>เราคิดอะไร

ชีวิตนี้มีปัญหา- สมณะโพธิรักษ์ - ฉบับที่ ๑๕๙

(ต่อจากฉบับที่ ๑๕๘)


ดังนั้น สภาวธรรมของการปฏิบัติศีล จนเกิดฌาน เกิดสมาธิ เกิดวิมุติ ต้องประกอบด้วย"ปัญญา"ทั้งสิ้น

ด้วยความประสงค์ใคร่จะอธิบายความต่อเนื่องของสภาวธรรม ไปตั้งแต่ "ฌาน" ซึ่งจะต้องรู้แจ้ง เข้าใจ มี"ปัญญา"ใน"ฌาน" รู้แจ้ง"ฌานแบบพุทธ"ให้ชัดเจนไปตลอด รวมกับ"วิชชา ทั้ง ๘" จะได้สมบูรณ์พร้อม อาตมาจึงขอรวมนับเอา"ฌาน"เป็น "วิชชาที่ ๑" รวมกับอีก ๘ จึงเป็น"วิชชา ๙ " ด้วยประการอย่างนี้ ใครจะว่า แหกคอก ก็ยอม

ที่จริงประเด็นที่ตั้งใจไว้ว่าจะขอแวะพูดถึงนั้น ไม่ใช่ประเด็นที่ได้ว่าไปแล้วเป็นคุ้งเป็นแควนั้นหรอก ประเด็นที่หมายว่าจะพูดก็คือ โบราณาจารย์อีกหนะแหละ ว่าไว้ว่า "วิชชา ๘"นี้ เป็นสิ่งพิเศษ ที่ผู้บรรลุมรรคผลเป็น"อาริยชน"ของพุทธนั้น ไม่มี"วิชชา ๘"นี้ก็ได้ แม้แต่"ฌาน"ก็ตาม ไม่มีก็ได้ ก็สามารถบรรลุธรรมเป็น "อาริยบุคคล ๔" ของพุทธได้

แถมระบุว่า "วิชชา ๘" นี้ เป็น "สิ่งพิเศษ" ที่เป็นความเก่งสามารถเกินสามัญมนุษย์ อันเรียกว่า อุตริมนุสสธรรมในแบบอิทธิปาฏิหาริย์ และ อาเทสนาปาฏิหาริย์ จึงไม่มีผลต่อการบรรลุธรรม ไปโน่นเลย

สำหรับอาตมา เห็นว่า นี่คือ ความเข้าใจผิด หรือ "มิจฉาทิฏฐิ"จุดสำคัญ ที่ทำให้ศาสนาพุทธ ไม่มีมรรคผลจริงที่เป็น "สัมมามรรค-สัมมาผล" ชาวพุทธไทยตั้ง ๙๕ % จึงเป็นอย่าง ทุกวันนี้ เพราะเหตุนี้นี่เอง

ก็ขอยืนยันว่า ผู้จะบรรลุมรรคผลของพุทธขั้นโลกุตรธรรม เป็นอาริยบุคคล ๔ ตั้งแต่ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ นั้น จะต้องมี"วิชชา ๙"นี้ทุกคน จึงจะสามารถบรรลุธรรมได้ เพราะ "วิชชา ๙" คือ "อธิปัญญา"แท้ๆ ที่เกิดปฏิสัมพัทธ์ไปกับ"อธิศีลสิกขา-อธิจิตสิกขา-อธิปัญญาสิกขา" ไม่ได้แยกกันเลย

ถ้าผู้ใดไม่มี"ฌาน"ของพุทธ และไม่มี"วิชชา ๘ หรือ ๙"นี้ ก็ไม่มีทางที่จะบรรลุมรรคผลของพุทธได้

เพราะเรียนกันมาผิดๆ ดังกล่าวนี้เอง ที่ธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงไร้มรรคผลมานาน แถมหลงผิด ไปได้ "มิจฉาฌาน-มิจฉาสมาธิ-มิจฉาญาณ-มิจฉาวิมุติ" แล้วหลงกันว่า นี่คือ มรรคผลของพุทธ เอาด้วย

วิชชา ๘ หรือ ๙ นี้ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ก่อให้คนก้าวขึ้นสู่ "ผล"แท้ของศาสนาพุทธ มีอยู่ใน
พระไตรปิฎก เล่ม ๙ ทุกสูตร โดยเฉพาะสูตรที่ ๒ ในเล่ม ๙ นี้ มีชื่อว่า "สามัญผลสูตร" ตรงๆ เลยทีเดียว "สามัญผล" ก็แปลว่า ผลแห่งความเป็นสมณะ ซึ่ง "สมณะ" นั้นก็คือ "อาริยบุคคล" โดยตรง นั่นเอง

อย่าลืมว่า "วิชชา" นั้นก็คือ ความรู้ และ"ความรู้"นั้น ก็คือ ปัญญา

"วิชชา ๙" นี้คือ หน่อเนื้อเชื้อไขของ"อธิปัญญาสิกขา"โดยแท้ ซึ่งเป็นหนึ่งใน"ไตรสิกขา" และเป็น "สามัญผล" ที่ผู้ปฏิบัติ"ไตรสิกขา"ต้องได้ต้องเป็นต้องมี จึงจะสามารถบรรลุธรรม แม้ผู้ที่เข้าใจ ความหมายของ "วิชชา ๙" ได้ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว..ก็เถอะ แต่ถ้ายังไม่มี "วิชชา ๙"ในตน ชนิดที่เกิดจริงๆเป็นจริงๆ (อุปปัติ) ในจิตของผู้ปฏิบัติ ก็บรรลุธรรมของพุทธไม่ได้เด็ดขาด

เพราะถ้าศึกษาปฏิบัติแล้ว มีแต่ "ศีล" มีแต่ "สมาธิ" ไม่มี"ปัญญา" ปฏิสัมพันธ์กันครบด้วยองค์ ๓ นั้น การศึกษานั้นก็ขาดพร่อง ไม่เต็ม"ไตรสิกขา" ก็เห็นๆอยู่แล้ว มันจึงเป็นไปไม่ได้ ที่ไตรสิกขา ขาดๆ พร่องๆแบบนี้ จะพาผู้ปฏิบัติธรรมบรรลุธรรม เพราะได้แค่ศีล ได้แค่สมาธิ แต่ขาดปัญญา แล้วมันจะบรรลุธรรมของศาสนาพุทธกันอย่างไร? ในเมื่อทฤษฎีหลักใหญ่ "ไตรสิกขา" ไม่ครบไม่เต็ม ตามที่เห็นโต้งๆ อยู่อย่างนี้

และลึกซึ้งไปกว่านั้นก็คือ ศาสนาพุทธ นอกจากจะต้องมี"ไตรสิกขา"ครบ "ปัญญา" ที่จะพาบรรลุ ต้องเป็น "ภาวนามยปัญญา" (ความรู้ที่รู้แจ้งจากผลที่เกิดขึ้น) อีกด้วย เพราะแค่"สุตมยปัญญา (ความรู้ที่รู้แจ้งจากการฟัง) และจินตามยปัญญา (ความรู้ที่รู้แจ้งจากการขบคิด)" เท่านั้น นั่นก็เพียงปัญญาขั้น "ตรรกะ" แม้จะรู้แจ้งได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ล้วนยังไม่ใช่ "อธิปัญญาสิกขา" ที่มีปฏิสัมพัทธ์กับ"อธิศีลสิกขาและอธิจิตสิกขา" จนสามารถเกิดมรรคผล ทั้งนั้น เพราะการบรรลุธรรมของพุทธ มิใช่จะบรรลุกันได้ด้วย"ปัญญา"แค่ขั้น"ตรรกะ" แต่ต้องครบด้วย "ไตรสิกขา" และมี "อธิปัญญา" ที่เป็น "ภาวนามยปัญญา" ซึ่งประกอบไปด้วยความเจริญพัฒนา ของ "วิชชา ๙" ยืนยัน "อนุสาสนีปาฏิหาริย์" โทนโท่ จึงเป็น "เอหิปัสสิโก" (เชื้อเชิญมาดูได้)

"อธิปัญญาสิกขา" ที่ปฏิบัติอย่าง"สัมมา" จะสั่งสมเป็น"สัมมาญาณ" เมื่อเกิด"สัมมาวิมุติ" ก็จะมี "สัมมาญาณ" รู้แจ้งเห็นจริง"สัมมาวิมุติ"นั้นๆในตน "อธิปัญญา"ขั้นนี้ เรียกว่า "วิมุติญาณทัสสนะ"

เพราะมี"จุตูปปาตญาณ" (วิชชา ที่ ๘) ผู้ปฏิบัติจึงจะสามารถเห็น "ความเกิดจริงตายจริง" ของสิ่งที่ลึกซึ้ง ขั้นปรมัตถสัจจะ อย่างชัดเจนด้วย "ปัญญาอันยิ่ง" (สัมมาญาณ,ญาณ ๓) ทุกขั้นตอนของ "อธิปัญญาสิกขา"

ถ้าไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง"การตาย-การเกิด" (จุติ-อุปปัติ) ของความเป็น"สัตวโลก" ซึ่งต้องมี "ของจริง" หรือภาวะปรากฏในตนอันเกิดดับอยู่ในจิต ที่เวียนตายเวียนเกิดจริง และพากเพียรปฏิบัติ "ดับเหตุที่พาเกิด" จนสุดท้าย "มีสภาพดับการเกิดในตนเอง-ตายสนิทในตนเอง" สำเร็จ สูงสุดจริง อย่าง"รู้ๆ" (ชานาติ) "เห็นๆ" (ปัสสติ) กระทั่งครบถ้วนขบวนท่าของ "วิชชา ๙" ย่อมไม่ชื่อว่า รู้จักรู้จริง รู้แจ้งแทงทะลุรอบ (สัจฉิกต,สัจจปฏิเวธ)

และผู้ปฏิบัตินั้นจะรู้ว่า..ชาติสิ้นแล้ว ดับการเกิดได้จริงแล้ว ไม่มีการเวียนเกิดอีกแล้ว จาก "ความจริง" ตรงไหน อย่างไร จึงจะชื่อว่า "บรรลุธรรมรู้แจ้งแทงทะลุความจริง (สัจธรรม)" อย่างยืนยันความจริงแท้..?

เพราะมี "อธิปัญญา" ที่เป็น"วิชชา"ข้อต่างๆทั้ง ๙ นั่นเอง จึงสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน ความจริง อย่างครบถ้วนสัมบูรณ์ จนถึงที่สุด สุดยอด "ธัมมัง อุตตมัง" (ธรรมอันสูงสุด) หรือ "อุตตมัตถะ" (ผลอันสุดยอด) ซึ่งก็คือ ความเป็น "นิพพาน" หรือความเป็น "อรหันต์" ที่เป็นจริงมีจริงแท้จริงที่สุด

ผู้จะบรรลุถึงที่สุดได้ ต้องมี"วิชชา"ข้อสุดท้าย คือ อาสวักขยญาณ ที่หมายถึง ความรู้สุดยอด ที่สามารถรู้ ว่า อาสวะของตนสิ้นไปจากตนสนิทแล้ว เป็นอันว่า ตนจบกิจ (รู้แจ้งชัดด้วย ญาณ ๓ = สัจจ,กิจจ,กต) เป็นผู้มี "นิพพาน" สัมบูรณ์ เป็น "อรหันต์" เต็มตัว

ผู้ปฏิบัติที่จะบรรลุ"นิพพาน" สำเร็จ"อรหัตผล" ทุกคนจะต้อง"พ้นอวิชชา" ซึ่งก็ต้องเกิด"วิชชา"นั่นเอง หรือ"อธิปัญญา"เจริญตามลำดับกระทั่งถึงข้อสูงสุด อันเป็นยอดสุดข้อสุดท้าย คือ "อาสวักขยญาณ" ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า กิเลสขั้นปลายสุด คือ "อาสวะ" ของตน ได้ตายสนิท หมดสิ้นไปแล้วจริงๆ อย่างยั่งยืนถาวร

มีผู้รู้หรือปราชญ์ทางพุทธอธิบายว่า ผู้ปฏิบัติบางคน ไม่จำเป็นต้องมี"วิชชา"ข้ออื่นๆก็ได้ ขอให้มี อาสวักขยญาณ ข้อสุดท้ายนี้ ข้อเดียว ก็คือ การบรรลุ"นิพพาน"ได้แล้ว นั่น..เป็นแค่"ตรรกะ"เท่านั้น

ผู้ใดพูดว่า มี"วิชชา" ข้อที่ ๙ คือ "อาสวักขยญาณ" ข้อเดียว ก็บรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้ ผู้นั้นพูดผิด ถ้าระบุแค่ว่า ผู้มี"อาสวักขยญาณ" คือผู้บรรลุธรรมขั้นสูงสุด นั่น..ก็ถูกต้อง แต่อยู่ๆ..ไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย จะมี "วิชชา" ข้อที่ ๙ อาสวักขยญาณ โดยไม่มีขั้นตอน ไม่มีองค์ประกอบใดๆ ที่จะเป็นคุณภาพของ"ความรู้"อื่น หรือ"วิชชา"อื่นประกอบ อันเป็นเบื้องต้น-ขั้นกลางไปถึงขั้นปลาย หรือไม่มีองค์ประกอบที่แสดงถึงสิ่งเสริมหนุนให้เกิด"ความรู้ยิ่งๆขึ้น" ที่จะพาไต่เต้าจาก ความรู้ เบื้องต้น ไปเป็นความรู้ขั้นกลางและที่สุดขั้นปลายนั้น เป็นไปไม่ได้ มันจะกระโดดข้ามขั้น ไม่มีความสืบสายพัฒนาก้าวหน้า ไม่มีลำดับขั้นตอนสิ่งเกิดจริงเป็นจริงที่มีต่อๆกันไป ของเหตุปัจจัยเลย ได้อย่างไร ดังนั้น พูดเช่นนั้นจึงยังไม่ถูกต้อง

"วิชชา ทั้ง ๙" คือ ความเจริญพัฒนาของ"อธิปัญญาสิกขา" หรือ ความรู้ ที่เจริญพัฒนาจาก "การศึกษา ที่อบรมฝึกฝนเจริญในปัญญา" และปัญญาที่เข้าขั้น "วิชชา" ก็ต้องเป็น "ภาวนามยปัญญา" ด้วย ซึ่งเป็นการเจริญก้าวหน้าของ "ปัญญาที่อภิวัฒน์พัฒนายิ่งขึ้นๆๆ" ไปตามลำดับๆ ดังนั้น สามัญผลจาก"วิชชา ๑-๘" จึงเจริญเป็นปฏิสัมพัทธ์กันและกัน สนับสนุน ส่งเสริมกัน สอดร้อยซ้อนประสานย้อนกันไปมา ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ กี่ชั้นต่อกี่ชั้น กี่เชิงต่อกี่เชิง จนกว่าจะบรรลุ "วิชชา ข้อที่ ๙" อันได้แก่ "อาสวักขยญาณ" ซึ่งเป็นการบรรลุ "วิชชา" ข้อสุดท้าย สู่ความเป็น "สมณะ ๔" คือ อรหันต์

เพราะฉะนั้น ใครกล่าวว่า การบรรลุธรรม มี"วิชชา" ข้อที่ ๙ คือ "อาสวักขยญาณ" ข้อเดียว (ไม่มีวิชชาข้ออื่น) ก็บรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้ จึงขัดแย้งกับความเห็นและความเป็นจริง ของผู้มี "ของจริง" ในตนแท้ เพราะไม่เข้าใจในสัทธรรมต่างๆของพระพุทธเจ้า ซึ่งชี้บ่งอยู่ชัดๆว่า ผู้พูดไม่รู้จัก คุณค่าแท้จริง ของ "วิชชา" ข้ออื่นๆ

ความรู้จริงรู้รอบรู้ถ้วนรู้ถึงที่สุดนั้น ต้องประกอบด้วย"วิชชา ทั้ง ๙" จึงจะสัมบูรณ์ (absolute)

ส่วนผู้บรรลุธรรมที่ดูเหมือนไม่ต้องมีลำดับ และปฏิบัติได้บรรลุเร็ว ดูเหมือนบรรลุธรรมทันที ก้าวกระโดดข้ามขั้น นั้น บุคคลที่ดูเหมือนบรรลุแบบนั้น มีอยู่จริง แต่..นั่นคือ ผู้ "มีบุญบารมี" มาก่อนแล้ว แต่ชาติก่อนๆ ที่ได้สั่งสมกุศลธรรมต่างๆมา จนเป็นพลวปัจจัยในตนแล้ว มีแล้วในตน จริงๆ ดังนั้นชาตินี้ ท่านผู้มีบารมีมาแล้วจึงไม่ต้องปฏิบัติบางอย่าง ไม่ต้องสั่งสมหลายๆ อย่าง เลยดูเหมือน ไม่ต้องทำตามลำดับ แต่แท้จริงนั้น ท่านได้ปฏิบัติมีผลผ่านมาแล้วทั้งสิ้น แต่ชาติก่อนๆ สั่งสมคุณสมบัติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น"อธิศีล-อธิจิต-อธิปัญญา" ที่ต้องได้ต้องมีครบตามสัจธรรมแล้ว ไม่ตกหล่น ไม่เว้าแหว่งพิกลพิการแต่อย่างใด

ธรรมะอันสมบูรณ์แท้จริงก็ต้องสมบูรณ์บริบูรณ์จริงๆ จะเป็นธรรมะที่ไม่สมประกอบได้อย่างไร?

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๙ ตุลาคม ๒๕๔๖)