ใครคือชาวพุทธไทยร่วมสมัย (ตอน ๔)
* มุทิตาสักการะในโอกาสที่พระราชมงคลวุฒาจารย์มีชนมายุครบ ๗ รอบนักษัตร ๑๐ มกราคม ๒๕๔๕
* ส.ศิวรักษ์

คุณธรรมของคนรุ่นบิดาข้าพเจ้า ซึ่งเป็นชนชั้นกลางอย่างใหม่ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับระบบทุนนิยม อย่างใหม่ ซึ่งแพร่ขยายขึ้นในกรุงสยามพร้อมๆ กับระบบการศึกษา อย่างใหม่ เป็นเหตุให้คนรุ่นนี้ รับราชการ (ข้าพเจ้ามีลุง ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับบิดา รับราชการเป็นคุณหลวง ๒ คน ลุงเขยเป็น คุณหลวงคนหนึ่ง) โดยที่ก่อนหน้านี้ ข้าราชการมีจำกัดอยู่ในสกุลวงศ์ ของพวกชนชั้นเก่า ไม่กี่สกุล เอาเลยก็ว่าได้ ยิ่งการที่คนธรรมดาๆ ได้เป็นเสมียนห้างจนขึ้นถึงตำแหน่งสูงสุดในวิชาชีพนั้นๆ ก็เป็นของใหม่อย่างแท้ทีเดียวในรัชกาลที่ ๕ โดยที่คนพวกนี้ มักเป็นลูกจีน มากกว่าอะไรอื่น

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเริ่มแต่คนรุ่นบิดาข้าพเจ้ามาแล้ว ที่พุทธศาสนา แทบไม่มีอิทธิพล เอาเลย ถ้าบิดา ข้าพเจ้ามีคุณธรรมอยู่บ้าง ดูท่านจะได้มาจาก บิดามารดา และญาติๆ ที่ท่านเห็นคุณค่า ว่าเป็น สัมมาจารี ยิ่งกว่าจะได้แบบอย่าง มาจากวัด (ดังบิดาข้าพเจ้า มักเปรยขึ้นอยู่เนืองๆ ว่า พระเป็นพวกที่ บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ) นอกจากนี้ ท่านก็ได้จากครูบาอาจารย์ที่โรงเรียน แม้จะเป็นคน ต่างศาสนากัน ท่านนั้นๆ ก็อุทิศตนเพื่อศิษย์ ทำงานอย่างปิดทองหลังพระ มีชีวิตอันสมถะและ เรียบง่าย โดยที่ศาสนาของครูอาจารย์ฝรั่งเหล่านี้ ไม่เป็นที่ที่คนรุ่นบิดาข้าพเจ้า จะรับได้เอาเลย แม้จะถูกสอน ให้รู้เรื่องศาสนาคริสต์มา มิใช่น้อยก็ตามที

คุณธรรมแบบจีนที่ติดมากับปู่ เมื่อมาถึงสมัยบิดาข้าพเจ้าได้ลดน้อยถอยลง จนบิดาข้าพเจ้า รับการเซ่นไหว้ ไม่ได้เอาเลย ยิ่งลุงใหญ่ เน้นในเรื่องพิธีกรรม ตามแบบจีน โดยเคร่งครัด ในการไหว้ก๋ง ด้วยแล้ว บิดาข้าพเจ้าเห็นว่า เป็นเรื่องเหลวไหล อย่างหน้าไหว้หลังหลอกเอาเลย เพราะเมื่อก๋ง ยังมีชีวิตอยู่ ลุงใหญ่ทำให้ก๋งช้ำใจอยู่เนืองๆ ไม่เอาใจดูหูใส่ท่าน ทั้งยังทำลายทรัพย์ของท่านอีกด้วย เมื่อท่านตายแล้ว บิดาเห็นว่าไปเซ่นไหว้ท่านทำไมกัน บิดาหาว่าลุงใหญ่ ต้องการ เอาการเซ่นไหว้ บังหน้า เพื่อกินเหล้าเลี้ยงกัน แล้วเล่นการพนันกันเท่านั้นเอง โดยที่บิดาข้าพเจ้า กับลุงคนกลาง ไม่ยอมดื่ม สุราเมรัย แม้ทั้งสองท่านนี้ จะเล่นไพ่ตองกันบ้าง ก็กับญาติๆ โดยไม่ได้ติดการพนัน

พูดกันอย่างตรงไปตรงมาก็ได้ว่าคนรุ่นบิดาข้าพเจ้า ตราบจนรุ่นนายป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นพวกคน รุ่นใหม่ ที่กินบุญเก่า ซึ่งได้รับจากบิดาและบรรพชน ซึ่งแม้จะมาจาก เมืองจีน ก็เป็นคนที่ขยัน หมั่นเพียร และอดทน ทั้งยังอดออม อย่างไม่สุรุ่ยสุร่าย ก๋งข้าพเจ้านั้นถือได้ว่าเป็นตัวอย่างในทางนี้ จนคนจีน ร่วมสมัยในเมืองไทย ยกย่องท่าน แม้ท่านจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็เป็นบุคคลที่ทุกคนเห็นว่า ท่านเป็น ตัวอย่างได้ ทั้งๆ ที่ภรรยาตายไปแต่ท่านยังอยู่ในมัชฌิมวัย ก็ไม่มีภรรยาใหม่ หากตั้งใจ เลี้ยงลูก ให้ได้ดี แทบทุกคนเอาเลยก็ว่าได้ ทั้งก๋งยังไม่ติดในจารีตจีน ที่ต้องให้ฝังศพ หรือส่งศพ ไปเมืองจีน หากสั่ง ให้เผา แล้วเอากระดูกบรรจุอยู่ในพระเจดีย์เดียวกับย่า ที่วัดราชสิงขร

ข้างย่าและคนไทยรุ่นนั้น ก็ได้คุณธรรมแบบพุทธที่เนื้อหาสาระพร้อมๆ กับรูปแบบ ในการทำบุญ ให้ทาน และมั่นในศีล ๕ พูดจาให้เป็นที่เชื่อถือได้ ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย เว้นอบายมุขต่างๆ บางกาล เวลาอาจนิมนต์พระมาเทศน์ที่บ้านบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้ธรรมะ ลึกซึ้ง อะไรนัก แม้กระนั้นท่านก็มีอิทธิพล ให้ลูกๆ ได้เข้าถึงคีหิวินัย พอสมควร โดยที่พระกับวัด มีบทบาททางด้านนี้ น้อยลงกว่าเดิมเสียแล้ว

คนอย่างนายป๋วย อี๊งภากรณ์ ได้รับคุณค่า แห่งการดำรงชีวิตมาจากบ้าน และโรงเรียน ยิ่งกว่า จากวัด และพระ หากท่านชอบอ่านหนังสือธรรมะ แล้วนำไปประพฤติปฏิบัติ ในหลายข้อ กระทงความ ท่านจึง เป็นคนดีที่เป็นแบบอย่าง ให้สาธุชนได้ คล้ายๆ นายดิเรก ชัยนาม ซึ่งรุ่นเดียวกับบิดาข้าพเจ้า แต่ผิดไป จากนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งแก่กว่าบิดาข้าพเจ้า เพียงเล็กน้อย เพราะนี่ท่านเป็นชาวชนบท ที่ยังใกล้ชิด กับวัด และพระมากกว่าคนในเมืองกรุง แม้ท่านจะได้รับ การศึกษาอย่างใหม่ จนได้ไปเมืองนอก เป็นนาน แต่ท่านชอบพอกับพระมาก ทั้งรุ่นเก่า และรุ่นใหม่ โดยที่ท่าน เห็นคุณวิเศษ ของท่านอาจารย์พุทธทาส มาแต่เมื่อยังเป็น พระมหาเงื่อม อินทปัญโญ ในสมัยเมื่อท่านเป็น ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในรัชกาลที่ ๘ นั้นแล้ว และ คงไม่มีผู้สำเร็จ ราชการคนใดไปฟังธรรมจากพระบ้านนอก ซึ่งแสดง ณ พุทธสมาคม แห่งประเทศไทย โดยที่ พุทธสมาคมก็ดี ยุวพุทธิกสมาคมก็ดี ล้วนเป็นสถาบัน ที่คนรุ่นใหม่ ต้องการให้รับใช้ พระพุทธศาสนานอกเหนือวัดออกไป แต่ก็ดูจะได้ผล น้อยเกินกว่าคาด ดังโรงเรียน พุทธศาสนา วันอาทิตย์ ที่เราเอาอย่าง ฝรั่งคริสต์เขามา เราก็ยังไม่เคยประเมินผลกันอย่างจริงจัง เอาเลยว่า ได้ผลมากน้อย และ/หรือ ลึกซึ้งเพียงใด ทั้งนี้รวมถึงการจัดมหาวิทยาลัยสงฆ์ ด้วยเช่นกัน

- อ่านต่อฉบับหน้า -

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๗ มิถุนายน ๒๕๔๗ -