>เราคิดอะไร

'กำไร' นั้นหรือคือ 'กรรมอะไร'
- วิมุตตินันทะ -


หลายต่อหลายอย่าง กำลังหันกลับย้อนสู่ยุคทางเกวียนสายเก่า สูตรโบราณที่นึกว่าหมดสมัย ไปนานแล้ว กลายเป็นจุดขายชวนนิยมชมชื่นอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือ ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง หมุนไป วนมาเช่นนี้แหละ เบื่อๆ อยากๆ อยู่ไม่สุข ถึงชื่อว่า คนซึ่งไม่มีวันหยุดนิ่ง แม้กระทั่งสังขารกาย วายสิ้น แต่กิเลสไม่ยอมตายด้วย ก็อย่าเหมาเดาเอาเองง่ายๆ ว่าตายแล้วสูญหมด เท่ากับสิ้นภพ จบชาติ เหมือนพระอรหันต์ มันไม่มีสิทธิมนุษยชนปานนั้นดอก ท่านบอกให้ การเวียนว่ายตายเกิด ในวังวนวัฏสงสาร ยังเป็นเรื่องหนีไม่พ้น จนกว่าจะมีปัญญา พาตนเองหลุดพ้นไปตามลำดับ จากโลกต่ำทราม ตั้งแต่เป็นการกินสูบดื่มเสพ อบายมุข เที่ยวผลาญพร่าบ้าแฟชั่นอะไรเทือกนั้น เป็นต้น

คนเราจะก้าวหน้าไปได้ไกลขนาดไหน จำเป็นต้องอาศัยฐานเก่าเป็นเค้าเงื่อนเลื่อนชั้นไปเรื่อยๆ เดิมทีมีอะไรดีไม่ดีเช่นใดจึงน่าสนใจมากที่สุดด้วย เพื่อรู้จริงสิ่งอันควรทิ้งหรือควรต่อขยายพันธุ์แท้

เมื่อพูดถึงกำรี้กำไรค้าๆ ขายๆ จำได้สี่ห้าสิบปีก่อน เห็นคนรับจ้างทำงานให้ เป็นงานกรรมกร เฉพาะกิจรายวันนี่แหละ และไม่จำเป็นต้องตกลงค่าจ้างกันก่อนเลย พอทำงานเสร็จ คนจ้าง จ่ายเงิน ให้ไม่กี่สิบบาทตามมาตรฐานที่ควรได้รับ คนงานรายนั้น ปฏิเสธที่จะรับเงินเต็มจำนวน ขอลดค่าแรง รับค่าเหนื่อยน้อยกว่าที่นายจ้างยื่นให้ ถ้าเขาให้ห้าสิบบาท ไม่ต้องหรอก สามสิบบาท ก็พอแล้ว! น่ารักอะไรปานนั้น

บรรยากาศว่าจ้างแรงงานในละแวกบ้านทั่วไป เป็นทำนองไว้วานแบบกันเอง แม้ซื้อขายก็เข้าข่าย แบ่งปัน กันไปประมาณนั้น ขายของยกกระจาดกระบุงหรือนับเป็นร้อยกะๆ คละๆ กันไป ขายบ้าง แถมแจกบ้าง สบายใจคนซื้อคนขาย ยิ่งคนไทย ค้าขายไม่เก่งเลย อย่างมะม่วงเก็บหาบ มาจาก สวนปลูกเอง ขายเท่าไรก็เอาเหมากันไปง่ายๆ ไม่เหมือนทุกวันนี้ละเลียดมาก ทุกอย่าง ต้องชั่ง กิโลหมด หรือต้องคัดเล็ก ใหญ่ กลาง คนละราคา เพราะต่างตั้งหน้าเอาเปรียบสุดๆ ไม่มีใคร ยอมเสียเปรียบใคร เรื่องน้ำใจเสียสละเอื้ออาทร อย่ามาพูดถึง มันฟังไม่เข้าหูในโลกธุรกิจ ทุนนิยมเต็มๆ

ยิ่งเรื่องค้ากำไรเกินควร จึงน่าตำหนิ มันน่าอายขายขี้หน้า โดยเฉพาะพวกแผงลอย แม่ค้าเร่ขาย คนสัญจร เช่นที่ตลาดนัดสนามหลวงสมัยก่อน มักขึ้นชื่อ ราคาอยู่ที่ฝีมือต่อรอง เพราะบอกราคา ผ่านไว้สูงมาก

คนซื้อที่มักเซ่อได้เจอบ่อย ฃนาดต่อราคาลงครึ่งหนึ่งแล้วยังแพงกว่าปรกติก็มี ขายของแบบถ่างตา เช่นนี้ น่าเบื่อหน่าย จนหมดยุคไปแล้ว

คงเป็นเพราะข้าพเจ้าเคยซึมซับประทับใจ ในหิริโอตตัปปะของผู้คนรุ่นเก่าก่อน ละอายใจ ที่จะได้เปรียบ กำไรมากไม่เอา เกรงบาปกลัวกรรมที่จะเอาเปรียบใคร ในสมัยคนยังใส่บาตร เข้าวัดฟังธรรม กันตรึม

ตอนที่ข้าพเจ้ายังเรียนอยู่ ช่วงหนึ่งเคยหารายได้พึ่งตนเอง เป็นครูสอนเด็กทำการบ้าน วันละ ๒ ชั่วโมง ที่ร้านรองเท้า แถวห้างบางลำภู เพื่อนแนะนำให้ไปทำ ข้าพเจ้าขอรับค่าแรงแค่ ๓๐๐ บาท ต่อเดือน เพื่อนรู้เข้า ถึงกับต่อว่าข้าพเจ้าโทษฐานไปทำเสียราคาทำไม ซึ่งเขาคิดอยู่ห้าหกร้อยบาท แต่เราคิดเอง ง่ายๆ ว่าเมื่อ ๓๐๐ บาทก็เพียงพอเป็นค่ากินอยู่เรียนธรรมศาสตร์ตอนโน้น ข้าพเจ้า จึงพอใจ ไม่ขอรับ มากเกินกว่านั้น นับว่าเข้าหลักบุญนิยมดีเหมือนกัน จะกินค่าแรง ก็เป็นค่าแรง ของตัวเอง ที่ต่ำกว่า ราคาตลาดด้วยซ้ำไป

เมื่อว่าโดยหลักเศรษฐกิจพอเพียง ผู้คนพึงพึ่งตนเอง คือเลี้ยงชีพด้วยแรงงานของตนเอง เรียกว่า จะมีสิทธิกินใช้เต็มที่เฉพาะค่าแรงที่ตนทำมาหาได้เห็นๆ มันเป็นความชอบธรรมอย่างนั้น และ นอกจาก จะต้องไม่กินใช้เกินตัวมากไปกว่าค่าแรงงานอันพึงมีพึงได้เท่านั้นจริงๆ แล้ว ยังจะต้อง กินใช้มักน้อยสันโดษ โดยให้น้อยกว่าค่าแรงที่ได้ด้วยซ้ำ เพื่อจะได้มีอดออมอีก ทั้งเป็นส่วนเหลือ เจือจานแบ่งปันคนอื่นๆ ต่อๆ ไปใกล้ไกลยังไงล่ะ

ทุกวันนี้ แม้ลัทธิคอมมิวนิสต์จะล้มเหลวหมดท่าไปแล้ว แต่การอยู่ด้วยลัทธิทุนนิยมเสรีเต็มๆ ปลาใหญ่ กินปลาเล็ก มันน่าจะเดือดร้อนกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งผู้คนเหมือนจะไม่ประจักษ์แจ้ง ทุกขสัจ อันนี้ง่ายๆ รู้สึกว่ามันแสนธรรมดาธรรมชาติต่างหากินกันไปตามอัธยาศัย ทางใครทางมัน แทบทุกคน มุ่งหน้าเอาเปรียบทั้งนั้น จะได้เปรียบมากน้อยแล้วแต่โอกาส ส่วนที่ต้องเสียเปรียบต่างๆ นานา ถ้าจำนนจำยอมหรือเต็มใจเอง ถือเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เพราะจะว่าใครไปคงไม่เต็มปาก หากเรายัง จะหวังฉวยโอกาสบ้างเหมือนกัน เลยกลายเป็นทีใครทีมัน อย่างนั้นหรือเปล่า

คงน่าตั้งคำถามเอาเองบ้างไหมว่า สมัยนี้ต่อมสำนึกดีของคน คงจะหายหดไปเยอะแล้วกระมัง? เลยไม่ค่อยละอายใจกับธุรกิจค้ากำไรเกินควร ดีไม่ดีกลับตีปีกเป็นบริษัทดีเด่น นักธุรกิจดีเด่น ที่สามารถ ฟันกำไรล้นหลาม เดี๋ยวนี้ เหมือนไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องทำนาบนหลังคนอีกแล้ว

ยิ่งรัฐบาลไทยรักไทย ทุนนิยมจ๋า ประชานิยมเจ๋ง ทั้งตลาดหวยตลาดหุ้นกำลังร้อนแรงเป็นบ้า โรงหวยรัฐบาล กำลังบานเบิกกินแถวราชดำเนินทั้งสองฝั่งฟากคงได้เชิดหน้าชูตาประเทศไทยจงเจริญ โรงหวยรัฐ ฟูเฟื่องหยุดไม่อยู่แล้ว แข่งกันไปเถอะระหว่างโรงปั่นหวยกับโรงปั่นหุ้น ใครจะรวย ใครจะซวย ด้วยเงินปั่นหุ้นปั่นหวย แล้วแต่ตัวใครตัวมัน รู้สึกว่าไม่อยากให้เจ็บตัวซ้ำซากเข้าตำรา ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา!!

เรื่องของคนหนีงานหนัก สมัครงานสบาย ชอบกินแรงคนอื่น โดยใช้เงินทำเงิน พวกเขาย่อมพากัน เพลิดเพลิน เจริญชีวิตไปอย่างนั้น ไม่ทราบเหมือนกันว่าฟองสบู่รอบสองจะเป็นอย่างไร จะมาถึงเมื่อไร

สำหรับชาวบ้านที่ทำมาหากินด้วยข้าวผ้ายาบ้าน ไม่ได้แขวนชีวิตไว้กับเม็ดเงิน ไม่ว่าจะเป็นเงินหุ้น หรือเงินหวยห่วยแตกใดๆ ก็ตาม แม้พวกเขาจะรู้จักหากำไรอยู่บ้างก็ตาม ส่วนใหญ่มักจะไม่รู้จัก คิดค่าแรงตัวเอง ถ้าลงทุนไปเท่าไรแล้ว มีเม็ดเงินเกินทุนกลับคืนมาบ้าง พอเป็นค่าเหนื่อยอาบเหงื่อ แรงกาย กำไรน้อยๆ แบบนี้ คงไม่มีอะไรน่าเกลียด

มันไม่เหมือนกับกำไรมาตรฐานทุนนิยม เฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจซึ่งเจ้าของเป็นผู้บริหารเอง เบ็ดเสร็จด้วย ทั้งต้นทุนและค่าใช้จ่ายทุกสิ่งทุกอันได้จ่ายออกไปทั้งหมด ล้วนเรียกคืนจากผู้ซื้อ โดยตั้งราคา คุ้มไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นค่าซื้อสินค้าและค่าใช้จ่ายวัตถุดิบ ค่าจ้างแรงงาน รวมทั้งโสหุ้ยต่างๆ แม้กระทั่ง ค่าแรงผู้บริหาร ผู้จัดการทุกคน เมื่อหักทั้งต้นทุน และค่าใช้จ่าย นานาประการ ไว้เสร็จสรรพ ครบถ้วน การแลกเปลี่ยนให้ได้เงินเกินราคาทุนจริงดังกล่าว มันย่อม เกิดกำไร กำไรส่วนเกินทุนอันนี้ ทุนนิยมถือว่า เป็นเป้าหมายสำคัญ เป็นรางวัล ผลงานยอดเยี่ยม ธุรกิจจะต้อง วาดฝันฟันกำไร เม็ดเงิน ก้อนโตสูงสุด เท่าที่จะกอบโกยได้

กำไรทางธุรกิจที่แข่งขันกันเอาเป็นเอาตายทั้งโลก มันน่าสลดสังเวชบ้างไหมว่า เป็นผลพวง เบียดเบียน เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน สัตว์ที่กินเลือดเนื้อสัตว์อื่นจัดว่าเป็นสัตว์ร้าย ต่างกันไกล กับสัตว์ ตระกูลกินพืช ซึ่งหากินผักหญ้าจากธรรมชาติ แล้วคนล่ะ เมื่อต้องแย่งชิงฉกฉวยเงิน จากผู้คน ตามวิถีธุรกิจ ฉ้อฉลอำพราง จะต่างอันใดกับแดร็กคิวล่า หรือตัวดูดเลือด กินเนื้อ เถือหนังมนุษย์ ด้วยกันแท้ๆ

เราท่านทุกคน กำลังหากินหรือหาเงินแบบไหน เหมือนสัตว์กินเนื้อ หรือสัตว์กินพืช เรากำลังเป็น สัตวโลก ผู้น่ารักน่าชัง อย่างใดดีเอ่ย...

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๙ ตุลาคม ๒๕๔๖)