ข้าพเจ้าคดอะไร ?
*** สมณะโพธิรักษ์ ***

กำไร ขาดทุนแท้ ของอาริยชน (ต่อจากฉบับที่ ๑๖๒)


เมื่อปรุงแต่งเสร็จก็ก้าวขึ้นเป็น"สังกัปปะ" ดังนั้น"วิตกเจตสิก"ใดถ้ามี"กาม"เข้าไปปรุงแต่ง ก็เป็น "กามวิตกหรือกามสังกัปปะ" ถ้ามี "พยาบาท" เข้าไปปรุงแต่ง ก็เป็น "พยาบาทวิตก หรือ พยาบาทสังกัปปะ" ถ้ามี "วิหิงสา" เข้าไปปรุงแต่งก็เป็น "วิหิงสาวิตก หรือ วิหิงสาสังกัปปะ"

ในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๖๐ พระพุทธเจ้า ตรัสว่า "ก็มิจฉาสังกัปปะ เป็นไฉน คือ ความดำริในกาม (กามสังกัปปะ) ดำริในพยาบาท (พยาปาทสังกัปปะ) ดำริในความเบียดเบียน (วิหิงสสังกัปปะ) นี้มิจฉาสังกัปปะ"

นั่นหมายความว่า ผู้ปฏิบัติเมื่อปฏิบัติจนสามารถ "มีญาณหรือมีวิชชา" อันหมายถึง "ความรู้ ขั้นปรมัตถ์ หรือความรู้ที่สามารถหยั่งรู้จิต..เจตสิก..รูป..นิพพาน" ผู้มี "วิชชาหรือญาณ" นี้ ภาษาชาวบ้านเรียกว่า เป็นผู้มี "ตาทิพย์หรือมีตาใน" ถือว่าเป็นคุณวิเศษของพุทธขั้น ปาฏิหาริย์ทีเดียว คือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ หรือ "วิชชา" หรือ "พ้นอวิชชา" นั่นเอง

การ "พ้นอวิชชา" คือการเกิด "ความรู้ในสัจธรรม" ซึ่งจะเกิดญาณเกิดวิชชาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ นั่นคือ "อวิชชา" ลดลงไปตามลำดับ ที่สุดก็ "พ้นอวิชชา" ครบเต็ม รู้แจ้งเห็นจริง หรือรู้แจ้งแทงทะลุเป็น "วิชชา ๙" สัมบูรณ์

มีกรณียกเว้นสำหรับผู้มีบารมีมาแล้ว ก็สามารถรู้แจ้งเห็นจริงพรวดเดียวแทงทะลุจนเป็น "อาสวักขยญาณ" สัมบูรณ์เลย หรือมีประสบการณ์ครั้งสองครั้ งก็รู้แจ้งแทงทะลุ "พ้นอวิชชา" สิ้นอาสวะได้ ก็เป็นได้พิเศษสำหรับผู้มีบารมีมาแล้วจริง เช่น พระพาหิยทารุจีริยะ พระยส หรือท่านอื่นๆ อีกมากในพุทธสมัย เป็นต้น

"ตาทิพย์หรือตาใน" นี้ สำหรับผู้ยังมิจฉาทิฏฐิ หรือยังไม่สัมมาทิฏฐิมักเข้าใจสับสนไปว่า เป็น "อาเทสนาปาฏิหาริย์" บ้าง หรือไม่ก็เป็น "การเห็นภาพลวงที่ปั้นขึ้นมาเห็นเองจนสำเร็จในจิต" อันคือ "มโนมยอัตตา" บ้าง ซึ่งเป็น "อัตตา" ที่เกิดจากอุปาทานของตนๆ

เช่น ผู้นั่งหลับตาทำสมาธิแล้วก็เห็นนั่นเห็นนี่ เห็น สวรรค์ วิมาน เทวดา ผี หรือเห็นภาพคนนั้น คนนี้ เห็นอะไรก็ได้สารพัด ตามอุปาทานของตน "อุปาทาน" ก็คือ "จิตตนเองยังหลงยึด อย่างนั้น อย่างนี้อยู่" ซึ่งผู้อวิชชาจะไม่รู้จัก "อุปาทาน" ของตนเองได้ง่ายๆเลย

"มโนมยอัตตา"หรือ"รูปที่สำเร็จด้วยจิต"นี้ มิใช่จะมีแค่ที่หลงเห็นอยู่ในภวังคสมาธิเท่านั้น ลืมตาโพลงๆ ในชีวิตปกติธรรมดา เป็น "ตานอก" ก็เห็นได้ เป็นต้นว่า คนเห็นผีหลอก หรือ เห็นนางไม้ เห็นภาพพระอาจารย์ลอยอยู่บนท้องฟ้า เห็นภาพตนเองนอนตายเนื้อเน่า อยู่ต่อหน้าตนเอง มองคนทะลุเข้าไปถึงโครงกระดูก คนผู้นั้น จนเห็นแต่โครงกระดูกของเขา เดินไปต่อหน้าต่อตา ฯลฯ เห็นภาพอะไรต่างๆสารพัดได้ทั้งนั้น ซึ่งล้วนเป็นภาพหลอนภาพลวง

แม้แต่เห็นภาพอย่างเดียวกันพร้อมกันเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นคนก็ยังได้ เมื่อมีอุปาทาน อย่างเดียวกัน เช่น นักสะกดจิตที่เก่งกล้าสามารถสะกดจิตคนในโรงแสดงมายากล เขาสามารถ หลอกให้คนดู ดูเวลาในนาฬิกาของตนแต่ละคนเห็นเวลาตรงกันได้ ทั้งๆที่ขณะนั้น ไม่ใช่เวลาจริง ตามนั้นเลย แต่ทุกคนก็เห็นตรงกันทั้งหมด หรือสามารถหลอกคนทั้งโรง ให้เห็นภาพ ตามที่เขาบอก ทั้งๆที่ภาพจริงไม่ใช่ตามที่เขาพูดนั้นเลย

มโนมยอัตตา ไม่ได้หมายถึง "รูปที่สำเร็จด้วยจิต" เพียงแค่"รูปหรือภาพ" ที่เห็นทาง"ตา"เท่านั้น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส สามารถเป็น"มโนมยอัตตา"ได้ ทั้งนั้น เช่น ได้ยินเสียง ทั้งๆที่ไม่มีเสียงจริง ได้กลิ่นทั้งๆ ที่ไม่มีกลิ่นจริง ได้สัมผัส ทั้งๆที่ไม่มีอะไรมาสัมผัสจริงเลย

คนเห็นภาพลวง หรือ"มโนมยอัตตา" นี่แหละที่คนส่วนมากมีกัน ทั้งที่เห็นโดยไม่เจตนา หรือ ไม่ได้ฝึกหัดอะไรมา และทั้งที่เห็นจากการนั่งสมาธิ ดังกล่าว

สำหรับ "อาเทสนาปาฏิหาริย์" นั้น ไม่ใช่ภาพลวง แต่เป็นความสามารถทางจิต ซึ่งเป็นจริง ของผู้หยั่งรู้ใจ คนอื่น อ่านอาการทางนามธรรมใกล้ไกลได้แท้
[มีต่อฉบับหน้า]

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ -