เราคิดอะไร.

คิดคนละขั้ว - แรงรวม ชาวหินฟ้า -

การฆ่าพุทธศาสนาด้วยเจตนาที่แสนดี

อใกล้ช่วงเดือนมีนาฯ-เมษาฯ เด็กๆ ปิดเทอม เราก็จะเห็นข่าวการบวชเณรภาคฤดูร้อน ตามวัดต่างๆ โหม ประโคมกัน ตามหน้าหนังสือพิมพ์ และติดป้ายโฆษณา อยู่ตามหน้าวัด ซึ่งต่างก็มีจุดมุ่งหวัง ให้เยาวชน ของชาติ ได้มีโอกาสใกล้ชิดพระศาสนา และเพื่ออบรมกล่อมเกลาจิตใจ ให้เป็นคนดี แม้จะมีเพียง ส่วนน้อย ที่จัดโครงการ นี้ขึ้นมา เพื่ออาศัยเด็กเป็นเครื่องมือ ในการหาเงินหาทองบ้างก็ตาม

เมื่อดูผิวๆ เผินๆ ก็น่าอนุโมทนา กับกุศลจิต ของผู้คิดทำโครงการ บรรพชาสามเณร ภาคฤดูร้อน แต่หาก พิจารณา ถึงอาการน่าเป็นห่วงของ พระพุทธศาสนาในภาวะปัจจุบันแล้ว การจับคนที่ไม่ได้ตั้งใจมาบวช แต่เข้ามาบวช เพราะอยากเล่น บวช เพราะอยากลอง บวชครองประเพณี บวชหนีทหาร บวชผลาญข้าวสุก หรือ บวชสนุกตามเพื่อน ก็ตาม หรือ การจับคนที่มีปัญหา เข้ามาบวช จนเป็นการเพิ่มปัญหา ให้แก่ พุทธศาสนา มีอาการโคม่า หนักขึ้นอีก

ผ้ากาสาวพัสตร์ที่ภิกษุสามเณรพากันเอามาห่มครองนั้น ย่อมเป็นเสมือนกับ ธงชัยของพระอรหันต์ ดังนั้น ใครก็ตาม ที่ได้โกนหัว นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ผ่านพิธีบรรพชาอุปสมบท จากหมู่สงฆ์ มาเรียบร้อย แล้ว ผู้นั้นย่อมได้ การยกย่องนับถือ กราบไหว้บูชา โดยถือว่า อยู่ในเพศภาวะสูงส่ง (อุดมเพศ) ผู้ที่อยู่ในเพศ ภาวะที่ต่ำกว่า (หีนเพศ) แม้จะเป็นบิดามารดาก็ตาม ก็จะต้องกราบไหว้บุตรของตน สุดเศียรเกล้า แต่ทุกวันนี้ เราพากันทำลายธงชัย ของพระอรหันต์ ให้เสื่อมต่ำ หมดคุณค่า เพราะการไปเที่ยว กวาดต้อนคน ที่มีปัญหาทั้งหลาย ในสังคม มานุ่งห่ม ผ้ากาสาวพัสตร์ ซึ่งไม่ต่างอะไร กับเอาชุดฮ่องเต้ ให้ใครๆ พากันใส่เล่น ใส่หัว ดังข่าว จากหนังสือพิมพ์ มติชนฉบับ วันพุธที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๖ ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้

* จับเด็กเร่ร่อนแปลงเป็น.....สามเณร
แต่ไหนแต่ไรมา การดูแลเด็กเร่ร่อนมักเป็นเรื่องของกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) เป็นหลักแม้มีหน่วย งานภาครัฐ หลายแห่งตั้งขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบ แต่กลับเข้าไม่ถึงเด็กกลุ่มนี้ เพราะมุมมอง เรื่องศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ ที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามระยะหลัง ภาครัฐมีการปรับการทำงาน ในทิศทางที่ดีขึ้น โดยสังคม เข้ามาทำงาน ร่วมกับเครื่อข่าย ของเอ็นจีโอ ขณะที่บางแห่ง ถึงขนาด ยอมจัดพื้นที่ราชการ เป็นบ้านพัก ให้เด็ก เร่ร่อนเข้า-ออกได้ แบบเดียวกับที่เอ็นจีโอทำอยู่ การที่เด็กออกมาเร่ร่อน เป็นปัญหา ที่ลึกซึ้ง ซึ่งไม่สามารถ แก้ไข ด้วยการจับมาขัง และฝึกอบรมเพียงอย่างเดียว เพราะหัวใจ หลักของ คนทำงาน ด้านนี้ ต้องมีความใจเย็น อดทน และมีจิตวิทยา ในการค่อยๆชักจูงเด็กเหล่านี้ ให้เข้าสู่ระบบ

นายวีระศักดิ์ โค้วสุรัตน์ ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ลงพื้นที่ทั้งที่ หัวลำโพง สนามหลวง เพื่อดูสถานการณ์จริง ทำให้เกิดแนวความคิด ที่ต้องการชักจูง เด็กเร่ร่อน มาบวชเป็น สามเณร

"ผมยอมรับว่า ทำยาก แต่ก็มีความเป็นไปได้ รุ่นแรกเราทำได้ ๘-๑๐ คนก็เก่งแล้ว ผมอยากให้เขาภูมิใจ และมีสิทธิ ที่จะเลือกชีวิตตัวเอง เมื่อก่อนพวกเขาต้องเดินเที่ยวขออาหาร แต่วันหนึ่งเมื่อเขาบวชเป็นเณร และ ออกบิณฑบาต ในชุมชนที่เขาเคยอยู่ ชาวบ้านต่างออกมาเต็มใจให้ความรู้สึกมันจะแตกต่างกันมาก เพราะเขาได้รับการยอมรับ"

วีระศักดิ์บอกว่า "รู้สึกเป็นห่วงเหมือนกันว่าเด็กอาจอยู่ในกรอบระเบียบของวัดไม่ได้ เพราะวัดบางแห่งอาจ เคร่งครัด ดังนั้นจึงต้องเลือกวัดและเข้าไปทำความเข้าใจกับหลวงพ่อถึงลักษณะเฉพาะของเด็กเร่ร่อนขณะ เดียวกัน นักสังคมสงเคราะห์ ก็ต้องเข้าไปช่วย เป็นพี่เลี้ยงด้วย.."

คงต้องยอมรับความจริงกันว่า สังคมทุกวันนี้มีปัญหา เพราะเหตุมาจากคนในสังคมมีปัญหา เมื่อคนใน สังคมมีปัญหา พากันเข้ามาบวชในวัด ให้วัดมีปัญหาสังคมตามไปด้วย ความเข้าใจเดิมที่มีมาแต่ โบราณว่า วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน เป็นที่รวมของคนดีๆ มาบวชเรียน แต่ปัจจุบันนี้ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ได้เปลี่ยนแปลง ไป ดูเหมือนว่าใครๆ ที่มีปัญหา สังคมก็จะพากันจับโยนเข้ามาอยู่ในวัด เราจึงจะได้เห็น ข่าวคาวในวัด ปรากฏให้รับรู้อยู่ตลอดเวลา แม้แต่ข่าวสามเณร ที่ถูกพระตุ๋ย ซึ่งจะไม่เป็นข่าว แดงออกมาได้เลย หากเด็กไม่ ป่วยเป็นโรคเอดส์เสียก่อน ผู้ปกครองเอง ก็จะไม่มีวันรู้ ได้เลยว่า อะไรได้เกิดขึ้น แก่บุตรที่สุดรักของตน ซึ่งการ จะจัดการกับบรรดาพระตุ๋ย ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะพระเหล่านี้ จะมีทั้งความ ฉลาด และมีอำนาจอยู่ในวัด โดยเฉพาะ วัดที่เป็นสำนักเรียน

ในอดีตกาลมีชาดกเล่าถึงช่างไม้กับลูก ๒ คน ทำงานอยู่ด้วยกัน ในขณะที่ช่างไม้กำลังกลึงไม้อยู่นั้น ได้มี แมลงมาตอมตา และเกาะอยู่บนหน้าผาก ด้วยความรำคาญ ช่างไม้จึงให้ลูก จัดการฆ่า แมลงวันทิ้งเสีย ลูกชาย นายช่างไม้ เป็นคนโง่ เมื่อได้รับคำสั่งพ่อ ให้ฆ่าแมลงวัน เขาจึงคว้าขวาน สับไปที่แมลงวัน เพื่อให้มันตาย คาที่ และก็ได้ผล ทั้งคนทั้งแมลงวัน ได้ตายไปพร้อมๆกัน ซึ่งบทสรุปของเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า การมี มิตรโง่นั้น บางทีมีศัตรูที่ฉลาดยังดีกว่า

การฆ่าพระพุทธศาสนา ด้วยเจตนาที่แสนดี ก็อาจเกิดขึ้นได้ ด้วยความหวังดี ที่ไม่ฉลาด ดังชาดก ที่ได้ยกขึ้น มานี้

(เราคิดอะไร ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๕๒ เดือน มีนาคม ๒๕๔๖)