>เราคิดอะไร

สีสันวิต

จากเด็กพุทธธรรม สู่วัยรุ่น นักศึกษามหาวิทยาลัยเปิด ที่แสนอิสระเสรี
เธอผ่านชีวิต ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ และเอาตัวรอดมา อย่างหวุดหวิด

สวยใส สหัสานันท์ # เธอผู้โชคดี #

*** รู้จักสวยใส สหัสานันท์
เกิด ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เป็นลูกคนโต มีน้องชาย ๓ คน พ่อแม่เป็น ชาวสวน เรียนชั้นประถม โรงเรียนอนุกูลวิทยา จบ ม.๓ โรงเรียนอัมพวันวิทยาลัย และเรียน ม.๔-๕ ที่ โรงเรียน สันติราษฎร์วิทยาลัย ซึ่งในยุคนั้น ฮิตสอบเทียบกันมาก เลยสอบเทียบตามเขา พอสอบเทียบได้ ก็ลองสอบ เอ็นทรานซ์ แต่ไม่ติด เลยมาเรียนรามคำแหง เลือกคณะมนุษยศาสตร์ เอกวิชา สื่อสารมวลชน ช่วงที่เรียนเทอมแรก ตั้งใจมาก ลง ๗ วิชา ได้ G หมด

*** พื้นฐานวัยเด็ก
ตอนเรียนอยู่ ป.๕-๖ เวลาปิดเทอมจะมาเที่ยวกรุงเทพฯ มีคุณอา (น้องคนเล็กของพ่อ) ปฏิบัติธรรม ที่พุทธสถาน สันติอโศก เขาจะมาวัด ทุกวันอาทิตย์ และพาเราไปวัด ฟังธรรมด้วย สนิทกับอาคนนี้มาก ตอนมาฟัง ก็รู้สึกว่า ธรรมะฟังยาก สำหรับเด็กๆ อย่างเรา ฟังไปก็ลุกเข้าลุกออก ตลอดเวลา แต่ก็ชอบที่ ได้มา ได้ยินคำว่า มังสวิรัติ เราฟังแล้ว ก็ไม่คิดขัดแย้ง รู้แต่ว่า อ้อ! ต้องกินอาหารมังสวิรัติ และอาก็ซื้อ หนังสือให้อ่าน เช่นเรื่อง "บาปอยู่ที่คนทำ กรรมอยู่ที่คนกิน" ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นพวกการ์ตูน อิงธรรมะ ก็เลยกินมังสวิรัติ ในช่วงปิดเทอม พอเปิดเทอมกลับบ้าน ยังมีความตั้งใจ อยากกินมังสวิรัติต่อ สมัยนั้น รู้จักแต่เต้าหู้ยี้ ถั่วเหลืองต้ม ถั่วลิสงคั่ว กินกับข้าวต้ม และก็ไม่รู้ว่า จะทำอะไรอย่างอื่นกินอีก พ่อกับแม่ก็ เป็นห่วง กลัวขาดอาหาร โดนบ่นบ่อยมาก ในที่สุด ก็ล้มเลิกความตั้งใจ กลับไปกินเนื้อสัตว์ เหมือนเดิม

ช่วงนั้นได้เป็นสมาชิกวารสารดอกบัวน้อย ของสันติอโศก เป็นนักเรียนพุทธธรรม ทางไปรษณีย์ด้วย เริ่มรู้จัก เรื่องศีลห้า หัดถือศีล ในที่สุด ความที่ไม่มีใครสนับสนุน และอยู่ห่างวัด ห่างคุณอา สิ่งที่จะมากระตุ้น ให้เราฝึกตน ลดละกิเลสก็ไม่มี หลังจากนั้น พอเรียน ม.๑ ม.๒ ก็เริ่มห่างๆ ความคิดเรื่องวัด หายไปเลย

*** ชีวิตในมหาวิทยาลัย
ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯแล้ว คุณอาคนเดิม ก็เริ่มชวนเข้าวัดอีก แต่ก็เป็นลักษณะ ไม่บังคับ แล้วแต่เราสมัครใจ เราเลยไม่ใส่ใจ และเรื่องการปรับตัว ในรั้วมหาวิทยาลัย ก็ดึงความสนใจ ของเรา ได้มากกว่า อีกทั้งความทรงจำ ในวัยเด็กที่มีกับวัด คือทุกอย่าง ที่ต้องฝึกปฏิบัติธรรม ดูมันยุ่ง ยากไปหมด "วัด"เลยไม่อยู่ในความคิดของเรา ช่วงนั้นเลย

*** ระหว่างเรียนในมหาวิทยาลัยมีปัญหาวัยรุ่น
สมัยอยู่ ม.๔ เคยมีแฟน แต่คำว่าแฟน ในทัศนคติของเรา มีความหมาย เหมือนเป็นการให้กำลังใจ ให้ความรู้สึกว่า ตั้งใจเรียนนะ และเราก็เป็นเด็กใฝ่เรียนด้วย ตอนนั้นเกรดเฉลี่ยดีมากเลย เราช่วยกัน ตั้งใจเรียน ไม่ออกนอกลู่นอกทาง เขียนจดหมายถึงกัน เพราะอยู่ต่างโรงเรียนกัน แต่ที่สุดก็ห่างกันไป

พอมาเรียน ม.รามฯ ปี๑ ก็เข้าชมรมภาษาอังกฤษ มีการรับน้องใหม่ และประกวด เราได้ ตำแหน่ง Miss Freshy ของชมรม ทำให้มีเพื่อน มารู้จักมากขึ้น

ผู้ชายรุ่นพี่หลายปีแต่ยังเรียนไม่จบคนหนึ่ง มาคุยด้วย ชวนเป็นแฟน ทัศนคติของเรา ก็ยังเหมือนเดิม แฟนคือ คนที่เข้าใจกัน ตั้งใจเรียน และต่างนำพากันไปสู่ดี แต่เมื่อคบไปๆ ก็ทำให้ เราเข้าใจอะไรมากขึ้น รู้จักเขามากขึ้นว่า ความต้องการของเขากับเรานั้น มันเป็นคนละเรื่อง เขาเริ่มเปิดเผยเรื่องตัวเอง ว่าเขาติด การเที่ยวผู้หญิง เขาบอกกับเรา ว่าเขาพร้อมจะให้เราทุกอย่าง ยกเว้นห้ามไม่ให้เขาไปเที่ยวผู้หญิง เขาบอกว่า เอาไว้เราแต่งงานกัน เราจะเลี้ยงลูกอย่างไร เขาจะพูดอยู่เรื่อยๆ ให้เราฝังหัวไว้ว่า เราต้องแต่งงานกับเขา ต้องมีลูก และช่วงคบกัน ก็ให้เราถือเงินให้ด้วย

ในที่สุดเขาก็บอกถึงสิ่งที่เขาอยากได้ คือ อยากนอนกับเรา เราตกใจมาก แต่ก็นิ่งฟังแบบไม่ผลีผลาม ต่อว่า ถ้าถามว่ารักเขาไหม ยังไม่ถึงกับรักแค่มีใจที่ลองคบเขา เพราะคำว่าแฟนสมัยนั้น เราคิดว่าเป็น การคบกัน เรียนรู้กันไป แต่อาจให้ความสนิท หรือพิเศษกว่าผู้ชายคนอื่น ทว่าเมื่อออกมาในรูปนี้ ก็รู้สึก ไม่สบายใจมาก เราจะคบกับเขาต่อไป ไม่ได้แล้ว เพราะจะอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนที่เคยไปเที่ยวด้วยกัน เราต้อง ถอยห่าง แต่ความที่ตัวเอง เป็นคนมีนิสัยประนี ประนอม จึงไม่อยากทำอะไรรุน แรง ไม่อยากจะเสียเพื่อน หรือ เสียความรู้สึกที่ดีไป

แต่ในที่สุดเราก็เอ่ยปากขอเลิก มันลำบากใจมากเลยนะ คุยกันหลายรอบ เขาประชดว่า ถ้าเลิกกัน เขาก็จะไม่เรียนต่อ เราก็พยายามโน้มน้าว ให้เขาไม่ทำลายอนาคตตัวเอง ก็ยืดเยื้ออยู่ระยะหนึ่ง ไม่เอาแล้ว ตัดใจดีกว่า ไม่ห้าม ไม่ห่วงอะไรเขาอีก แต่ก็ยังยืนยันกับเขา ถึงความรู้สึก ที่อยากให้เขาดูแลตัวเองให้ดี

คิดว่าทุกอย่างจบแล้ว แต่เขาก็นัดเจอที่ที่ทำงานของเขา บอกว่าเป็นครั้งสุดท้าย เราเลยชวนเพื่อนคน หนึ่งไปด้วย แต่วันนั้นปรากฏว่า มีเพื่อนไปด้วย ๔ คน ที่ทำงานมีเขาคนเดียว เขาบอกว่า จะรอจนกว่า เราจะเรียนจบ จึงบอกเขาว่า ไม่ต้องรอ แต่เขาก็ยังยืนยันคำพูดของเขา พอผ่านไปไม่กี่เดือน เขาก็มีผู้หญิง คนอื่น

*** บทเรียนเรื่องความรัก
พอเลิกกันแล้ว เราก็สรุปกับตัวเองว่า ถ้าเราจะคบกับใครก็มีสิทธิ์คบได้ แต่ควรคบแบบเพื่อน เราจะไม่ ยอมเป็นแฟน กับใครง่ายๆ เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านไป ทำให้รู้ว่า แฟนทุกวันนี้ มันต้องมีอะไรกัน มันไม่ใช่แค่ ให้กำลังใจ ในเรื่องการเรียนแล้ว และถ้าคำว่าแฟน คืออย่างนี้ เราจะไม่ลงลึกขนาดนั้น

แต่เมื่อมาปฏิบัติธรรมแล้ว รู้สึกโชคดีมาก ที่เราไม่ต้องมีแฟน และไม่คิดจะมีแฟน

*** มีข่าวเด็กวัยรุ่นรักกัน พอผิดหวังก็ทำร้ายกันถึงชีวิต คิดว่าตัวเอง ผ่านเหตุการณ์ มาได้อย่างไร
เราเคราะห์ดีที่เจอคนไม่บุ่มบ่าม และเราก็โชคดี ที่เราไม่บุ่มบ่ามเสียเอง คงเพราะมีครอบครัวที่อบอุ่น เรามีพ่อ แม่ อา และน้องๆ ที่รักเรามาก รักเรามาตั้งสิบกว่าปี (ตอนนั้นเราอายุ ๑๖ ปี) แต่กับเขา คบกัน แค่ ๔ เดือนเอง

ถึงอย่างไรเมื่อผ่านความรักแบบนี้ มันก็ยังหลงเหลือความรู้สึกคว้างๆ หมองๆ ไม่เข้าใจกับคำว่า ความรัก บังเอิญ ในช่วงนั้น น้องชายคนหนึ่ง ขอให้คุณอา พาเขามาฟังธรรมวันอาทิตย์ ที่พุทธสถาน สันติอโศก ทุกครั้ง ที่พวกเขา กลับถึงบ้าน พวกเขาดูเบิกบาน เราเองก็เริ่มสงสัยว่า ที่วัดมีอะไรดี เลยขอคุณอา ให้พาไปวัดด้วย อีกคน

พอมาวัดก็ได้ฟังธรรม เข้าไปในห้องเผยแพร่ เทปธรรมะ พบเทปชื่อ "รักเอยจริงหรือที่ว่าหวาน" "วัย หวานสะอื้น" "เพลงรักหักใจ" ก็รู้สึกอัศจรรย์ ธรรมะพูดเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือ นึกว่าธรรมะ จะมีแต่เรื่อง อภิญญา ๕ เป็นศัพท์ที่เคยเรียน ในสมัย ม.๔, ม.๕ เราเคยเรียนศัพท์บาลี คิดว่ามันห่างไกล จากตัวเรา เหลือเกิน และเรายังอยู่ ในวัยที่ไม่จำเป็น ต้องมาปฏิบัติเรื่องนี้ คนมาวัด ปฏิบัติธรรม ต้องเป็นคนมีอายุ มากๆ พอมาพบเทปธรรมะ ที่เหมาะกับวัยรุ่น ก็แปลกใจ อาก็อนุญาตทันที บอกอยากซื้อกี่ม้วนซื้อเลย

ฟัง ฟัง ฟังแล้วเกิดความเข้าใจ มีความรู้สึกว่า มุมมองทั่วไป ก็แค่ระดับหนึ่ง แต่มุมมองที่มีธรรมะ มันทำ ให้ใจสบาย เข้าใจความรักมากขึ้น เหตุผลมันกว้างขึ้นอีก พอดีเจอเรื่องความวุ่นวาย ของความรักมาด้วย มันเลยใช่ ใช่เลย ตอนนั้นปี'๓๖ เพลง "นิยามแห่งความรัก" กำลังดัง ฟังเพลงแล้ว รู้สึกว่าธรรมะ นี่เป็นเรื่อง ไม่ไกลตัววัยรุ่น และเป็นเรื่องที่ทำให้เราควบคุม อารมณ์ตัวเองได้ มากกว่า ก็เลยมาวัดบ่อย ขึ้น เป็นช่วง ที่ได้เข้ามาช่วย รายการวิทยุ ทุกข์ปัญหาชีวิต พอเรียนถึงปี๓-๔ ก็ขอหยุดช่วย เพื่อเรียนให้จบ เป็นเรื่องราว ซึ่งขณะนั้น ก็ได้ศึกษาธรรมะ เรียนรู้เรื่องกิเลส และระบบบุญนิยม และ ได้ฟังธรรมะสม่ำเสมอ

เมื่อเรียนจบก็ถึงเวลาที่ต้องเลือกว่าจะเดินไปทิศทางไหน จะไปใช้ชีวิตเป็นพนักงานบริษัท แต่นั่นคือเรา จะมีชีวิต รับใช้นายทุน ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่เรียนรู้ และพยายามฝึกตัวเอง ชีวิตมีสองทางให้เลือก แต่เราไม่ สามารถ เหยียบเรือสองแคมได้ และชีวิตที่ลังเล จะเป็นทุกข์มาก

จากจุดนี้เอง เริ่มนำศีลเข้ามาในชีวิตมากขึ้น ลดละสิ่งฟุ่มเฟือยจริงจังขึ้น และพอชัดเจนว่า จะเลือกใช้ ชีวิตอย่างไร ก็กล้าหาญที่จะบอกผู้ใหญ่ พ่อแม่ อา ว่าขอใช้ชีวิตทำงาน ให้กับศาสนา ซึ่งท่านก็เห็นดี ไม่ขัดข้อง เพราะเห็นว่า เรามีใจโน้มมาทางนี้ ตั้งแต่เรียนหนังสือแล้ว

*** อุปสรรค
เมื่อมาปฏิบัติธรรมอุปสรรคก็คือ กิเลสตัวเอง ในทุกๆเรื่อง ฝึกถือศีลไปเรื่อยๆ จากศีล ๕ เป็นศีล ๘ ฝึก ประพฤติพรหมจรรย์ เลยรู้ว่ากิเลสในตัวเรามีไม่น้อย อย่างเช่น คนทั่วไปในสังคม เขากลัวขึ้นคาน แต่เรา กลับคิดว่า การขึ้นคาน (มีชีวิตโสด) นั้นสิประเสริฐและยาก ลงจากคานสิง่ายมากๆ ใครก็ทำได้ มีความเห็น ว่าคนที่ตั้งใจอยู่เป็นโสด แล้วอยู่ได้อย่างมีความสุข และมีประโยชน์คุณค่า นั้นไม่ง่ายเลย ถ้าไม่เอาจริง กับการปฏิบัติธรรม

แต่คำว่าอุปสรรค ลึกๆ ก็สนุกนะคะ ไม่คิดว่าเจออุปสรรคแล้ว จะต้องแพ้ตลอดกาล อุปสรรคเป็นเรื่อง พิสูจน์กำลังใจ ทำให้เรารู้ว่า บางครั้งเราก็ยังอ่อนแอ บางครั้งเราก็เข้มแข็ง อุปสรรคทำให้ชีวิตมีสีสัน ยิ่งเจออุปสรรค ยิ่งทำให้เราอยากลดกิเลส มันเป็นความสุข ที่ชื่นใจอยู่ลึกๆ ขอเพียงแค่ไม่ท้อ แล้วด่วนทิ้ง ความตั้งใจ ความสุขแอบอยู่หลังคำว่าอุปสรรคเสมอ

*** พ่อแม่ว่าอย่างไร ถ้าไม่แต่งงาน
เขาคงสบายใจ ถ้าจะห่วง เขาก็จะห่วงเราคนเดียว ไม่ต้องห่วงหรือกังวล ในเรื่องลูกของเรา สามีของเรา อันนี้คุณอา เคยถามพ่อ แล้วนำมาเล่าให้ฟัง ส่วนแม่เคยบอกเราว่า เจอคนดีๆ จะแต่งงาน มีครอบครัว ก็ไม่ว่า แต่ตอนหลัง เห็นเราเอาจริงกับการมาใช้ชีวิตทำงานให้กับศาสนา แม่ยิ่งส่งเสริม ให้อยู่เป็นโสด เราก็คงจะต้อง ปฏิบัติธรรมให้สูงขึ้น ไม่ต้องไปแต่งงาน

*** ถ้าวันนี้ไม่มีธรรมะ
คิดว่าคงจะเอาแต่ใจมากกว่านี้ การได้รู้จักธรรมะ ทำให้เราเรียนรู้ การขัดใจตัวเอง หักห้ามใจตัวเองเป็น อบรมตัวเองเป็น ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์แก่เรามาก ทำให้จิตใจเราเข้มแข็ง มีอารมณ์มั่นคง ไม่หงุดหงิด น้อยใจเสียใจอะไรง่ายๆ การที่เราอยากได้อะไรก็ได้ อยากดูหนังก็ได้ดู หรืออยากคุยกับใคร คบใคร เราก็ทำตามใจตัวเอง คิดจะแต่งตัวก็แต่ง หรือทำทุกอย่างตามที่ชอบ มันก็คือ เรากำลังทำร้าย จิตวิญญาณ ตัวเองให้อ่อนแอลง

คิดว่าวัยรุ่นทุกวันนี้น้อยคนมาก ที่จะเรียนรู้การห้ามใจตัวเอง รู้จักการชะลอความรู้สึก ของตัวเอง การไตร่ตรอง มันเป็นอะไรแบบอยากได้อะไร ต้องได้ทันที รวดเร็ว เพราะสิ่งแวดล้อมทุกอย่าง มันเร่งเร้า ให้เขาทำตาม แบบไม่มีสติ และคิดว่า นี่คือเสรีภาพ แต่เมื่อเรารู้จักธรรมะ มันก็ไม่ได้ทำ ตามความชอบแล้ว แต่เป็น การทำตามความรู้ ทำตามความเหมาะควร เราเลือกความเหมาะควร มากกว่าความชอบใจ แต่วัยรุ่นทั่วไป เขาเลือกตาม ความชอบใจอย่างเดียว ไม่ได้เห็นความเหมาะควร เขาจึงต้องได้รับ ความทุกข์ ร้อนใจบ่อยๆ

*** ปัจจุบันทำอะไร
ทำงานที่ไม่มีเงินเดือน ดีใจมาก (เหมือนได้รับเกียรติจากสังคม) เพราะนอกจากลักษณะงาน จะเป็น งานที่เกื้อกูลสังคม และไม่ต้องมีใคร เอาเงินมาจ้างเราแล้ว แต่เราก็ตั้งใจทำงาน อย่างเต็มที่ เต็มความ สามารถ ได้ลดละกิเลสตนในเรื่องต่างๆ ขณะทำงานไปด้วย(คุ้ม)

ทำงานอยู่กองบรรณาธิการวารสาร ดอกบัวน้อย ซึ่งเป็นหนังสือ สำหรับเด็ก ราย ๒ เดือน และเมื่อ มีโอกาส ก็ไปช่วยงาน ในฝ่ายต่างๆ ของชุมชน เช่น งานด้านวิทยุชุมชน (FM 107.9 MHz) งานด้าน การศึกษา (คุรุโรงเรียน สัมมาสิกขาสันติอโศก สอนเด็กนักเรียนชั้น ม.๑ และคุณครูพุทธธรรม วันอาทิตย์)

แต่จริงๆ แล้ว มาอยู่วัดก็คือมาเพื่อศึกษาลดละกิเลสของตนเอง อยู่ในสังคมชุมชนคนมีศีล ที่มีอยู่จริง ไม่ใช่สังคมเพ้อฝัน หรือทำกันเล่นๆ

ปัจจุบันเป็นนิสิตสัมมาสิกขาลัยวังชีวิต (ม.วช.) วิชชาเขตสันติอโศก ปี ๓ การเป็นนิสิต ต้องถือศีล ๘ ประพฤติพรหมจรรย์ ใช้ชีวิตประจำ อยู่ในวิชชาเขตนั้นๆ

จุดมุ่งหมายของ ม.วช.
- เพื่อพัฒนาคนให้มีวรรณะ ๙ พึ่งตนและช่วยผู้อื่นได้ด้วย เป็นคนที่เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย มักน้อย สันโดษ ขัดเกลา ศีลเคร่ง มีอาการน่าเลื่อมใส ไม่สะสม ยอดขยัน
- ให้อยู่เหนืออำนาจกิเลส ตัณหา อุปทาน (มีโลกุตตระ)
- ให้รอบรู้การดำรงชีวิตอย่างอิสระเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ (มีโลกวิทู)
- ให้สามารถอนุเคราะห์สังคมโลกได้เพราะตนเองพึ่งตนได้แล้ว (มีโลกานุกัมปา)

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๖ กรกฎาคม ๒๕๔๖)