- จำลอง ศรีเมือง -


ฝนปีนี้ไปเร็วกว่าปกติมาก สิ้นเดือนกันยายนก็หมดแล้ว ฝนเคยตกติดต่อกันถึงวันลอยกระทง กลางเดือน พฤศจิกายนโน่นแน่ะ

อยู่เมืองกรุงฝนจะมาจะไปตามฤดูกาลหรือไม่ ไม่ต้องห่วง แต่อยู่บ้านนอกได้รับผลกระทบมาก โดยเฉพาะ อยู่ที่โรงเรียนผู้นำบ้านป่านาดอย น้ำที่รดผักและไม้ผลจะหมด ระยะนี้มีการฝึกอบรมชุก อยู่กันวันละกว่าร้อยคน ใช้ทั้งน้ำอาบ น้ำซักผ้า น้ำราดส้วม ทำอะไรๆ ก็ใช้น้ำทั้งนั้น

สิ้นเดือนตุลาก็สิ้นน้ำบ่อ เหลือแต่น้ำบาดาล ซึ่งเอาแน่ไม่ได้ บทจะแห้งก็แห้งเอาดื้อๆ แห้งเมื่อไร ไม่มีทางรู้ด้วย เพราะมองลงไปใต้ดินไม่ได้ ไม่มีน้ำบ่อต้องหันมาใช้น้ำโอ่งแทน โชคดีซื้อโอ่งซีเมนต์ สะสมไว้เป็นร้อยๆ ใบ มีน้ำตุนอยู่ในโอ่งเป็นแสนๆ ลิตร คงแก้ปัญหาภัยแล้งได้

ถึงตอนขาดแคลนน้ำเห็นจะต้องชักชวนผู้เข้ารับการฝึกอบรมหันมาอาบน้ำคนละไม่เกิน ๕ ขันดูบ้าง ต่อไปคงไม่มีใครอยากเข้าโรงเรียนผู้นำ เพราะโหดเหี้ยมเกินไป

ผมติดค้างเรื่องการไปประเทศคาซัคสถาน ยังไม่ได้เล่าให้ฟัง น่าเล่าเพราะไม่ใคร่มีใครไป ไม่ใคร่มีใคร รู้จัก เดินทางก็ใช้เวลามาก จากกรุงเทพฯไปแฟรงเฟิร์ต เยอรมัน เครื่องบินใช้เวลา ๑๑ ชั่วโมง บินต่อไป คาซัคสถาน อีก ๕ ชั่วโมง รวมเป็น ๑๖ ชั่วโมง เบื่อแสนเบื่อ

ที่จริงทางลัดก็มี จากกรุงเทพฯผ่านอินเดีย ใช้เวลา ๕ ชั่วโมงเท่านั้น แต่ทั้งสัปดาห์มีเที่ยวบินเดียว เท่านั้นเอง อุปทูตคาซัคสถานอุตส่าห์เดินทางไปชวนผมถึงกาญจนบุรี ชวนให้ไปดูการเลือกตั้ง ใครรู้ ก็แปลกใจ ผมไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรซักหน่อย

เคยไปมากว่า ๓๐ ประเทศก็เพิ่งเจอครั้งนี้เท่านั้น กินเนื้อม้ากันเอร็ดอร่อย เนื้อวัวถูกว่าเนื้อแกะ เนื้อแกะ ถูกกว่าเนื้อม้า ถ้าเกิดเป็นม้าอย่าไปเกิดที่คาซัคสถานเชียว เพราะต้องทำงานสารพัด ต้องถูกใช้ไถนา ซึ่งเทียมม้าตัวเดียว ไม่เหมือนวัวที่ช่วยกันสองแรง ต้องถูกขี่ ต้องถูกลากรถ และต้องถูกแปรรูป เป็นอาหาร อันโอชะของเจ้าของ

ผมเคยกินเนื้อสัตว์มาหลายปี ถ้าตอนนี้ยังกินเนื้อสัตว์อยู่ ก็ไม่เห็นอยากจะกินเนื้อม้าเลย สีเขียวๆ ไม่เหมือนเนื้อสัตว์อื่นๆ และคงเหม็นสาบด้วย กินกันได้ยังไงก็ไม่รู้

เขาเชิญผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งไปจากหลายประเทศ แทนที่ผู้สังเกตการณ์จะเป็นฝ่ายสัมภาษณ์ สอบถามเขา เรากลับต้องถูกสื่อมวลชนรุมถามทุกจุดเลือกตั้งที่ไปดู

ภาพการลงคะแนนเลือกตั้ง ผิดจากประเทศไทยและประเทศอื่นๆ สามีภรรยาและลูกๆ เข้าไปในคูหา เดียวกัน เสร็จแล้วพ่อกับแม่ก็ให้หนูตัวเล็ก ช่วยถือบัตรที่กาแล้ว ไปหย่อนในหีบ ช่างเป็นครอบครัว ประชาธิปไตย ที่อบอุ่นอะไรปานนั้น

ตัวแทนของพรรคการเมืองต่างๆ ที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง เป็นมิตรกันดี ไม่เหมือนของเรา ที่ต่างจ้อง เอารัดเอาเปรียบ ต่างจ้องจับผิดกัน เลือกตั้งแบบเขาไม่มีแตกแยก

ประธานาธิบดีคาซัคสถานกับลูกสาวเป็นหัวหน้าพรรคคนละพรรค ไม่ได้ทะเลาะ ไม่ได้แตกแยกกัน ระหว่างหาเสียงแข่งกันอย่างหนัก ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก ยังคงกลมเกลียวเหนียวแน่น เหมือนเดิม

พรรคพ่อเอาใจนักอนุรักษนิยม พรรคลูกตรงกันข้าม กลับไปหาเสียงกับกลุ่มคนหัวก้าวหน้า ปรากฏว่า พรรคพ่อได้ที่ ๑ พรรคลูกได้ที่ ๒ เลยช่วยกันกวาดคะแนนไปหมดทั้งสองกลุ่ม ฉลาดดีแท้

การกาบัตรเขามี ๒ วิธี วิธีธรรมดาใช้ปากกาขีดกับวิธีอิเลคทรอนิกส์ ซึ่งคาซัคสถานภูมิใจมาก ที่ก้าวล้ำ นำหน้าประเทศอื่น (ผมถามคนญี่ปุ่น คนในประเทศที่ก้าวหน้าสุดยอดเรื่องอิเล็คทรอนิกส์ ญี่ปุ่นยังใช้ วิธีธรรมดาอยู่เลย)

เมืองเรา เวลาซื้อของในศูนย์การค้า คนคิดเงินจะเอาเครื่องมือ (ยาวประมาณ ๑ คืบ) ไปถูแผ่นป้าย ที่ติดกับสินค้า (เรียกบาร์โค้ด) เพื่อบันทึกข้อมูล เช่น ชนิด ราคา จำนวน เป็นต้น หน่วยลงคะแนน ที่มีความพร้อม ในการกาบัตรแบบอิเลคทรอนิกส์ จะติดบาร์โค้ดของผู้เลือกตั้งเรียงลำดับ ติดไว้ที่ผนัง ของคูหาเลือกตั้ง เราอยากจะเลือกใครก็เอาเครื่องมือไปถูบาร์โค้ดประจำตัวของผู้สมัครรับเลือก คนนั้น ทันที คะแนนก็จะไปปรากฏ ที่ศูนย์รวมคะแนน สะดวกดีแท้

ในหนังสือพิมพ์มติชนฉบับ ๑๑ ตุลาคมมีภาพการขนหีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดี อัฟกานิสถาน ยืนส่งต่อหีบบัตรกันเป็นแถวยาวเหยียด เหน็ดเหนื่อย ทุลักทุเล ถ้าเป็นการกาบัตร แบบอิเล็คทรอนิกส์ สบายกว่ากันเยอะ (ชื่อประเทศลงท้ายด้วย "สถาน" เหมือนกัน แต่ไม่ยัก เอาอย่างกัน)

ผู้แทนประเทศไทยไปกันสองคณะ คณะผมไปดูการเลือกตั้งที่เมืองหลวงเก่า ส่วนคณะอาจารย์ลิขิต ธีรเวคิน ไปดูที่เมืองหลวงใหม่ ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าแต่ละคณะมีใครบ้าง เพราะออกเดินทาง ไม่พร้อมกัน

เมื่อไปถึงคาซัคสถานแล้ว ผู้ประสานงานชาวคาซัคสถานจะรายงานให้ ๒ คณะ ทราบซึ่งกันและกัน เป็นระยะๆ เช่น ผู้ที่ไปมีตำแหน่ง หรือเคยมีตำแหน่งอะไรกันบ้าง คณะอาจารย์ลิขิตสงสัยว่า ทำไม คณะผม ถึงมีคนไปมากเหลือเกิน มีทั้งนักธุรกิจ ตัวแทนสื่อมวลชน ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าพรรค สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรองนายกรัฐมนตรี

ตำแหน่ง ๕ ตำแหน่ง ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัดจนถึงรองนายกรัฐมนตรี เป็นตำแหน่งในอดีต รวมอยู่ ที่ตัวผมคนเดียว พอทราบความจริงก็หัวเราะกันใหญ่ อาจารย์ลิขิตกล่าวชมเจ้าภาพว่า ชาวคาซัคสถาน ทั้งหญิง และชายเดินมา ๑๐ คน เป็นดาราหนังได้ถึง ๗ คน ทั้งทรวดทรงและหน้าตา สวยหล่อกว่า คนอีกหลายประเทศ นักธุรกิจในกลุ่มผมคนหนึ่งเพิ่งกลับจากอเมริกา ก็เดินทางต่อไป คาซัคสถานเลย เล่าให้ฟังว่า ชาวอเมริกันกำลังแย่แล้ว อีกหน่อยจะแข่งขันสู้กับใครเขาได้ เพราะทั้งหญิงและชาย อ้วนเกินขนาด อ้วนจนน่าตกใจ

ถือเอา เนื้อ นม ไข่ เป็นสรณะ จึงตุ๊ต๊ะผิดมนุษย์ อีกหน่อยคนไทยก็เหมือนกันเพราะตามก้นเขามา ติดๆ กลัวจะตกขบวน

เรื่องที่รัฐมนตรีคนหนึ่ง กล่าวหาว่ามูลนิธิชื่อผม ฮุบที่ดิน ส.ป.ก. สื่อมวลชนลงข่าวเกรียวกราว วิพากษ์ วิจารณ์ติติงท่านนายกฯ ต่อมาเวลาท่านไปพูดที่ไหน ท่านต้องชี้แจงบ่อยๆ ว่า ท่านไม่มีอะไรผิดใจ กับผม ยังรักนับถือกันเหมือนเดิม

เมื่อปลายเดือนกันยายน ท่านนายกฯไปเยี่ยมอาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ซึ่งลา ออกจากประธาน อพช. (สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน) ท่านนายกฯหารือว่า ถ้าเอาผมไปเป็นประธาน แทน ก็คงจะดี เพราะรู้เรื่องชุมชนเหมือนกัน

พอสื่อมวลชนลงข่าวไป นักพัฒนาบางคนโทรศัพท์สนับสนุนให้ผมรับ ผมขอบคุณแล้วปฏิเสธว่า หลายองค์กร ที่ผมเกี่ยวข้องอยู่ในขณะนี้ก็มากแล้ว ขืนรับอะไรมาเพิ่มอีก ผมไม่มีเวลาแน่

แล้วจู่ๆ ผมก็ได้รับจดหมายจากหมอดูคนหนึ่ง ซึ่งเป็นห่วงเรื่องท่านนายกฯกับผม มีข้อความดังนี้

๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๗
เรียนท่านพลตรีจำลอง ศรีเมือง
ผมเป็นคนชอบเรื่องการเมือง ตลอดระยะเวลากว่า ๕๐ ปี ผมติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมือง มาตลอด พรรคการเมืองที่ผมชื่นชอบมีอยู่ ๒ พรรค คือพรรคพลังธรรม และไทยรักไทย ตัวบุคคล ที่ผมชื่นชอบ ก็มีอยู่ ๒ ท่านคือท่านพลตรี จำลอง ศรีเมือง และท่านนายกฯทักษิณ แต่ระยะนี้ เห็นท่าน ทั้งสองมีปัญหา ไม่เข้าใจกัน ทำให้บาดหมางกัน ผมในฐานะคนไทยมีใจรักชาติ อยากให้ท่านทั้งสอง ทำความเข้าใจ ลืมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หาทางร่วมมือทำงานเพื่อประเทศชาติต่อไป

ผมเป็นคนชอบดูดวง ดูตามดวงของท่านกับท่านนายกฯแล้วเห็นว่า เดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ เป็นช่วง เวลาที่เหมาะกับการสมานมิตรของท่านกับนายกฯทักษิณมาก ช่วงเวลาดังกล่าว ลองหาคนที่บุคลิกดี ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ทางการเมืองเป็นผู้เจรจา จะได้ผลมาก

ตามที่ได้กล่าวมานี้ อยากให้ท่านลองทำดู เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวของท่านและท่านนายกฯ อันจะส่งผล ต่อประเทศชาติ อันเป็นจุดหมายสูงสุด

จากผู้รักแผ่นดินไทย


สมาชิกที่อยู่บ้านนอกคงคุ้นเคยกับคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นที่พึ่งของชาวบ้าน เขาไม่ใช่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ไม่ใช่สมาชิก อบต. เป็นอาสาสมัครไม่มีเงินเดือน เรียกชื่อว่า อสม. (อาสาสมัครสาธารณสุขมูลฐาน) ส่วนใหญ่ อยู่ในวัยหนุ่มสาว เสียสละช่วยชาวบ้านให้มีสุขภาพอนามัยที่ดี

เดือนที่แล้วเข้ารับการฝึกอบรมที่โรงเรียนผู้นำ ๒ จังหวัด จังหวัดละรุ่น คือ นครสวรรค์ กับชัยนาท โดยรวบรวม สมัครพรรคพวกไปกันเอง รัฐมนตรีสาธารณสุขทราบเข้าก็ดีใจ บอกให้ปลัดกระทรวง สนับสนุนอย่างเต็มที่ หากฝึกอบรมได้จำนวนมากพอ จะช่วยชาวบ้านได้ทั้งเรื่องเสริมสร้างสุขภาพ และเสริมสร้าง คุณงามความดี

อสม.บางคนเป็นสมาชิก อบต.ด้วย ยืนยันว่าจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์ จะไม่เป็นแบบ ที่แปลไป ในทางเสียหายว่า อบต. คือ อมทุกบาททุกสตางค์

อสม.คนหนึ่งจากอำเภอเมืองชัยนาทเสนอว่ารัฐมนตรีสาธารณสุขน่าจะให้เงินรางวัลประจำปีแก่ อสม. ทุกคน ผมบอกว่าเอาอีกแล้ว ประเดี๋ยวก็เหมือน ปปช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริต แห่งชาติ) ซึ่งกำลังถูกประชาชนรุมสวดกันอยู่ในขณะนี้ ที่เพิ่มเงินเดือนให้ตัวเอง

พลตำรวจเอก ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ปัจจุบันเป็น ส.ว. ได้เขียนบทความ ลงใน หนังสือพิมพ์ ฉบับวันที่ ๑๗ ตุลาคม ว่า มีคนอยู่ ๒ ก๊กแย่งชิงเงินจากภาษีอากรของประชาชน เพิ่มเงินเดือน ให้ตัวเอง

ศาลรัฐธรรมนูญเพิ่มไปแล้วตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฏาคม คนละ ๒๐,๐๐๐ บาทต่อเดือน ส่วน ปปช. กำลัง ขอเพิ่มคนละ ๔๕,๕๐๐ บาท ถูกคัดค้าน ถูกโจมตีอย่างรุนแรงอยู่ในเวลานี้

มูลนิธิธรรมิกชนเพื่อคนตาบอด ได้ส่งคณะครูและผู้บริหารในองค์กรเครือข่ายไปเข้าโรงเรียนผู้นำ ๑๑๐ คน เป็นคนตาบอด ๒๐ คน พวกเราชาวคณะโรงเรียนผู้นำเคยกังวลว่า คนตาบอดจะเข้าร่วม กิจกรรม ได้หรือ มีทั้งวิ่งและปีนเขาด้วย กลับตรงกันข้าม คนตาบอดปีนถึงยอดเขา โดยไม่ต้องให้ใครจูงเลย มีเพียงไม้นำทาง อันเล็กๆ อันหนึ่งเท่านั้น

เราเลยใช้นำไปอ้างกับคนตาดีทั้งหลาย ที่จะเข้าโรงเรียนผู้นำว่า แม้เขาจะสูงชัน คนตาบอดก็พิชิตได้ สำเร็จแล้ว คนตาดีจะกลัวอยู่ทำไม

โรงเรียนผู้นำพบมาหมดแล้ว ทั้งคนที่เป็นใบ้และคนตาบอด ความพิการทางร่างกายไม่ได้เป็นอุปสรรค ในการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาตนเองแต่อย่างใด ผู้เข้าร่วมรับการฝึกอบรมที่ร่างกายสมบูรณ์ มีกำลังใจ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ว่าขนาดเขาพิการ เขายังสู้ แล้วคนที่อาการครบ ๓๒ จะท้อได้อย่างไร

ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม ที่ผมเป็นประธานกรรมการ จัดการประชุมที่ สวนสามพราน ๒ วัน กับ ๑ คืน มีทั้งฆราวาส และนักบวชศาสนาต่างๆ ร่วมกันคิดว่า จะทำอย่างไร ให้คนในชาติ มีคุณธรรม เพื่อลดปัญหาขวางสังคมที่เกิดขึ้นในเวลานี้

แม้จะถือศาสนาต่างกัน แต่ก็สมัครสมานสามัคคีกันอย่างดียิ่ง ไม่ได้ถือเขาถือเรา ผู้เข้าประชุมทุกคน ติดใจ ขอให้จัดการประชุมอีก ผมเสนอในที่ประชุมว่า หลักธรรมของศาสนาพุทธ ยืนยันว่า "ตั้งตน อยู่ในความลำบาก กุศลธรรมเจริญ ตั้งตนอยู่ในความสบาย กุศลธรรมเสื่อม" การประชุมคราวหน้า เราควรหาสถานที่ ที่ลำบากกว่าสวนสามพราน ควรจะไปประชุมที่โรงเรียนผู้นำ ทุกคนเห็นชอบ ตามข้อเสนอ ของผม

ท่านเจ้าคุณศรีปริยัติโมลี ท่านเล่าให้ที่ประชุมฟังว่า เดิมท่านเผยแพร่ธรรมะจัดรายการวิทยุ อยู่หลาย สถานี มีอะไรที่ท่านเห็นว่าไม่ถูกไม่ต้อง ท่านก็พูดไป พูดอย่างไม่ยั้ง ปรากฏว่าเมื่อเร็วๆ นี้รายการ ของท่าน ถูกถอดหมด ออกวิทยุไม่ได้สักสถานีเดียว เพราะสถานีวิทยุหาว่า ท่านเป็นขาประจำไปแล้ว

เหมือนกับท่านจะติงเตือนนักเผยแพร่คุณธรรมผ่านสื่อมวลชนว่า ระวังจะโดนอย่างท่าน ถูกปัดไปเป็น ขาประจำ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ผมนั่งฟังท่านเพลิน ฟังจบก็คิดถึงตัวเอง ชอบคัดค้านท้วงติงท่านนายกฯดีนัก สักวันหนึ่ง จะต้องถูก แปรสภาพเป็นขาประจำกับเขาด้วยหรือไม่นี่

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ -