เกือบค่อนชีวิตที่เดินบนเส้นทางสายนี้ พิสูจน์สัจธรรม ย้ำยืนยันว่า
ผู้หญิงมีศักยภาพเพียงพอ ที่จะเลือกชีวิตอิสระเสรี และมีศักดิ์ศรีในการพึ่งตน

สิกขมาตุมาบรรจบ เถระวงศ์
สิกขมาตุรูปแรกของชาวอโศก

ประวัติ
สิกขมาตุ มาบรรจบ เถระวงศ์
ชื่อสกุลเดิม นัยนา เถระวงศ์
เกิด ๒๖ มกราคม ๒๔๙๐
การศึกษา บริหารธุรกิจบัญชี (ปวส.)
ภูมิลำเนา จังหวัดตรัง
ชื่อบิดา-มารดา นายเยื้อง-นางฟุ่งเจง เถระวงศ์
อาชีพบิดามารดา ค้าขาย และเจ้าของสวนยางพารา
ประวัติพี่น้อง
๑. นางนิตยา พัฒนพันธุ์
๒. คุณหญิงคัทลิยา อมรวิวัฒน์
๓. สิกขมาตุมาบรรจบ เถระวงศ์
สถานภาพ โสด


*** เล่าถึงวัยเด็ก
ค่อนข้างซุกซน เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ค่อยรับผิดชอบอะไร เพราะได้รับการเลี้ยงดูอย่างตามใจ ตามประสา ลูกคนสุดท้อง แต่เมื่ออายุ ๑๕ ปีเป็นต้นมาก็เริ่มศึกษาธรรมะ สนใจเรื่องอาหารมังสวิรัติ เรื่องจิตวิญญาณ ทำให้รู้จัก การดำเนินชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งด้านการเรียน การทำงานการรู้จักฝึกคิด และวางระบบ การดำรงชีวิต ที่ดีขึ้น ให้ตัวเองได้ชัดเจนขึ้น รู้จักรับผิดชอบตัวเอง

*** หน้าที่การงานสุดท้ายก่อนบวช
เคยทำงานธนาคารศรีนคร สำนักงานใหญ่ และหาประสบการณ์จากสาขาด้วย รวมทั้งหมดเป็นเวลา ๕ ปี ลาออกจากงานมาอยู่วัดอโศการามเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๑๔ ทำพิธีบวชเป็นชีขาว ที่วัดอโศการาม พ.ศ. ๒๕๑๕ แต่งชุดสีกรักออกจากวัดอโศการาม เพื่อรวมเป็นหมู่กลุ่ม ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ และพ่อท่าน โพธิรักษ์ ออกหนังสือสุทธิ ให้หมู่สิกขมาตุ เมื่อ ๗ สิงหาคม ๒๕๑๘

*** ศาสนามีความสำคัญกับชีวิตอย่างไร
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ชี้นำแนวทางการดำรงชีวิตของมนุษยชาติ อยากจะบอกตรงๆ ถึงเจตนาของ พระพุทธเจ้าว่า เมื่อพูดถึงมนุษย์ ท่านหมายถึงมนุษยชาติจริงๆ ไม่จำเพาะว่าต้องเป็นชาวพุทธ ด้วยซ้ำไป ถ้าเขาไม่ถือตัว เพราะว่าท่านรู้ถึงก้นบึ้งของมนุษย์ ว่ามนุษย์จะตกต่ำ หรือเจริญก็อยู่ตรงที่ คุณธรรม
ทางศาสนา นี่เอง เนื่องจากท่านค้นพบความจริงจากมนุษย์ และสัตวโลกทุกประเภท ทุกระดับ ฉะนั้น ศีลของท่าน ถึงได้ระบุหมดทุกขั้นตอนเลย ที่จะให้เป็นไปเพื่อความอยู่ผาสุก ของสัตวโลกทุกระดับ แม้กระทั่ง ศีลข้อ ๑ เองก็สอนไม่ให้รังแกสัตว์ หรือแม้แต่ศีลของพระก็ไม่ให้ทำลายพื้นดินด้วยซ้ำ กระทั่งพืช ก็ยังถือว่า เป็นสิ่งมีชีวิตเลย เพราะฉะนั้น จะกล่าวไปไยถึงคน

จึงจำเป็นจริงๆ ที่ควรจะศึกษาศาสนาพุทธเพื่อเอาไปใช้สร้างความเป็นอยู่ผาสุกในชีวิตประจำวัน รวมทั้ง ช่วยแก้ปัญหา การอยู่ร่วมกัน ยิ่งสัตวโลกมีความแตกต่างกันโดยสิ่งแวดล้อม โดยภูมิจิต ภูมิธรรม แต่เราจำเป็น ต้องอยู่ร่วมกันเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แล้วอะไรคือแกนร่วม เป็นตัวเชื่อม ความแตกต่าง ระหว่างเผ่าพันธุ์ ภาษา วัฒนธรรม ประเพณี หรือการงาน ก็คือ ศาสนานี่เอง จึงไม่ต้องสงสัยว่า ทำไม คนชาติอื่น โดยเฉพาะเรายกฝรั่ง ว่าเป็นชาวต่างประเทศ ที่ฉลาดที่สุด เขาถึงได้หันมานับถือ พุทธศาสนาได้ ทั้งที่โดยชาติกำเนิด หรือโดยพื้นเพแล้ว เขาปลูกฝังมาด้านโน้นด้วยซ้ำ แต่เขาเข้าถึงได้ เพราะศาสนาพุทธ เป็นศาสนาของ วิญญาณสากล เป็นตัวเชื่อมที่ช่วยให้เข้าถึงความจริง อันหนึ่งอันเดียว ร่วมกันได้หมด

*** ที่ว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา หมายความว่าอย่างไร
เพราะศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่อาศัยการจูงดึงกันง่ายๆ แต่ต้องอาศัยการศึกษา ค้นคว้า อบรม โดยต้องมี พฤติกรรม ของตัวเองด้วย ถ้าใครไม่ศึกษาให้ครบถ้วนกระบวนความทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ จนเกิดผล จริงๆ ผู้นั้นจะไม่สามารถเข้าถึงเนื้อแท้ของศาสนาพุทธได้ และจะไม่แจ่มแจ้ง มั่นใจในสิ่งที่เป็น คำสอนของ พระพุทธศาสนา แม้จะได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธโดยกำเนิดก็ตาม

แต่ถ้าหากทุกคนปฏิบัติถูกตรงอย่างที่กล่าวมานี้ แม้จะเป็นคนละเชื้อชาติ คนละศาสนา หรือคนละเผ่าพันธุ์ แต่ก็จะพูด เป็นเสียงเดียวกันว่า "ใช่เลย! นี่คือแก่นแท้แห่งคุณค่ามนุษย์"

*** ทำไมถึงคิดบวช
ตอนแรกไม่ได้คิด แต่ตอนที่จิตทำปฏิกิริยาล่วงออกจากที่เราตั้งเป้าเอาไว้ ตอนแรกตั้งใจจะอยู่ใช้ชีวิต เหมือนคนทั่วๆ ไป แต่พอถึงจุดที่มันเข้าถึง โดยเฉพาะเข้าถึงสภาวะทางใจ ที่ก้าวพ้นจากโลกียารมณ์ พวกนั้นปั๊บ ก็พูดกับตัวเองว่า ไม่เอาแล้วล่ะชีวิตอย่างนี้ ทั้งที่เราวางแผนชีวิตที่จะไปมีครอบครัว ไปสร้าง ฐานะ ให้เจริญ ไปต่างประเทศ วางแผนอะไรไว้เรียบร้อยแล้ว ตกลงอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ กับคู่หมั้นแล้ว แต่พอเราปฏิบัติธรรมไปโดยไม่รู้ว่าอันที่จริงมันตรงทาง โดยเฉพาะเรื่อง มังสวิรัตินี่ เป็นประตูแรกเลย ดิฉัน กล้าพูดว่า มังสวิรัติคือ ปากทางของพระนิพพาน แล้วยิ่งไปอ่าน คิริมานนทสูตร ท่านพูดชัดเจนว่า มันเป็น ปากทาง ถ้าทำเรื่องนี้ได้ มันจะนำไปสู่การล่วงพ้นกามคุณ ในอาหาร เรื่องของกามคุณ กามารมณ์ นี่แฝงอยู่ ในอาหาร

เพราะฉะนั้น พอก้าวพ้นเรื่องการติดรสอาหารปั๊บ เรื่องกามก็หลุดด้วย ใจมันรู้สึกหลุดไปเลย แล้วรู้สึกกับ ผู้ชายทุกคน เหมือนกันหมด ไม่มีอะไรพิเศษเลย ตอนเกิดสภาวธรรมขึ้น เราตกใจนะ เพราะความห่วง ต่างๆ ที่เราเคยมีในใจ มันหายหมดเลย มันไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ก็เลยคิดว่า บวชเถอะ จิตใจมันรู้สึกสั้นๆ แค่นั้น ไม่รู้จะไปตรงไหน นอกจากมาเป็นนักบวช

*** เคยคิดจะแต่งงานเหมือนกับคนข้างนอกหรือมีอะไรเหมือนคนอื่น ในขณะเดียวกัน ก็ศึกษาศาสนา และปฏิบัติธรรม ควบคู่กันไป
ก็ประพฤติปฏิบัติอย่างที่ชาวอโศก และฆราวาสรุ่นหลังๆ ปฏิบัตินี่แหละ อบายมุขดิฉันไม่มีเลย การติด แต่งตัว ดิฉันก็ไม่มี ดิฉันถึงนับถือพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ เพราะสิ่งที่ท่านพูดมันตรงกับสภาวะที่เรามี เมื่อก่อน ดิฉันนึกว่า ตัวเองบ้า ไม่ใช่แค่เขาว่าเราบ้าอย่างเดียว เรายังรู้สึกเลยว่าเราบ้า เพราะเราไม่เหมือน กับคนอื่น แล้วก็ไปเที่ยวถามอาจารย์ทางศาสนา ถามอาจารย์ทางโลก เขาก็หาว่าเราเป็นโรค จิตเภท ชนิดหนึ่ง ด้วยซ้ำ แต่พอได้ฟังพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์พูดขึ้นมาปั๊บ แม้เพียงคนเดียวรับรองว่าโอเค แล้วจิตใจ ก็หมดความสงสัยเลย

*** คิดจะบวชเพราะได้พบพ่อท่าน
ดิฉันลาออกจากงานมาก่อนแล้ว ลาออกครั้งแรกไปบวชชี แต่เขายังไม่ให้ลาออกจากงานทีเดียว พอครั้งที่ ๒ เมื่อพบพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ก็ไปฝากตัวกับท่านเลย รู้สึกมีที่ไปแล้ว ตรงนี้เลยไม่มีปัญหา ตอนนั้นอ่าน หนังสือ "คนคืออะไร ทำไมสำคัญนัก" กับ ลำธารชีวิต ของพ่อท่าน แล้วก็ได้ไปฟังพ่อท่านเทศน์ ที่วัด มหาธาตุ อย่างใกล้ชิด ฟังแล้วตั้งใจจะเขียนคำถามไปถามด้วย เขียนเป็น ๑๐ หน้าเลย แต่สุดท้าย ไม่ได้ยื่นหรอก เพราะฟังแล้วสว่างหมด แจ่มแจ้ง จนหมดความสงสัย มันเป็นสภาวะทางใจ ไม่ใช่คำพูด ที่จะอธิบาย ให้เข้าใจสภาวะ ดังกล่าวได้กระจ่าง

เมื่อเจอของจริง ตรงกับสภาวะที่เรามี แล้วท่านก็ชี้ให้เห็นว่าอันนี้คืออะไร และที่สะดุดมากก็ตรงที่ อ่านหนังสือ "คนคืออะไร ทำไมสำคัญนัก" แล้วท่านบอกว่า ท่านคือใคร "เราคือโพธิสัตว์" พออ่านตรงนั้นปั๊บ มันบอกไม่ถูกเลย คำนี้ท่านเขียนไว้ ตั้งแต่ตอนนั้น

*** จากวันนั้นถึงวันนี้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่
เยอะเลย ดิฉันเป็นคนโมโหร้อน ตอนนี้ท่าทางยังอยู่ วิธีพูดก็ยังอยู่ สักกายะก็คือตัวนี้ ใครมาพูด ทำอะไร ผิดหู ผิดตาไม่ได้ พี่น้องรู้ดี เดี๋ยวนี้เวลาไปบ้านก็อาย พี่สาวชอบเท้าความถึงอยู่เรื่อย เวลาไม่ชอบใจ หรือ ไม่พอใจอะไร จะเต้นๆๆ ดิฉันยังเคยมีสภาวะไม่พอใจ ไม่ชอบใจในชาวอโศก จนอยากจะเผากุฏิ เล่าให้ใครฟัง ก็ไม่เชื่อ มันรุ่มร้อนมากเลย ใช้เวลานับ ๑๐ ปี โดยใช้ตบะนำ แล้วก็ใช้ปัญญาควบคู่ ใช้กิจวัตร พิธีกรรมช่วย ใช้หมดทุกอย่าง ก็เห็นผลของความเปลี่ยนแปลง

ถามคนที่เห็นรุ่นแรกๆ เขาบอกว่าแต่ก่อนนี้ไม่กล้าเข้าใกล้เลย แต่ตอนนี้มาเห็นเหมือนเป็นคนละคน โดยจริต มันเปลี่ยนยาก วิธีพูดก็ยังเร็วเหมือนเดิม แต่คนจะดูออก ว่าไม่ใช่เป็นโทสะ จริตก็คือจริต สภาวะจริตแท้ๆ มันล้างออกยาก พระอรหันต์ยังมีวาสนา ก็คือตัวจริตนี่แหละเป็นวาสนา

*** วิจารณ์พฤติกรรมผู้หญิงในวันนี้
มีแต่พฤติกรรมการก่อภัยให้ตัวเองดึงดูดภัยเข้าหาตัวเอง สมาคมกับคนอื่นประเภทเอาภัย มาสู่ตัวเอง โดยเฉพาะ รูปลักษณ์การแต่งเนื้อแต่งตัว เลวร้ายมากเลย ทุกวันนี้น่าเป็นห่วงจริงๆ ตั้งแต่ระดับ ครอบครัว ดิฉันได้กำไรตรงนี้ เพราะพ่อแม่ดิฉันเคร่งครัดเรื่องนี้ ขนาดมาทำงานธนาคาร แต่งเครื่องแบบ เรายังต้องใส่กระโปรง ยาวกว่าคนอื่น คือเราโดนสอนมา ใส่เสื้อไม่มีแขน ก็โดนว่า

สถาบันครอบครัวมีอิทธิพลมาก ขอยืนยันว่าสถาบันครอบครัวที่ดูแลลูกสาวดีจะช่วยได้มาก อย่างแม่ดิฉัน เข้มงวดมาก ขนาดลูกสาวสวย พอจะไปประกวดนางงามได้ คุณแม่ยังบอกว่า จะไปโชว์อะไร ไม่ให้ไปเลย หรือขนาด หมั้นกันแล้ว คู่หมั้นมาหาก็ไม่ได้ อย่าให้มาหา อันนี้ต้องยกให้ว่า เป็นพ่อแม่ที่เคร่งครัดมากๆ

ทุกวันนี้เท่าที่ดู คุณพ่อคุณแม่หลงว่าอันนั้นคือความเก่ง อันนั้นคือความเจริญ ความทันสมัย ซึ่งที่จริง ไม่ใช่เลย ยิ่งเมคอัพ ยิ่งไม่ได้เด็ดขาดเลย

เวลาดิฉันไปแสดงธรรม มักพูดเสมอว่า ความผิดอยู่ที่พ่อแม่ ใช่! พ่อแม่อาจจะแต่งตัวบ้าง แต่คนโบราณ รุ่นเก่า เขาบอกว่า ไว้เธอโตก่อน ทำมาหากินเป็นผู้ใหญ่ก่อน แล้วเธอค่อยมาทำสิ่งนี้ บริโภคสิ่งนี้ เขามีวิธีพูด ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ที่ไปส่งเสริม เด็กอายุเพียง ๓ ขวบ ก็ไปเต้น ไปเมคอัพเสียแล้ว ตรงนี้ต้องขอบอก วันนี้ว่า สถาบันครอบครัว ไม่แข็งแรง นี่แหละเป็นตัวทำร้ายลูกสาว

*** การแต่งตัวสมัยนี้เป็นเรื่องกามหรือทำตามแฟชั่น
เชื้อกามเป็นพื้นฐาน และโมหะเป็นตัวเสริม ตัวโมหะคือไม่รู้ตัวรู้ตน ไม่รู้กิเลสของตน อ่านตนไม่เป็น ไม่มีญาณปัญญา ไม่มีดวงตาธรรมที่จะอ่านกิเลสที่อยู่ในอนุสัย กิเลสเหล่านี้ของเก่ามีอยู่แล้ว ไม่ต้องพูด ยิ่งปัจจุบันนี้ เราถูกปลุกเร้าให้มีเพิ่มเป็นธรรมดา ก็เลยทำให้ชอบของสวยของงาม สมัยเราเด็กๆ เราก็ชอบ สาวๆ เราก็ชอบ เออ! ไอ้นี่มันน่ารักดีนะ มันสวยดีนะ อันนี้คือลักษณะที่ส่อรัศมีออกมาแล้ว แต่มันก็ แค่นั้น เพราะองค์ประกอบข้างนอกเขาห้ามไว้ คุณพ่อคุณแม่ โรงเรียนเขาห้ามไว้ โรงเรียนดิฉัน ขนาด ม.๖ ใส่เสื้อ ยกทรงยังโดนตี ในที่ประชุมเลย โรงเรียนอนุกูลสตรี ตอนนี้เป็นโรงเรียน คริสต์จักร แห่งประเทศไทย โรงเรียน ห้ามมาก เชยมาก ใส่อะไรที่มันดู มันบ่งบอก ส่อถึงลักษณะอันนั้นออกมาไม่ได้ เขาปกป้องนักเรียน เพราะเป็น โรงเรียนหญิงล้วน

เราอาจจะเรียกยุคนั้นกลับมาได้ ตรงที่ว่าคนเข้าใจแล้วต้องช่วยกันทำ แม้แต่พ่อแม่ก็ต้องช่วยกันทำ สอนลูกว่า อะไรควรไม่ควร ต้องให้เหตุผลกับลูก เด็กเขามีปัญญาคิด ไม่ใช่บอกว่า เราแต่งอยู่ จะไปสอนลูกได้อย่างไร เอาล่ะในเมื่อคุณตัดกิเลสไม่ได้ แต่พูดให้ลูกรู้เรื่องว่า มันยังไม่ใช่กาละ ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่เวลา ของพวกเขา พอเขาไปศึกษา วุฒิภาวะเขาสูงขึ้นเขาก็ไม่ทำเอง แต่ถ้าพ่อแม่ประพฤติ เป็นตัวอย่าง ที่ดีได้ด้วย ยิ่งดีใหญ่เลย ทำนำให้ลูกเห็นเพราะถึงยังไงลูกก็ต้องไปโตอยู่ข้างนอก ไปอยู่กับ สังคม เราก็ยังต้องแต่งตามสังคม แต่ก็ให้เป็นครั้งคราว ถือว่าอันนั้นเป็นครั้งคราว อย่าให้เป็นปรกติธรรมดา ทุกวัน ให้เกี่ยวกับกาลเทศะ เท่านั้นเอง

หรือถ้าเราฉลาดขึ้นเราก็จะเลือก ถ้างานนั้นไม่ค่อยเหมาะสม เราก็ไม่ไป มีสิทธิเลือก อย่างที่ดิฉันทำมา ถ้าพูด ทางโลก คือ ยอมขาดทุนหน่อย แต่ความจริงก็คือกำไร เพราะเป็นการสงวนสิ่งดีของเราไว้ เราก็ไม่ต้องไป ไม่ต้องแต่งตัว แต่ของขวัญ ยังส่งไปให้เหมือนเดิม ซองยังส่งไปให้เหมือนเดิม ดิฉันทำ อย่างนั้นมา เขาไม่เห็นรังเกียจอะไรเราเลย เขากลับเกรงใจเราด้วยซ้ำ

*** คำแนะนำติงเตือนผู้หญิง
ตัวผู้หญิงเองต้องตระหนักรู้อย่างมากว่าศักดิ์ศรีหรือเกียรติของลูกผู้หญิงไม่ได้มาจากรูปกายภายนอก ยิ่งยุคนี้ ขาดแคลนศักดิ์ศรีและเกียรติผู้หญิง ที่มาจากธาตุแท้ ยิ่งควรจะทำสิ่งที่มีค่า และขาดแคลนอันนี้

คนที่เขามีคุณธรรม คุณภาพ คนที่เขาแสวงหาผู้หญิงอย่างนี้ก็จะเข้ามาหา ไปถามผู้ชายเถอะ เขาอาจ จะกิน เที่ยว เล่น เสเพล แต่นั่นก็คือผู้หญิงเล่นๆ ของเขา ถ้าเป็นผู้หญิงจริงของเขาล่ะ ที่เป็นหนึ่งเดียว ในดวงใจ ใช่เลย ไปถามคนที่เสเพลที่สุด เขาก็ต้องการผู้หญิง ที่มีคุณภาพอย่างนี้แหละ เป็นผู้หญิง ที่มีศักดิ์ศรี มีเกียรติของผู้หญิง เป็นศรีภรรยาของสามี แล้วก็เป็นแม่ศรีเรือน เป็นศรีของประเทศชาติ

*** ผู้หญิงที่บวชแล้วช่วยศาสนาได้ดีที่สุดตรงจุดไหน
ผู้หญิงที่จะช่วยศาสนาได้ดีที่สุดนั้นต้องปฏิบัติจนหมดกิเลสในระดับหนึ่งก่อน ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว จะมาช่วยงานศาสนา จะกลับเป็นภัยด้วยซ้ำ พระพุทธเจ้าบอกว่า ผู้หญิงเป็นภัยของศาสนา ก็หมายถึง ตรงนี้ หมายถึงผู้หญิงที่ยังไม่ได้ปฏิบัติจนพ้นกิเลส ระดับหนึ่ง แม้ผู้หญิงที่มีคุณธรรม ระดับโสดาบัน ก็ยังไม่ค่อย ปลอดภัยเลย นางวิสาขามีคุณธรรมระดับโสดาบันยังแต่งงาน แต่ยังไงคุณธรรมระดับโสดาบัน ก็ต้องคว้า ให้ได้ก่อนแหละ ยิ่งสูงก็ยิ่งช่วยศาสนาได้มาก

*** เป้าหมายสูงสุดในชีวิต
ตายอย่างนิพพาน เตรียมตัวหมดแล้วด้วย ดิฉันมอบร่างกายให้ศิริราช ตั้งแต่อายุ ๒๐ หมดห่วงเลย ตอนนั้น ดิฉันไปวัดมหาธาตุ แล้วพอดีได้ยินผู้สูงอายุเขาพูดกัน ดิฉันไปฟังเขาว่า บริจาคร่างกายนี่ดีนะ เป็นบุญ เป็นกุศล ตายไปแล้วยังได้เป็นประโยชน์ ให้คนเป็นต่อไป ดีไม่ดีเราทำบาปอะไรมา มันก็จะช่วย ลดบาปด้วย เพราะทางโรงพยาบาล จะนำไปศึกษา เพื่อช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เราก็แก่แล้ว ตายไปก็ทำประโยชน์ อะไรไม่ได้ ลำบากลูกหลานเปล่าๆ เปลืองเงินทองวุ่นวาย พิธีกรรมอะไร เขาก็จัดการให้ โดยเราไม่ต้อง ห่วงอะไร ดิฉันก็คิดว่าจริงด้วย กลับมาก็ชวนเพื่อนไป เล่าให้เพื่อนฟัง อยากจะไปบริจาคร่างกาย ให้ศิริราช เพื่อนก็บอกว่า บ้าเหรอ แต่ก็หลอกให้เพื่อน ไปช่วยเซ็นรับรอง พอกลับมา เอาให้ที่บ้านดู ก็โดนสวด ว่าทำเป็นคนอนาถาไปได้ แต่ดิฉันสบายใจแล้ว เห็นจริงตั้งแต่วันนั้น จนวันนี้ก็ยังเห็นด้วย ไม่ห่วง ไม่กลัว ตายตรงไหนก็ได้ ดิฉันพกบัตรไว้ตลอด เอาไปเลยศิริราช ไม่ต้องไปเผาให้วุ่นวาย

*** อุปสรรคที่ผ่านมาได้ลำบากที่สุด
สุขภาพกาย กับวุฒิภาวะทางอารมณ์ ถ้าทั้ง ๒ อย่างนี้ไม่ไปด้วยกันแย่เลย ไม่ไหวหรอก ยังไม่ได้พูด แง่ธรรมะนะ แต่อันที่จริงก็เป็นธรรมะเหมือนกัน ส่วนในเรื่องธรรมะ การเดินมรรค อันคือ การรักษาศีล การสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ อปัณณกธรรม ต้องเดินมรรคเป็น และใช้โพชฌงค์ ๗ ให้ถูกต้อง นอกจากพื้นฐานนี้แล้ว ตอนแรกทุกคนเลย ดิฉันเชื่อ แต่เขาไม่อ่านเอง ทำให้เราเกิด ธรรมสังเวช แล้วก็ทำให้ใจเรา ฝักใฝ่ในธรรม เพราะเราเห็น อนิจจัง ทุกขัง

ดิฉันเห็นอนิจจัง ทุกขัง ตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี อยู่ตรงนี้เราเห็นสัจจะว่า นี่คือทุกข์จริงๆ อะไรๆ ที่สุขอย่างอื่นนั้น ไม่ใช่ จะไปดูหนัง จะไปเที่ยวกับเพื่อน หรือจะไปคุยกับแฟน ไม่ใช่เลย เพราะทุกข์ ตรงนี้มันอยู่ที่เรา ตลอดเวลาเลย แต่พอปฏิบัติธรรมไป โรคต่างๆ พวกนี้ และเวทนามันลดลง ทั้งที่อายุมากขึ้น มันน่าจะมี เวทนา มากขึ้น ถ้าเป็นคนอื่นทางโลก เขาไม่ปฏิบัติธรรม แล้วเจออย่างนี้ คงตายไปแล้ว ใครเคยเห็นดิฉัน เมื่อสมัยก่อน แล้วมาเห็นเดี๋ยวนี้ เขาบอกทำไมถึง ดูอ่อนวัยขึ้นๆ ซึ่งมันเป็นผล จากการปฏิบัติธรรม

*** ถ้าเราไม่มีบารมีทางธรรม ต้องทำอย่างไร
ต้องเพียรมาก แล้วรุ่นนี้ก็ไม่ยาก เพราะมีหมู่กลุ่มที่เป็นปึกแผ่นคอยช่วย มีผู้ที่เข้าถึงแล้วจริงๆ กล้าเปิดเผย มีคนยอมรับ ไม่ใช่อย่างรุ่นดิฉัน ที่โดนกล่าวหาอะไรต่างๆ เมื่อไม่นานนี้ ไปเจอรุ่นพี่ที่ธนาคาร ยังถามดิฉันว่า สบายดีแล้วหรือ แสดงว่าเขาคิดว่า ดิฉันยังบ้าอยู่ แต่รุ่นนี้ไม่ใช่แล้ว รุ่นนี้เขาบอกว่า เป็นอาริยะเลย เพราะพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ใช้คำตรงๆ ว่าใครมาทิศนี้ ใครมาตรงนี้ มาทำอย่างนี้ได้ คืออาริยะ นอกจาก คุณจะไม่เอาเอง นั่นต้องโทษตัวเอง อย่าไปโทษคนอื่น ทุกอย่างรองรับหมดแล้ว

ส่วนภาวะทางอารมณ์ คืออารมณ์ที่ผันผวน ของเรา ความอ่อนไหวในผัสสะ ความอ่อนไหวในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งเดี๋ยวนี้มันร้ายมาก ถ้าไม่คุม ไม่ตั้งกติกาให้ตัวเอง ขอรับรองว่าการปฏิบัติธรรมเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น เราต้องรู้เท่าทันผัสสะ และรู้การเคลื่อนตัวของอารมณ์ รู้วิธีจัดการทั้งสมถภาวนา และ วิปัสสนา ภาวนา ให้เหมาะสม ที่เราทำมาได้ก็เพราะ เราตั้งกติกาให้ตัวเอง ตั้งแต่ตอนนั้น

คุณต้องหาความสุขจากการทำศาสนกิจของคุณ เช่น สวดมนต์ ไหว้พระเป็นกิจวัตร ที่เราทำได้ไม่ต้องมีใคร มาบังคับ เราหรอก กติกาที่เป็นกิจวัตร กิจกรรม พิธีกรรมเหล่านี้ มันเหมือนเกราะแก้วคุ้มกัน ช่วยเราไม่ให้ ออกจาก เกราะแก้ว

ตอนนั้นเมื่อโกรธใคร อารมณ์ไม่ดี หรือมีอะไรเป็นทุกข์ ดิฉันก็จะเข้าห้องพระ โดยยึดห้องพระเป็นที่พึ่ง อย่างเดียว แล้วบอกด้วยว่า ตอนนี้ไม่รับโทรศัพท์ ดิฉันยึดห้องพระกับหนังสือ เป็นที่พึ่ง ตอนนั้น ยังไม่มี ครูบาอาจารย์จริงๆ ให้ไปพูดคุย จนกระทั่ง ได้พบพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์นั่นแหละ เป็นครูบาอาจารย์ คนแรก คนเดียว และคนสุดท้าย

-เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๐ กรกฎาคม ๒๕๔๘ -