ภาพหลอน - ธารธรรม -


 

คนขับแท็กซี่บ่นพึมพำ เมื่อเห็นหนุ่มน้อยในชุดนักศึกษายืนโบกมืออยู่ริมถนน เขาเหลือบดูเวลาที่ข้อมือ ขณะนี้ตีหนึ่งกว่าใกล้ตีสอง "นักเรียนอะไรวะ ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังย่ำต๊อกอยู่ริมถนน" ว่าแล้วคนขับแท็กซี่ก็เบรกรถพรืด หมุนกระจกลงพร้อมคำถาม
"จะไปไหนน้องชาย?"
"ช่วยไปส่งผมที่บางนาหน่อยครับ" หนุ่มน้อยค้อมตัวอย่างสุภาพ แท็กซี่ลังเลเหมือนไม่แน่ใจว่าจะมีเงินจ่ายค่ารถหรือเปล่า ดูท่าทีคล้ายนักศึกษา เสเพลเสียมากกว่า
"ไปส่งผมหน่อยครับพี่ ระยะทางจากนี้ไปบางนาคงไม่เกินสี่ร้อยบาท นี่ครับเงิน เดี๋ยวถ้ามิเตอร์ขึ้นมากกว่านี้จึงค่อยว่ากันอีกทีนะครับ" เขาล้วงกระเป๋าหยิบธนบัตรใบห้าร้อยส่งให้ แท็กซี่ซ่อนรอยยิ้มอยู่ในใบหน้า
"ไม่เป็นไรน้องชาย คือพี่ดูเวลาแล้วกลัวว่าจะนำรถไปส่งเถ้าแก่ไม่ทัน แต่เอาเถอะ ไปส่งน้องชายก่อนก็ได้ ขึ้นรถซิ ทำเวลาหน่อย" แท็กซี่ทำทีเป็นรีบเร่ง ก่อนกลับรถหาเส้นทางไปบางนา
"น้องชายบ้านอยู่บางนาเรอะ?.."
"เปล่านัดเพื่อนไว้ที่นั่น"
"ดึกปานนี้แล้วจะนัดเพื่อนไปเที่ยวกันที่ไหนอีกเล่าน้อง?"
"เปล่าหรอก เพื่อนจะกลับบ้านต่างจังหวัดตอนเช้าวันนี้ เป็นห่วงค่ารถ เลยคิดว่าจะไปส่งค่ารถมันเสียหน่อย"
"เหรอ.. แล้วออกจากมหาวิทยาลัยกี่ทุ่ม เห็นยังแต่งชุดนักศึกษาอยู่เลย หรือว่าไปเที่ยวมา?"
"ไม่ครับ ผมแต่งมาจากบ้านพัก กะว่าเมื่อส่งเพื่อนแล้วก็จะรีบไปวิทยาลัยเลย จะได้ไม่เสียเวลา"
"อื่ม..พี่คิดว่าเป็นนักศึกษาเที่ยวดึกเสียอีก"
"ไม่หรอกครับ... มีทางลัดมั้ย ผมอยากจะไปถึงที่นั่นเร็วๆ" ชายหนุ่มกล่าว
"ทางลัดไปบางนาเรอะ?"
"ครับพี่.."
  "มีเหมือนกัน แต่เส้นทางมันมืดและเปลี่ยว แต่มันถึงเร็ว" แท็กซี่ตอบ
"ไม่เป็นไร พาผมไปทางลัด เงินห้าร้อยไม่ต้องทอนผม"
แท็กซี่หักพวงมาลัยเลี้ยวขวา วิ่งลัดเลาะ ครู่เดียวก็ผ่านทุ่งนา นานๆ จะมีรถวิ่งสวนทางสักคัน ผู้โดยสารเหลือบดูเวลาที่ข้อมือ พร้อมกับเสียงถอนลมหายใจ
"ทางเส้นนี้เปลี่ยวจริงๆ นะพี่?..." เขาเปรย
"ใช่แล้วน้อง"
"ผมปวดท้อง อยากจะลงไปยิงกระต่ายสักหน่อย?" ชายหนุ่มปรารภเชิงเกรงใจ
"ได้เลยซีไอ้น้อง ลงไปเลยไม่ต้องกลัวหรอก" โชเฟอร์กล่าวอย่างอารมณ์ดี
"ขอบใจพี่.."
"ปัง.."
เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ท่ามกลางความมืดของยามดึก ร่างโชเฟอร์แท็กซี่ฟุบคาพวงมาลัย ก่อนที่จะถูกลากลงจากรถอย่างเงียบๆ
ข่าวโชเฟอร์แท็กซี่ถูกฆ่าโหดบนถนนสายเปลี่ยว เป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งหลายฉบับ หัวข้อข่าวน่าสนใจ
"ระเบิดสมองโชเฟอร์แท็กซี่ชิงรถ ลวงไปส่งที่เปลี่ยว ฆาตกรโหดขับรถหนี" บางฉบับก็ว่า "แท็กซี่ถึงคราวชะตาขาด ถูกลวงไปฆ่าโหดกลางทุ่ง คนร้ายเชิดรถหนี"
ชาวบ้านต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา
"ไม่น่าเลย คนสมัยนี้โหดเหี้ยมขึ้นทุกวัน" ใครคนหนึ่งกล่าว
"นั่นน่ะสิ..ฆ่ากันเองกับพวกเลวๆ ก็ว่าไปอย่าง.. นี่ทำกับคนดีๆ คนทำมาหากิน มันน่าอนาถใจจริงๆ แล้วลูกเมียรู้ข่าวนี้เข้าจะเป็นอย่างไร เวรกรรม"
"ข้าอยากรู้จริงๆ ว่า ไอ้รถแท็กซี่ที่มันชิงไปได้ มันจะเอาไปขายที่ไหนของมันวะ?"
"ข้าว่ามันต้องไปดัดแปลงใหม่ แล้วส่งไปขายชายแดนแน่ๆ"
เหตุการณ์ครั้งนี้ หลายคนต่างคาดเดากันไปในทำนองเดียวกัน คือดัดแปลง แล้วส่งขายในตลาดมืด หรือไม่ก็แยกชิ้นส่วนออกจำหน่าย

เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนเศษๆ แท็กซี่คันนั้นก็ถูกดัดแปลงเป็นรถคันใหม่ เปลี่ยนสีใหม่ จนยากที่ใครๆ จะจดจำ

"พี่จอม รถที่ดัดแปลงเสร็จแล้วนะ แต่ราคาที่พี่ขอไว้ เฮียเขาบอกว่าไม่ได้แล้วนะพี่"
"อะไรกันวะ ก็เคยทำกันอยู่ราคานี้มาตลอดมิใช่รึ?"
"ฉันไม่รู้ เฮียเขาสั่งให้บอกพี่ว่าอย่างนี้ ยังไงก็ให้พี่ไปต่อรองกับเฮียแกก็แล้วกัน ฉันขอตัวก่อน อ้อ...เฮียเข้ามาพอดี"
"มีปัญหาอะไรรึ คุณจอม?"
"ราคาที่ทำกันแต่เดิม ทำไมถึงไม่ได้เฮีย?"
"ค่าอุปกรณ์ต่างๆ แพงขึ้นเป็นเท่าตัว และการทำรถอย่างนี้ความเสี่ยงสูงนะคุณ"
"เที่ยวนี้ฉันขอเป็นราคาเก่าไม่ได้หรือเฮีย? คราวหน้าจึงค่อยว่ากันใหม่"
"ไม่ได้ และก็ไม่มีคราวหน้าคราวหลังด้วย เพราะข้าไม่อยากเสี่ยง นายจ่ายมา แล้วเอารถของนายออกไปซะ"
"งั้นฉันขอเอารถออกไปให้ลูกค้าดูก่อน หากราคาตกลงกันได้ ฉันจะนำมาจ่ายให้เฮียอีกหนึ่งเท่า เฮียตกลงมั้ย?"
"ไม่เอาโว้ย... ข้าพูดคำไหนคำนั้น นายรู้นิสัยฉันดีมิใช่เรอะ?"
นายจอมจำต้องควักเงินจ่ายตามที่อู่กำหนดจนเงินหมดกระเป๋า เขาขับรถพรืดออกจากอู่อย่างหัวเสีย ฮึ่ม... เอาเถอะ เงินค่าดัดแปลงรถเท่านี้หาไม่กี่วันคงได้คืน ไอ้เสี่ยอู่พิเรนทร์นี่ใจเค็มชะมัดยาด แต่..เราไม่มีเงินค้างกระเป๋าเลยจะทำอย่างไรดี ไม่ได้อย่างนี้ต้องเปลี่ยนแผน"
เกือบหมดวันที่นายจอมขับรถตระเวนไปตามจุดต่างๆ ทั่วเมือง พอตกตอนกลางคืนนายจอมก็เข้าสวมรอยแท็กซี่ป้ายดำ เพื่อหาโอกาสรับส่งผู้โดยสาร เขาพยายามเลือกผู้โดยสารผู้หญิงที่ดูแล้วมีฐานะดี นายจอมแต่งตัวคล้ายนักศึกษา ท่าทางอ่อนโยน สุภาพ ทำทีเป็นอ่านหนังสือไปบ้าง คุณหญิงคุณนายบางคนเห็นแล้วรู้สึกสงสาร
"หลานชาย ขับแท็กซี่รึ?"
"ครับ.." เขาตอบคำถามนั้นอย่างอ่อนน้อม
"ช่วยไปส่งฉันที่ตลิ่งชันหน่อยสิ จะคิดเท่าไหร่?"
"ได้ครับ ค่าโดยสารแล้วแต่คุณนายจะให้"
"ตกลง.."
ว่าแล้วเขาก็เปิดประตูรถให้คุณนายก้าวขึ้นนั่งอย่างสุภาพ แล้วนายจอมก็ค่อยๆ ขับไปตามเส้นทางอย่างใจเย็น
"หลานชายเป็นนักศึกษารึ?"
"ขอรับ.."
"เรียนอยู่ไหน?.."
"รามฯ ขอรับ.."
"หาเงินไปด้วยเรียนไปด้วยซินะ?"
"ขอรับ.."
"อยู่ปีไหนล่ะ?"
"ปีสามขอรับ.."
"คณะอะไร?.."
"รัฐศาสตร์ขอรับ"
"อื่อ..ดี ขยันเอานะหลานชาย จะได้จบออกมาทำงานเป็นเจ้าคนนายคน.."
"พยายามเต็มที่แล้วขอรับ ยังไม่รู้ว่าจะจบหรือเปล่า"
"จบซี ขยันหาเงินอย่างนี้ยังไงก็ต้องจบ ฉันเอาใจช่วย"
"ขอบคุณขอรับ"
"อ้อ.. หลานชาย จอดตรงประตูบ้านหลังข้างหน้านี่นะ"
"ขอรับ.."
นายจอมค่อย ๆ แตะเบรกชะลอรถจอดอย่างช้าๆ ตรงหน้าประตูบ้านหลังใหญ่แสนจะโอ่อ่า เขาจอดแล้วรีบลงจากรถเปิดประตูให้ผู้โดยสารลง
"เชิญครับคุณนาย.."
"ขอบคุณจ้ะ หลานชาย"
"บ้านคุณนายหรือครับ?"
"จ้า บ้านป้าเอง เอานี่ค่ารถฉันให้สองพันพอมั้ย?."
"มากไปครับ ผมไม่กล้ารับหรอกครับ" นายจอมทำทีบ่ายเบี่ยงอย่างนอบน้อม
"เอาไปเถอะหลานชาย ไม่ต้องเกรงใจหรอก เงินนี้ฉันให้ด้วยความเต็มใจ คราวหน้า หากมีอะไรให้ป้าช่วยเหลือแล้วละก็ ป้ายินดี นี่นามบัตรของป้าเก็บไว้นะ"
"ขอบคุณขอรับคุณป้า.."
"จงพยายามทำแต่ความดี และมานะอดทนต่อไปนะหลานชาย สังคมนี้เขายกย่องแต่คนดี ป้าไปละนะ"
"ขอรับ ขอให้คุณป้าจงโชคดีนะครับ" นายจอมกระพุ่มมือไหว้
 
คนทำความดีแท้ๆ นั้น กว่าคนอื่นจะเห็นความดียังช้า แต่คนชั่วแกล้งทำความดีประเดี๋ยวเดียว คนก็มองเห็น นายจอมเป็นผู้ชายสองหน้าที่ท่าทางดูดี ตีหน้าซื่อได้สนิทบทบาทนี้ยังต้องแสดงต่อไป และคืนนี้ เขาใช้เวลาเพียงไม่มากก็ได้เงินเข้ากระเป๋าถึงสองพัน เขายูเทิร์นกลับเพื่อหาเหยื่อ รายต่อไป และไม่นานนักเขาก็ได้ผู้โดยสารคนที่สอง เป็นหญิงสาวหน้าตาดี เดินออกมาจาก ร้านเสริมสวย มองหารถแท็กซี่อย่างระมัดระวัง เมื่อเหลือบมาเห็น เขายืนอ่านหนังสืออยู่ข้างรถ เธอจึงเดินเข้ามาหา พร้อมกับคำทักทาย
"พี่ชาย อ่านหนังสืออะไรรึ?"
"หนังสือเรียนจ้ะ พรุ่งนี้สอบ"
"ทำไมไม่นอนอ่านที่บ้านล่ะพี่?"
"นอนอ่านที่บ้านก็ไม่มีรายได้อะไร มาอย่างนี้เผื่อมีผู้โดยสารบ้าง เกิดมาจนก็เป็นอย่างนี้แหละน้อง"
"พี่ช่วยไปส่งหนูที่บางจากจะได้ไหม?"
"ได้ซิจ๊ะ แต่ว่าบางจากไหนล่ะ?"
"บางจาก พระประแดงค่ะ"
"อยู่ซอยไหนเล่าน้อง?"
"ซอยกลับเจริญค่ะ"
"ตกลงครับ"
"พี่เคยไปส่งผู้โดยสารแถวนั้นบ้างมั้ย?"
"เคย แต่ไม่บ่อยนัก"
"พี่คิดค่าโดยสารเท่าไหร่?"
"แล้วแต่น้องจะเห็นสมควรก็แล้วกันนะ เท่าไหร่ก็ได้พี่ไม่ว่าหรอก จะถูกหรือแพงพี่ก็ยินดีรับใช้"
"ตกลงค่ะ"
รถบ่ายหน้าสู่เส้นทางที่หญิงสาวต้องการ และไม่นานนักเขาก็หักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าสู่เส้นทางสายเปลี่ยวด้วยอาการใจเย็น ส่วนหญิงสาว ก็ถามโน่น คุยนี่เพลินจนลืมดูทาง มารู้สึกตัวก็เข้ามาลึกแล้ว
"เอ๊ะ ทางนี้ไปได้ด้วยหรือพี่?"
"ได้ซิ เป็นทางลัด.."
"อืมม์...." หญิงสาวได้แต่พยักหน้าหงึกๆ
รถวิ่งเข้าซอยได้ไม่นานนักก็จอดพรืด ท่ามกลางความมืด หญิงสาวได้แต่ตะลึงด้วยความตกใจ เมื่อนายจอม ดึงมีดพกออกมาจี้คอหอย
"ถ้าไม่อยากตายอย่าส่งเสียงร้องเป็นอันขาด ส่งกระเป๋าเงินมาดีๆ"
ทันใดนั้นดูเหมือนว่าหญิงสาวจะหายตกตะลึง เธอยกมือปัดมีดออกจากคอ พร้อมกับเปิดประตูรถ จะกระโดดหนี นายจอมรีบคว้าข้อมือขวับกระชากอย่างแรง
"อย่าขัดขืนนะอีเวร อยากตายรึ?"
"ใครจะยอมให้เงินแกง่ายๆ นะไอ้โจร ตายก็ตายซีวะ" เหยื่อใจเด็ด
"ฮึม พูดดีๆ ไม่ชอบอยากตายก็จะให้ตายสมใจล่ะมึง นี่แน่ะ ดิ้นดีนักเรอะ?" นายจอมขบกรามแน่น
นายจอมปักมีดพก เข้าหน้าอกหญิงสาวดังพลัก เธอกรีดร้องสุดเสียงแล้วสิ้นใจ นายจอมรีบคว้า เอากระเป๋าเงิน แล้วผลักศพกลิ้งลงถนนท่ามกลางความมืด เสียงกรีดร้องของหญิงสาวครั้งสุดท้าย ถึงแม้จะดังออกมานอกรถบ้าง แต่ในซอยเปลี่ยวกลางดึกเช่นนั้น ก็ยากที่จะหาคนได้ยิน
"ถุย เงินในกระเป๋ามีเพียงแค่นี้ ยังอวดเก่งปากเสียอีกนะมึง"
นายจอมรีบขับรถ ลัดเลาะไปตามเส้นทางที่คิดว่าปลอดภัย เงินในกระเป๋าตอนนี้ คิดว่าพอที่จะแก้ เปรี้ยวปากได้ ความปลอดภัยก็คงจะมีมากพอสมควร เพราะขับรถหลบหลีกมาไกลโข จึงขับรถเตร่ๆ ไปตามเส้นทาง อย่างไม่กังวล มองหาร้านข้าวต้มลับๆ สักแห่งหนึ่ง พอได้สั่งเหล้ามาล้างคอแก้หิว ในขณะที่เขาขับรถสาดสายตามองหาร้านข้าวต้มไปเพลินๆ อยู่นั้นก็ปรากฏว่าข้างหน้า ที่ด่านตรวจ เขามีความลังเลนิดหนึ่ง แต่ก็ยังขับรถต่อไป ด้วยความใจเย็น หากจะกลับรถอย่างกะทันหัน ก็กลัวว่า จะเป็นที่สงสัยของเจ้าหน้าที่ จึงค่อยๆ ชะลอ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็มีความรู้สึกเหมือนว่า มีมือของใครคนหนึ่ง มาจับที่ไหล่เย็นเฉียบ เขารีบหันไปดู ปรากฏเหมือนว่า เห็นใบหน้าหญิงสาวกำลังยื่นมือจะบีบคอเขาอย่างเคียดแค้น นายจอมตกใจ แทบสิ้นสติ เหยียบคันเร่งจนมิดอย่างไม่คิดชีวิต ชนแผงเหล็กด่านตรวจกระเด็น ตำรวจตกใจ แตกอลหม่าน ไม่รอช้ารถตำรวจเปิดหวอไล่ตาม ไปติดๆ พร้อมกับเสียงประกาศให้หยุด
"รถคันข้างหน้าหยุดเดี๋ยวนี้ ได้ยินมั้ย นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ"
นายจอมหันมาดูข้างหลัง เห็นรถเจ้าหน้าที่ตำรวจไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด จึงเหยียบคันเร่ง อย่างไม่คิดชีวิต ในขณะเดียวกันรถฝ่ายตำรวจก็เปิดไฟหวอ ไล่กวดอย่างไม่ลดละ
"จอด! จอด! นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ยินมั้ย?"
"เห็นทีมันไม่ยอมจอดแน่ๆ เอายังไงดีครับ หมวด?"
"เรียกให้จอดดีๆ ไม่ยอมจอดก็ต้องยิงเจาะยางให้ระเบิดเลย เตรียมพร้อม...ยิง.." หมวดออกคำสั่ง
"ปัง... ปัง... ปัง..." เสียงปืนตำรวจดังขึ้นหลายนัด ถูกยางหลังสองเส้นแตก รถนายจอมเสียหลัก พุ่งลงคูน้ำข้างถนน
ก่อนที่ตำรวจจะเข้าประชิดตัว จอมไม่รอช้ารีบเปิดประตูรถพร้อมกับดึงปืนพกออกจากเอว วิ่งออกจากรถอย่างรวดเร็ว ฝ่ายตำรวจก็ตะโกนให้หยุด นายจอมเห็นจวนตัว ไม่สามารถ วิ่งหนี ไปให้รอดพ้นได้ จึงหันมายิงใส่เจ้าหน้าที่อย่างหมาจนตรอก จนฝ่ายเจ้าหน้าที่ ต้องวิ่งเข้าหาที่กำบัง ส่วนนายจอมนั้น วิ่งพลางยิงพลาง ฝ่ายตำรวจเห็นว่า ผู้ร้ายมีอาวุธ และกำลังยิงต่อสู้ โดยไม่ยอมจำนน จึงตัดสินใจป้องกันตัว ยิงสวนออกไปหลายนัด
"ปัง ปัง ปัง..."
สิ้นเสียงปืน ร่างของนายจอมก็ทรุดฮวบ! ถูกกระสุนปืนของตำรวจหลายแห่ง สิ้นใจคาที่ เป็นคดี วิสามัญฆาตกรรม ตายฟรีอย่างน่าอนาถ
รุ่งเช้า หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวตามเคย "ตำรวจวิสามัญดับคาทุ่ง จอมโจรปล้น จี้ ฆ่าชิงทรัพย์ มาแล้ว หลายคดี" บ้างก็ว่า "จอมโจรใจโหด หนีไปไม่พ้นมือกฎหมาย ถูกยิงดับข้างถนน" สุดแท้แต่ฉบับไหน จะพาดหัวได้สะดุดตาสะดุดใจผู้อ่านได้มากกว่ากัน
ยังพอจำได้ ที่พระท่านว่า "จักทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป จักต้องเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้นๆ สืบไป"
กรรมนี้มีผล เป็นทรัพย์แท้ติดตามตัวนิรันดร์
 

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๖ พฤษภาคม ๒๕๔๗ -