จำลอง ศรีเมือง


บ้านป่ายามนี้นอกจากจะสดชื่นด้วย สีเขียวสดของต้นไม้ใบหญ้าแล้ว ยัง มีชีวิต อย่างต่อเนื่อง ผู้คนแวะเวียนไปรับการฝึกอบรมอย่างคึกคัก คณะที่เดินทางไกลที่สุด คือ คณะหัวหน้า ส่วนราชการ จังหวัดพัทลุง ซึ่งท่านผู้ว่าฯ พัทลุงริเริ่มเอง และสนับสนุน เต็มที่ เพราะเห็นว่า จะเป็นประโยชน์แก่การบริหารของจังหวัด

จังหวัดตรังก็ไม่น้อยหน้า ท่านผู้ว่าฯ จองจะส่งหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดไปเรียนที่ โรงเรียนผู้นำ ล่วงหน้าเป็นเดือน เผอิญฝนตกหนักต้องขอยกเลิกกะทันหัน เลื่อนไป คราวหน้า

กรมพัฒนาที่ดินที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม หมอดิน เดือนกรฎาคมไปโรงเรียนผู้นำถึง ๒ รุ่น ศาลปกครอง หน่วยงานใหม่ ส่งผู้บริหารเข้าโรงเรียนผู้นำแล้วหลายรุ่น ขออีกรุ่นหนึ่ง ร่วมกับ โรงพยาบาล ด่านขุนทด และโรงพยาบาลเวชธานี

แต่ละรุ่นนั้น ผมต้องมีภาระอย่างน้อยในวันที่ ๓ และวันที่ ๔ ของการฝึกอบรม ซึ่งต้องใช้ พละกำลัง เป็นอย่างมาก วันที่ ๓ ปีนเขาค่อนข้างชัน วันที่ ๔ กิจกรรม ปีนเขาเข้าถ้ำ เน้นย้ำอุดมการณ์ ปีนเขาไปตั้งไกลกว่าจะไปถึงถ้ำ

นอกจากมีงานประจำที่โรงเรียนผู้นำแล้ว ผมยังหาเรื่องดังที่ท่านผู้อ่านเราคิดอะไร ทราบแล้ว คือ การเสนอผู้ที่สมควรจะสมัคร ผู้ว่า กทม. ซึ่งสื่อมวลชนทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และ หนังสือพิมพ์ ให้ความสนใจมาก ถูกสัมภาษณ์หลายรายการ ผมไปออกรายการ ถึงลูก- ถึงคน ทางช่อง ๙ ของคุณสรยุทธ กลับถึงโรงเรียนผู้นำตีสาม พอตีสี่ครึ่ง ต้องตื่นแล้ว เพื่อเตรียมพา ผู้เข้ารับ การฝึกอบรมปีนเขาเข้าถ้ำ

คนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิด หาว่าผมชักศึกเข้าบ้าน ชอบเอาเรื่องการเมืองไปกวนพระ หลังจาก ผมประกาศว่า จะขอเสนอผู้ที่ เหมาะสมสมัครผู้ว่าฯ ให้ชาวกรุงเทพฯ พิจารณา หนังสือพิมพ์ ข่าวสด ได้ไปสัมภาษณ์ท่าน สมณะโพธิรักษ์ ถ้าใครได้อ่าน ก็จะหาย คลางแคลงสงสัย ผมขอนำมา เผยแพร่ต่อ


ข่าวสด ฉบับประจำวันที่ ๕ กรกฎาคม นำไปพิมพ์ครึ่งหน้า สัมภาษณ์พิเศษ

สมณะโพธิรักษ์ โต้หนุน จำลอง คัดคนลงสมัครผู้ว่าฯกทม.

ท่ามกลางกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อฟ้าดินแห่งสำนักสันติอโศก เข้าไปช่วยเหลือ สนับสนุน พล.ต. จำลอง ศรีเมือง อดีตหัวหน้าพรรค พลังธรรมและอดีตผู้ว่าฯกทม. ส่งคนลงสมัคร รับเลือกตั้ง ผู้ว่าฯกทม. ในนามอิสระนั้น

สมณะโพธิรักษ์ แห่งสำนักสันติอโศก ผู้ใกล้ชิดกับ พล.ต.จำลอง ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้

- พรรคเพื่อฟ้าดิน เป็นมาอย่างไร

พรรคเพื่อฟ้าดิน ก่อตั้งขึ้นในปี 2543 สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นญาติธรรมชาวอโศก และ พล.ต. จำลอง เป็นที่ปรึกษาท่านหนึ่งของพรรค เราทำงาน ด้านศาสนามานานกว่า 30 ปี มุ่งเป้าหมาย จะทำงาน การเมืองในอีกมิติหนึ่ง ช่วยเหลือ ให้ประชาชน มีความเข้มแข็ง ด้วยตนเอง หรือ พึ่งพาตนเอง ไม่เน้นการได้มาซึ่งอำนาจรัฐ ด้วยการส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง ในระดับประเทศ หรือท้องถิ่น

-ข่าวที่ว่าสันติอโศกเข้าไปช่วยเหลือ พล.ต.จำลอง คัดสรรคนลงสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. มีข้อเท็จจริงอย่างไร

มีหนังสือพิมพ์บางฉบับลงข้อความระบุว่า พล.ต.จำลองและสมณะโพธิรักษ์ จะลงไปช่วย คัดเลือก คนลงผู้ว่าฯ กทม. โดยข้อเท็จจริงแล้ว อาตมาไม่เคยพูด เรื่องประเด็น ทางการเมือง กับ พล.ต.จำลอง กระทั่งเราตั้งพรรคเพื่อฟ้าดินขึ้นมา พล.ต.จำลอง ก็ไม่เคยถาม ถึงเรื่องนี้เลย หรือ สมัยพล.ต.จำลอง เป็นหัวหน้าพรรค พลังธรรม อาตมาก็ไม่เคยถามไถ่ถึงเรื่องราว ในพรรค แม้แต่น้อย

สรุปแล้วเรื่องการเมืองระหว่างอาตมากับ พล.ต.จำลอง เราระมัดระวังตัวมาก แต่คน ส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจ หาว่าเราต้องมาปรึกษาหารือกัน มีความคิดเห็นตรงกัน คงมีคน เข้าใจผิด คนอาจ มองภาพว่า เราทั้งสองมีความใกล้ชิดกัน

- ตอนนี้พล.ต.จำลอง รับอาสาจะหาคนลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ให้ตรงใจส.ก. ส.ข. ของพรรค ไทยรักไทย เพื่อเทคะแนนสนับสนุน

ไม่ทราบเรื่อง และจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยประการทั้งปวง ไม่ทราบว่าหนังสือพิมพ์ นำไปลง ได้อย่างไรว่า อาตมาพยายามจะหนุนพล.ต.จำลอง คัดคนลงผู้ว่าฯ กทม. อาจมี ความคลาดเคลื่อน ของคนที่นำไปลง จับประเด็นผิดๆ โดยพยายามเชื่อมโยง ระหว่าง พล.ต.จำลอง กับสันติอโศก เข้าด้วยกัน

- มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ พล.ต.จำลอง จะขอให้ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รองนายก-รัฐมนตรี ลงสมัคร เพราะที่ผ่านมา ร.ต.อ.ปุระชัย ยังไม่เคยปฏิเสธ อย่างเป็นทางการ ว่าจะไม่ลงสมัคร

อาตมาเชื่อว่าพล.ต.จำลองทราบดีว่า ร.ต.อ.ปุระชัยจะไม่ลงสมัคร เพราะร.ต.อ. ปุระชัย ไม่มีคนหนุนหลัง อาจมีคนมองว่า พล.ต.จำลองเป็นที่ไว้วางใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หากพล.ต.จำลองให้การสนับสนุน ร.ต.อ. ปุระชัย จะทำให้ อำนาจ ต่อรอง เพิ่มมากขึ้น เรื่องนี้ หากจะให้ชี้ชัดลงไปคงทำได้ลำบาก แต่โดยส่วนตัว อาตมายังเชื่อว่า พล.ต.จำลอง จะไม่ดึง ร.ต.อ. ปุระชัยลงมาสมัคร

- การที่ พล.ต.จำลอง ออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ จะทำให้ประชาชนทั่วไปมองภาพ ในด้านลบ หรือไม่ อาตมาไม่อยากวิจารณ์ในเรื่องนี้ เพราะท่านมีความคิด เป็นของตัวเอง และทราบว่า ผลจะออกมา เป็นแบบไหน คนที่คิดจะเสียสละ เพื่อส่วนรวม เขาจะไม่คิดถึงตัวเองเท่าใดนัก หากจะถูกด่า ถูกต่อว่า คงจะไปห้าม อะไรไม่ได้ คนอยากด่าก็ให้เขาด่าไป แต่เราต้อง พิจารณาด้วยว่า ที่เขาด่า มานั้น มันถูกต้องหรือไม่ ถ้าเราจะทำงานเพื่อ ส่วนรวม เพื่อสังคม เพื่อประชาชน

- ในมุมมองของพล.ต.จำลอง มีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง พล.ต.จำลองก็เคยพูดถึงเรื่องนี้เหมือนกันว่า "เราทุกคนมีความคิดของตัวเอง ยืนยันว่า ทำสิ่งนี้ แน่ใจว่า มันเป็นสิ่งที่ดีแก่ประชาชน แต่ถ้าใครจะมาหาเรื่องกล่าวหาว่า ทำเพื่อเป็นสะพาน ให้นายกฯ ทักษิณ คงจะไปตอบโต้ไม่ได้ เพราะผมมันคนแส่ ไปหมดทุกเรื่อง ตลอดเวลา" อาตมาเชื่อว่า คนที่มีความบริสุทธิ์ใจ กระทำสิ่งใดลงไป แม้ใครจะมองในแง่ลบ ก็เป็นเรื่อง ของเขา แต่เราจะเดินหน้า ทำงานของเราต่อไป หากมัวแต่ห่วงรักนวลสงวนตัว กลัวแต่คน มาคอยจับผิด และถูก วิพากษ์วิจารณ์ แล้วจะมีใครกล้าเสียสละทำงาน ให้แก่ประชาชนได้

- ในอนาคตพรรคเพื่อฟ้าดินจะส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งในระดับประเทศและ ระดับ ท้องถิ่น หรือไม่

เป็นไปได้ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ คงต้องใช้เวลาอีกนาน ไม่ใช่แค่ ๑๐-๒๐ปี แต่อาจยาวไปถึง ๑๐๐ ปี เพราะประชาชน ยังไม่เข้าใจว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงตามเจตนารมณ์ของ พรรคเพื่อฟ้าดิน คืออะไร คนยังไม่เชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ กลายเป็นเรื่องเพ้อฝัน คงต้อง ใช้เวลา อีกยาวนาน กว่าที่คน จะเข้าใจ ลึกซึ้งถ่องแท้

- ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.เดินทางมาหาเสียงที่ชุมชนสันติอโศกได้หรือไม่

เราไม่ขัดข้อง ให้อิสระเสรี ไม่มีการห้าม ส่วนสมาชิกคนใดของพรรค จะไปให้ การสนับสนุน บุคคลใด ย่อมเป็นสิทธิส่วนบุคคลของ ผู้นั้น ในชุมชนสันติอโศกทุกคน ทำหน้าที่พลเมือง ตามกฎหมาย ของประเทศไทยทุกประการ ถึงเวลาไปใช้สิทธิ เลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็น ในระดับ ประเทศ หรือท้องถิ่นชุมชน ทุกคนไม่เคยละทิ้งหน้าที่ ของตัวเอง

- บุคคลที่จะมาเป็นผู้ว่าฯ กทม.ควรเป็นคนในลักษณะใด

ปัญหาใน กทม.และประเทศไทยมีอยู่มากมาย คนที่จะมาแก้ไขปัญหาต่างๆ ควรจะเป็น คนที่ความรู้ ความสามารถ ที่สำคัญจะต้องมีคุณธรรม มีความเสียสละ ไม่ใช่ไปหากิน ทุกวันนี้ ที่บ้านเมือง ไปไม่ถึงไหนก็เพราะคนเหล่านี้ใช้ตำแหน่ง ไปหากิน หาประโยชน์ส่วนตัว ดังนั้น ว่าที่ผู้สมัคร ทุกคนควรมาปฏิบัติตนเองให้มีคุณสมบัติ ในการเสียสละ ให้แก่สังคมจริงๆ ใช้ธรรมะ ขัดเกลาจิตใจ ถ้าทำได้ เราจะมีคนที่ทำงาน เพื่อบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าไปได้

ในมุมมองของอาตมา ประชาธิปไตยที่แท้จริงจะต้องไม่มีการหาเสียงประชาชน มันไม่ใช่ ประชาธิปไตย ด้วยการไปขอให้เขามาลงคะแนนให้เรา อำนาจแบบนี้ ไม่ได้มาจาก ประชาชน แต่เป็นอำนาจของอัตตาธิปไตย ถ้าตัวบุคคลมีความน่าเชื่อถือ ที่เป็นจริงแล้ว ย่อมจะเป็น ที่รู้จัก และต้องการ ของประชาชน ด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็น จะต้องมาหาเสียงอีก


 

การที่ผมหาเรื่อง เข้าทำนอง ไม่มีเหา หาเหาใส่หัว สื่อมวลชนจำนวนมาก แสดงความ เห็นใจ เห็นใจทั้ง ดร.มานะ และผม ดังเช่นหนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันอาทิตย์ ที่ ๑๑ กรกฎาคม ลงบทความ เต็มหน้า

มานะ-จำลอง
กอดคอเจ็บตัว

และแล้วการเปิดตัวผู้ว่าฯกทม.ในฝันของพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ปรึกษานายก รัฐมนตรี ด้านการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้พรรคไทยรักไทยโอบอุ้ม ก็ต้องจอด ตั้งแต่ป้ายแรก

เพราะชื่อมานะ มหาสุวีระชัย ที่พล.ต.จำลอง เค้นออกมาจากรายชื่อที่มีการนำเสนอ ทั้งหมด ๑๑ คน ไม่เป็นที่ถูกใจส.ส. สก.และส.ข.ของพรรคไทยรักไทย

ไม่ว่าจะเป็นสายพรรคพลังธรรมเก่า หรือสายเลือดพรรคไทยรักไทยโดยกำเนิด

แม้จะชูคุณสมบัติมาตรฐานดีเด่นถึง ๗ ประการ คือ ไม่โกง ไม่โกหก กล้าตัดสินใจ อย่างมีเชาวน์ และไหวพริบ พร้อมที่จะทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน มีความรู้ ความสามารถ เทียบกับผู้ว่าฯ มหานครอื่นๆ ของโลก สามารถประสานงาน กับรัฐบาลได้ มีอายุไม่เกิน ๖๐ ปี

มหาจำลอง ยังแถมสเป๊กที่ถูกใจเป็นการส่วนตัวอีก ๒ ข้อคือ เป็นผู้มีความรู้ ระบบราชการ เป็นอย่างดี และเป็นวิศวกรนักบริหาร มีประสบการณ์บริหาร โครงการ ขนาดใหญ่ ทั้งที่อายุ ยังน้อย

เมื่อผนวกกับความรู้ระดับ "ด๊อกเตอร์" ด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย เบิร์กเลย์ สหรัฐอเมริกา ก็น่าจะเป็นดีกรีสู้คู่แข่งได้

และยังเป็นสเป๊กเดียวกับที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตั้งไว้อีกด้วย

แต่เส้นทางการเมืองของนายมานะ นับว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ไทยรักไทยทั้งพรรค จะยอมเท คะแนนเสียง ในพื้นที่กทม.ให้

เพราะหลังจากนายมานะได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.สมัยแรกในปี ๒๕๓๕/๒ ที่จ. ศรีสะเกษ เขต ๑ ในสังกัด พรรคพลังธรรม ต่อมาก็ย้ายไปอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ ยึดตำแหน่ง ผู้สมัคร ส.ส. ศรีสะเกษได้ตลอด แต่สมัยแรกในปี ๒๕๓๘ ที่ใส่เสื้อ ประชาธิปัตย์ ก็สอบตก และ กลับมาเป็น ส.ส. อีกครั้งในการเลือกตั้งปี ๒๕๓๙ จากนั้นก็สอบตกทุกครั้ง

นอกจากนายมานะ จะเป็นศิษย์ก้นกุฏิของพล.ต.จำลอง แล้วยังมีความใกล้ชิดกับ พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งย้ายมาเป็น ที่ปรึกษา พรรคมหาชน หมาดๆ

ที่สำคัญสมัยเป็นประธานคณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร นายมานะ ในสังกัด พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นอภิปรายในสภาเกี่ยวกับผลประโยชน์ เรื่องสัมปทาน โทรศัพท์มือถือ ในเครือชินคอร์ป ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็น รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้า พรรคพลังธรรม ในสมัยนั้น จนหนังสือพิมพ์ พาดหัวข่าวกัน เกรียวกราวว่า "เด็กมหาฟาดทักษิณ"

เท่านี้ก็มากเกินพอที่ทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ และส.ส.พรรคไทยรักไทย จะไม่เอานายมานะ

ทันทีที่เปิดตัวออกมา ทั้งพล.ต.จำลอง และนายมานะ เลยอยู่ในอาการบอบช้ำ เพราะ ส.ส. พรรคไทยรักไทย ประเคนหมัดเข้าใส่อย่างไม่ยั้ง

ในวันแถลงข่าวเปิดตัวเมื่อวันที่ ๕ ก.ค. บรรดา ส.ส. ส.ก. และส.ข.พรรคไทยรักไทย ต่างไม่ไป ร่วมงาน อย่างคึกคักเหมือนเมื่อวันที่ ๑๗ มิ.ย.ที่ร่วมกันมีมติให้พล.ต.จำลอง หาตัวผู้สมัคร

เพราะได้ข่าวกันมาแล้วว่าอัศวินม้าขาวของพล.ต.จำลองคือ นายมานะ นั่นเอง

ถ้าขืนโผล่ไปก็ถือว่าถูกหลอกเป็น ครั้งที่สอง

คำแถลงข่าวของ พล.ต.จำลอง สรุปว่า

"คนที่ผมเสนอต้องยืนหยัดด้วยตัวเองได้ ต้องเป็นนักสู้ ต้องดำเนินการสมัคร รับเลือกตั้ง ด้วยตนเอง ผมเป็นเพียงผู้สนับสนุน จะพยายามช่วยเขาอย่างเต็มที่ แต่เขาต้อง สมัครเอง ผมไม่ได้ไปส่งเขา วันนี้ผมก็เห็นดร.มานะ มีคุณสมบัติครบ และเป็นผู้เลือก ทีมรองผู้ว่าฯ กทม.เอง วันนี้ดร.มานะอิสระจริงๆ"

ด้านนายมานะ ที่ไม่ได้ไปในงานเปิดตัว ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลัง ว่า "ได้รับการ ทาบทาม อย่างเป็น ทางการ จากพล.ต.จำลองเมื่อวันที่ ๓ ก.ค. แต่ทั้งหมดให้ขึ้นอยู่กับ การตัดสินใจ ของผม ที่ผ่านมา ก็มีความสนใจที่จะเข้ามาทำงานในกทม.โดยตลอด เพราะเคยลงสมัคร เป็นทีมรองผู้ว่าฯ กับพล.ต. จำลอง แต่ยอมรับว่า ไม่มีฐานเสียง ในกทม.เลย จึงอาจจะเสียเปรียบ คู่แข่งคนอื่นบ้าง แต่จะพยายาม ใช้เวลาที่เหลืออยู่ เผยแพร่แนวทาง การบริหารงานในกทม. ให้ดีที่สุด"

ตรงนี้บ่งบอกชัดเจนว่าทั้งคู่มีเป้าหมายเดียวกัน คือยึดเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.ให้ได้ โดย พล.ต. จำลอง ยังยืนยันว่า การออกโรงครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับพ.ต.ท.ทักษิณ และ พรรคไทยรักไทย

เนื่องจากก่อนหน้านี้ ในสายตาหลายคนมองกันว่า การรับอาสาหา "ม้าศึก" ให้พรรค ไทยรักไทย ของพล.ต.จำลอง น่าจะเป็นแผนของพ.ต.ท.ทักษิณ และพรรค ไทยรักไทย ย่อมได้ประโยชน์โดยตรง

ล่าสุดเมื่อวันที่ ๘ ก.ค.นายมานะ จะยืนกรานที่จะลงสมัครผู้ว่าฯกทม. แม้จะไม่ได้ กำลังหนุน จากพรรคไทยรักไทย อย่างที่คาดหวังไว้ก็ตาม

เจ้าตัวยังรู้ดีว่า ถ้าลงสมัครก็น่าจะเจาะใจคนกทม.ได้ยาก เพราะไม่ใช่คนพื้นที่ และ ถ้าสอบตก ก็มีโอกาสสูงที่จะไม่ได้กลับไปลงสมัครส.ส.ในนามพรรคประชาธิปัตย์อีก เพราะแกนนำพรรค ประชาธิปัตย์ไม่ได้สนใจนายมานะ

ขณะเดียวกัน พล.ต.จำลอง ก็ยังเดินหน้าสนับสนุนศิษย์ก้นกุฏิอย่างเต็มที่

ทั้งที่ทั้งคู่รู้อยู่แก่ใจว่ามีแนวโน้มสูงที่จะเหนื่อยฟรี...เสียสตางค์เลือกตั้งฟรี

แต่อีกด้านหนึ่งก็มองกันว่า เป็นความ ตั้งใจดันนายมานะ ลงสมัครเพื่อตัดคะแนน นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครจาก พรรคประชาธิปัตย์

เรียกว่ายืมมือคนประชาธิปัตย์เชือดคนประชาธิปัตย์ด้วยกัน

ส่วนคนที่จะได้ประโยชน์ไปเต็มๆ ก็คือ ผู้สมัครตัวจริงที่พรรคไทยรักไทยสนับสนุน นั่นเอง

สรุปแล้วไม่ว่าจะมีข้อยุติออกมาแบบไหน ทั้งพล.จำลอง และนายมานะ ก็เจ็บตัวด้วยกันทั้งคู่!!!


ข้อความตอนท้าย ที่บอกว่าผมยืมมือ ประชาธิปัตย์เชือดคนประชาธิปัตย์ด้วยกัน นั้นผู้เขียนบทความ คิดไปเอง ถ้ามีแนวโน้ม จะเป็นเช่นนั้น แกนนำของ ประชาธิปัตย์คง ดาหน้า มาต่อว่าผมแล้ว

ส่วนที่เห็นด้วยกับการหาเรื่องของผมเป็นนักเขียนที่มีแฟนมากคนหนึ่ง ของหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ คือคุณกิเลน ประลองเชิง ฉบับ ๙ กรกฎาคม

ทางเลือกใหม่
ชาวกรุงส่วนหนึ่งให้ราคา ชื่อ ดร.มานะ มหาสุวีระชัย ที่พลตรีจำลอง ศรีเมือง เสนอ เป็นตัว เลือกผู้ว่าฯ กทม.ไม่น้อยเลยนะครับ

ดูจากรายการข่าวทีวีเช้าวันพุธ มีคนให้คะแนนมากถึงร้อยละ ๗๘ น้ำหนักของ คะแนนนี้ ผมเข้าใจว่า คงใกล้เคียงกับโพลที่นิยมทำกันในทีวีช่องอื่น

คะแนนที่ไหลมาเทมา...คงสงสัยกัน ได้เพราะบารมีคุณจำลอง หรือได้มา ด้วยบารมี ของ ดร.มานะเอง

ถ้าถามผม ผมก็คงอธิบายได้ บารมีคุณจำลอง เป็นส่วนหนึ่ง ชื่อเสียงทางการเมือง ที่ ดร.มานะ สั่งสมมา ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง จนยากที่จะบอกว่าส่วนไหนมากกว่า

คุณจำลองนั้น เป็นที่รู้กันในแวดวงคน ใกล้ชิด ถ้าไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมจริงๆ โอกาส ที่จะได้คิวพิเศษ ก้าวหน้าทางการเมือง หรือสิทธิในการทำธุรกิจเหนือผู้อื่น เป็นเรื่อง เป็นไปไม่ได้

จู่ๆ ท่านก็เห็นแววดี เลือกคุณสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นเลขาธิการพรรคพลังธรรม

จู่ๆ ท่านก็เดินขึ้นไปหาวาณิชหนุ่ม ที่อาคารย่านราชวัตร เชื้อเชิญเข้ามาเป็น หัวหน้าพรรค จากวันนั้น ถึงวันนี้ คนคนนี้ก็เพิ่มประกายแววดี เป็นถึง นายกรัฐมนตรี ในปัจจุบัน

เพราะคุณจำลองสายตายาว อย่างนี้แหละ คนใกล้ชิดจึงมักผิดหวัง อยู่กันได้ ไม่นาน

คนหนึ่ง...ใกล้ชิดมาก อยู่กันตั้งแต่สมัยรุ่งเรืองจนถึงสมัยโรยรา ตอนเข้าไปลากออก ก็มีเสียง ตัดพ้อ นี่ผมจะได้ศัตรูเพิ่มขึ้นอีกคนหรือ?

อยู่กับคุณจำลองไม่มีความก้าวหน้าก็ลากันไป ทุกคนมีสิทธิที่จะพูดถึงในแง่มุมใดก็ได้ แต่ไม่มีใคร กล้าปฏิเสธ คุณจำลองเป็นแบบอย่าง เป็นสุดยอดของนักการเมือง มือสะอาด

การที่คุณจำลองใช้สายตายาว เลือกเอา ดร.มานะ คนที่เคยเดินตามหลัง แล้วลาออก ไปอยู่ พรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นประเด็นพลิกความคาดหมาย

ผมไม่อยากคิด คุณจำลองต้องการพิสูจน์ความเคลื่อนไหวทั้งหลายทั้งปง ไม่ได้ทำเพื่อ พรรคไทยรักไทย แต่มั่นใจว่า คุณจำลองเห็นว่า ใช้ ดร.มานะ ชาวกรุงจะได้ ประโยชน์มากกว่า

การเลือกตั้งที่ศรีสะเกษครั้งล่า คุณมานะแพ้พรรคไทยรักไทย กลายเป็น ส.ส.สอบตก เครดิต ในประชาธิปัตย์จึงไม่ค่อยมี การสมัครผู้ว่าฯ ในพื้นที่ที่ประชาธิปัตย์ มีคุณ อภิรักษ์ เป็นตัวยืน ก็เป็นอันว่า คะแนนจากกระแสพรรค ประชาธิปัตย์...ปิดสนิท

หันไปทางพรรคไทยรักไทย ปฏิกิริยาที่ออกมา แม้มหาจำลองที่ปรึกษานายกฯ ทักษิณ จะหนุน แต่เสียง คนในพรรคก็ไม่เอา ดร.มานะ เป็นอันว่า คะแนนพรคไทยรักไทย ก็ไม่มีให้อีก

ปรากฏการณ์ ตัวเลือกปลอดเสียงสองพรรคการเมืองใหญ่ หากจะว่ากันไป

นานๆ ทีจะมีให้เห็น

หมู่นี้ผมไปทางไหน ได้ยินแต่เสียงบ่น ไม่เอาแล้วไทยรักไทย เบื่อประชาธิปัตย์ ความหวัง ที่จะพิสูจน์ สองบารมี บารมีคุณจำลอง บารมี ดร.มานะ เห็นจะต้อง ฝากไว้กับ คนกลุ่มนี้แหละ

ในฐานะสื่อผู้ใกล้ชิดเหตุการณ์ พอจะ ยืนยันได้ในระดับหนึ่ง ดร.มานะ ตัวเลือก คุณจำลอง คนนี้ ฉลาด สะอาด และมีน้ำใจ ถ้าเป็นเพื่อนก็คบได้ ยามทุกข์ เพื่อนไม่ทิ้งเพื่อน

ผมไม่ได้สนิทกับคุณกิเลน ประลองเชิง เป็นการส่วนตัว นักเขียนไทยรัฐชื่อดังที่ ผมสนิทนั้น เสียไปนานแล้ว คือ คุณโกวิท สีตลายัน หรือ มังกร ห้าเล็บ

คุณกิเลน ประลองเชิง ยังเขียนต่ออีก เป็นฉบับวันที่ ๒๒ กรกฎาคม

ทฤษฎีสองดาวฤกษ์
มีเสียงต่อว่ามาครับ ผมเขียนถึง ดร.มานะ มหาสุวีระชัย ดีเลิศประเสริฐศรีเกินไป ไม่เป็นธรรม กับผู้สมัคร ผู้ว่าฯ กทม.รายอื่น

ผมก็ชี้แจงไปตามประสา...สื่อมีหลายบทบาท ถ้าเป็นนักข่าว ก็ต้องรายงาน ให้ครบถ้วน แต่ถ้าเป็น นักเขียนคอลัมน์ก็ต้องให้ความเห็น

และธรรมชาติ ของความเห็น ก็มักจะเน้นไปทางใดทางหนึ่ง รัก ชัง ใคร จากเหตุปัจจัย อะไร ก็ว่ากันไป ถ้าผู้อ่านไม่คิดมาก ไม่ให้ราคา ก็แค่ความเห็นของใครคนใดคนหนึ่ง

ชี้เป็นชี้ตายใครได้...ก็เปล่า

นักวิชาการยืนยันไว้นานแล้ว กระบวนการตัดสินใจเลือกตั้ง ชาวบ้านใช้ข่าวสาร จากสื่อ เป็นตัวประกอบ นิดหน่อย มีข้อมูลมากพอก็ตัดสินใจเอง

ในบ้าน หมู่บ้าน ส่วนใหญ่ตัดสินใจตาม ผู้นำความคิดเห็น

สื่อก็ปุถุชนคนธรรมดาครับ กิเลส ตัณหา ไม่มากน้อยกว่าใคร เขียนถึง ดร.มานะ ผมใช้ ข้อมูล จากประสบการณ์ส่วนตัว ที่พบพานกันในสมัยอดีต

ผมเชื่อในหลัก อดีตชี้ปัจจุบัน บอก แนวโน้มอนาคต

สิบปีที่แล้ว ผมเคยเจอ ดร.มานะ เดินตามหลังพลตรีจำลอง ศรีเมือง ไปออกรายการ ทีวี ช่อง ๑๑ คิดในใจ ดร.คนนี้ต้องมีดี โอกาสและเวลาไม่มีให้ได้คุยกัน

มาเจอกันจังๆ หน้าอีกที ดร.มานะย้ายจากพรรคพลังธรรมไปอยู่พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะ น้องใหม่ ได้นั่งเก้าอี้ประธานกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนฯ

วิถีทางทางการเมืองเป็นเช่นนี้ มีชื่อ มีความรู้ แต่ถ้าไม่มีบารมี และบารมีในทาง การเมือง ก็คือเงิน การได้นั่งเก้าอี้ ประธานกรรมาธการ ก็ถือว่า ดร.มานะมีดี

เฉียดฉิวเก้าอี้รัฐมนตรีเต็มที

เรื่องที่ต้องเจอกัน ก็เพราะชาวซอยยาสูบ หลังตลาดหมอชิตเก่า ประท้วงการเวนคืน ที่ดิน สร้างถนน เชื่อมโครงการซันเอสเตท โครงการที่ประกาศพื้นที่เพื่อธุรกิจการค้า ๔๔ %

หนังสือร้องทุกข์ส่งไปหลายทาง คณะกรรมมาธิการการคมนาคมตอบรับ มาทางเดียว ในฐานะ ชาวบ้านธรรมดา ได้เห็นหัวใจใสๆ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงของนักการเมือง ก็ตอนนั้น

ตอนเลือกตั้งที่ศรีสะเกษ ผมก็ได้แต่ส่งใจไปเชียร์ ได้ข่าวมาว่า โพลหนแรก ดร.มานะ ชนะขาด โพลหนสอง ไทยรักไทยใส่ชื่อ ดร.ทักษิณ แถมเข้าไป คะแนน ดร.มานะ ลดลงมาฮวบๆ

และเมื่อผู้สมัครตัวแปรคนที่ ๓ เป็นฝ่ายไทยรักไทย...เกมก็จบ

ความพ่ายแพ้ของ ดร.มานะ ยืนยันทฤษฎี อยู่ใต้ฟ้าก็ต้องเปียกฝน

คนอยู่ใต้ฟ้า หรือจะสู้อำนาจฟ้า

แต่ผมก็ยังไม่เชื่อว่า ฟ้าจะทอดทิ้งคนดี ฟ้าที่ศรีสะเกษไม่ปรานี ดร.มานะ แต่ฟ้าที่ กรุงเทพฯ ฟ้าที่พรรคไทยรักไทย ไม่ส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ มีเค้าบางประการชี้ว่า ทุกอย่าง เป็นเรื่อง ไม่แน่

โพลกี่หนๆ ชื่อ ดร.มานะอยู่หลังๆ แต่ผมก็ยังเชื่อ คนมีวิชาอย่าง ดร.มานะ เหมือน ดาวฤกษ์ มีแสงแรงกล้า อยู่ในตัวเอง ยิ่งเมื่อมีแสงจากดาวฤกษ์อีกดวง ดาวพลตรี จำลอง ศรีเมือง เป็นแรงส่ง

ผมจะรอวันนั้น วันเลือกตั้ง พิสูจน์ทฤษฎี รวมแสง...สองดาวฤกษ์ รอว่าชื่อ ดร.มานะ จะเจิดจ้า เหนือฟากฟ้ากรุงเทพฯ หรือไม่?


หน้าหนังสือ เราคิดอะไรของผมใน ฉบับนี้ เป็น เขาคิดอะไรเสียมากกว่า เรียกว่า เขาช่วยผม ผมไม่ต้องนั่งคิดนั่งเขียนเอง เพราะไม่มีเวลา นอกจากติดงานที่ โรงเรียน ผู้นำแล้ว ยังต้อง ออกช่วยหาเสียงเช้ายันค่ำ นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์บ้าง นั่งรถกระบะบ้าง ราวกับผม สมัครเอง

การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ผลจะออกมาอย่างไร ผมก็กลับไปอยู่สบายๆ ที่บ้านป่า นาดอย เหมือนเดิมครับ

คงเลิกยุ่ง เลิกแส่ ได้แล้ว เพราะวันนี้อายุผมขึ้นเลข ๗ แล้ว

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๙ สิงหาคม ๒๕๔๗ -