นานาสังวาส: เขตสมานฉันท์ศานติวิถีพุทธ - วิมุตตินันทะ -


กรณีงานวิสาขบูชา ซึ่งคิดจะจัดให้ยิ่งใหญ่ที่พุทธมณฑล เพื่อสร้างกระแสปฏิบัติบูชา อย่างน้อย ตั้งสัจจะอธิษฐานลด ละ เลิก บาปอะไรสักอย่าง โดยรัฐจะใช้เวลา ๓ ปีข้างหน้า นำพาชาวพุทธเกิดศรัทธา สร้างพลังใจเพื่อถวายแด่ในหลวง งานนี้จะมีสงฆ์ จากทุกคณะมาร่วมงาน วาดฝันจะให้เป็นงาน วิสาขบูชาโลกต่อไป

เสร็จแล้ว เกิดอุปสรรค เนื่องจากมหาเถรสมาคมกังวลใจว่า บางภาคีที่นำมาร่วมงาน ทาง มส.เคยมี ปกาสนียกรรม เมื่อปี ๒๕๓๒ ห้ามพระสงฆ์ไปร่วมคบค้าสมาคมด้วย ซึ่งประกาศนั้นยังคงมีผลบังคับอยู่ ไม่สามารถ จะแก้ไขได้ (ไทยโพสต์ ๑๒ เม.ย. ๔๘)

รู้สึกน่าเสียดายที่หลายฝ่ายไม่ได้ร่วมงานนี้ และก็น่าเห็นใจคณะสงฆ์กระแสหลัก ซึ่งปักมั่นถือเหนียว เกี่ยวกับ มติเดิม "กรณีสันติอโศก"

มันเป็นเคราะห์ร้ายของคณะสงฆ์สันติอโศก ที่เคยถูกคณะการกสงฆ์อันตั้งโดยมหาเถรสมาคม ทำบัพพาชนียกรรม คือขับออก จากหมู่ ในปี ๒๕๓๒ ทั้งๆ ที่คณะสงฆ์ชาวอโศกก่อนหน้านั้น ตั้งสำนักอยู่ที่ แดนอโศก นครปฐม ได้ประกาศต่อที่ประชุมสงฆ์ และพระสังฆาธิการ อำเภอกำแพงแสนรวม ๑๘๐ รูป ขอลาออก จากฝ่ายปกครองสงฆ์ โดยประกาศ เป็นนานาสังวาส กับสงฆ์ ทั้งธรรมยุตและมหานิกาย ในปี ๒๕๑๘ ก่อนหน้าจะเกิด กรณีสันติอโศกตั้งสิบกว่าปี

การประกาศนานาสังวาสของพระอโศกในครั้งนั้น เป็นที่รับรู้ของมหาเถรสมาคมและ กรมการศาสนามาตลอด ดังเช่นในปี ๒๕๒๕ กรมการศาสนาได้แจ้งการรถไฟฯ ไม่ให้สิทธิ ลดค่าโดยสารรถไฟ เพราะถือว่า พระภิกษุ สามเณร สำนักสันติอโศก มิได้อยู่ในปกครอง ของคณะสงฆ์ไทย

และแล้ว ต้องถือเป็นเรื่องน่าเศร้าขนาดไหน ในเมื่อมหาเถรสมาคม เคยปฏิบัติตามธรรมนิยมของนานาสังวาส กับพระชาวอโศก คือต่างคน ต่างถือปฏิบัติ ตามศรัทธาและปัญญา ไม่ต้องมาก้าวก่าย ล่วงล้ำสิทธิมนุษยชน ในการปฏิบัติตามลัทธิวิถีพุทธ ที่ต่างฝ่ายต่างเชื่อถือ เสร็จแล้ว วันร้ายคืนร้าย ผ่านไป ๑๓ ปี จู่จู่ มส. ค่อยคิดอ่าน เล่นงาน เอาเป็นเอาตาย กับสันติอโศกขึ้นมา ในปี ๒๕๓๑ โดยลงมติให้ตั้งคณะการกสงฆ์ ขึ้นมา มีอำนาจ เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพื่อจัดการเฉพาะกิจ กรณีสันติอโศก หนึ่งเดียวเท่านั้น

แน่นอน เบื้องหลังการทำย่อมมีเหตุ และคงจะมีหลายเหตุหลายปัจจัยอยู่ด้วย เพราะจวบเหมาะกับ พรรคพลังธรรม กำลังมีบทบาท ทางการเมือง ในยุคนั้นพอดี กระแสดาวรุ่ง เกินคาดหมาย ถ้ามาแรง เมื่อก้าวกระโดด สู่ระดับชาติ อาจขึ้นมา เป็นรัฐบาล ความหวาดกลัวว่า พลังศรัทธาศาสนาแนวสันติอโศก จะถูกใช้เป็นเครื่องมือ ด้านการเมือง จึงเกิดกระแส ต่อต้าน สันติอโศก จากหลายฝ่าย

บทบาทสำคัญยิ่งอันหนึ่ง ซึ่งอดที่ไม่อ้างถึงไม่ได้ (ขออภัยที่ต้องให้เกียรติระบุลงไปตรงๆ ให้ชัดเจน ไม่อ้อมค้อม) คืออิทธิพล หนังสือปกขาว "กรณีสันติอโศก" โดยพระเทพเวที ในสมัยนั้นนั่นเอง

ด้วยความยอมรับนับถือกันทั่วไปไม่น้อยว่า ท่านเป็นปราชญ์เอกสำคัญ ทางพุทธกระแสหลักด้วยผู้หนึ่ง น้ำหนักต่อต้านสันติอโศก จึงมาแรงมาก ถึงขนาดมหาเถรสมาคม ระดมสงฆ์กว่า ๕,๐๐๐ รูป มาทำ ปกาสนียกรรม ที่พุทธมณฑล พร้อมกันนั้น ก็ให้มีการ คว่ำบาตร ไปทั่วทุกจังหวัด มหาเถรฯทำแค่นี้ยังไม่พอ จนกระทั่ง เป็นคดีฟ้องร้องสู่ศาล

ทั้งๆ ที่กระทรวงศึกษาธิการ พยายามประนีประนอม โดยให้สันติอโศกเสียสละ เช่นให้เปลี่ยนรูปลักษณ์ แบบพระทั่วไป คือ ไม่ใช้คำว่า พระภิกษุสงฆ์ นักบวช นักพรต เปลี่ยนชุดจีวร เป็นเสื้อแขนกระบอกสีกรัก และ ทำบัตรประชาชน ในฐานะนายบุคคล เป็นต้น

เมื่อพระสันติอโศกยอมถอยสุดๆ ออกจากรูปแบบพระภิกษุสามเณร ในคณะสงฆ์ไทย ดังกล่าวแล้ว มหาเถรสมาคม ยังรุกต่อ โดยออกคำสั่งให้ พระโพธิรักษ์ สละสมณเพศ เมื่อ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๒ ครั้น พระโพธิรักษ์ ไม่ยอมเปล่งวาจาสึก ทางการ ฟ้องศาล โทษฐานขัดคำสั่ง ตามมาตรา ๒๗ เรื่องจบตรงที่พ ระโพธิรักษ์แพ้คดี เพราะไม่ยอมสึก ตามคำสั่ง มหาเถรสมาคม ศาลสั่งรออาญา ๒ ปีพร้อมคุมประพฤติ

บัดนี้ทุกอย่างผ่านพ้นแล้ว เหลือแต่ความร้าวฉานบาดหมางค้างคาใจ ในผู้ถืออัตตา ยังปลดปล่อย ปลงวาง ไม่ลง สุดท้าย ยังแก้ไข หาทางออก ดีกว่านี้ ไม่ได้เลย!

แทนที่เหตุการณ์ลาออกจากคณะสงฆ์ พร้อมประกาศนานาสังวาส ของพระโพธิรักษ์และคณะ เมื่อสามสิบ ปีก่อน น่าจะเรียบร้อยดี ตามพระธรรมวินัย โดยมหาเถรสมาคม ก็ยอมรับ และทำตามหลัก นานาสังวาส อยู่ถึง ๑๓ ปี

เสร็จแล้วอนิจจา มาเกิดพลิกผันหันมาเอาเรื่องขึ้นศาล ในปี ๒๕๓๒ โทษฐานลาออกจากคณะสงฆ์ไทย เป็นมูลเหตุสำคัญ เป็นการเอาผิด ตามกฎหมายมหาเถรฯ เต็มๆ อีกทั้งเท่ากับกวาดทิ้ง หลักนานาสังวาส ที่เคยปฏิบัติต่อกันด้วยดี ก่อนหน้านั้น โดยกล่าวหาเอาโทษ ทางธรรมวินัยต่างๆ นานา ประกอบคดี แต่ไม่ยอม ทำตาม กฎนิคหกรรม ไม่มีการไต่สวน ผู้ถูกโจทท้วง หรือ ตัดสินความลับหลังจำเลย เพราะเถรสมาคมถือว่า มีอำนาจชอบธรรม ตามกฎหมาย พรบ.คณะสงฆ์ มาตรา ๒๗ เพียงพอ ที่จะสั่งการใดๆ ได้

ด้วยความเคารพต่อศาล คดีความกฎหมาย เป็นอันหมดปัญหา คือต้องจบตามคำพิพากษาเมื่อถึงที่สุด โดยมหาเถรสมาคม เป็นฝ่าย ชนะคดี ส่วนพระโพธิรักษ์ เป็นผู้แพ้ และรับโทษ ตามพิพากษา ไปเรียบร้อย ประเทศไทย

ผลพวงของการชนะความกฎหมายคดีทางโลก ควรจะปรากฏและเข้าใจกันลักษณะใด?

พระของมหาเถรสมาคมส่วนใหญ่คงจะสำคัญว่า สมณะโพธิรักษ์นอกจากทำผิดกฎหมาย พ.ร.บ.คณะสงฆ์ แล้ว ยังผิด พระธรรมวินัย อย่างร้ายแรง นานาประการ ดังที่ต้องได้ยินข่าวเสมอ เมื่อพาดพิงอ้างอิงถึง โดยเฉพาะ เรื่องคอขาดบาดตาย เช่น คว่ำบาตร ด้วยประกาศลง บัพพาชนียกรรม ขับสงฆ์ออกจากหมู่ใหญ่ ก่อนหน้า จะฟ้องศาล เป็นความชอบธรรมแท้ๆ แล้วหรือ?!

ไม่รู้มีธรรมเนียมที่ไหน คนเขาลาออกจากหมู่คณะไปแล้วตั้งนานสิบกว่าปี เถรสมาคมก็รับทราบเต็มๆ ด้วยดี เสร็จแล้วยังแย้ง อุตส่าห์ดึงกลับมา เพื่อขับไล่ไสส่ง ออกไปอีกทีหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม อันที่จริง ถึงแม้ศาลสถิตยุติธรรม จะตัดสินสมณะโพธิรักษ์และคณะ ว่าทำผิดกฎหมายสงฆ์ นั่นก็เป็นเพียง ปัญหาทางกฎหมาย แค่นั้นเอง ด้วยความเคารพต่อศาล สาธุชนควรชัดเจน ในความจริง อันลึกซึ้ง ถึงไหน อย่างไรบ้าง...

สำหรับประเด็นปัญหาผิดพระธรรมวินัยอะไรต่างๆ อื่นไกล ใครจะตีขลุมโมเมเหมาเอาตามศาลไหนๆ ด้วย คงไม่ถูกเรื่องแน่นอน เพราะวิสัยฆราวาส ไม่อาจล่วงล้ำ ไปตัดสินความ ของหมู่สงฆ์ใดๆ ได้เลย ปัญหาของสงฆ์ ก็เป็นเรื่องของสงฆ์ สมานสังวาส จะพึงจัดการกันเองภายใน ไปตามหลัก พระธรรมวินัย

โดยเฉพาะชาวพุทธทั่วไป จะเชื่อฟังฝ่ายไหนดี ในขณะที่พระมหาเถรสมาคมน้อยใหญ่หลายๆ ท่าน ชอบออกมากล่าวหา ซ้ำซาก ตลอดเวลาว่า สันติอโศก ผิดธรรมวินัย ทั้งสอนผิด และทำผิดธรรมวินัย โดยไม่ระบุว่า ผิดศีลข้อใด ธรรมข้อไหนบ้าง อย่างไรกันแน่

ในความรู้สึกนึกคิดของชาวสันติอโศก ควรได้รับความเห็นอกเห็นใจอะไรบ้างไหม หรือจะต้องรับวิบากกรรม ถูกพระมหาเถรสมาคม คอยมัดมือชก และตราหน้าว่า เป็นพวกผิดบาป ผิดธรรม ผิดวินัยไปตลอดกาล ไปอีกนานเท่านาน ถึงไหนเอ่ย...

ปัญหาสำคัญเฉพาะหน้าคือข้อกล่าวหาว่า สันติอโศกผิดธรรมวินัยต่างๆ นานา ทั้งหมดนั้น ใครเป็นผู้ตัดสิน ผิดถูก หรือพิสูจน์ เท็จจริง ประการใด.. ที่ไหน.. เมื่อไหร่..

คำตอบคือ ไม่มีศาลไหนพึงกระทำ นอกจากฝ่ายมหาเถรสมาคมตั้งข้อกล่าวหา แล้วตัดสินเองเสร็จ โดยไม่เคย เปิดเวที ให้สมณะ โพธิรักษ์ ผู้ถูกโจท ได้เปิดปากพิสูจน์ตัวเองบ้าง

ดังนั้น ในสถานการณ์ที่ความผิดถูกพระธรรมวินัย ยังเป็นประเด็น ปัญหาเรื้อรัง เกิดการกล่าวร้ายสันติอโศก โดยไม่จบสิ้น แม้สันติอโศก จะยอมเป็นผู้แพ้คดี (โลก) แต่สำหรับ ปัญหาพระธรรมวินัย สันติอโศกทำผิดถูก อย่างไรแค่ไหน จะปล่อยให้ ชาวพุทธ ฟังความข้างเดียว แล้วด่วนเชื่ออะไรง่ายๆ ได้เลย มันคงจะเสียธรรม โดยเฉพาะ หากสันติอโศก ไม่ได้ทำผิด อย่างที่คิด หรือกลับทำถูกเกินคาดด้วยซ้ำ ประมาณนี้เป็นต้น เท็จจริง เป็นเช่นใดกันแน่...

ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้จะไม่อยากจะฟื้นฝอยหาตะเข็บ ในฐานะเป็นฝ่ายยึดถือศรัทธา พระธรรมวินัย ในพระไตรปิฎก เล่มเดียวกัน สันติอโศกย่อมอาจหาญ แกล้วกล้าพอตัว ในการพิสูจน์ข้อกล่าวหา ด้านธรรมวินัย ทั้งหมดทั้งมวล เรื่องจึงจำเป็นอยู่เอง ที่ไม่ควรทำนิ่งใบ้ จนปล่อยให้ความจริง ถูกบิดเบือน โดยใช่เหตุ

ข้อโต้แย้งโดยผู้ถูกกล่าวหา จึงเกิดขึ้นมาให้เห็นอีกบ้าง เพื่อให้ชาวพุทธได้ฟังความ ทั้งสองฝ่าย สุดท้าย ทุกท่าน สามารถตัดสิน เอาเองว่า ข้อเท็จจริง มีตื้นลึก หนาบาง อย่างไรบ้าง ข้างไหนผิด ฝ่ายใดถูกกันแน่...

เฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาคดีพระธรรมวินัยของสงฆ์ จะจบลงตรงไหน เมื่อไหร่เอ่ย!

# สันติอโศกผิดพระธรรมวินัยจริงหรือไม่?

แรกเริ่มเดิมที ก่อนจะเกิดคดีสันติอโศก เป็นเจตนาของพระเทพเวที ชูธงความคิด ให้เอาผิดกับพระโพธิรักษ์ โดยออกหนังสือ กรณีสันติอโศก เมื่อ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๓๑ นับเป็นการจุดประกาย ให้เกิดการขับเคลื่อน และรับลูกต่อ ไปดำเนินการ กระทั่ง ขึ้นศาลตัดสิน ในที่สุด

สาระสำคัญ ในทัศนะของพระเทพเวที มีอยู่ ๒ ประเด็นใหญ่ อันน่าจะสรุปไว้ในที่นี้ คือ

๑.การลาออกจากคณะสงฆ์ไทย ต้องลาสิกขา

"ท่านจะลาออกอย่างไรก็ตาม ในเมื่อท่านยังไม่ได้สึก การบวชนั้นก็ยังติดตัวท่านอยู่ ความเป็นพระไทย ก็ยังติดตัวท่านอยู่ ถึงลาออก ก็จะพ้นได้อย่างไร ในเมื่อท่านบวชเข้ามา โดยวิธีการบวชแบบนั้น ถ้าท่านสละ การบวชแบบนั้น ท่านก็ต้องสึกไปก่อน..." (แรงจูงใจในการเขียน กรณีสันติอโศก หน้า ๒๙)

สันติอโศกมองต่างมุมว่า การลาออกจากคณะสงฆ์ไทย ไม่มีข้อห้ามในกฎหมายใด เฉพาะอย่างยิ่ง เป็นการประกาศ นานาสังวาส ตามพุทธานุญาต การออกจาก สมานสังวาส ในหมู่คณะเดิม ที่เคยบวช ไม่ปรากฏธรรมวินัยข้อไหน บัญญัติให้ต้องลาสิกขา อะไรด้วยเลย

เพียงการทำตนเองให้เป็นนานาสังวาสกับหมู่สงฆ์ใด เรื่องอะไรจะต้องลงทุน บอกคืนสิกขา กลับคืนสู่คฤหัสถ์ นั่นคือ แค่ยอมรับ สักหน่อยว่า นานาสังวาส เป็นเรื่องที่ทำได้ ตามธรรมวินัย การแจ้งความลาออกจาก สมานสังวาส ในคณะสงฆ์ไทย ก็จำเป็นต้องทำ ควบคู่กันไป พร้อมโดยปริยาย ให้ถูกกฎหมายสงฆ์ด้วยนั่นเอง

ปัญหาจึงน่าจะสรุปว่า พระเทพเวทีเล่นแง่กฎหมายโดดๆ โดยตีความเอาเองว่า การลาออกจากคณะสงฆ์ จำเป็นต้องลาสิกขา ประตูเดียว แต่ไม่เห็นพูดอะไรเลยว่า การประกาศนานาสังวาส ของพระโพธิรักษ์ ผิดพระธรรมวินัย ตรงไหน เพราะถ้า นานาสังวาสไม่ผิด ย่อมเชื่อมโยง อันเดียวกับการลาออก ซึ่งจะต้อง ทำได้ด้วย เช่นกัน

๒.พระโพธิรักษ์ทำพระธรรมวินัยให้วิปริต

"การทำคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ผิดเพี้ยน โดยล้มล้างดัดแปลงและบิดเบือนพุทธพจน์ หรือพุทธบัญญัติ หรือนำคำสอนของ ลัทธิศาสนาภายนอก มาสอนปนปลอม เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ตลอดจนตั้ง บัญญัติของตนขึ้นใหม่ ซ้อนทับแทนบัญญัติ ในพระไตรปิฎก อย่างที่เรียกว่า ทำพระธรรมวินัยให้วิปริต" (เพื่อความเข้าใจ ปัญหาโพธิรักษ์ หน้า ๕-๖)

พระเทพเวทีตั้งตนเป็นเหมือนผู้ตัดสินชี้ถูกชี้ผิด ในการแปลบัญญัติภาษา พระธรรมวินัย ยิ่งเมื่อ สมณะโพธิรักษ์ สอนบางมุม ต่างจากพระไตรปิฎก ฝ่ายเถรวาท พระเทพเวที ก็ด่วนเพ่งโทษว่าทุจริต ไม่ซื่อตรง ต่อพุทธศาสนา โดยไม่ยอมใช้หลัก มหาปเทส ๔ พิจารณาว่า หลักธรรมนั้นๆ เข้าหรือไม่เข้า กับสิ่งควร หรือไม่ควร อย่างไร และไม่ยอมใช้ หลักตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ ว่าอันใด เป็นธรรมวินัย ที่พระพุทธเจ้า ทรงสอนหรือไม่

ขณะเดียวกัน สมณะโพธิรักษ์ ก็รับฟังข้อทักท้วงเบ็ดเตล็ดเชิงภาษาศัพท์ไวยากรณ์ ในการแปลความ ซึ่งผู้ศึกษาปริยัติ แบบแยกส่วน อย่างท่านพระเทพเวที ถือสาข้อผิดพลาด ปกิณกะในตัวพยัญชนะภาษา เป็นเรื่องร้ายแรง ถึงขั้นทำลายหลักการ พุทธศาสนา นับเป็นจุดยืนห่างไกลกันมาก ยิ่งสมณะโพธิรักษ์ ปฏิเสธคำสอนหลายๆ อัน ของอรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ ผู้ติดยึด ลำพังปริยัติเปล่าๆ มากเกินไป เช่น ท่านพระเทพเวที ย่อมลำบาก ที่จะรับฟังภูมิปัญญาสาระอรรถะ ในทัศนะ ที่แตกต่างได้โดยง่าย

ข้อสังเกตสำคัญยิ่งยวด กับปัญหาใครสอนผิดๆ ถูกๆ คือถึงแม้สันติอโศก จะโดนใส่ร้าย ว่าสอนผิดเพี้ยน ออกนอกพุทธ ผิดพระธรรมวินัยอะไรไป แต่กับความจริงที่ลงตัว ในหมู่ผู้ศรัทธา ปริยัติ ปฏิบัติ จนเกิดปฏิเวธ ยืนยันมรรคผล โดยองค์รวม เรากลับเห็น ปรากฏการณ์ชัดเจนว่า มีผู้ลดละโลภโกรธหลง เว้นขาดอบายมุข สิ่งฟุ้งเฟ้อ หันมามักน้อย ด้วยเศรษฐกิจพอเพียง พึ่งตนจนเหลือ เผื่อแผ่ ให้คนอื่นพึ่งพาได้อีก กระทั่ง ก่อเกิดชุมชนหมู่กลุ่ม รวมกันอยู่แบบบุญนิยม ทวนกระแสบริโภคนิยม เป็นตัวอย่าง ให้ดูได้ นับสิบ นับร้อยแห่ง ทั่วประเทศ

เมื่อคณะสันติอโศกสามารถนำพาชาวพุทธปฏิบัติตัดกิเลส กล้าจน กล้าให้เสียสละได้จริง มากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านเดือนปีมานาน ตามลำดับ และแน่ใจว่า จะต่อเนื่อง ยั่งยืนก้าวหน้ายิ่งขึ้น ในวันข้างหน้า ความจริง ที่ยืนยันยืนหยัด ดังกล่าวมานี้ พอจะเป็น คำตอบได้ไหม ที่จะช่วยบรรเทาความคลางแคลงใจ ของท่าน พระเทพเวที ซึ่งเคยกล่าวโทษ ท่านโพธิรักษ์ ว่าไม่ซื่อตรง กลัวแอบแฝง ปลอมแปลง ลัทธิพุทธ อะไรต่างๆ...!?

# มหาเถรสมาคม จัดการสันติอโศก ถูกพระธรรมวินัยตรงแท้แน่นอนแล้วหรือ?

จากจุดเริ่มต้น เมื่อพระโพธิรักษ์กับคณะสงฆ์แดนอโศก ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากฝ่ายปกครองสงฆ์ ในสมัย ๓๐ ปีก่อนนั้น จนกระทั่ง ต้องขอปลดปล่อยตัวเอง ด้วยการลาออก ประกาศนานาสังวาส ในปี ๒๕๑๘ ท่าทีของ มหาเถรสมาคม ที่เคยปฏิบัติ ในฐานะนานาสังวาสต่อกัน เป็นไปตามธรรมวินัยด้วยดี จนมาถึงปี ๒๕๓๑ จึงตั้งคณะการกสงฆ์ขึ้นมา เอาโทษกับสันติอโศก

ความพลิกผันของมหาเถรสมาคม จากที่เคยรับรองและปฏิบัติตามหลักการนานาสังวาส กลับมาละทิ้งจุดยืน ตามธรรมวินัย แล้วหันมาใช้อำนาจ ตามกฎหมายสงฆ์ ม.๒๗ รวบรัดตัดความ ลงมติโดยไม่ผ่านการไต่สวน พร้อมหน้าจำเลย แม้จะถูกกฎหมาย และชนะคดีในศาลไปแล้วก็ตาม สำหรับความชอบธรรม ตามพระธรรมวินัย ยังย้อนแย้ง ผิดวินัยบัญญัติ ตั้งแต่ต้นชนปลาย เช่น ละเมิดหลักนานาสังวาส หลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ

เป็นต้นว่า สันติอโศกเป็นนานาสังวาสกับคณะสงฆ์ของมหาเถรสมาคมไปแล้ว ตั้งนานปีดีดัก มหาเถรสมาคม ยังจะล้ำเส้น ไปกล่าวหาอาบัติ ธรรมวินัยอะไรๆ ได้อย่างไรอีก

เฉพาะอย่างยิ่ง ในตัวคณะการกสงฆ์ที่แต่งตั้งกันขึ้นมาทำ ปกาสนียกรรม จะทำสังฆกรรม ลงบัพพาชนียกรรม ได้ที่ไหน เพราะการกสงฆ์ มีสงฆ์นานาสังวาส ทั้งธรรมยุต กับมหานิกาย มารวมหัวกันลงมติ สังฆกรรมของ คณะการกสงฆ์ ย่อมเป็นโมฆะ ผิดหลัก นานาสังวาส อยู่แล้วเห็นๆ

จะเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วหรือยังว่า เพียงยอมรับความเป็นจริงของนานาสังวาส ระหว่าง มหาเถรสมาคม กับ สันติอโศก หรือแม้ ระหว่าง ธรรมยุตกับมหานิกาย ภายในมหาเถรสมาคม ด้วยกันเอง ขอแค่นี้แหละ...

ด้วยการปฏิบัติให้ตรง ไม่ทำวิปริตจากธรรมวินัยข้อนานาสังวาสแล้วไซร้ สังฆกรรม เช่น บัพพาชนียกรรม หรือ ปกาสนียกรรม แก่สันติอโศก โดยคณะการกสงฆ์ เมื่อ ๑๖ ปีก่อนโน้น ล้วนแล้วแต่ โมฆะทั้งเพ ใช้ไม่ได้ ไม่มีผล บังคับใดๆ นี่คือทางออก ที่เปิดกว้าง หากยอมแก้ไขสิ่งผิด เพื่อทำใหม่ ให้ถูกพระวินัยแท้ๆ

อุปสรรคของงานวิสาขบูชาที่บางภาคี คือ สันติอโศก เป็นปัญหาให้ มส. ไปร่วมงานด้วยไม่ได้ เพราะติดขัดที่ ปกาสนียกรรม ยังมีผลบังคับ แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว อ้างกันมาอย่างนั้น

แต่ถ้ายอมรับว่าครั้งนั้นมันโมฆะปัญหาก็จบ!

ดังนั้น ถึงเวลาสมควรจะปุจฉาได้ไหมว่า ปกาสนียกรรม ของการกสงฆ์ ชอบด้วยพระธรรมวินัย หรือจริงๆแล้ว กลับทำวิปริต จากพระธรรมวินัยต่างหาก

ใครจะวิสัชนาข้อปุจฉานี้ได้เอ่ย...

ผู้น้อยไม่อยากเชื่อเลยว่า สังฆกรรมต้องห้ามตามหลักนานาสังวาสนั้น ท่านผู้รอบรู้ปริยัติมากล้นเป็นโขยง จะไม่มีภูมิรู้พระวินัย ข้อสำคัญอันนี้ เป็นอย่างดี ไม่เป็นไปได้แน่นอน!

เลยอดวิจิกิจฉาต่อไปไม่ได้ว่า เป็นไปได้ไหม ที่รู้ทั้งรู้ แต่ท่านทั้งหลายเลือกปฏิบัติด้วยอคติ ทวิมาตรฐาน โดยฉันทาคติ หรือ โทสาคติ อะไรบ้างหรือเปล่า จึงอาจจะหลับตา เสียข้างหนึ่ง ทำเป็นข้ามหลักพระวินัยนี้ไป เพื่อใช้อำนาจทางกฎหมายสงฆ์ เป็นสำคัญ ก็พอแล้ว มันชวนสงสัย ไปถึงขนาดนี้บ้างได้ไหม...

ด้วยความเคารพต่อศาล ผู้น้อยไม่ประสงค์จะโต้แย้งประเด็นคดีกฎหมาย ซึ่งศาลพิพากษาจบสิ้นแล้ว เพียงแต่ขอสะท้อน ย้อนท้วงติง ให้ประจักษ์แจ้ง ปัญหาพระธรรมวินัย อันยังคาราคาซัง เสร็จแล้ว จะพึ่งใครตัดสินได้เล่า ในโลกนี้...

ไม่ต้องถามพระเทพเวที ปราชญ์ใหญ่ผู้พิพากษาเองเสร็จว่า ท่านโพธิรักษ์ผิด ทั้งกฎหมายสงฆ์ และ พระธรรมวินัย จนท่าน โพธิรักษ์ ต้องแพ้คดีทางกฎหมาย สำเร็จจริงๆ ด้วย

ฝ่ายสมณะโพธิรักษ์เองเล่า คงต้องยืนหยัด หัวเด็ดตีนด้วน ว่าท่านเองมีความชอบธรรม ในการครองสมณเพศ โดยไม่ผิด พระธรรมวินัยใดๆ เลย เฉพาะอย่างยิ่ง ท่านยังได้รับ ความคุ้มครอง จากพระธรรมวินัย อันให้สิทธิ์ เป็นนานาสังวาส ดังประกาศ ตัวเองไปแล้ว ต่อจากนั้น พระนานาสังวาสคณะอื่นใดๆ ไม่อาจก้าวก่าย ขับไล่ ไสส่ง ยิ่งทำอันตรายร้ายแรง ขนาดบังคับจับสึก ทำไม่ได้เด็ดขาด

นั่นคือความชอบธรรมตามกฎหมายสงฆ์ก็ย่อมบังคับคดีความกันไป ตามระเบียบบ้านเมืองได้ ปัญหา ยุติกันที่ศาล

ในขณะเดียวกัน ความชอบธรรมตามพระธรรมวินัยบัญญัติ ย่อมเป็นเอกเทศของพระพุทธศาสนา ส่วนจะเหมือน หรือแตกต่าง กับคดีศาล ย่อมแล้วแต่กรณี

ดังคดีสมณะโพธิรักษ์เป็นผู้แพ้ความผิดกฎหมาย แม้กระนั้น ท่านก็ยังเป็นสมณะ นานาสังวาส โดยชอบธรรมเต็มๆ ตามพระธรรมวินัยบัญญัติ นี่คือความสำคัญ อันพึงสำคัญ

กรณีสันติอโศก คงจะเป็นอุทาหรณ์อันดีว่า คนทำดีมีสิทธิ์ผิดจนติดคุกได้ ตามกฎหมายบัญญัติ ตัดสินว่าผิด ผู้ประพฤติโดยชอบ ด้วยพระธรรมวินัย จึงต้องไม่ประมาท ต้องฉลาด รู้ประมาณ ด้วยสัปปุริสธรรมให้สำคัญ

บทสรุป จากกรณีตัวอย่าง ๒-๓ ประเด็นที่ยกขึ้นมาอ้าง เท้าความวิจารณ์ ตั้งแต่ปัญหา การลาออกจาก คณะสงฆ์ไทย ตามหลัก นานาสังวาส ข้อหาการทำธรรมวินัย ให้วิปริต หรือ ความชอบธรรม ของปกาสนียกรรม อะไรต่างๆ ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาคดี พระธรรมวินัยทั้งสิ้น จะให้ศาลไหนตัดสิน มันทำไม่ได้ ทั้งนั้น ไม่เหมือนคดีกฎหมาย กรณีสันติอโศก ศาลลงโทษ ผู้แพ้ รับทัณฑ์ไปก็จบไป

หมู่พุทธบริษัททั้งหลาย ผู้เป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา จะทำฉันใดดีต่อไป

ผู้เขียนขอเรียนตามภูมิว่า ไม่เห็นทางเลือกอื่นใด นอกเสียจาก ทางออกอันวิเศษสุด ด้วยพระปัญญาธิคุณ ของพระบรมศาสดา

ทั้งนี้และทั้งนั้น ใครจะไปทำอย่างไรได้กับความหลากหลาย นานาจิตตัง ของผู้คนที่มีทิฐิ ไม่เสมอกัน ศีลไม่เสมอกัน มีภูมิศรัทธา และปัญญา แตกต่างกันไป ตามอัธยาศัย แก่อ่อนคมทู่ แต่ละคนย่อมมี สิทธิมนุษยชน ในการใช้หัวคิดความอ่าน สามัญสำนึก มโนธรรมสำนึกส่วนตัว

โดยที่สุดแห่งที่สุด เมื่อแลกเปลี่ยนทัศนะยอมรับตกลงอะไรกันได้ ก็เรียบร้อยไป ส่วนที่ยังแตกต่างค้างคาใจ จำเป็นอยู่เอง ที่ต้อง ยอมตามธรรมชาติ ให้ดอกไม้ ต้องบานเอง ปล่อยให้แต่ละฝ่าย พิสูจน์ตัวเองไปตามกรรม และกาละ ความประจักษ์แจ้ง สัจจะ ย่อมเกิดขึ้นได้ ไม่ช้าก็เร็ว ไม่มากก็น้อย สังคมพุทธ ซึ่งไม่เคยมีประวัติ สงครามศาสนา เพราะสามารถ ประนีประนอม เพื่ออยู่ร่วมกัน โดยผาสุก แม้แตกต่าง ใช่ต้องแตกแยก จนคบค้า สมาคมด้วยไม่ได้เลย อะไรจะขนาดนั้น

เพียงยอมรับใช้ประโยชน์ยืดหยุ่นเขตขนาดนานาสังวาส ทำนองแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง สังฆบริษัท แต่ละหมู่คณะ ย่อมเป็น มิตรดี สหายดี สร้างสังคมสิ่งแวดล้อมดี อันเป็นทั้งหมดทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์ ในศาสนาพุทธ

ด้วยความเคารพธรรม สมานฉันท์ศานติวิถีพุทธ จึงน่าจะมีได้ เมื่อนานาสังวาสในหมู่สงฆ์ เป็นคำตอบสุดท้าย เพื่อเป็นทางเลือก ทางออกหนึ่งเดียว ในการยุติปัญหา ตามพระธรรมวินัย สาธุ!

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๘ เดือน พฤษภาคม ๒๕๔๘ -