>เราคิดอะไร

ชีวิตนี้มีปัญหา
- สมณะโพธิรักษ์ -
(ต่อจากฉบับที่ ๑๕๕)
เอาอย่างนี้... เอา"สัตตาวาส ๙"นี้แหละ มาเป็นจุดตั้ง แล้วอธิบายขยายความเทียบเคียงไปเรื่อยๆ ให้เห็น ความแตกต่างของพุทธโลกุตระหรือ"อเทวนิยม" กับ ความเป็นโลกียะหรือ"เทวนิยม" กันไปตามลำดับ

คงเข้าใจชัดเจนดีแล้วนะว่า "สัตตาวาส" ทั้ง ๙ นั้น ล้วนเป็น"โลกียภูมิ" หรือเป็น"เทวนิยม"อยู่ทั้งสิ้น
ดังนั้น ใครใดในโลกก็ตาม หากไม่ศึกษาให้เข้าใจในสภาพแห่งความเป็น"สัตว์" (สัตต) ซึ่งยังมี "ชาติ"

หมายความว่า ยังมี"ความเกิด" แล้วก็ต้องตาย แล้วก็ต้องเกิด วนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร (ชาติสังสาร) ยังมี"ตัวตนของตนที่ยังเกิดอยู่" (ชาตัตตะ) นั่นคือ ยังมี "ชาติ"

และไม่ศึกษาให้เข้าใจในสภาพแห่งความเป็น "ที่อยู่" (อาวาส) ซึ่งยังมี "ภพ" หมายความว่า ยังหลงยึด ถือ "การอาศัยอยู่ การพักอยู่ ณ ที่นั้นๆ" โดยความไม่รู้ (อวิชชา) โดยความหลง(โมหะ) เพราะยังไม่มี "สัมมาทิฏฐิ" คนเช่นนี้ ก็จะไม่รู้ความจริง มากไปกว่านี้ โดยเฉพาะไม่รู้ความจริงขั้น "วิมุติ" (ความหลุดพ้น) ซึ่งเป็น "ปรมัตถสัจจะ" (ความจริงขั้นสูงถึงสูงสุด) จึงไม่เกี่ยงงอนเรื่อง "ภพ" เรื่อง "ชาติ" ก็เลยยึดถือ "ที่อยู่" ต่างๆ เหล่านั้นเป็น "ผู้อยู่ประจำ" (อาวาสิกะ) ผู้ถึงภพไหนก็ยึดภพนั้น ซ้ำหลงภพหลงภูมิ นั้นว่า เป็นที่อยู่ อันแสนดีแสนสุข แสนสูงแสนเลิศ ก็ยิ่งนั่นแหละคือ ผู้"มีภพมีชาติ"อยู่อย่างมิได้ถอดถอน มิได้คิด จะดับภพ จบชาตินั้นๆเลย

ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้มีสัมมาทิฏฐิ โดยเฉพาะผู้มี "วิชชา ๙" จะไม่หลงยึดถือ"ที่อยู่"ต่างๆเหล่านั้น จะไม่ติด "ที่อยู่" ให้เป็น "ปลิโพธ" (เครื่องถ่วง) ยิ่งกว่านั้นยังปฏิบัติถึงขั้นไม่สำคัญมั่นหมาย (น มัญญติ) ว่า "เป็นเรา" (มม) ละวาง"อัตตา"(ตัวตน)ให้สำเร็จ "สัมมาผล"สิ้นชาติสุดท้าย ผู้มีทิฏฐิเช่นนี้ จึงไม่ทำตนเป็น "ผู้อยู่ประจำ" (อาวาสิกะ) แต่จะอยู่อย่าง "ผู้จรมาอาศัยหรือผู้พักชั่วคราว" (อาคันตุกะ)

เพราะรู้แจ้งในความเป็น"ภพ-ชาติ"ชัดเจนแจ่มแจ้ง และมีทางปฏิบัติเพื่อ"ออกจากภพ"ไปตามลำดับ

"สัตตาวาส" ที่ ๑ นั้น ชาว"เทวนิยม" ยึดถือว่า มนุษย์นั้นคือ สัตว์ที่มีร่างกายเป็นเนื้อหนังมังสานี่เอง
ส่วนเทวดา และสัตว์นรกภูมิ ก็คือ สัตว์ที่ต้องตายจากร่างกายเนื้อหนังมังสานี้ไปก่อน ผู้เป็นเทวนิยมเชื่อกัน เช่นนี้จริงๆ แล้ววิญญาณจึงจะออกจากร่างไปเกิดเป็นกายทิพย์ ซึ่งจะเป็นรูปร่างสวยงาม สัตว์อบาย ก็ไปเกิดได้รูป กาย ของสัตว์นรกที่พิกลพิการ น่าเกลียดน่ากลัว สารพัดต่างๆ ดังนี้เป็นต้น รายละเอียด ก็ได้อธิบายผ่านมาแล้วใน "สัตตาวาสที่ ๑"

ส่วนชาว"อเทวนิยม" ถือว่า ความเป็นมนุษย์คือ สัตว์ที่มีร่างกายเป็นเนื้อหนังมังสาก็ใช่เช่นเดียวกัน แต่ ความเป็นเทวดาหรือสัตว์นรกนั้น ไม่จำเป็นต้องให้ร่างกายเนื้อหนังมังสานี้ตายเสียก่อน จึงจะออกจากร่าง ไปเกิดเป็น "เทวดา" หรือเป็น "สัตว์อบาย" แม้อยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังมังสานี้ ก็เกิดเป็น "เทวดาหรือเป็น สัตว์นรก" กันแท้ๆ เพราะการเป็น เทวดาหรือสัตว์นรก นั้น คือ การเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณ โดยเฉพาะ เป็นการเกิดการตาย ของจิตวิญญาณโดยตรง ไม่ได้อยู่ที่ "ร่างกาย" จิตวิญญาณตรงๆนี่เอง มีการเกิด (อุบัติหรือโยนิ) การตาย (จุติ) ของจิตวิญญาณเอง พระพุทธเจ้า ทรงเรียก ว่า "โอปปาติกโยนิ" เป็นการผุดเกิดทันทีในตัวเอง ไม่ต้องเกี่ยวกับร่างกายเลย มีการตาย การเกิดจริง เฉพาะจิตวิญญาณเท่านั้น การตายของ จิตวิญญาณ ก็ไม่มีซาก การเกิดก็เกิดทันที เมื่อ เหตุ ปัจจัยครบก็เกิด เรียกว่า "ผุดเกิด" ปั๊บเลย หรือ บางท่านก็เรียกว่า "ลอยเกิด" เป็นการเกิดของนามธรรม ไม่เกี่ยวกับวัตถุธรรม แต่อย่างใด

มีผู้รู้บางท่านกล่าวว่า เกิดแบบโอปปาติกโยนินี้ "เกิดอย่างไม่มีพ่อมีแม่" ถ้ากล่าวอย่างนี้ถือว่าผิด "มิจฉาทิฏฐิ" แล้ว เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตร-ปิฎก เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๕๕ เรื่องของ"สัตว์โอปปาติกะ" (สัตตา โอปปาติกา) หากใครเห็นว่า แม่ไม่มี (นัตถิ มาตา) พ่อไม่มี (นัตถิ ปิตา) ผู้นั้นคือผู้มิจฉาทิฏฐิอยู่แท้ เพราะพ่อ และ แม่ในที่นี้หมายถึงแม่พ่อของสัตว์ โอปปาติกะนั่นเอง เช่น ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ เป็นต้น

เพราะถ้าแม้นความเป็นพ่อเป็นแม่นี้ หมายถึง พ่อแม่ที่ต้องทำให้เกิดแบบใช้สรีรกาย และเกิดแบบ "ชลาพุชโยนิ" (เกิดในมดลูก)นั้น มันไม่ใช่แล้ว เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของสิ่งที่มีสรีรกาย นี่มันเรื่องของการเกิด ทางนามธรรมแท้ๆ เป็นเรื่องของสัตว์ โอปปาติกะโดยตรง การเกิดนี้มันคือ การเกิดเฉพาะ สิ่งที่เป็น จิตวิญญาณ คือการเกิดที่เรียกว่า "โอปปาติกโยนิ" (ผุดเกิดในตัวเอง)

ต้องเรียนรู้การเกิด ๔ ประเภทให้ดีๆ ว่า เป็นการเกิดกันคนละลักษณะจริงๆ แม้แค่การเกิดแบบ "สังเสทชโยนิ" (เกิดในของชื้นแฉะ) ก็เกิดด้วยลักษณะที่แตกต่างไปจาก "อัณฑช โยนิ" (เกิดจากไข่) ต่างไปจาก "ชลาพุชโยนิ" (เกิดในมดลูก) กันแล้ว

ต้องกำหนดให้แม่นๆชัดๆคมๆว่า สัตว์โอปปาติกะนี้ มันคือจิตวิญญาณ ไม่ใช่สรีรกาย ดังนั้น จึงไม่ ต้อง ไปอาศัยพ่อแม่ที่เป็นตัวตนสัตว์บุคคลที่มีสรีรกายกันเลย แต่พระพุทธเจ้าตรัสยืนยันว่า แม่มี พ่อมี นี้ลึก ซึ้งนัก

ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า แม่มี (อัตถิ มาตา) พ่อมี (อัตถิ ปิตา) ในพระสูตรนี้จึงมิได้หมายถึง ตัวตนสัตว์ บุคคล ที่มีสรีรกายแน่ๆ เพราะถ้าหมายเอาตัวตนสัตว์บุคคลที่มีสรีรกาย ก็ใครเล่าที่จะไม่รู้ ว่า สัตว์บุคคล มันก็ต้องมีแม่ มีพ่อกัน ทั้งนั้นแหละ ยกเว้นสัตว์ประเภท "สังเสทชะ" แต่ถึงอย่างไร มันก็ต้องมีเหตุ ที่พาเกิด อันจะเรียกว่าแม่ ว่าพ่อ ก็ย่อมมีเหมือนกัน

จริงๆแล้วแค่ที่ว่า "ใครเห็นว่า แม่ไม่มี(นัตถิ มาตา) พ่อไม่มี(นัตถิ ปิตา) ผู้นั้น"มิจฉาทิฏฐิ" จากคำ ตรัสนี้
ถ้าคำว่าแม่ ว่าพ่อ หมายเอาสัตว์ที่มีสรีรกายแค่นั้น ใครๆมันก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่า สัตว์ที่มีสรีรกาย ใดๆ มันก็ต้องมีแม่มีพ่อ ความรู้แค่นี้มันพื้นตื้นเกินไป ที่จะเป็นทฤษฎีสำคัญ ขั้นปรมัตถสัจจะ ของพระพุทธเจ้า

ดังนั้น เรื่องของความเป็นแม่เป็นพ่อของสัตว์โอปปาติกะนี้ จะต้องศึกษากันอย่างสำคัญ เพราะลึกซึ้งยิ่ง จึงจะรู้แจ้งรู้จริงได้ว่า แม่มี พ่อมี คืออะไร ไฉนแน่ และต้องพิสูจน์ให้ถึงความจริงเป็นที่สุดให้ได้

การเกิดทางโอปปาติกะ หรือทางจิตวิญญาณนี้ เกิดทันทีเป็นเทวดาทันที หรือเป็นสัตว์นรกทันที แม้ เกิดเป็นอาริยบุคคลก็คือ การเกิดของจิตวิญญาณนี่แหละ เกิดทันทีเช่นกัน ไม่ต้องเกี่ยวกับสรีรกายเลย

(อ่านต่อฉบับหน้า)

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๖ กรกฎาคม ๒๕๔๖)