>เราคิดอะไร


นายแพทย์เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์
- ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการบำบัด

หลายคนสิ้นหวังกับโรคมะเร็งร้าย เพราะต่างก็ยอมรับว่าไม่มีทางรักษา แต่มะเร็งอาจไม่มาเยี่ยมกรายเราได้
ถ้าเรารู้และเข้าใจวิธีป้องกันต้นเหตุเสียแต่เนิ่นๆ ด้วยวิธีโภชนาการบำบัด แม้ไม่ยาก และไม่ง่ายนักก็ตาม
แต่ด้วยความรักและเห็นคุณค่าในชีวิต เราต้องทำได้

*** ผันตัวเองจากแพทย์ผ่าตัด หลังจากเกือบ ๒๐ ปีผ่านไป
ผมเป็นหมอผ่าตัด เข้าห้องผ่าตัด ๘ โมงเช้า บางทีกว่าจะออกมาก็ ๔ โมง ๕ โมงเย็น บางครั้ง ๒ ทุ่มก็มี ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อยครับ เกิดประโยชน์มั้ย สมัยก่อนผมก็เชื่อว่าเกิดประโยชน์ แต่พอมาเรียนเรื่อง โภชนาการบำบัด และธรรมชาติบำบัดมากๆ จึงเริ่มรู้ว่ามันไม่เกิดประโยชน์ เพราะเป็นการแก้ปลายเหตุ คนไข้ต้องเสียอวัยวะ บางคนก็เสียชีวิต ส่วนเราก็เสียแรง สู้หันมาแนะนำให้ความรู้ที่ถูกต้อง เพื่อแก้ปัญหา ตรงจุดจริงๆ จะดีกว่า เช่น ปัญหาเรื่องโรคมะเร็ง เราแก้ปัญหาเสร็จคนไข้ส่วนใหญ่ก็ตาย แสดงว่าเราแก้ ไม่ถูกจุด แต่เมื่อยังไม่รู้อะไรมากกว่านี้ เราก็ติดยึดว่า การผ่าตัดหรือฉายแสงหรือทำเคมีบำบัด เป็นการรักษา ที่ถูกต้อง แต่ก็มาได้คิดว่า ถ้าเรารักษาโรคมะเร็งได้ถูกต้อง ปัญหาต้องลดลงเยอะ ถึงคนไข้จะไม่หายทั้งหมด ก็ตาม แต่นี่ดีขึ้นเพียงนิดเดียว และเมื่อเราวิเคราะห์สาเหตุของโรคมะเร็ง ก็พบว่าส่วนใหญ่เกิดจากคนไข้ กินอาหารกันผิดๆ ทั้งนั้น พอมีการปรับอาหารให้ถูกต้องก็พบว่าก้อนมะเร็งเล็กลง ผมมีคนไข้เป็นครูอายุ ๓๙ ปี เป็นมะเร็งเต้านม มีเนื้องอกเป็นก้อนขนาด ๔ เซน มันเริ่มจากเป็นก้อนขนาด ๒ เซน โตขึ้นมาเป็น ๔ เซน ในเวลาแค่ ๓ เดือนเท่านั้น เพราะคนไข้ปฏิเสธการรักษาแบบฉายแสง ผ่าตัดและเคมีบำบัด ผมจึงใช้วิธี โภชนาการบำบัดอย่างเดียว

ปัจจุบันมะเร็งหยุดโต และมีแนวโน้มจะเล็กลงด้วย ผมภูมิใจมากกับคนไข้รายนี้ ที่ผมไม่ได้ใช้วิธีรักษา แผนปัจจุบันเลย ผมทำให้มะเร็งหยุดโตด้วยวิธีการธรรมดาๆ

*** ต้นเหตุของโรคมะเร็งร้าย
ร่างกายจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับเรามีความรู้พอจะเลือกกินของที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหรือไม่ มีอาหารอยู่ ๔ กลุ่ม ที่โดยทั่วไปเรายังเรียกว่าอาหาร แต่จริงๆ แล้วเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างมากทีเดียว อาจกล่าวได้ว่า เป็นสารพิษด้วยซ้ำ คือ

- "นมวัวหรือโปรตีนสัตว์"
- "ทุกอย่างที่หวาน" (เช่น ขนมหวาน ผลไม้หวาน น้ำผลไม้ น้ำหวาน น้ำอัดลม)
- "เนยเทียม"
- "น้ำมันทอดซ้ำ"
คนไข้ต้องเลิก ๔ ตัวร้าย แล้วหันมากินอาหารที่ต้านอนุมูลอิสระ ตัวอย่างเช่น กินผลไม้ที่ไม่หวาน กินผักต่างๆ เพิ่มขึ้น กินอาหารรสจัดให้น้อยลง โดยเฉพาะรสเค็ม

ส่วนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ต้องเลิกเลย ให้กินโปรตีนพืชแทน เป็นการรักษาโรคที่หลายคนคิดว่า อันตรายสุดขีด ด้วยวิธีธรรมดาๆ โดยเลิกทำร้ายตัวเอง และพยายามช่วยตัวเอง คนไข้รายนี้เป็นรายแรก ที่ไม่ได้รับการรักษา แบบแผนปัจจุบันแม้แต่นิดเดียว ต้องยอมรับว่าเขาใจถึงจริงๆ

ผมมั่นใจไม่ว่ามะเร็งระยะไหน ถ้าใช้วิธีนี้ดีกว่าเดิมแน่ เป็นน้อยก็อาจหาย เป็นมากก็อาจจะลดลง แต่ถ้าเป็นมาก เข้าระยะที่ ๔ แล้ว มันมีเวลาเหลือน้อยเกินไป ที่จะให้เราเข้าไปแก้ไขได้ด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด และส่วนใหญ่เราก็จะช่วยไม่ได้

จริงๆ แล้ว มะเร็งระยะสุดท้าย ไม่ว่าจะใช้วิธีธรรมชาติบำบัด หรือแผนปัจจุบันก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก มันแย่พอๆ กัน

*** สถิติคนไทยเป็นมะเร็งมากขึ้นจากสาเหตุอะไร
คนไทยกินอาหารเฮงซวยเพิ่มขึ้น และกินต่อเนื่องมายาวนานจนถึงจุดที่ร่างกายเสียสมดุล เพราะร่างกาย ของเราทุกคน ทุกอวัยวะทุกเซลล์ล้วนสร้างมาจากอาหารที่เรากินทางปาก ถ้าเราต้องการเซลล์ปกติ เราก็ต้องกิน อาหารปกติและเป็นประโยชน์ต่อเซลล์

แต่ถ้าคุณกินอาหารที่ผิดปกติ และไม่เป็นประโยชน์ต่อเซลล์ เซลล์นั้นก็จะนำอาหารดังกล่าวไปสร้างเซลล์ใหม่ เมื่อเซลล์ใหม่เกิดขึ้น จึงกลายเป็นเซลล์ผิดปกติทีละนิดทีละน้อย ซ้ำซากเรื่อยๆ และจะกลายเป็น เซลล์ที่ผิดปกติ มากขึ้นเรื่อยๆ ลงท้ายก็กลายเป็นเซลล์มะเร็ง ทฤษฎีที่บอกว่าไวรัสมีส่วนกระตุ้น ให้เกิดเซลล์ มะเร็งนั้น ผมไม่เถียง มะเร็งเป็นโรคที่เกิดจากหลายสาเหตุรวมกัน ถ้าเซลล์อ่อนแอ ไวรัสโจมตี ก็ทำให้เกิด ความผิดปกติของยีนส์เพิ่มขึ้น ทำให้เป็นมะเร็งเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นทุกอย่างประกอบกัน ถ้าเซลล์แข็งแรง ถึงไวรัสจะมีอยู่ ก็ทำอะไรไม่ได้

สำหรับคนไข้ตับอักเสบบี หรือตับอักเสบที่เกิดจากเชื้อไวรัส คนไข้พวกนี้ร้อยละ ๙๐ ผมเชื่อว่า ชอบกิน ของหวาน และเนื้อสัตว์ก็คือ เจ้า ๔ ตัวร้าย ถ้ากินอาหารพวกนี้น้อยลงหรืองดได้เลย ตับอักเสบ ไม่ว่าจะอยู่ ขั้นไหน ลงท้ายก็จะหายได้ในเวลา ๒-๓ ปี ถ้าถามว่าทำไมต้องนานถึงขนาดนั้น ผมต้องย้อน ถามว่า ทีคุณทำร้ายร่างกายของคุณมาเป็นสิบๆ ปี นานไหมล่ะ

*** บางคนคิดว่า เขาก็กินอาหารตามบรรพบุรุษ ซึ่งกินกันมานมนานแล้ว และ บรรพชนก็มีอายุยืน

ตระกูลนี้ควรสูญพันธุ์ไปได้แล้ว และสิ่งที่เขาเข้าใจก็ไม่ถูกทั้งหมด ข้อแรกคุณไม่ได้กินอาหารเหมือน บรรพบุรษคุณเปี๊ยบ ข้อที่ ๒ วัตถุดิบที่คุณนำมาทำอาหร ก็ไม่เหมือนสมัยพ่อแม่ปู่ย่าตายายของคุณ ข้อที่ ๓ สภาพแวดล้อม รอบตัวคุณก็ไม่เหมือนพ่อแม่คุณอีก ถ้าคุณจะนำอาหารมาเป็นตัวกำหนดความอยู่รอด โดยมองมุมแคบๆ แบบนี้ เพียงแง่มุมเดียว ก็ควรสูญพันธุ์ไปได้แล้ว

*** คำแนะนำสู่การปฏิบัติ
ควรเริ่มมองว่า อะไรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของตัวเอง ถ้าคิดว่าเป็นเงินคุณก็หาเงินเยอะๆ แต่ถ้าคิดว่าเป็นสุขภาพ คุณก็ควรหาความรู้เรื่องสุขภาพเยอะๆ และการมองหาความรู้เรื่องใดก็ตาม ไม่สามารถนั่งงอมืองอเท้า แล้วมันจะไหลเข้าหาคุณได้ คุณจะต้องตะเกียกตะกายขวนขวายจึงจะได้ ในยุคที่ความรู้ท่วมท้นนี้ คุณต้องรู้ให้เยอะ คิดให้เยอะ และใช้วิจารณญาณ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของสิ่งมีชีวิตที่จะอยู่รอด แล้วคุณจะได้ ข้อมูลที่ถูกต้อง โดยนำความรู้ไปลองทำอย่างละนิดอย่างละหน่อย อย่าเชื่อใคร อย่าเชื่อผม และอย่าหลง ความคิดของตัวเองด้วย แล้วคุณจะได้ข้อมูลดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครช่วยคุณได้ นอกจากตัวคุณเอง

*** ความเข้าใจเรื่องหยิน-หยาง
ผมทึ่ง อาจใช้คำผิด แต่ว่ามันบรรยายความรู้สึกของผมได้ดี พระพุทธองค์ตรัสไว้เรื่องทางสายกลาง ผมคิดว่าหยิน -หยางที่ดี ก็คือต้องสมดุลหรือต้องเป็นทางสายกลาง เพราะฉะนั้นอะไรมากไปจะไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี ใช่ไหมครับ ผมเคยฟังบรรยายเรื่องผัก มีผักประมาณ ๕๐ ชนิด อะไรเป็นหยินเป็นหยาง ปรากฏว่าฟังเสร็จ ในฐานะคนที่มีความรู้เรื่องโภชนาการบ้างก็ยังเดินออกมาด้วยหัวทึบๆ เพราะตกลงว่า ผักปวยเล้ง กวางตุ้ง คะน้า บร๊อกโคลี่ กินตอนนั้นไม่ได้ ผักชนิดนี้ต้องกินตอนหน้าหนาว หรือหน้าร้อน ก็ตายกันพอดี ผมไม่ต้องการให้ใครเครียดเรื่องโภชนาการขนาดนั้น ผมต้องการให้มีความรู้ ที่จะนำไป ปฏิบัติได้จริง ในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ทำอะไรเว่อร์เกินไป ผมเชื่อว่านั่นคุณกำลังเข้าสู่คำว่า หยิน หยาง เบื้องต้นเลย ตัวอย่างเรื่องมังสวิรัติ แต่จุดตายของพวกมังสวิรัติ คือ หวานกับมัน และ โปรตีนพืช น้อยไป หลายคนทำลายชื่อเสียงของนักมังสวิรัติด้วยการกินแต่ผักอย่างเดียว ผิดเต็มๆ เลยนะครับ เพราะคุณ จะต้องกินถั่ว จะเป็นถั่วประเภทใดก็ได้ แต่ต้องกินเข้าไป เพื่อไม่ให้ขาดโปรตีน และไม่กินของหวาน ของมัน ผมรอวันที่นักมังสวิรัติจะกอบกู้ชื่อเสียง ด้วยการเดินให้ถูกทาง และเอาชนะอาหารประเภท เนื้อนมไข่ ซึ่งผมคิดว่า อีกไม่นานเกินรอนักมังสวิรัติที่กินถั่วหลากหลายชนิด กินหวานน้อยลง กินมันน้อยลง จะทำให้เกิด สมดุลระหว่างหยินกับหยาง

*** โภชนาการบำบัดกับการคลายเครียด
ผมคิดว่าเรื่องโภชนาการเป็น ๗๐% ของคน ส่วนการออกกำลังกาย อากาศ อารมณ์ อะไรพวกนี้อยู่ใน ๓๐% ที่เหลือ เพราะฉะนั้นถ้าคุณแก้ปัญหาที่ ๗๐% ได้สุขภาพคุณดีขึ้นแน่ ที่เหลือคุณไปใช้เวลาของคุณเอง ใช้วิจารณญาณ ของความเป็นคนของคุณเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ผมเคยไปพูดแล้วครั้งหนึ่งว่า อย่าเก็บ ความเครียดเอาไว้ ผมถูกถามว่า ช่วยสอนวิธีไม่เก็บความเครียดไว้ให้หน่อย ผมก็บอกว่า ของใคร ของมันครับ ไปคิดเอาเอง ถ้าไม่มีทางระบายความเครียดด้วยตัวเองก็เก็บมันไว้จนระเบิด สำหรับผม ผมฟังเพลง ไปวิ่ง ไปเดิน ผมก็ระบายความเครียดได้แล้ว ส่วนของคุณอาจไปชกหน้าคนอื่นก็เชิญ มันไม่เหมือนกัน ไม่มีสูตรตายตัว ตามอัธยาศัย

สำหรับเรื่องสุขภาพ ตั้งแต่หัวจดเท้าของทุกคน ทุกอวัยวะทุกเซลล์ สร้างจากอาหารที่คุณกินเข้าไป คุณจะคง สภาพของร่างกายได้ดีแค่ไหน ส่วนใหญ่อาหารเป็นตัวกำหนดทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้น ถ้าใครบอกว่าอาหาร เป็นตัวรอง โดยพฤติกรรมอย่างอื่นทำให้ดีหมด แล้วกินอาหารเฮงซวย ร่างกายจะแข็งแรง ผมจะรอดู เพราะเชื่อว่า มันไม่มีวันเกิดขึ้น เนื่องจากข้อสรุปแบบนั้นขัดแย้งกับสิ่งที่เป็นจริง มันไปไม่รอด ผมชอบนักเขียน อเมริกันคนหนึ่งชื่อ วอเรน บัพเฟต เขาบอกว่าคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ในวงการเงิน เป็นคนที่ทำ เรื่องง่ายๆ ให้ดีที่สุด และหลีกเลี่ยงการทำเรื่องยากๆ ให้สำเร็จ โดยเขาให้เหตุผลว่า คนที่พยายามทำ เรื่องยากๆ ให้สำเร็จส่วนใหญ่มากกว่าครึ่งตาย ท้อถอย หรือพ่ายแพ้ต่อปัญหานั้นๆ แต่คนที่ทำเรื่องง่าย ให้ดีที่สุด คนเหล่านี้เกือบ ๑๐๐% จะประสบความสำเร็จ ทีละเล็กทีละน้อย จนกลายเป็นความสำเร็จ ที่ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้น ถ้าใครตั้งต้นคิดผิด และจับแนวทางผิด ก็เสร็จ อาจจะต้องหลงอยู่ในวังวน ของความผิดพลาดนั้น สุดท้ายก็ต้องถอยกลับมาตั้งต้นใหม่

*** บางเสี้ยวความคิดเพื่อรู้จักคุณหมอเปี่ยมโชค ชลิดาพงษ์
ส่วนใหญ่ปัญหาชีวิตของผม ไม่มีใครสร้างให้ ผมสร้างเองทั้งนั้นก็ดิ้นรนหามาเอง ซึ่งไม่อยากเล่า เพราะเล่าไปแล้ว เหมือนประจานตัวเอง คือผมยังไม่ใจเป็นกลาง ขนาดจะเล่าความไม่ดีของตัวเอง เอาเป็นว่า ทำมาเยอะ แล้วตอนนี้ก็ทำน้อยลง ตอนพบปัญหาหนักๆ ถามว่าโกรธคนอื่นมั้ย โกรธครับ แต่ลืมไปว่า เราเป็นคน สร้างปัญหาเอง พูดง่ายๆ ไม่ชอบเป็นคนผิด ชอบโยนความผิดใส่คนอื่น แต่พอว่างๆ มานั่งนึกก็ เออ...ที่แท้ตัวปัญหาคือตัวเรา ก็คิดได้ว่า เลิกทำดีกว่า พอเลิกทำปัญหาก็ลดฮวบฮาบเลย ตอนนั้นผมยังหนุ่มๆ ชอบหาเรื่องใส่ตัว เพราะว่ามันสนุกดี แต่ตอนนี้แก่แล้วไม่อยากเจอปัญหา

*** บทเรียนคือครูที่ดี
ทุกคนที่ผมพบในชีวิตมีส่วนสอนผมเยอะ แม้กระทั่งตัวผมเอง แต่มีคนหนึ่งที่เหมือนเคาะกบาลผมเลย คือ ครั้งหนึ่ง ผมทำผ่าตัดเป็นแพทย์ประจำบ้านปีที่ ๓ ที่โรงพยาบาลราชวิถี ผมเชื่อมั่นในความมีเหตุผลของตัวเอง ผมภูมิใจ ในความมีเหตุผลของตัวเอง เวลาผมทำผ่าตัด ผมไม่น้อยหน้าใคร ฝีมือเก่งพอตัว ตอนนั้น เป็นปีสุดท้าย ที่เรียนหู คอ จมูก เรากำลังผ่าตัดมะเร็งรายหนึ่งอยู่ ผมเป็นมือ ๑ อาจารย์วรา วรสุบิน เป็นผู้คุม โดยท่านยืนดูเฉยๆ พอผ่าถึงหลอดอาหาร น้ำลายมันรั่ว ท่านก็ถามว่าทำไมไม่ฉีดยาป้องกันการอักเสบไว้ก่อน ผมก็หันไปบอกหมอดมยา ให้ฉีดยาแก้อักเสบ ถัดมาอีกวันมี CASE มะเร็งที่คอมาอีก อาจารย์วราคุมผมอีก คราวนี้ผ่ากล้ามเนื้อคอ ตัดกล้ามเนื้อคอทิ้ง แต่ไม่ได้เข้าไปในหลอดอาหาร น้ำลายไม่รั่ว แต่แผลเปิดใหญ่มาก ความที่ผม อยากแสดงให้อาจารย์เห็นว่าผมเก่ง ผมเข้าใจ ผมก็สั่งพยาบาลให้ฉีดยาแก้อักเสบ โดยที่อาจารย์ ไม่ต้องมาเตือน ผมโดนอาจารย์เคาะที่หลังเบาๆ บอกว่ารายนี้ไม่มีน้ำลายรั่ว สั่งฉีดยาแก้อักเสบทำไม มีน้ำลายมันจะสกปรก แต่นี่น้ำลายไม่ได้รั่ว ไม่ต้องฉีด ผมก็บอกพยาบาลว่าไม่ต้องฉีด หลังจากนั้น ผมได้ข้อคิด ๒ CASE ทำผ่าตัดที่คอเหมือนกัน แต่รายละเอียดไม่เหมือนกัน ความจำเป็นในการใช้ยา ก็ต้องไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ทำผ่าตัด ต้องมีเหตุและผลรองรับทุกอย่างที่ทำ ประโยคนั้น เปลี่ยนความคิดผม เป็นคนละคน ตั้งแต่วันนั้น ผมเริ่มมีเหตุและผลมากขึ้น หลังจากที่หลงตัวเองว่า มีความรู้อยู่เยอะ จริงแล้วมีนิดเดียว อาจารย์วรา เป็นผู้ให้ความคิดนี้ใส่หัวผมมา ตั้งแต่ตอนนั้น แต่ถามว่า อาจารย์เป็นคนเดียว ที่สอนผมใช่มั้ย ก็คงไม่ใช่ แต่เป็นคนที่ทำให้ผมเหมือนโดนตบฉาดใหญ่ ที่ทำให้เราซึ้ง ในจังหวะนั้น และชีวิตหลังจากนั้น ผมก็รู้สึกว่า ทุกคนสอนผมหมด ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ รุ่นน้อง แม้กระทั่ง ลูกน้องผมปัจจุบันที่นี่ ก็สอนผมว่า ไม่ควรทำอะไร หรือควรทำอะไร

*** ความภาคภูมิที่สุดในชีวิต
ยังไม่เกิดขึ้น แต่จะเกิดขึ้น ถ้าผมสามารถทำให้คนส่วนใหญ่เห็นประโยชน์ของสิ่งที่เราเรียกว่า "โภชนาการ" ถ้าเมื่อไร คนเริ่มสามารถใช้อาหารรักษาโรค ผมจะภูมิใจมาก

*** ไม่กลัวว่าคนไข้จะน้อยลงหรือ
เป็นโชคดีของหมอ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ปรับตัวช้า เพราะฉะนั้น หมอก็จะมีเวลาปรับตัวตามไปด้วย หากไม่มีคนป่วย หมอก็จะได้เลิกอาชีพหมอไปทำอย่างอื่นแทน ไปเป็นผู้แนะนำเรื่องสุขภาพ ไปทำเรื่อง โภชนาการ ไปทำโน่นทำนี่ เพราะฉะนั้น หมอจะไม่ตกงานรวดเร็วจนปรับตัวไม่ทันหรอก ผมเชื่อเช่นนั้น และหมอส่วนใหญ่ มีพื้นฐานไอคิวค่อนข้างดี เพราะฉะนั้น ถึงเวลาต้องปรับตัว หรือถูกบังคับให้ปรับตัว ก็จะทำได้เร็วมาก

*** แนวโน้มการแพทย์ในอนาคต
ปัจจุบันในประเทศญี่ปุ่นจะมี ๒ แผนกในโรงพยาบาลเดียว คือ ธรรมชาติบำบัด (แพทย์ทางเลือก) กับแพทย์แผนปัจจุบัน โดยให้คนไข้มีสิทธิ์เลือกได้ว่า จะรักษาแบบไหน ในอเมริกา เมื่อ ๓ ปีก่อน ก็เริ่มมีแบบนี้ ในหลายๆ รัฐแล้ว เมื่อคนไข้เข้าไปในโรงพยาบาล จะมีทั้งแพทย์ทางเลือก และ แพทย์แผนปัจจุบัน ให้คนไข้ เลือกวิธีรักษา เดิมแพทย์ทางเลือกเป็น Under Ground Clinic เป็นคลินิกผิดกฎหมาย แต่ในปัจจุบันนี้ เริ่มมีการยอมรับ ให้เป็นคลินิกถูกกฎหมายมากแล้ว เพราะฉะนั้น ในอีก ๒๐ ปีข้างหน้า ผมเชื่อว่าเมืองไทย ต้องมีแพทย์ทางเลือก มากกว่าครึ่งเมือง การเปลี่ยนแปลงในอดีตเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่า อนาคตอาจจะเปลี่ยน เร็วกว่าเดิมด้วย

*** บทสรุปที่ว่าหมอคือผู้รักษาคนไข้ ผู้ช่วยชีวิตต้องเปลี่ยนไป
คนรักษาโรคที่ดีที่สุด คือ ตัวคนไข้เอง หมอเป็นเพียงผู้แนะนำแนวทางที่ถูกต้อง แล้วคนไข้ต้องปฏิบัติเอง ไม่ใช่นั่ง งอมืองอเท้า กินยาแล้วรอให้โรคมันหาย มันจะเปลี่ยนความเข้าใจไปครับ ผมเชื่อว่าหมอจะถูกบังคับ ให้เปลี่ยน เนื่องจากความรู้และตัวโรคเอง มันเปลี่ยนหมอ และคนไข้ถูกบังคับให้เปลี่ยนทั้งคู่

-เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๖-