- ทองแก้ว -

ดาบบุญ ดีรัตนา - ขุนดาบในสมรภูมิบุญนิยม


โลกนั้นตระการตาชวนหลงใหล
บุรุษหนึ่งตัดใจก้าวออกมา
ดังพรากไม้ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำ
ฝึกกินน้อย ใช้น้อย
ทำงานหนัก เงินเดือนศูนย์
ศึกษา "สัญชาติกิเลส"
จะดิ้นสักปานใด!

*** วัยเด็กในวิถีตะวันตก
บ้านเดิมอยู่แถวซอยศาสนา ถนนพระราม๖ เขตพญาไท ตอนอยู่ชั้นมัธยมอายุสัก ๑๒-๑๓ ขวบ แถวๆ บ้านมีแต่บ้านเช่าฝรั่ง เคยมีเพื่อนเป็นฝรั่ง เคยมีแฟนเป็นฝรั่ง เป็นยุคที่สงคราม เวียดนามยังไม่เลิก ฝรั่งจีไอเข้ามาอยู่เยอะ เราก็โตมาในยุคที่จีไอ ทหารอเมริกันเต็มเมือง ก็เลยอยากไปอยู่อเมริกา

ตอนเด็กๆ ชอบเล่นกีฬาโดยเฉพาะลูกกลมๆ นี่เล่นได้หมดทุกอย่าง ฟุตบอล ตะกร้อ บิลเลียด สนุ้ก ปิงปอง โบว์ลิ่ง โดยเฉพาะโบว์ลิ่งนี่ติดเลย เพราะบ้านอยู่ใกล้ๆ บางกอกโบว์ล ออกมา ก็เจอ แล้วได้ เล่นฟรีด้วย เพราะว่าพี่ชาย เป็นนักดนตรี ตั้งวงดนตรีเลย เวลาไปเล่นที่ไหน เราก็ตามไปด้วย ในโบวล์ลิ่ง ในสเก็ต ในบาร์ไนท์คลับ เข้าบาร์เข้าคลับฟรีตั้งแต่อายุ ๑๕, ๑๖ สมัยก่อน ก็ชอบแสงสี ชอบบันเทิง ชอบสนุกเฮฮา

แต่อบายมุขนี่ไม่เคยยุ่งเกี่ยว เพื่อนที่อยู่ในซอยเขาตั้งวงเล่นไฮโล เล่นล้อต๊อก เล่นไพ่ รัมมี่ เก้าเก เผ เราไปนั่งๆ แล้วโอ๊ย..ไม่เห็นชอบเลย ไปกันคนละทางเลย บุหรี่เหล้า ก็ไม่ติด อยู่ ม.ศ.๓ ยังไม่เคย กินเหล้า เพราะไม่มีใจคิดอยากจะกิน เรียนช่างกล เขามีการรับน้องใหม่ กินเหล้า โห..ไม่ได้เรื่อง ไม่เห็นจะเข้าท่า แล้วก็ไม่กินอีกเลย ทั้งๆ ที่เพื่อนสมัยที่เรียนอยู่ช่างกล กินเหล้ากัน เฮฮาปาร์ตี้ เราก็ไปนั่งกินกับเขา ไปทีไร ก็กินไม่นมสด ก็น้ำส้ม ไม่กินเหล้าสักที จนเพื่อนๆ บอกว่าไอ้นี่มันมือปืน นมสด มันเป็นอะไรของเรา มาตั้งแต่ไหนเราก็ไม่รู้

ที่บ้านมีลูกของคุณลุงมาอยู่ด้วย ๔ คนผู้ชาย ๒ คน ของเราผู้ชาย ๓ คน เรียกว่า เป็นก๊วนใหญ่เลย ก็โตไล่ๆ กันหมด พอโตขึ้นมาหน่อยก็มาตั้งก๊วนกัญชา สูบกัญชากันในบ้าน มีหมด ทั้งกัญชา ทั้งผง เขาก็เอามาลองกันหมด เพราะว่า เด็กวัยรุ่นแล้วยังมีเพื่อนในซอย เรียกว่าโตมา มีทั้งสิ่งเสพติด การพนัน แต่ตัวเองไม่ติด ไม่เห็นชอบเลยนะ จำได้ว่า ไม่เคยไปเสียเงินเรื่องการพนันที่ไหนเลย แม้แต่หวย ก็ไม่เคยซื้อเลย


*** ชีวิตสู่อเมริกา จิตใจสู่อโศก
ตอนอยู่ที่ไทยเมล่อนได้เงินเดือนประมาณสามพันห้า เราก็อยากหาเงินเยอะๆ อยากไปเมืองนอก เลยสมัครไปทำงานที่ตะวันออกกลาง ประเทศบาห์เรน ที่โรงกลั่นน้ำมัน เป็นช่างคุมเครื่องปั๊มน้ำเสีย ในโรงงานกลั่นน้ำมัน ทำอยู่หนึ่งปี เก็บเงินได้ ประมาณ ห้าแสนบาท กลับมาเมืองไทย ติดต่อไปเรียน ที่อเมริกา ที่จริงไม่ได้อยากเรียน เพราะตัวเอง ไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่ว่าอยากไปอยู่อเมริกา เพราะว่า เราฝังใจตั้งแต่เด็กๆ ว่าเราน่าจะไป อยู่เมืองนอกนา! ก็เลยติดต่อว่าไปเรียนหนังสือ

วันที่จะขึ้นเครื่องบินไปอเมริกา ลูกคุณลุงคนหนึ่งเขาสนใจธรรมะ ก็เอาหนังสือ ธรรมะของชาวอโศก ไปให้เป็นของขวัญ นั่งเครื่องบินกรุงเทพฯ ไปแอล.เอ. ก็อ่านไปเรื่อย หนังสือของชาวอโศกเล่มแรกที่อ่าน ตอบปัญหาผ่าเปรี้ยง, ธรรมอันพระพุทธองค์ทรงสอน, ค่าอย่างไรที่สังคมควรนิยม, เจริญชีพด้วยการก้าว, เดินตรงสู่การเป็นพระอริยะ เป็นเล่มเล็กๆ อ่านแป๊บเดียวก็จบ อ่านแล้วก็รู้สึกว่า เราเข้าใจดีจังเลย รู้สึกว่าชีวิตมันน่าจะเป็นอย่างนี้

พอไปถึง แอล.เอ.ปั๊บ ยังไม่ถึงโรงเรียน เพราะว่าเราติดต่อไปเรียนที่รัฐอินเดียน่า สถาบัน เทคโนโลยี อินเดียน่า ต้องนั่งรถไปที่รัฐอินเดียน่าใช้เวลา ๓ วัน ๓ คืน ก็เลยอ่านต่ออีก ทั้งลำธารชีวิต ทั้งคนคืออะไร แต่อ่านไม่จบหรอก อ่านผ่านๆ เพราะบางตอน อ่านแล้ว ไม่ค่อยรู้เรื่อง พอไปถึงโรงเรียน ลงทะเบียน เข้าหอพัก ก็ตัดสินใจเลิกกินเนื้อสัตว์ดีกว่า เพราะอ่านหนังสือแล้วเข้าใจ ตัวเอง ก็ไม่ค่อยติด เนื้อสัตว์ด้วย ติดอย่างมากก็อาหารทะเล พวกซีฟู้ด พวกปลา กุ้ง แต่พวกหมู ไก่ ไม่ค่อยชอบ พวกช่างกลเขาชวนไปกินอะไรที่แปลกๆ ดีงู เลือดสดๆ ซกเล็ก ไม่ไหว ไม่เอาเลย อันนี้รู้มา ก่อนอ่านหนังสือของอโศก พออ่านหนังสือ ของอโศกเลยดีแฮะ ก็เริ่มกินมังสวิรัติเลย เพราะว่า ในหนังสือ เจริญชีพด้วยการก้าว ได้เล่าประวัติ ของพ่อท่านพระโพธิรักษ์ก่อนที่จะออกมาบวช ท่านปฏิบัติตนยังไง ท่านกินอาหารง่ายๆ เราก็เลยอยากลองทำดูบ้าง ก็เลยทำตั้งแต่ตอนนั้นเลย ตอนที่เข้าเรียน เทคโน ที่อินเดียน่า

ช่วงที่เรียนเทคโนก็ทำงานด้วย เรียนไปด้วย ทำงานห้องอาหาร ทำงานอู่ซ่อมรถ เพื่อที่จะ support ตัวเอง สรุปแล้ว ไปอเมริกาไม่ได้ขอเงินทางบ้านเลย แต่เอาเงิน ที่เราหาได้เองส่งตัวเอง ก็จบมาเหมือนกัน จบปริญญาตรีทางด้าน Industrial Maintenance Technology (เทคโนโลยี การซ่อมบำรุงในโรงงาน อุตสาหกรรม)

ตอนเรียนเทคโนก็ปฏิบัติตัวแบบชาวอโศกมาตลอด กินมังสวิรัติตั้งแต่ปี ๒๕๒๑ จนถึง ปัจจุบันนี้ ก็ ๒๖ ปีแล้ว เป็นนักมังสวิรัติมาตลอดไม่เคยล้ม ไม่เคยกลับไป กินเนื้อสัตว์อีกเลย เรื่อง มังสวิรัตินี่ คิดว่ามั่นคง

*** ห่างไกล แต่ไม่ห่างเหิน
ช่วงที่เรียนก็ติดตามเรื่องของอโศกมาตลอด เพราะว่ามีหนังสือของชาวอโศก เช่น สารอโศก แสงสูญ ได้อ่าน หนังสืออะไรก็ตามที่อโศกผลิตขึ้นมา เท็ปธรรมะ ที่พ่อท่านเทศน์ มีพี่สาวคนหนึ่ง เป็นแอร์ โฮสเตส การบินไทย เวลาเขาบินไปอเมริกา ก็เอาหนังสือ เอาเท็ป ไปให้อ่านให้ฟัง ก็ได้ศึกษา ทางไกล เท็ปบางชุด ที่สัมภาษณ์ปฏิบัติกร ที่ปฏิบัติธรรมแล้ว มีอุปสรรคอะไรบ้าง รู้สึกน่าทึ่ง ประทับใจ คนเหล่านั้น เขาลดละกิเลส กันได้ดีจริงๆ ก็เลยสนใจ พอได้ฟังแล้วก็มาลองปฏิบัติ กับตัวเองบ้าง มาลองลดละดู ตอนนั้นกินอาหารสองมื้อ

อยู่อเมริกา ๔ ปีไม่ได้กลับเมืองไทยเลย พอเรียนจบกลับมาเมืองไทย ก็ตั้งใจ อยากมาดู ชาวอโศก มาดูของจริง ตัวจริง เพราะยังไม่เคยมาเลย อยากจะมาอยู่ อยากจะมาร่วมงาน เพราะว่าได้ฟัง จากเท็ป ได้อ่านจากหนังสือ รู้สึกว่าเป็นกลุ่มคน ที่น่าศรัทธา น่านับถือจริงๆ ในการเสียสละของ แต่ละคน ได้ฟังประวัติแต่ละคน แล้วรู้สึกทึ่ง

*** เงินเดือน : บ้านครึ่งหนึ่ง วัดครึ่งหนึ่ง
กลับมาเมืองไทยไปสมัครงานที่บริษัท Union Oil เป็นบริษัทที่ได้รับสัมปทาน ในการขุด แก๊สธรรมชาติ ที่อยู่ในอ่าวไทยขึ้นมาใช้ ทำหน้าที่ควบคุมการผลิตแก๊ส แท่นเจาะแก๊ส อยู่ในอ่าวไทย กลางทะเล เวลาไปทำงาน ก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่สงขลา ออกไปกลางทะเล ประมาณ หนึ่งชั่วโมง ก็ถึงแท่นเจาะ อยู่ที่นั่นเลย ๑๔ วัน แล้วทำงาน วันละ ๑๒ ชั่วโมง สมมุติว่า ไปอยู่กะเช้าก็เข้า ๖ โมงเช้าออก ๖ โมงเย็น ไปอยู่กะดึก ก็เข้า ๖ โมงเย็นออก ๖ โมงเช้า แต่ทำรวดเลย ๑๔ วัน ไม่มีวันหยุด แล้วเขา จะให้หยุด ๑๔ วันเหมือนกัน

พอช่วง ๑๔ วันที่หยุด ก็เลยมาอยู่กับอโศก มาช่วยงานที่โรงพิมพ์ เมื่อก่อน เขามีโรงพิมพ์เล็กๆ อยู่ในสันติอโศก ตอนที่อยู่ Union Oil ได้เงินเดือน ๓๕,๐๐๐ บาท (พ.ศ.๒๕๒๕) เงินเดือนออก ก็ให้คุณแม่ไปครึ่งหนึ่ง จะเอาไปทำบุญไป ไปซื้ออะไร ก็แล้วแต่ แล้วเอามาทำบุญครึ่งหนึ่ง เรียกว่า วัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่ง ทำอย่างนี้มาตลอด ตอนอยู่ยูเนี่ยนออยล์

ส่วนตัวไม่ค่อยมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ เพราะว่าตอนไปทำงานจากกรุงเทพฯ ก็ไปเครื่องบิน ทางบริษัท เขาออกให้ จากสงขลาไปที่ทำงานก็นั่งเฮลิคอปเตอร์ออกไป พักก็พักอยู่ กลางทะเล มีที่พัก มีอาหาร เสื้อผ้าพอเรามาศึกษากับอโศก ก็เลยไม่ต้องไปซื้อมาก

ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนนี้สมัยเป็นวัยรุ่น เสื้อผ้าต้องมียี่ห้อ คือบ้ายี่ห้อเหมือนกัน เพราะว่า มีพี่น้อง ทำงาน สายการบิน ๓ คน เป็นพี่สาว,พี่ชายและน้องสาว เขาก็ไปซื้อเสื้อผ้า เมืองนอก มาให้เราใช้ เราก็ติด กางเกง ก็ต้องลีวายส์ ที่มียี่ห้อ เสื้อก็ต้องมียี่ห้อ เป็นคนที่ติดยี่ห้อเสื้อผ้า แต่พอมาปฏิบัติอย่าง ชาวอโศก เขาบอกว่า ให้ใส่แบบ เรียบง่าย เราก็เลยมาใส่ม่อฮ่อม ก็มีคนซื้อมาให้ ไม่ต้องซื้อเอง สรุปว่า ค่าใช้จ่ายส่วนตัว แทบจะไม่มี อาหารก็ฟรี ที่พักก็มีให้ เสื้อผ้าก็ไม่ต้องไปซื้อแล้ว ตอนนั้นก็ปฏิบัติ เคร่งเหมือนกันนะ ชาวอโศกพาปฏิบัติถือศีล ๕ เราก็ถือ พาปฏิบัติถือศีล ๘ เราก็ถือ ช่วงอยู่ Union oil ฝึกกินมื้อเดียวด้วย

งานที่เรารับผิดชอบ ต้องดูขบวนการผลิตทั้งหมดว่ามันถูกต้องตามเกณฑ์ที่เขากำหนดหรือเปล่า ทั้งที่ใช้ คอมพิวเตอร์ควบคุม แต่ว่าเราจะต้องลงล็อคลงเวลา มีหน้าที่นั่งเฝ้าเครื่องให้เขา แท่นผลิตแก๊ส เขาลงทุนเป็นหมื่นๆ ล้าน กว่าจะเอาแก๊สขึ้นมาจากหลุมแก๊สได้ มันต้องมาผ่าน ขบวนการ เยอะเหมือนกัน ทั้งแท่นมีคนเฝ้าอยู่แค่คนเดียว อยู่ข้างนอก เราก็ใหญ่เหมือนกันนะ ใหญ่ที่สุดในแท่น เพราะว่าไม่มีคนอื่นแล้ว ติดความใหญ่ มาเรื่อย ทำงานที่ไหน ก็จะต้องทำ บริษัทใหญ่ๆ ได้เงินเยอะๆ ติดทั้งความใหญ่ ทั้งความสะดวกสบาย

ตั้งแต่จำความได้ ชีวิตเกิดมาในยุคที่เขาเรียกว่าชีวิตกดปุ่ม อากาศร้อนกดปุ่มหน่อย เดี๋ยวมันก็เย็น มีแอร์คอนดิชั่นให้เรา ถ้าอากาศมันหนาว เราก็กดปุ่มหน่อย มีฮีตเตอร์ เครื่องทำความร้อนให้เรา หรือถ้าเราอยากจะดูทีวี ก็กดปุ่มรีโมท เดี๋ยวภาพ มันก็ขึ้นมาที่จอ ถ้าเราอยากจะต้มน้ำ ก็กดปุ่มนิดหนึ่ง มันก็อุ่นแล้ว รู้สึกว่าทุกอย่าง ชีวิตมันกดปุ่มหมด สะดวกสบายไปทุกอย่าง ก็เลยติดความสะดวกสบาย


*** ฝึกชีวิตเรียบง่าย...แต่กิเลสไม่ง่ายอย่างที่คิด
ทีนี้พอมาคบกับชาวอโศก เขาบอกว่าให้มาทำชีวิตให้เรียบง่าย อยู่อย่างง่ายๆ ไม่ต้องไปพึ่งพา เครื่องเครา อะไรมากมาย ก็อยากจะใช้ชีวิตที่ไม่ต้องไป ประคบประหงม อะไรมาก มาพิจารณา ตัวเราเองแล้ว มันยังเยอะแยะไปหมด ทั้งไอ้โน่น ไอ้นี่ก็เป็นของเรา ปรากฏว่าอโศก เขามีแต่มาลด มาละ มาเลิก แต่เราก็ยัง ไม่ลดเท่าไหร่ เห็นคนอโศกเขาฝึกได้ ก็อนุโมทนากับเขา

คราวนี้พอเราเริ่มฝึกเข้าจริงๆ เริ่มกินมื้อเดียว เริ่มเอาจริง มันก็เบา ง่าย ไม่ต้องไป อะไรมาก ก็เลยลา ออกจากบริษัท Union oil หลังจากที่ทำอยู่ ๒ ปี เขาก็งงกันใหญ่ ที่บ้านก็สงสัย ก็เลยบอกว่าจะมาบวช กับชาวอโศก ศรัทธาพ่อท่าน ศรัทธา ชาวอโศกมาก ศรัทธาวัตรปฏิบัติ ของชาวอโศก ก็เลยมาบวชได้ ๑ ปี คือ ชาวอโศก เขาไม่ให้บวชกันง่ายๆ ก่อนบวช ต้องปฏิบัติ ตามขั้นตอนอยู่ ๑ ปี เป็นนักปฏิบัติธรรม เรียกว่า ปะ, เป็นนาค, เป็นสามเณร แล้วจึงมีสิทธิ์ ขึ้นโหวตเลื่อนเป็นพระได้ ใช้เวลาขั้นตอนนี้อยู่ ๑ ปี รวมเป็น ๒ ปี ก็รู้สึกว่า ทำไมกิเลสเรา ยังเยอะอยู่เลย ไอ้โน่น ก็อยากได้ ไอ้นี่ก็อยากได้ ก็เลยโอ๊..หนีดีกว่า ออกจากกลุ่มอโศก ไปอยู่อเมริกาเลย

ตอนนั้นเราคิดว่าเราแน่แล้ว โอ้โห...เราปฏิบัตินี่เคร่งแล้วนะนี่ ศีลเราก็บริสุทธิ์ แต่ว่าเอ๊... พออยู่ไปๆ รู้สึกว่า ไอ้นี่ก็อร่อย ไอ้นั่นก็อร่อย เลยไม่เอาดีกว่า ออกไป หาเงินดีกว่า คือตัวเองมีกิเลสอยู่อย่างหนึ่ง ชอบพวก ที่มีล้อทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น จักรยาน สเก็ต มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ มันฝังใจมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะว่า ตอนสมัย เรียนช่างกล (ปวส.) น้าสาวเขาให้รถมาใช้คันหนึ่ง ก็เป็นคนแรกในบ้าน ที่มีรถ ขับไปเรียนหนังสือ ขับไปขับมา มันชักไม่มัน ก็เอาไปขาย ไปซื้อมอเตอร์ไซค์ ๕๐๐ ซีซีมาคันนึง สมัยเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว ไม่มีใครมี สมัยนั้นมอเตอร์ไซค์แค่ ๘๐ ซีซี ๑๐๐ ซีซีอย่างมาก เราไปซื้อมอเตอร์ไซค์ รุ่นเก่า สมัยสงครามโลกมาขับ ขี่ไปดังสนั่น ไปทั้งซอยนะ คนบอกไอ้หมอนี่มาอีกแล้ว

สเก็ตนี่ก็เล่นมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะว่าคุณพ่อเคยทำงานสถานทูตฝรั่งเศส ถึงวันคริสต์มาสที เขาก็เชิญ ไปทั้งครอบครัวไปกินเลี้ยงที่สถานทูต มีจับฉลาก เราก็จับได้สเก็ตมา อายุประมาณ ๑๐ กว่าขวบ ชอบเล่นมาก เช้าก็เล่น เย็นก็เล่น ไปๆ มาๆ เลยใส่นอนเลย ตื่นมาจะได้ไม่ต้องใส่ เล่นได้เลย มันติด ติดพวกมีล้อทั้งหลาย แล้วไม่ได้แก้ เขาเปิดลานสเก็ตตรงไหน เราก็ไปตรงนั้น ก็เข้าฟรี เพราะพี่ชาย เป็นนักดนตรี เล่นอยู่ข้างใน เราก็เข้าไปช่วยขนเครื่องให้เขาบ้าง เป็นหน้าม้าให้บ้าง

ใช้ชีวิตอย่างนี้มา พวกกามคุณ ๕ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เราเสพมาหมด พอมาเจออโศก เขาบอก ให้มาลดกิเลส มาลดอบายมุข อบายมุขเราก็ไม่ได้ติด กามคุณ ๕ เราติดเยอะ พอมาบวชเข้า เราไม่ได้ล้าง กิเลสมันนอนเนื่อง ก็เลยชักขึ้น เลยออกไป หาเงินใหม่ กลับไปเมืองนอก


*** สังสารวัฏของวัตถุนิยม หาเงิน-เงินใช้
พอกลับไปคราวนี้ทำงานแหลก ก็ไม่ได้ไปเรียนแล้วนี่ ทั้งเปิดอู่ซ่อมรถ เปิดร้านอาหาร ช่วงเปิด ร้านอาหาร ก็ไม่ได้ทิ้งการปฏิบัติแบบชาวอโศก ยังปฏิบัติอยู่ เปิดร้านอาหาร มังสวิรัติ และเป็นร้าน อาหารไทย ที่ขายอาหารมังสวิรัติอย่างเดียว เป็นแห่งแรก ในอเมริกา ขายดีนะ มีแต่ฝรั่งมากิน แต่คนไทย ไม่ค่อยมา

เปิดได้ไม่นานก็มีหนังสือพิมพ์ฝรั่ง LA WEEKLY มาเขียนเชียร์ให้ เราไม่ได้ไปจ้าง เขามากิน ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ เป็นอย่างพวกแม่ช้อยนางรำ ไปตระเวน กินตรงโน้นตรงนี้ แล้วก็มาเขียน ลูกค้าเอามาให้ดู บอกว่า ร้านลงหนังสือพิมพ์ด้วย เขาตัดมาให้ดู ก็อัดกรอบ เก็บไว้เลย หลังจากหนังสือพิมพ์เขียนให้ คราวนี้ โอ้โห ขายดี ทำกันไม่ทัน เมื่อยไปหมด ไม่ค่อยได้พัก เพราะว่าไม่ได้จ้างใคร ทำกันอยู่แค่ ๒ คนกับ แม่บ้าน เขาเป็นคน ปรุงอาหาร เราเป็นคนรับแขก ทำทุกอย่างในร้าน ทั้งล้าง ทั้งเก็บ ล้างจาน ขัดส้วม ทำหมดเลย ในร้านอาหาร ทำได้ ๒ ปีก็เลิก เหนื่อย ทำไม่ไหว ขายดีมาก ไม่ได้พัก ไม่ได้ผ่อนเลย ตัวเหลือ แทบเรียกว่าไม้เสียบผีเลยมั้ง รายได้ดีประมาณ เดือนละ ๖,๐๐๐ เหรียญ ทำอยู่ ๒ ปี ทำไม่ไหว เหนื่อยเหลือเกิน เลยขายกิจการ ก็มาทำ อู่ซ่อมรถต่ออีก ๘ ปี ลุยงานเยอะก็มีรายได้เยอะ ตอนที่เปิดอู่ มีรายได้ เฉลี่ยแล้ว ๘,๐๐๐ เหรียญต่อเดือน มันขึ้นๆ ลงอยู่ตรงนี้ (ค่าเงินบาทตอนนั้น เหรียญละ ๒๕ บาท) คิดเป็นเงินไทย ก็ได้ประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาทต่อเดือน ต่อมาทำไม่ไหว ก็ปิด ขายกิจการ ตอนนั้นมีเงินเยอะ ก็ซื้อรถแหลกเลย ชอบอยู่แล้ว มันเป็นกิเลสของเรา อย่างหนึ่ง

ที่ออกไปจากอโศกก็เพราะว่า อยากไปหาเงินซื้อรถ อยากขับรถ ซื้อแล้วก็เปลี่ยนๆ ๆ อยู่นั่นแหละ เปลี่ยนรถไปทั้งหมด ๔๕ คันในเวลา ๑๘ ปีที่อยู่อเมริกา เคยจดเอาไว้ คือพอซื้อแล้ว ไม่ชอบใจ ไปเปลี่ยนมัน คือเครดิตเราดี ซื้อแล้วไม่ต้องจ่ายเงินสด ไม่ต้องดาวน์ด้วย เอารถออกมาเลย เรามีร้านอาหาร ซื้อเงินผ่อน ผ่อนไปสัก สองสามเดือน ก็เอาไปเปลี่ยน ก็เลยเปลี่ยนทั้งรถเปลี่ยนทั้ง มอเตอร์ไซค์ มอเตอร์ไซค์ ก็เปลี่ยน ประมาณสิบคันได้มั้ง ไม่ได้มีทีเดียวสิบคัน แต่เปลี่ยนทีละคัน

พอออกไปอยู่อย่างนั้น มันก็ไปหลงอยู่กับวัตถุนิยม แต่ขณะเดียวกัน ธรรมะของชาวอโศก ก็ยังอ่านอยู่นะ ขณะที่เราเอง ปฏิบัติตัวตรงกันข้าม ไปๆ มาๆ ก็ปฏิบัติ หย่อนลงไปเยอะ ยังกินมังสวิรัติ อบายมุข ก็ไม่ได้เล่น ทำงานอย่างเดียว

ตอนหลังนี่เป็นลูกจ้างที่บริษัทรถเช่า ก็มีรายได้คิดเป็นเงินไทยประมาณ แสนกว่าบาท หลังสุด น้องสาว ที่เป็นแอร์โฮสเตส เขาโทร.ไปบอกว่า คุณพ่อป่วยหนักแล้วนะ เป็นอัมพาต ก็เลยกลับมาดูคุณพ่อได้ ๕-๖ เดือน ก็กลับไปอเมริกาใหม่ แล้วก็จ้างเด็กดู เพราะตอนนั้น เราก็มีเงินมีทองใช้เยอะ ติดเรื่อง ความสะดวกสบาย ไม่ชอบอยู่เมืองไทย เพราะว่ายุงก็เยอะ แมลงสาบก็เยอะ บ้านเมืองก็สกปรก ไม่มีระเบียบวินัย คิดของเราอย่างนี้ อยากมาดูคุณพ่อสักหน่อย แล้วเราก็กลับ ไปอยู่เมืองนอกใหม่


*** เพียรฝึก "ใจคม" หัดตัดใจให้เก่งขึ้น
คราวนี้น้องสาวบอกอีกทีว่าคุณพ่ออาการหนักแล้วนะ ก็เลยบินกลับมาเลย ก็อยู่ยาวมาถึงบัดนี้

สรุปแล้วไปอยู่อเมริกา ๑๘ ปี ก็ไปๆกลับๆ ทั้งหมด ๕ ครั้ง ครั้งหลังสุดกลับมานี่ ยังไม่ได้กลับไปเลย จะได้สามปีอยู่แล้ว แต่ว่าใจเรายังไม่ได้ล้างคือ ติดความสบาย กามคุณ ๕ โลกธรรม ๘ ลาภ ยศ สรรเสริญ เราหาเงินได้เยอะ ใครอยากได้อะไร เราก็ซื้อให้เขาหมด คนเขาบอกโอ้โฮ...เก่งนะ ดีนะ เราก็ไปหลง ตรงคำชมตรงนี้ เลยไม่ได้ล้างสักที พวกกิเลสโลกธรรมทั้งหลายนี่ หาเงินเก่งจริงๆ ใครอยากจะได้ ตู้เย็นใหม่ก็ซื้อให้ หมายถึงญาติพี่น้องนะ เขาอยากจะได้รถใหม่ เราก็ซื้อให้เขา รู้สึกว่า ได้หน้ามาเยอะ ถ้าเรามาศึกษาธรรมะของชาวอโศกแล้ว เขาบอกให้มาลดโลกธรรม ลดกามคุณ ๕ เอ๊ะ..เราไม่เห็นลดสักที

พอมาอยู่ดูแลคุณพ่อก็เลยมาปฏิบัติ มาช่วยงานที่ชมรมมังสวิรัติหน้าสันติอโศก ช่วงที่มาดูคุณพ่อ ก็มาช่วยล้างจาน ช่วยทำทุกอย่าง (เคยทำที่ USA) ทั้งเทขยะ กวาดพื้น ถูพื้น ขัดส้วม ล้างส้วม ทำอยู่ที่ ร้านอาหารชมรมมังสวิรัติหน้าสันติฯ ทำจนกระทั่ง เขาเลือกตั้ง กรรมการชุดใหม่ เขาก็เลือกให้เราเป็น ผู้รับใช้ (ประธาน) ร้านชมรมมังสวิรัติฯ ก็ต้องรับผิดชอ บมากขึ้น ดูแลทั้งเรื่องคน ข้าวของ ก็เลยปรับปรุง ร้านใหม่ ให้สะอาดน่าดู

เมื่อก่อนที่นี่ต้องคอยตักอาหารให้ลูกค้า ก็เปลี่ยนเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ คนที่ทำอยู่เก่าๆ ยังไม่ค่อยเห็นด้วย กลัวว่า ให้ลูกค้าตักอาหารเอง เดี๋ยวก็ตักกันไปหมด ก็เจ๊งกันพอดี ที่จริงเขาก็เจตนาดี ที่เขาค้าน เพราะกลัวว่ารายได้ที่จุนเจือกิจกรรมของวัดจะลดลง ให้เปลี่ยนเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ ปรากฏว่า คนเห็นด้วย มีคนเดียว อีกสิบเก้าคนไม่เห็นด้วย คือ โหวตออกมา ก็สิบเก้าต่อหนึ่ง เราก็พักไว้ก่อน ยังไม่เปลี่ยนแล้วกัน รอเวลา เราก็ทำของเราไปเรื่อยๆ

ตอนหลัง เราก็เสนอให้ทีมงานลองใช้แบบบุฟเฟ่ต์เฉพาะวันอาทิตย์ ทำอยู่เดือนหนึ่ง ให้ลูกค้า ตักอาหารเอง แบบบุฟเฟ่ต์ ไปๆ มาๆเอ๊ะ..มันดีนะ ไม่ต้องไปเปลือง แรงงานคนตั้งเยอะ เพราะเรามี ปัญหาเรื่องแรงงานคนไม่ค่อยพอใช้ ปรากฏว่าดี ลูกค้าก็ไม่เห็นจะตักเยอะ ก็มีเหมือนกันที่ตักเยอะๆ ก็มีไม่กี่คนเอง มีเป็นเปอร์เซ็นต์ น้อยมาก บ้างก็กลัวว่า เดี๋ยวเขาตักไป กินทิ้งกินขว้าง ตักไปเหลือเบะบะ เดี๋ยวก็ต้อง ทิ้งอาหาร ปรากฏว่า เขาก็กินหมดจาน เกือบทั้งนั้น มีส่วนน้อย ที่อาหารเหลือทิ้ง ทุกวันนี้ อาหารเหลือทิ้ง น้อยมากเลย ตอนนี้ก็ลงตัวดี

*** บุญนิยมระดับ ๔ แจกอาหารฟรี
เรื่องแจกฟรี ทำกันมานานแล้ว สมัยก่อนที่เปิดร้านชมรมมังสวิรัติใหม่ๆ แจกกล้วยน้ำว้า แจกผักสด ผักจิ้ม และยังมีประเพณีของชาวอโศก ตั้งโรงบุญมังสวิรัติ แจกอาหาร มังสวิรัติฟรี ในวันที่ ๕ ธันวา วันเฉลิมพระชนมพรรษาของในหลวง ซึ่งทำมายาวนานแล้ว ตั้งแต่เปิดใหม่ๆ จนบัดนี้ยี่สิบกว่าปีแล้ว

ตอนนี้ร้านชมรมมังสวิรัติสันติอโศก มีคนมาร่วมบุญ คือเหมาอาหารแล้วแจกฟรี บางทีเดือนหนึ่ง หลายครั้ง เป็นสิบครั้งก็เคยมี เดือนพฤษภาถี่มากเลย ลูกค้าข้างนอก มาเหมาแจกเยอะมาก บางที เหมาเฉพาะแผนก คนชักเริ่มเข้าใจแล้ว อาทิตย์หน้า (๒๓-๓๐ พ.ค.) มีแจกฟรีทุกวัน แจกบางแผนก ไม่ได้เหมาทั้งร้าน เช่น เหมาแผนก ก๋วยเตี๋ยวบ้าง แผนกสลัดบ้าง แผนกข้าวแกงบ้าง มีแจกฟรีทุกวัน อย่างน้อย หนึ่งรายการ

การแจกฟรีนี้เป็นระบบบุญนิยมที่พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ จะให้เป็นวัฒนธรรม ชาวบุญนิยม คือ บุญนิยมมี ๔ ระดับ คือ ๑.ขายต่ำกว่าท้องตลาด ๒.ขายเท่าทุน ๓.ขายต่ำกว่าทุน ๔.แจกฟรี ในทางปฏิบัติ เราก็ทำได้ด้วย ไม่ใช่เป็นแค่ทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติทำไม่ได้

ร้านชมรมมังสวิรัติฯใช้ระบบบุญนิยมทั้ง ๔ ระดับ คือ ขายต่ำกว่าท้องตลาด, ขายเท่าทุน, ขายต่ำ กว่าทุน และแจกฟรี ตอนนี้ก็พัฒนาเชิญชวนให้ลูกค้า ช่วยกันล้างจานเอง เราถือว่าการมาช่วยเผยแพร่ อาหารมังสวิรัติเป็นบุญ ใครอยาก ฝึกเสียสละงานบุญ ก็มาช่วยล้างจานด้วยก็ได้ เดิมที ใครจะมาช่วย หั่นผัก ช่วยทำอาหาร ช่วยงานต่างๆ ในร้าน ซึ่งมีตั้งหลายอย่าง แต่ตอนนี้ถึงขั้นมีลูกค้า มาช่วย ล้างจาน บ้างพอสมควรแล้ว เป็นลูกค้าทั่วๆ ไปไม่ใช่เป็นญาติธรรมนะ ถือว่าเป็นความก้าวหน้า ของระบบบุญนิยม คนเริ่มเห็นบุญ แล้วอยากจะมาร่วมบุญ ก็เลยมาช่วยล้างจาน


*** วิถีชีวิตคนบุญนิยม
กิจวัตรส่วนตัว ตอนนี้ก็ตื่นตีสองทุกวัน ตื่นนอนอย่างนี้มาได้เกือบจะสามปีแล้วมั้ง พอทำธุระส่วนตัว เสร็จ ก็มาที่ร้านเริ่มทำน้ำเต้าหู้ก่อน เสร็จแล้วก็ไปเปิดร้าน เอาโต๊ะ เอาเก้าอี้ ออกไปตั้ง เอาช้อนส้อม ไปเรียง เช็ดโต๊ะเตรียมถาดใส่อาหาร เตรียมน้ำไว้ในอ่าง ให้สำหรับ คนที่จะมาช่วยล้าง ช่วยหั่นผัก ล้างผัก แล้วแต่ ก็ทำทุกอย่าง ตั้งแต่ตี ๒ ทำไปเรื่อย แล้วหยุดกินอาหารมื้อแรก ประมาณสิบ ถึง สิบเอ็ดโมง ก็ทำงานอยู่ในร้านต่อ ส่วนใหญ่ ก็ช่วยเรื่องเก็บล้างทั้งหลาย ภาชนะใหญ่ๆ หม้อ กระทะ ก็ล้างหมด ทำความสะอาดชั้นต่างๆ สมัยก่อนเรียกว่าเก็บหาง สมัยนี้เรียกว่า เก็บบุญ มีตรงไหน ให้เก็บล้าง เราก็ไปเก็บล้างหมด ส่วนใหญ่ ทำงานเก็บบุญเป็นหลัก ก็ทำไปจนถึงเย็น

ร้านเปิดหกโมงเช้าปิดบ่ายสอง ร้านปิดแล้วไม่มีลูกค้า แต่เราก็เก็บล้างไปเรื่อย จนถึงเย็น บางวัน ก็อยู่ถึง ทุ่มสองทุ่ม บางวันมีงานศพเขาเหมาอาหารไปเลี้ยงที่งานศพ กลับมา ก็มายืนล้างต่อ เดี๋ยวตอนเช้า ไม่มีหม้อใช้หุงข้าว บางวันกลับมาถึงร้านสี่ทุ่ม ยืนล้างเสร็จห้าทุ่ม ตีสองตื่น บางที นอนสองสามชั่วโมง แต่ไม่ค่อยมีบ่อยนัก นานๆ มีที แต่ว่าถ้าไม่มีอะไร ก็เสร็จประมาณทุ่มกว่าๆ สองทุ่ม ก็ไปนอนแล้ว นี่คือกิจวัตร เข้านอนสองทุ่มครึ่ง อย่างมาก ตื่นตีสอง บางครั้งก็นอนที่วัด โดยไปนอนที่ พระวิหารบ้าง บางทีก็นอนในรถ

สมัยอยู่เมืองนอกก็เคยนอนในรถ เรียกว่าโมบิลโฮม เป็นรถบ้าน มีห้องน้ำ ห้องนอน ห้องครัว ห้องรับแขก อยู่ในรถ พอมาอยู่เมืองไทย ตอนหลังซื้อรถปิคอัพคันหนึ่ง ต่อตู้ข้างหลัง เป็นตู้โดยสาร ให้รับคนได้เยอะๆ บางทีก็นอนในตู้โดยสารนั่นแหละ

ช่วงนี้ก็ต้องกลับไปนอนที่บ้านบ้าง เพราะพี่น้องคนอื่นๆ ไม่ค่อยว่าง ไม่มีใคร ช่วยดูแล เรื่องอาหาร ให้คุณแม่ ตั้งแต่คุณพ่อป่วย จนกระทั่งเสีย ก็ยังไม่ได้กลับไป อเมริกาอีก ใจอยากจะกลับเหมือนกัน อยากจะกลับไปหาเงินอีก เพราะว่า ยังล้างกิเลสไม่หมด ทั้งๆ ที่ศึกษา ธรรมะชาวอโศก บอกให้ลดละ สิ่งที่ฟุ่มเฟือย เกินความจำเป็น ของชีวิต แต่เราก็ยัง อยากอยู่นั่นแหละ กลัวว่าต้องกลับไปอีก แต่อีกใจ ก็อยากจะอยู่กับชาวอโศกนานๆ ก็ไปตั้งสัจจะ กับพ่อท่านว่า จะไม่ไปรับใช้นายทุน จะอยู่ช่วยงาน ที่อโศกสามปี นี่ก็จะครบอยู่แล้ว

อยากจะฝึกให้ตัวเองเข้มแข็ง จะเอาชนะกิเลสให้ได้ เพราะรู้สึกว่าเรายังมีกิเลสเยอะ อยากนู่น อยากนี่ เรื่อยเลย


*** เอาตัวมาทำงานบุญ บุญมากกว่า
มีอยู่วันหนึ่งเข้าไปคุยกับพ่อท่าน พ่อท่านบอกว่า คุณไปหาเงินเอาเงินมาทำบุญ คุณไปเอาเปรียบ สังคมมาตั้งเยอะ อย่างนั้นมันไม่ได้บุญเท่ากับคุณเอาตัวมาทำงาน เอ๊...เราก็ฟังมาตั้งหลายทีแล้ว แต่ไม่ได้ปฏิบัติเอาจริงสักที ไม่ได้พรากไม้ที่ชุ่มด้วยยาง ออกจากน้ำก่อน แล้วมาตากแดดให้แห้ง จึงจะจุดไฟติด เกิดแสงสว่างทางปัญญา

ช่วงนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่จะได้ฝึกพรากจากสิ่งที่เคยติด เคยยึดทางวัตถุนิยม มาฝึกกินน้อย ใช้น้อย แต่ทำงานให้หนัก โดยไม่ต้องมีเงินเดือนดูซิว่า กิเลสจะดิ้น ออกมาให้เห็นอีก สักแค่ไหน? แต่เท่าที่ ผ่านมา ก็ยังไหวอยู่ครับ ตั้งใจว่า ไม่ว่าจะต้อง เจออุปสรรค อีกมากน้อยแค่ไหน หรือว่าจะต้องเจอ วิบากกรรมอะไรอีกก็ตาม ก็จะยิ้มสู้ แม้กระทั่ง จะต้องตาย ก็อยากจะนอนตายด้วยใบหน้าที่ยังยิ้มอยู่

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๗ มิถุนายน ๒๕๔๗ -