยุดคอย ก็เดาออกทันทีว่าทำไม แม่ยิ้ม ให้น้อย พลางทำท่า บอกใบ้เล็กน้อย ให้ลูกรู้ว่า ใช่ ตรงนี้แหละ พ่อยืนยิ้มอยู่ข้างๆ แม่ แม่ค้า ขายขนม บางคน จำแม่ได้ ก็ร้องทักทาย อย่างสนิทสนม แม่บอกน้อย และพี่แมะว่า

"โต๊ะขนมของแม่อยู่ตรงนี้แหละลูก"

น้อยหมุนตัวเดินไปหาพ่ออย่างรวดเร็ว เธอจับแขนพ่อกระตุกเบาๆ พลางเงยหน้า ถามพ่อ อย่างเขินๆ โดยไม่ทราบเหตุผล ว่าทำไม ถึงได้รู้สึกอย่างนั้น "พ่อเจอแม่ ที่ตรงนี้ใช่ไหมคะ?" และ เมื่อพ่อพยักหน้ารับ เธอก็ถามต่อว่า "พ่อมาซื้อขนมของแม่ ทุกคืนใช่ไหมคะ?"

เสียงแม่ค้าคนเดิม ที่ทักแม่ก่อนพูดว่า
"ลูกคนเล็กหรือท่านหมุ (สมุห์) ช่างพูดนะ ใช่ลูก ใช่ พ่อหนูมาซื้อขนมแม่หนูทุกคืนแหละ แม่หนูทำขนมอร่อย ข้าวเหนียวสังขยา ขึ้นชื่อที่สุด ในบางนราเลยแหละ รู้ไหม"

แม่ยืนคุยกับแม่ค้าต่อ พ่อจึงบอกให้พี่นีย์พาน้องๆ เข้าไปที่วิกหนัง น้อยรู้สึกเหมือน ในอกของเธอ เต็มเปี่ยมด้วยความสุข เธอภาคภูมิใจนัก ที่ได้ยินคนชม ฝีมือของแม่

ตอนนี้ แตรวงที่บรรเลงอยู่บนเวทีหน้าวิก ได้ย้ายเข้าไปบนเวทีข้างในแล้ว ปรีดาให้พี่สุนีย์ กับพี่แมะ เข้าไปหาที่นั่งข้างในก่อน ตนเองพาน้อย ไปเดินดูรูปหนัง ที่เขาเพิ่งเอามาติดไว้ ให้ชาวบางนรา รู้ว่า จะมาฉาย และให้เตรียมตัว มาดูกันต่อไป

"นี่ไง น้อย จอนนี่ไวสะมุนเล่อของดา นี่ไง เขาเป็นทาร์ซาน เห็นไหม เขากำลังโหน จากต้นไม้ ต้นนี้ ไปต้นไม้ต้นโน้น ไปหาเจน เมียเขาไง"

ดูรูปแล้วน้อยนึกไม่ถึงเลยว่า พระเอกนางเอกที่ปรีดาชอบมากที่สุด จะแต่งตัวอย่างนั้น คือมี แค่หนังเสือ ผืนนิดเดียว เท่านั้นเอง แล้วก็ไม่มีบ้านอยู่ อยู่แต่ในป่า กับพวกสัตว์ น่าเสียดายนัก ที่ปรีดาบอกว่า อีกตั้งเดือนกว่า เรื่องทาร์ซานนี่ ถึงจะเข้ามาฉาย เป็นอันว่า น้อยอดดูแน่ แล้วเธอพูด กับปรีดา ขณะเข้าไปในวิกว่า "พรุ่งนี้ ดาเล่าเรื่องนี้ ให้น้อยฟังนะ น้อยว่า ต้องสนุก มากเลยแหละ"

ปรีดาพาน้อยขึ้นบันไดไปชั้นบนของวิกหนัง ไปนั่งบนม้ายาว ถัดจากพี่สุนีย์ และพี่แมะ ที่ขึ้นไป จองที่ ไว้ให้ก่อนแล้ว จากตรงนั้น น้อยสามารถมองเห็น ได้ทั่วทั้งวิก เธอเห็นเวที ข้างหน้านั้น มีจอผ้าขาว ขึงอยู่ตรงกลาง เหมือนโรงหนังควนที่แว้ง แต่กว้างกว่ามาก แตรวง กลางเวที กำลังบรรเลงกัน สนั่นหวั่นไหว จนน้อยรู้สึก เหมือนพวกเขา เข้ามาตีกลอง และตีฉาบ อึกทึก ตูมตาม อยู่ในอก เธอจนสะเทือน น้อยจึงเปลี่ยนสายตา ไปมองอย่างอื่นเสีย

ชั้นล่างของวิกหนังนี้มีเก้าอี้ยาววางอยู่เต็ม ทั้งซ้ายขวา และตรงกลาง เว้นไว้แต่ ที่กลางโรง ข้างหลัง ที่เขาวางเครื่องอะไร บางอย่างไว้เท่านั้น เธอเห็นผู้คนแย่งหาที่นั่ง กันวุ่นวาย เอ็ดตะโร แถมยังมีเด็กแบกถาด หรือไม่ก็หิ้วตะกร้าขนาดเล็ก เดินระหว่าง ช่องทางเดิน พลางร้องขาย ถั่วคั่ว ถั่วต้ม ไข่ต้ม และ อะไรต่อมิอะไร อีกมากมาย คนที่ซื้อ กินแล้วก็ทิ้งเปลือกถั่ว เปลือกไข่ ลงบนพื้น จนเกลื่อนไปหมด ชั้นบนที่เธอนั่ง ดูจะเรียบร้อย และเงียบกว่า ข้างล่างมาก

"ทำไมเราไม่ลงไปนั่งข้างล่าง ให้ติดหน้าจอเลยล่ะดา จะได้เห็นหนังชัดๆ ?" น้อยกระซิบถาม

"ดูหนังเขาต้องดูไกลๆ น้อย ถ้าดูใกล้จะต้องเงยหน้าจนเมื่อยคอ แล้วตัวหนังมันใหญ่เต็มจอ ดาเคยไปนั่งดูใกล้ๆ แล้วแหละ จะเวียนหัวตาย คืนนี้พี่นีย์เขาใจดี ซื้อที่นั่งข้างบนให้ ข้างบนนี่ แพงกว่าข้างล่างนา ถ้าละคร หรือ ลิเกมาแสดง ข้างล่างจะแพงกว่า" ปรีดาอธิบาย

มิน่าล่ะ ข้างหน้าโรงถึงมีแต่เด็กๆ น้อยคิด อยากจะถามเรื่องลิเกละครอะไรนั่นต่อ ก็พอดีไฟดับ มืดหมดทั้งโรง เสียงตบมือ ดังสนั่นหวั่นไหว เธอไม่ทราบว่า ทำไมเขาถึงตบมือกัน แต่เมื่อเห็น ปรีดาตบ ก็เลยตบบ้าง

อ๋อ! รู้แล้ว เขาตบมือ เพราะหนังจะเริ่มฉายนี่เอง!

น้อยไม่เคยเห็นอะไรที่มหัศจรรย์อย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต เจ็ดขวบของเธอ คนบนจอผ้าขาว เคลื่อนไหว เดินเหิน และวิ่งได้ เหมือนคนจริงๆ พูดได้ด้วยซี แต่น้อยไม่เข้าใจ ภาษาที่เขาพูด ปรีดากระซิบว่า นั่นเป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น ยังไม่ใช่เรื่อง ที่มาดูกัน

ขนาดหนังตัวอย่างนะนี่! เธอเห็นจอนนีไวสะมุนเล่อ ของปรีดาแล้ว ปรีดากระซิบบอกอีกว่า

"นั่นแหละ ทาร์ซานของดาหละ" เสียงเด็กๆ โห่ดัง โห่ ฮี้ โห่ ฮี้ โห่ กันทั้งโรง ปรีดาก็โห่ กับเขาด้วย จนถูกพี่สุนีย์ดุ ว่าเป็นผู้หญิง และอายุตั้งเจ็ดขวบแล้ว ยังจะโห่อีก อะไรทำนองนั้น ปรีดา จึงได้หยุดโห่ ทำให้น้อย ซึ่งตั้งใจจะลองโห่ตาม ทั้งที่ไม่แน่ใจว่า จะทำถูกกับเขาหรือไม่ ต้องนั่งนิ่งไปด้วย

แล้วเธอก็เห็นพระเอกของปรีดา ที่นุ่งหนังสัตว์ แค่ผืนเดียว กระโดดฉวยเถาวัลย์ โหนตัว ลอยละลิ่ว จากต้นไม้ต้นหนึ่ง ไปอีกต้นหนึ่ง มีลิงโหน ตามไปด้วย แล้วทาร์ซาน ก็ทำเสียงโห่ เหมือนที่เด็กๆ โห่นำไว้จริงๆ เสียด้วย พอทาร์ซาน ป้องปากโห่อีกครั้ง ช้างโขลงใหญ่ ก็วิ่ง หน้าเริ่ด มาหาทาร์ซาน ตามด้วยสัตว์อื่นๆ อีกนานาชนิด ช่างตื่นเต้นเสียจริง หนังอะไรสนุก และ มหัศจรรย์อย่างนี้

พวกสัตว์ในหนังมันมาจากไหนกัน? ถ้าเป็นหนังควนของโต๊ะอุมาละก็ น้อยรู้ว่า มันเป็นเงา ที่โต๊ะดาแล (คนเชิด) เขาชักอยู่ข้างหลังจอ ที่เขาเอาตะเกียง แขวนไว้หลัง ตัวหนังอีกที ให้เงา ตัวหนัง มาทาบบนผ้าขาว แต่นี่ ถึงจอจะเป็นผ้าขาวเหมือนกัน แต่ไม่เห็นมี ไฟข้างหลัง สักหน่อย คนเชิดก็ไม่มี แล้วรูปนั่น มันมาจากไหนกัน?

น้อยเริ่มสังเกตเห็นว่า ท่ามกลางความมืดภายในวิก มีลำแสงพวยพุ่ง ไป กลางจอผ้าขาว บนเวที ที่มีภาพตัวหนังปรากฏ เธอโน้มตัวไปข้างหน้า เพื่อดูว่าลำแสงนั้น มาจากไหน แล้วเธอ ก็เห็นว่า มันพุ่งมาจาก หีบอะไรสักอย่าง ที่วางอยู่บนขาหยั่ง กลางวิก ชั้นล่างนั่นเอง เห็นผู้ชาย สองสามคน ตะคุ่มๆอยู่บนนั้นด้วย และเธอได้ยินเสียงดังแกรกๆ เบาๆ ดังมาจากเครื่อง ที่มีแสงนั้น

แล้วหนังตัวอย่างบนจอก็หมดลง ไฟสว่างขึ้นทั้งโรง เสียงคนขยับตัว และคุยอะไรต่อมิอะไร ดังจ่อกแจ่ก น้อยชะโงกหน้าไปดูอีกว่า คนบนขาหยั่งนั้น เขาทำอะไรกัน เธอเห็นพวกเขา เดินเครื่องอะไรที่ดังแกรกๆ นั้น มันเป็นแถบบาง ขนาดแคบๆ ที่หมุนกลับไปสักครู่ ก็หมด ทั้งม้วน พวกเขาถอดเอาม้วนแถบนั้นออก เอาอีกม้วนหนึ่ง ใส่เข้าไปแทน เขาดึงปลายแถบ ไปเหน็บไว้ กับม้วนเปล่า อีกม้วนหนึ่ง เก่งจัง! น้อยคิด เมื่อได้ยินเขาออกคำสั่งว่า "ปิดไฟได้!" แล้วไฟทุกดวงในวิก ก็ปิดลง ตามด้วยเสียงเด็กๆ ตบมืออีกครั้ง

ปรีดากระซิบว่า "น้อย เดี๋ยวได้ดูตลกอ้วนผอม(๗)แล้ว ตั้งหลายตอนแน่ะ เตรียมหัวเราะได้เลย"

(อ่านต่อฉบับหน้า)


(๑) เมาะยง เป็นการแสดงของมลายู ทำนองเดียวกับละครของไทย ปัจจุบันหาดูได้ยากแล้ว
(๒) ลักษณะที่หนุ่มๆ สมัยก่อนแต่งตัวไปเดินเล่น เปิดอารมณ์ และค่อนไปทางกรุ้มกริ่ม เรียกความสนใจ คนอื่น โดยเฉพาะสาวๆ ตามหน้าโรงภาพยนต์ เรียกกันว่า เดินโช เห็นจะมาจาก ภาษาอังกฤษว่า show นั่นเอง
(๓) สมัยก่อน จะเรียกรถจักรยานว่า รถถีบ ซึ่งเป็นการผสมคำโดด แบบไทยแท้ เข้าใจว่า ต่อมา เมื่อมีรถ สามล้อเข้ามา จึงเรียกว่า รถสองล้อ เพื่อแสดงความแตกต่างจาก รถสามล้อ ส่วนคำว่า จักรยาน น่าจะมา บัญญัติ กันภายหลัง เพราะใช้คำจาก ภาษาบาลีสันสกฤต
(๔) คือ Dorothy Lamuar ดาราภาพยนต์หญิง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ในสมัยโน้น
(๕) คือ ErollFlynn ดาราภาพยนต์ชาย ที่มีชื่อเสียงมาก ในสมัยก่อนสงคราม โดยเฉพาะ การไว้หนวด และการฟันดาบ
(๖) คือ Johny Waisse Muller ผู้แสดงเป็นทาร์ซาน (Tarzan) คนแรกของโลกภาพยนต์
(๗) ตลกคู่อ้วนผอม ในสมัยนั้น คือ Stan Laurel กับ Oliver Hardy

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๙ ธันวาคม ๒๕๔๕)