- จำลอง -


ใครๆ ที่เคยไปพบผมที่โรงเรียนผู้นำซึ่งเป็นบ้านป่านาดอย ก็มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น่าอยู่ น่าสบาย แต่ตัวผมเองกลับไม่ใคร่ได้อยู่ไม่ใคร่ได้สบาย ผมหาเรื่องเองบ้าง คนอื่นหาให้บ้าง ทำให้ผม ต้องไปต่างประเทศและไปต่างจังหวัดอยู่เป็นประจำในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา

โชคดีสังขารยังพอไปไหว หลายครั้งกว่าจะกลับถึงเมืองกาญจน์ก็เกือบสองยาม ตีสี่กว่าๆ ต้องตื่นแล้ว เพื่อเตรียมตัวพบกับผู้ไปรับการฝึกอบรมตอนตีห้า ถ้าต้องให้ใครไปรับไปส่งระหว่างโรงเรียนผู้นำ กับท่ารถ บขส. เขาคงลำบากแน่ ผมขับรถเก่ามากแก่มากไปซุกไว้ในตัวเมือง ขากลับลงจาก รถประจำทาง ที่กาญจน์ก็ขับรถที่จอดทิ้งไว้ เข้าโรงเรียนผู้นำได้เลย ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน

สองเดือนที่ผ่านมาผมไปญี่ปุ่นถึง ๕ ครั้ง หมอโทขุดะ เชิญให้ไปร่วมปรึกษาหารือเกี่ยวกับการสร้าง โรงพยาบาล ๑,๐๐๐ เตียงในกรุงเทพฯ ซึ่งผมได้เกริ่นให้ฟังใน "เราคิดอะไร" บ้างแล้ว คุณหมอป่วย เป็นโรคเกี่ยวกับสมองและประสาท จะว่ามีอาการเล็กน้อยก็ไม่ใช่ จะว่าอาการหนักก็ไม่เชิง

พบกันในระยะหลังๆ ผมบอกหมอโทขุดะว่าเรื่องโรงพยาบาลไม่สำคัญเท่าเรื่องสุขภาพ แกเถียงว่า ถ้าสร้างโรงพยาบาลในกรุงเทพฯเสร็จ อาการเจ็บป่วยจะดีขึ้นอีกมากมาย แกมั่นใจว่าโรคภัยไข้เจ็บ ที่กำลังเป็นอยู่นี้ จะหายด้วยความรัก ที่คิดเผื่อแผ่ให้คนไข้ในประเทศไทย ได้รับอานิสงส์ จากโรงพยาบาล ที่จะสร้างขึ้น

ไปโตเกียวหลายครั้ง อาการป่วยของคุณหมอไม่ดีขึ้นเลย ทั้งๆ ที่มีคลินิกและโรงพยาบาล ๒๕๒ แห่ง มากที่สุดในญี่ปุ่นและเป็นที่ ๒ ในโลก ก็ช่วยไม่ได้ ผมพูดกับแกว่า ผมไม่ใช่หมอ แต่หมอโทขุดะ ต้องยอมรับว่า ไม่มีหมอคนไหน โรงพยาบาลใด วิเศษที่จะรักษาให้หายทุกคนทุกโรค เข้าทำนอง ที่คนไทยพูดๆ กันว่า "ลางเนื้อชอบลางยา" แกพยักหน้าเห็นด้วย แต่พอผมเสนอว่าน่าจะหาหมอที่อื่น ประเทศอื่นไปรักษา เขาเฉยๆ

ผมทราบว่าคนญี่ปุ่นชอบและนับถือคนเยอรมัน บังเอิญผมกับคุณศิริลักษณ์รู้จักมักคุ้นมานานกับ คุณพรรณทิพา วัชโรบล อดีต ส.ส.กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของหมอประเทศต่างๆ หลายประเทศ ในการรักษาแบบ เซลล์ซ่อมเซลล์ อย่างได้ผล เคยได้รับรางวัลเหรียญทองจากสมาคมแพทย์เยอรมัน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนเยอรมันและไม่ได้เป็นหมอ ผมจึงบอกหมอโทขุดะว่า เกือบทุกครั้งที่ผมไปพบ ผมจะได้รับ การคาดคั้นให้ตรวจโรคทั้งๆ ที่ผมไม่มีอาการเจ็บป่วยอะไร แต่หมอมีอาการ ผมจะเอา อาจารย์พรรณทิพาไปรักษาแบบ เซลล์ซ่อมเซลล์ หมอโทขุดะยอม

เนื่องจากผมติดบรรยายที่โรงเรียนผู้นำ คุณศิริลักษณ์จึงไปแทน มีคุณปัทมาวดี วงศ์สายัณห์ เจ้าเก่า ที่เคยช่วยเหลือผมและคุณศิริลักษณ์ประสานกับชาวญี่ปุ่นมานานนับ ๒๐ ปี ไปช่วยด้วยตามเคย สองวันแรกหมอญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งนั้นที่แวดล้อมหมอโทขุดะอยู่ไม่ยอมให้คณะของเรารักษา เราตัดสินใจ เดินทางกลับ พอหมอโทขุดะรู้เข้าก็ตัดสินใจยอม หมอที่แวดล้อมต่างหนีหน้ากันไปหมด กลัวว่าหมอโทขุดะ ที่เป็นเจ้านายเกิดเป็นอันตรายไปตัวจะต้องติดร่างแหไปด้วย

อาจารย์พรรณทิพารักษาอยู่ ๔ วัน อาการหมอก็ดีขึ้นอย่างเห็นเด่นชัด เคยนอนหลับได้ช่วงละ ๒ ชั่วโมง ก็นอนติดต่อกันได้ถึง ๕ ชั่วโมง น้ำลายที่เคยไหลทุกสองสามนาทีก็นานๆ ไหลที ปอดดีกว่าเดิมเกินครึ่ง หมอโทขุดะถึงกับพูดต่อหน้าใครๆ ว่าหมอผู้เชี่ยวชาญของแกซึ่งมีอยู่จำนวนมากมาย ไม่มีใครช่วยแก ได้เลย มีแต่คณะของคนไทยเท่านั้น อาจารย์พรรณทิพาเชิญผู้เชี่ยวชาญการรักษาแบบ เซลล์ซ่อมเซลล์ จากเยอรมันไปช่วยรักษาอีก ๑ คน คณะของหมอโทขุดะยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น ศรัทธามากขึ้น

หมอเยอรมันนอกจากช่วยรักษาเพิ่มเติม ช่วยสอนหมอและพยาบาลที่อยู่รอบหมอโทขุดะแล้ว ยังแนะนำ โดยใช้คำพูดแรงๆ ให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ แนะให้เปลี่ยนพรมปูพื้นเพราะเป็นที่ดูดซับ เชื้อโรค เป็นภัยต่อคนไข้อย่างยิ่ง

หมอโทขุดะเคร่งเครียดกับการงานตลอดวัน ใครเตือนอย่างไรๆ ก็ไม่เชื่อ ภรรยา ลูกๆ และลูกน้อง คนสนิท ต่างวิตกกังวลไปตามๆ กัน ผมอาสาช่วยเตือนแกอีกแรงหนึ่งด้วย โดยพูดกับแกว่า

"หมอโทขุดะครับ หมอจำลองขอเตือน หมอต้องนอนกลางคืนอย่างน้อย ๗ ชั่วโมง กลางวันอย่างน้อย ๑ ชั่วโมง ถ้าหมอไม่พักให้พอ หมอเป็นอะไรไป ทุกอย่างที่คิดไว้จะล้มหมด"

ในระหว่างที่คณะคนไทยอยู่ แกเกรงใจ แกเชื่อ พอเรากลับมาก็คงเหมือนเดิมอีก แกมีกรรม เพราะติดพัน กับงานมากเกินไป ผมเคยได้รับคำติติงว่าทำงานมากเกินวัย หมอโทขุดะ ยิ่งกว่าผม ร้อยเท่า

สถาบันโรคไตและมะเร็งที่ผมเล่าให้ท่านสมาชิก "เราคิดอะไร" ทราบตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการแล้ว มีคนไข้ไปรับการรักษาเต็มทุกเตียง มีเครื่องล้างไต ๑๔ เครื่อง เป็นเครื่องที่บริจาคให้มูลนิธิเพียง ๓ เครื่อง อีก ๑๑ เครื่องยืมเขามา ซึ่งจะต้องส่งคืนเดือนธันวาคมนี้ พอหมอโทขุดะทราบก็ตกลงใจซื้อให้ ๑๑ เครื่องตามจำนวนที่ขาด เป็นเงิน ๔ ล้าน ๘ แสนบาทเศษ

เรื่องโรงพยาบาล ๑,๐๐๐ เตียง ถึงแม้เป็นโครงการใหญ่ใช้เงินมากก็ตาม หมอโทขุดะอาจทำสำเร็จ ตามคำพูด เพราะที่แล้วๆ มาไม่เคยผิดคำพูดเลย แกเป็น "หมอบ้า" เหมือนกับที่คนญี่ปุ่นด้วยกันเอง เคยบรรยายสรรพคุณไว้ เป็นหมอที่บ้า ทำเรื่องพิลึกกึกกือ ที่คนอื่นเขาทำไม่ได้

เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนมีการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ที่กระทรวงเกษตร ได้ขอให้ บริษัทเท่าทุนมหาชนจำกัด อธิบายถึงการขายปุ๋ยอินทรีย์ราคาเท่าทุนให้เกษตร ถูกกว่าปุ๋ยเคมี ครึ่งต่อครึ่ง

ท่านสมาชิก "เราคิดอะไร" บางท่านช่วยซื้อหุ้นบริษัทเท่าทุนตั้งแต่ตอนตั้งบริษัทใหม่ๆ เป็นหุ้นที่แปลก กว่า หุ้นของบริษัทใดๆ เจ้าของหุ้นไม่เครียด ไม่ต้องกลัวว่าหุ้นจะตก หุ้นไม่ตกและก็ไม่ขึ้น ซื้อแล้ว ซื้อเลย เอาหุ้นไปขายต่อให้ใครไม่ได้ เป็นหุ้นแห่งการเสียสละ บริจาคให้บริษัทเท่าทุน ในลักษณะซื้อหุ้น เป็นบริษัทมหาชนขณะที่ธนาคารทั่วประเทศ ยังไม่มีธนาคารใด เป็นธนาคาร มหาชนเลย

ซื้อของราคาเท่าไรก็ขายราคาเท่านั้น ทำมาค้าขายมากว่า ๑๐ ปี ทุนยังเท่าเดิม เพราะไม่เอากำไร ขณะที่เศรษฐกิจกำลังรุ่งและสินค้าต่างๆ ยังไม่มีมากนัก ขาย ๘ ปีมียอดขายถึง ๘๘ ล้านบาท ต่อมาเศรษฐกิจแย่ลงและสินค้ามีมากขึ้นเลยขายอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

จึงหันมาจับเรื่องปุ๋ยอินทรีย์ที่พวกผมและคณะชาวอโศกถนัด เป็นช่วงที่โชคดี ตั้งแต่ต้นปีมา ราคาปุ๋ยเคมี ขึ้นเอา ขึ้นเอา เกษตรกรจำเป็นต้องหาที่พึ่งใหม่ หลายเดือนมาแล้วผมพบท่านนายกฯ ทักษิณ ยืนยันว่าเราสามารถช่วยเกษตรกร ให้หายจนได้ โดยการขายปุ๋ยอินทรีย์ราคาเท่าทุน ท่านนายกฯ จะหาเงินงบประมาณมาให้ดำเนินการขายทั่วประเทศ ผมเรียนท่านว่าขอให้บริษัทเท่าทุน ที่นายกฯ เคยสนับสนุนมาตั้งแต่ยังไม่เป็นนายกฯ เป็นผู้บุกเบิกก่อน ได้ผลแล้วจึงทำในวงกว้าง

ในที่ประชุม บริษัทเท่าทุนรายงานว่า ได้ขายปุ๋ยอินทรีย์ทั่ว ๔ ภาคของประเทศรวมถึง ๑๙ จังหวัด เทียบปุ๋ยอินทรีย์กับปุ๋ยเคมี ที่น้ำหนักและคุณภาพเท่ากัน ราคาที่กาญจนบุรี ปุ๋ยอินทรีย์ถุงละ ๑๙๐ บาท ขณะที่ปุ๋ยเคมี ราคาแพงถึงถุงละ ๔๕๐ บาท

การจ้างผลิตนั้นทำพร้อมๆ กัน ๒ วิธี คือ จ้างบริษัทใหญ่ๆ ผลิตปุ๋ยตามสูตรที่บริษัทเท่าทุนกำหนด วิธีนี้ดีตรงที่ว่าสามารถเพิ่มการผลิตให้มากเท่าไรก็ได้ วิธีที่สองคือ จ้างชาวบ้านผลิต จ้างชาวบ้าน ขายให้กับเกษตรกรในท้องถิ่นเดียวกันนั้น ช่วยทำให้เกษตรกรมีงานทำเพิ่มขึ้น ช่วยให้ชุมชนเข้มแข็ง

ที่ประชุมได้นิมนต์ท่านเสียงศีล สมณะผู้ได้รับการยกย่องเป็นครูภูมิปัญญาไทย ซึ่งคลุกคลีกับ เกษตรอินทรีย์ มากว่า ๒๐ ปี เข้าร่วมประชุมด้วย ท่านจัดนิทรรศการเกษตรอินทรีย์ ให้กรรมการ ได้รู้ได้เห็น ว่าเกษตรอินทรีย์ขณะนี้ก้าวหน้าไปเพียงใด มีทั้งแผ่นภาพ หนังสือ เทป และแผ่นซีดี ก่อนเข้าห้องประชุม ถ้าคณะกรรมการมีเวลาดูนิทรรศการ นานๆ ก็จะได้ประโยชน์มาก

หลังจากฟังคำอธิบายของผู้จัดการบริษัทเท่าทุน (คุณกอบกุล ตันติเวช) แล้วไม่มีกรรมการคนไหน คัดค้าน ต่างเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ ส่งผลการบุกเบิกให้รัฐบาลรับไปทำตามแนวทางของ บริษัทเท่าทุน ผมได้เสนอ มติของที่ประชุมให้ท่านนายกฯทราบแล้ว ทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษร และเรียนท่านด้วยวาจา

เรียนเสนอแนะให้ท่านนายกฯ สั่งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดขายปุ๋ยอินทรีย์ให้เกษตรกรในจังหวัดนั้นๆ ราคา เท่าทุน ซึ่งบริษัทเท่าทุนพร้อมที่จะช่วยให้แนวความคิดตลอดเวลา โดยผู้ว่าฯมีเงินงบประมาณอยู่แล้ว ถ้าผู้ว่าฯทุกจังหวัดทำอย่างจริงจัง เกษตรกรรายย่อยจะลดต้นทุนการผลิตได้มากมาย

ผู้ที่อยู่ในวงการขายปุ๋ยต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จะได้รับการต่อต้านอย่างมากจากผู้ค้าปุ๋ยเคมี เพราะถ้าเผยแพร่ปุ๋ยอินทรีย์อย่างได้ผล เขาจะขาดผลประโยชน์มหาศาล

หลายปีมาแล้วผมได้รับเชิญให้ไปพูดในที่ประชุมนักเกษตรเคมี ผมพูดให้เบาใจว่า การเผยแพร่ เกษตรอินทรีย์ ของผมและคณะ จะไม่ได้ผลเท่าไร คงเหมือนการเผยแพร่มังสวิรัติ ทำมาตั้งหลายปี มีคนกินมังสวิรัติ จำนวนนิดเดียว ผมพูดในลักษณะที่ว่าเขาเผยแพร่เกษตรเคมีก็เผยแพร่ไป ส่วนผม ก็เผยแพร่เกษตรอินทรีย์ "อย่ามีเวรแก่กันและกันเลย"

มาวันนี้เกษตรอินทรีย์ไปได้กว้างและรวดเร็วเกินคาด เป็นที่วิตกกังวลของนักเกษตรเคมี จะหยุดยั้ง รั้งหน่วงอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เพราะเกษตรกรรายย่อยเข้าตาอับจริงๆ ถ้าไม่หันมาทำเกษตรอินทรีย์

ไป ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้คราวนี้ได้รู้ได้เห็นอะไรหลายอย่าง ท่านอดีตผู้อำนวยการ โรงพยาบาล หาดใหญ่ พร้อมด้วยอาจารย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สองสามีภรรยาดักพบผมที่หาดใหญ่ เป็นห่วง เรื่องนกกระดาษที่จะเอาไปโปรยโดยเครื่องบิน

อย่าโปรยลงในเขตมัสยิด เพราะนกกระดาษที่ชักชวนกันพับ ๖๓ ล้านตัว นั้นไม่ได้มีเฉพาะตัวนก แต่มีข้อความติดไว้ด้วย เขียนด่าพี่น้องชาวมุสลิมก็มี ถ้านกไปตกที่มัสยิด จะกลายเป็นเรื่องเป็นราว ขึ้นมา ซึ่งผมได้เรียนให้นายกฯ ทักษิณทราบแล้ว

เหตุการณ์ที่อำเภอตากใบ ผู้บาดเจ็บจากการถูกคนอื่นทับหลายคนเป็นโรคไตวายเฉียบพลัน โรงพยาบาล ของรัฐล้างไตให้ครั้งสองครั้งก็ให้กลับบ้าน ซึ่งที่จริงจะต้องล้างไตติดต่อกันเป็นเวลา ๒ ถึง ๓ เดือน เขาเดือดร้อนมาก ผมจะเรียนให้ท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุขทราบ ในโอกาสพบกัน ที่บ้านพิษณุโลก ต้นเดือนธันวาคมนี้

เราได้ไปเยี่ยมผู้ประสบภัย ทั้งผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุม ญาติของผู้เสียชีวิต เด็กกำพร้า และ หญิงม่าย มีอยู่รายหนึ่ง สามีมีภรรยา ๒ คน คนแรกมีลูก ๗ คน แกเป็นภรรยาคนที่ ๒ พวกเรา ถามเขา ด้วยความห่วงใยว่าที่แล้วมาแกมีอาชีพอะไร ได้รับคำตอบว่า "คลอดลูก"

เมื่อสามีเสียชีวิต ลูก ๑๐ คนก็ขาดที่พึ่ง ไม่รู้ต่อไปใครจะช่วยเรื่องการศึกษาของลูก เรื่องนี้ผมได้เรียน ท่านนายกฯ ทักษิณทราบแล้วเช่นกัน

เรื่องการศึกษาพวกเราก็เป็นห่วงอีก ถามเด็กคนหนึ่งว่าแกเรียนอยู่ ป.ไหน แกตอบทันที่ว่า "เรียนอยู่ปอเนาะ"

เดิมผมคิดจะชวนกันไปวันที่ ๕ ธันวาคมอีกครั้งหนึ่ง แต่หลายคนติดหลายงานวันเฉลิม-พระชนม พรรษา จึงเลื่อนมาวันที่ ๔ ธันวาคม จะนำเงินจาก "คณะกรรมการรวมน้ำใจชาวไทยสู่ชาวอิรัก" ที่ยังเหลือ อยู่อีกประมาณ ๒ ล้าน ๕ แสนบาทไปช่วย ซึ่งบังเอิญอีกนั่นแหละ ที่ผมเป็น ประธานกรรมการ ชุดนั้น นอกจากเงินแล้วผมและคณะก็จะขนไปรษณียบัตร ที่เขียนมาจากทั่วประเทศ ผ่านศูนย์คุณธรรมไปมอบให้เป็นกำลังใจด้วย

ประเทศไทยมีหลายศาสนาก็จริง แต่ก็อยู่ด้วยกันปรกติสุขมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพิ่งมาเกิดเหตุเภทภัย ในวันนี้ เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง

เราไปเยี่ยมประชาชนผู้ประสบภัยที่มัสยิดแห่งหนึ่งในอำเภอตากใบ ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ อิหม่าม กล่าวว่าดีใจ ที่ผู้แทนทุกศาสนาไปเยี่ยม ยังไม่เคยรวมกันไปเยี่ยมทุกศาสนาอย่างนี้มาก่อนเลย (มีทั้งพระ บาทหลวง อิหม่ามจากจังหวัดอื่น ชาวซิกข์ แม่ชีไทย และแม่ชีคาธอลิค)

ผมในฐานะหัวหน้าคณะบอกกับพี่น้องชาวมุสลิมว่า คนไทยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนต่างก็ห่วงใย เห็นใจ อยากให้เหตุการณ์สงบลงโดยเร็ว เครือข่ายศูนย์คุณธรรมจะกลับมาเยี่ยมอีก

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๓ ธันวาคม ๒๕๔๗ -