ศีลธรรมไม่นำการเมือง เรื่องมันยุ่งตายห่ะ
- วิมุตตินันทะ -


ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ... อมตวาทะท่านพุทธทาส เคยเทศน์ฟันธงกำปั้นทุบดินไว้ตั้งหลายปีดีดักก่อนโน้น และ สอดคล้อง ทำนองกวีคำจำได้ว่า...
เมืองใดไร้ธรรมอำไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่เอย

ฟังดังว่านี้ คงไม่มีใครกล้าเถียงว่าธรรมะหรือสัจจะไม่จำเป็นกับทุกคน ไม่จำต้องใช้ในชีวิตทุกกิจกรรมประจำวัน แม้กระทั่ง โจร ยังต้อง ซื่อสัตย์สามัคคี กับพวกโจรด้วยกัน ถึงจะหากินเป็นอาชีพได้ยั่งยืน เป็นต้น

แม้กระนั้น ครั้นพอจะมีหยดน้ำดีเข้ามาแจ้งเกิดในวงการเมืองบ้าง ข้างน้ำเน่าถือตัวว่ามีพวกมากกว่าสิท่า เลยเกิดเสียง เยาะเย้ย ว่า เอาครึ่งคน ครึ่งพระมาเล่นการเมือง พุทโธ่เอ๋ย การเมืองมันเลวทราม สำหรับคนดีๆ ไม่น่ายุ่งให้แปดเปื้อน เสียคนเปล่าๆ เพราะมัน เป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ อันต้องยื้อแย่งแก่งชิง โดยเสือสิงห์กระทิงแรด หรือไม่ก็พวก ครึ่งผีครึ่งคน...ทีอย่างนี้ ถึงจะลงตัว ประเทศไทย เช่นนั้นหรือ!

ด้วยเหตุนี้ วงการไหนๆ จำเป็นอยู่เองที่จะต้องอยู่ในทำนองคลองธรรม ใครจะปฏิเสธศีลธรรมของศาสนา อันว่าด้วยกุศล อกุศล บาปบุญคุณโทษ หรือประโยชน์สุขทุกข์ภัยของกรรม มันหนีไม่พ้นสัจธรรมของพระบรมศาสดามหาบุรุษ ไปได้ดอก

คงจะมีเฉพาะแวดวงการเมืองทุนนิยมนี่แหละ ที่ชอบกีดกันศาสนาอย่ามายุ่งเกี่ยวการเมืองเด็ดขาด ศาสนาจะต้อง รักษาตัว บริสุทธิ์ ไม่มาเกลือกกลั้วกับการเมือง... เรื่องวุ่นวายด้วยโลภโกรธหลง ในพวกถือศาสนาแบบฤาษีหนีสังคม ย่อมเอาตัวรอด แบบนั้น ส่วน วิถีพุทธโลกุตระไม่หนีโลกแต่เหนือโลก โดยกอบกู้สังคมทำประโยชน์สุขแก่มหาชนในทุกงานแม้รัฐกิจการเมือง

มาถึงวันนี้ เมืองไทยหลังปฏิวัติอำนาจสูงสุดจากกษัตริย์มาเป็นประชาธิปไตยผ่านไป ๗๓ ปีเสร็จแล้วเป็นอย่างไร ก็ล้มลุก คลุกคลาน ผ่านร้อนผ่านหนาวทั้งเผด็จการรัฐประหารปฏิวัติเป็นว่าเล่นไม่รู้กี่ครั้ง ได้ประชาธิปไตยครึ่งใบบ้าง ค่อนใบบ้าง กระทั่ง ปฏิรูปล่าสุด ได้รัฐธรรมนูญฉบับเลอเลิศประเสริฐศรี ติดอันดับหนึ่งในสิบของโลก โม้กันปานนั้น แต่ไม่ยักรู้ทันว่า ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ ลงท้ายกลายเป็นบ้องกัญชา...

กล่าวคือแทนที่จะพลิกผันกษัตริยาธิปไตย แล้วประชาชนจะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินดังเพ้อฝัน มันกลับตาลปัตรพิลึกกึกกือ ไม่รู้ประชาธิปไตย แบบไทยๆ เขาปู้ยี่ปู้ยำกันอีท่าไหน ทำไปทำมาก็ว่าได้ประชาธิปไตยเต็มใบแถมทุนนิยมเสรีเต็มที่อีกต่างหาก โฉมหน้า ว่าขานอย่างนั้น

ในขณะที่ความจริงเนื้อแท้ มันคือประชาธิปไตยฉบับศรีธนญชัย นึกไม่ถึงเลยว่าหวยจะออกมาให้คนกินรวบอำนาจได้ขนาดนี้ กลายเป็นลัทธิเผด็จการใหม่ทันสมัยเฉยเลย จนชื่อว่าเป็นระบบทักษิณาธิปไตยมันถอยหลังลงเหวแล้วคุณ...

นึกถึงเหล่านักกฎหมายพวกหลงตัวว่าฉลาดออกแบบรัฐธรรมนูญเสียดิบดี วันนี้น่าจะถามบรรดาอรหันต์ ส.ส.ร.(สมาชิกสภา ร่าง รธน.)ทุกท่านยังสบายดีอยู่หรือ...?!

ช่างเถอะ จะไปโทษใครยังไงไหว ในเมื่อท่านอุตส่าห์คิดจัดระบบกันจนหัวบวม มันก็หลวมตัวเป็นเหยื่อจนได้

ถือเสียว่า เป็นบทเรียนราคาแพงอย่างสำคัญอีกอันหนึ่ง ในการแก้ปัญหาที่ตัวระบบกติกาโดดๆ แต่แก้ไม่ถึงตัวคน มันย่อม วุ่นวาย จะไปเอานิยายอะไรกับกฎหมายเหมือนดาบสองคมเมื่อไปเจอหัวหมอคอยตีความเอาเปรียบเห็นแก่ตัวมั่วนิ่ม การเมือง จึงพายเรือในอ่าง ของวงจรอุบาทว์ คือลงทุนซื้อสิทธิ์เข้าสู่อำนาจมีโอกาสโกงกินเมือง ไม่เห็นพวกเขา คิดใหม่ทำใหม่อะไร วิเศษกว่านี้ นอกจาก ผักชีโรยหน้าไปวันๆ

สรุปการเมืองกำลังเกิดวิกฤตขณะนี้ เพราะรัฐบาลตั้งใจทำการเมืองให้นิ่ง ด้วยฝีมือเผด็จการยึดอำนาจครองสภาได้สำเร็จ จนเขาว่าเป็นสภาเป็ดง่อย จริงๆ มันหนักกว่านั้น เป็ดง่อยขาปากก็ยังร้องก๊าบๆ ได้ แต่สภาอะไรไม่รู้ พา ส.ส.ใบ้หมด แล้วจะเป็น ปากเสียงของประชาชนตรงไหนหนอ

เมื่อสภาตัวแทนไร้ความหมายตลอดช่วงหลังตั้งนายกฯเสร็จแล้วสี่ปี ค่อยไปเสนอหน้าตอนเลือกตั้งใหม่ ระหว่างนี้ ส.ส. มีสิทธิ เพียงยกมือฝักถั่วตามมติพรรคซึ่งกุมอำนาจโดยไม่กี่คน(วิป) นี่หรือคือสภานิติบัญญัติที่คุมอำนาจบริหารของรัฐบาล ประเทศไทย...

เฉพาะอย่างยิ่งเป็นความฉลาดแล้วหรือ ที่ไทยรักไทยสามารถทำลายสภา ส.ส ให้ไร้เสียงจนเหมือนไม่ใช่สภาคน ถึงมีปาก เหมือนมีตูด พูดไม่ได้ นอกจากผายลม..?

จริงอยู่ แม้จะมีเสียงคนอยู่บ้าง แต่เป็นเสียงน้อยนิดจนไม่มีสิทธิ์ร้องมากกว่าเสียงนกเสียงกา แล้วจะใช้งานได้อย่างไร... การปล่อย ให้พรรคยึดกุมอำนาจเสียงสมาชิกได้ตายตัวเด็ดขาด จึงไม่ใช่ประชาธิปไตย ดังที่เชื่อถือกัน ทั่วโลก มันเป็นกติกา ที่ใช้ไม่ได้เลย นี่คือมิติใหม่ของการเมืองบุญนิยมอันท่านชี้แนะไว้

ดังนั้น การทำการเมืองให้นิ่งโดยฉ้อฉลความจริง ทำวิปริตผิดธรรมชาติ ทั้งทำลายขบวนการประชาธิปไตยโดยสภาไม่เป็นสภา เป็นแค่ไม้ประดับ หรือสภาตรายาง พอสภาตัวแทนล้มเหลว เป็นธรรมดาที่ต้องเกิดสภาตัวจริง เป็นสภาประชาชน ตามเวที สื่อมวลชน ยิ่งสื่อโดนซื้อ โดนปิดกั้นมันจึงไปกันใหญ่

รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรเปิดเวทีสวนลุมพินี เท่ากับเป็นสภาประชาชนย่อยๆคอยทำหน้าที่ฝ่ายค้านรัฐบาลโดย ไม่ต้องจ้าง

สภาสัญจรดังกล่าว แม้จะไม่ได้รับรองอำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ถ้ากระแสประชาชนยอมรับมากขึ้นๆ ผลกระทบ ต่อการเปลี่ยนแปลง แก้ไขปัญหาการเมือง โดยสันติวิธีข้อนี้ย่อมเป็นไปได้ ดังที่เคยเกิดประวัติศาสตร์ ๑๔ ตุลา มาแล้ว นั่นไง

อนึ่ง มักได้ยินพวกนักวิชาเกิน โดยเฉพาะนักกฎหมายหลายท่าน ฝังหัวติดกรอบตำราเลยเถิด ชอบอ้างกติกาอันบกพร่อง ที่ต้องแก้ไข มาใช้บังคับกดขี่ จนไม่รู้เป้าเจตนากฎหมายเพื่อประโยชน์สุขของปวงชน กรณีข้อวิจารณ์เรื่องพระราชอำนาจก็ดี หรือ การแก้ไข รัฐธรรมนูญก็ตาม ดูจะเป็นเรื่องแสลงใจรัฐบาลเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะประเด็นหลังหัวเด็ดตีนด้วน รัฐบาล ไม่ยอมเป็นเจ้าภาพ แก้ไขอะไร ดังเรียกร้อง ทั้งนี้เพราะตัวเองได้เปรียบจากกติกาอันไม่เป็นธรรมเหล่านั้น รัฐบาลถือดี เพราะ เผด็จการสภา เรียบร้อย ไทยรักไทย วิกฤติการเมือง จึงเกิดขึ้นโดยคนใจแคบแบบนี้ ใช่หรือเปล่า...

ไม่รู้เหมือนกันว่า สถานการณ์อันยุ่งเหยิงที่เห็นอยู่ สังคมไทยจะมีภูมิปัญญาหาช่องผ่าทางตันไปโดยสงบเรียบร้อย อหิงสา อโหสิ รู้รักสามัคคี ได้อย่างไร นับเป็นข้อท้าทายอย่างยิ่งของทุกฝ่ายผู้ใฝ่ศานติสุขทุกคน

ท่ามกลางอุณหภูมิการเมืองทำท่าจะเดือดพล่านพลุ่งหลังวันเฉลิม ๕ ธันวา ปรากฏว่าด้วยเดชะพระบารมีมากพ้น รำพัน ในหลวง ทรงโปรดเกล้า เทศนาการเมือง กัณฑ์ใหญ่เป็นพิเศษ ราวกับฝนทิพย์หยาดน้ำฟ้าหลั่งมาชโลมใจผู้คน ให้ฉ่ำเย็นอุรา ถ้วนหน้ากัน

คงต้องนับว่า ช่างจวบเหมาะเคราะห์ดีเหลือเกิน ที่พระองค์ท่านตรัสตรงประเด็นช่วยไขปัญหาเดือดร้อนสำคัญ อยู่ในหัวอก ผู้นำ น้อยใหญ่ ข้าน้อยคะเนตามภูมิเอาเอง ประมาณนั้น

เฉพาะอย่างยิ่งท่านนายกฯทักษิณ เหมือนจะได้รับพระกรุณาทรงเอ็นดูมากกว่าเพื่อนเลยเชียวแหละ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ผู้นำของเรา จะซาบซึ้งถึงใจล้ำลึกขนาดไหน คงไม่ต้องไปห่วงใยในศรัทธาส่วนตัวจำเพาะตน เพราะนายกฯของเรา ท่านชอบ คุยโอ่ เป็นผู้ใฝ่ธรรมไม่ใช่น้อยๆเลย จนกระทั่งบางสื่อยังประชดตั้งฉายาให้เป็นพระธรรมทักษิณ คงไม่เสียหายอะไร นักการเมือง ใหญ่โต ยิ่งเข้าถึง ธรรมะจริงแท้เท่าไหร่ ย่อมเกิดคุณเป็นบุญแก่แผ่นดินแท้ๆ เท่านั้น

ใครๆ คงได้ยินรู้เห็นว่า นายกฯ ทักษิณของเรา ท่านชอบการเมืองนิ่งๆ ยิ่งใครวิจารณ์เชิงลบๆจะออกอาการหัวเสียง่าย คงจะเป็น เอกลักษณ์ ของนักเผด็จการ ซึ่งใจคอมักไม่ค่อยเปิดกว้างเพื่อรับฟังความเห็นที่แตกต่าง

จากพระบรมราโชวาทก่อนวันเฉลิมฯในหลวงทรงเปิดประเด็นเริ่มต้นชมนายกฯ เป็นพื้นนำก่อนรับคำตินิ่มนุ่มลุ่มลึก ใครได้รับฟัง พระองค์ท่าน สอนแล้ว คงพลอยวางใจกับโลกธรรมนินทาได้ดีทีเดียวแหละ

ดังเช่นทรงอุปมาคนอยู่ที่แจ้ง อยู่ในสายตาของมหาชนย่อมถูกติได้ง่าย โดยเฉพาะถ้ามีไม่ดีบ้างแล้วแสดงตนรับรู้ว่าไม่ดี ถัดจากนั้น ถ้าไม่พอใจ ก็เสียหายต่อส่วนรวมเกิดปั่นป่วน...ฯลฯ

นัยลึกซึ้งแห่งกระแสพระราชดำรัสยากยิ่งที่จะพรรณนาในที่นี้ได้ดั่งใจ ข้าน้อยเพียงใคร่ชี้ชวนว่าพระบรมราโชวาทนั้นยิ่งกว่า ทองคำ ควรนำมาวิจัยเจาะลึกเพื่อซาบซึ้งสมพระปรีชาญาณของพระองค์ท่านอีกนักต่อนัก

ในหลวง ฐานะประมุขแห่งสยามประเทศ ทรงเป็นนักการเมืองสุดยอดตัวอย่างแท้จริงเสมอมา ทรงชี้ให้เห็นว่า ฐานะพระเจ้า อยู่หัว ควรแก่คำวิจารณ์ได้ เพราะจำเป็นต้องทราบว่าพระองค์เองมีอะไรผิดตรงไหนบ้าง ถ้าไม่ทราบ ทรงเดือดร้อน นี่คือ บุคคลสาธารณะ แบบฉบับ ซึ่งต้องโปร่งใสสะอาด อยู่ในสายตาให้มหาชนช่วยสอดส่องปกป้องคุ้มครองคือ ผู้น้อยสามารถ ชี้ขุมทรัพย์ ทักท้วง ติติงผู้ใหญ่ อย่างมีสัมมาคารวะอ่อนน้อมถ่อมตนด้วยน้ำใจรักใคร่ นักการเมืองทั้งหลาย จึงน่าจะเจริญ รอยตาม พระบาท พ่อแห่งแผ่นดิน ยิ่งแท้

เดอะคิงแคนดูโนรอง พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงทำอะไรให้ผิด โดยนิติธรรมประเพณี สังคมไทยยกให้เทิดทูน เหนือเศียรเกล้า ด้วยเข้าใจศรัทธากันดีอยู่แล้ว แม้กระนั้นในหลวงท่านยังทรงขยายความให้เห็นว่าพระองค์ไม่ทรงประมาท ทรงระวังระไว ยิ่งยวด หากเกิดผิดพลาดท่าจะตายเอาด้วยสังคมลงโทษ คือสายตาคนนี่ฆ่าได้เฉียบขาด จุดสำคัญ อันตรายเหลือเกินอันนี้ พระองค์ทรงย้ำนักย้ำหนา!!

นับว่าพระองค์ท่านทรงเป็นสัตบุรุษโดยแท้ ที่พระองค์ทรงรู้ประมาณอย่างดีเลิศ ฐานะเราท่านแม้จะเป็นคนเล็กคนน้อย กระจ้อยร่อย ก็จำเป็นต้องรู้ประมาณตามหลักสัปปุริสธรรม๗คือ รู้ประมาณในเหตุ ในผล ในตัวเรา ทั้งรู้ประมาณ รู้กาละ รู้บุคคล ตลอดประชุมชน หมู่ฝูงพวกพ้อง อย่างที่พูดกันว่า ให้รู้กาลเทศะ ที่ต่ำที่สูง หรือรู้เรารู้เขา เป็นต้น

เพราะฉะนั้น เท่าที่ยกประเด็นสำคัญยิ่งนักจากพระบรมราโชวาท มาวิจัยวิจารณ์ขยายความต่อบ้างนั้น เพราะข้าน้อย ออกจะซาบซึ้ง เหลือเกิน อยากจะบอกว่าคาดไม่ถึงเลย พระองค์จะทรงปรีชาสามารถเชิงภูมิปัญญาไท ในวิถีพุทธดังที่ ปรากฏ เลยแสนตื่นเต้น ตื้นตันใจ ยังนึกต่ออีกว่าทำไฉนชาวไทยจะได้ฟังธรรมเทศนาจากพระองค์ท่านโดยตรง พร้อมหน้าเต็มๆ บ่อยครั้ง สักหน่อย น่าจะวิเศษเป็นบุญหูเราท่านไม่ใช่เล่นๆ เชียวแหละ...

นอกจากนี้ ขอวกเข้าเรื่องวิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์ ซึ่งในหลวงทรงชี้ทางสว่างของประชาธิปไตยอย่างชัดแจ้ง ตรงไป ตรงมา ในขณะที่สังคมกำลังถูกปิดหูปิดตาทั้งๆ ที่เป็นยุคข้อมูลข่าวสารสังคมองค์ความรู้ โลกไร้พรมแดน ท่ามกลาง สถานการณ์ สื่อมวลชนถูกคุกคามปิดกั้น ถึงขนาดสูญเสียความเป็นไท ในความเป็นคน ผู้มีปากเสียง พูดได้ดังใจ คือไทยแท้

อิสระเสรีภาพของสิทธิมนุษยชนในการรับรู้สื่อสาร อันเป็นหัวใจของประชาธิปไตยดังว่านี้ เมื่อถูกลิดรอนบ่อนทำลาย เหลือทน จนสื่อ เช่นค่ายผู้จัดการทนไม่ไหว เมืองไทยรายสัปดาห์โดนช่อง ๙ รุกฆาตกวาดกระเด็น มันถึงเกิดระเบิด ต้องเปิดสัญจร ทุกศุกร์ ที่สวนลุมพินี โดยไม่มีกำหนดเลิกรา ถ้าสภาห้าร้อยไม่ไร้น้ำยาสิ้นดี สภาแบกะดินสัญจรที่ไหน ก็ไม่มีเรื่องแม้วให้เม้าท์ มันปาก อร่อยหู ดังที่เห็นๆ

ปัญหาวิจารณ์การเมืองเรื่องสุดฮิตยอดฮ็อตของสังคมไทยขณะนี้ ถือว่าเป็นบุญล้นฟ้าล้นแผ่นดินจริงๆ เมื่อในหลวงทรงเปิด ทางสว่างให้ว่า การวิจารณ์ย่อมจำเป็นกับทุกคน ไม่เว้นแม้พระเจ้าอยู่หัว ถึงกฎหมายจะห้ามละเมิด พระมหากษัตริย์ ก็ไม่ได้ หมายความว่า ต้องยกสถาบันเหมือนพระพุทธรูปบนหิ้งบูชาอย่างเดียว เดี๋ยวจะไปดึงฟ้ามาต่ำ ถ้าไปแตะต้อง ให้ระคายเคือง พระยุคลบาท นั่นนี่อะไร อย่างที่ชอบอ้างข่มขู่กันท่า ประมาณนั้น

ด้วยเหตุนี้จึงมีนัยสำคัญช่างลึกซึ้งถึงความจริงซึ่งให้ข้อมูลกันได้เสมอ แม้ผู้น้อยกับผู้ใหญ่ดังเช่นพสกนิกรจะถวายความจริง แม้เชิงข้อท้วงติง สิ่งใดบ้าง แด่ฝ่าพระบาท ด้วยความคารวะสุดเศียรเกล้า เจตนาสร้างสรรดังกล่าวนี้ ย่อมพึงกระทำได้ ตามควรแก่กรณี พวกเคร่งตำรานักมักใจดำ ดังคำพังเพยจีนว่า ก็อย่าทำเป็นหัวหมอมากความ หรือพาซื่อ ถือเถรตรง เลยเถิด เกิดใจคอคับแคบนัก

คิดดูเถอะ พระองค์ท่านทรงเป็นยอดนักประชาธิปไตยขนาดไหน ที่พ่อแห่งแผ่นดินทรงเปิดโอกาสให้ลูกวิจารณ์พ่อได้อยู่ เพราะ พระมหากษัตริย์ ไม่เป็นคนเส้นตื้นขี้จั๊กจี้ ใครมาว่าอะไรนิดก็บอกให้เข้าคุก ไม่เคยเป็นอย่างนั้น เฉพาะอย่างยิ่ง แม้จะเคย เกิดคดีฐานกบฏ ก็ยังไม่ทรงจับขังคุกลงโทษ เช่นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ มาแล้วเป็นต้น เราถึงได้ประจักษ์น้ำพระทัย ยิ่งใหญ่ ในพระองค์ท่าน ที่ทรงเป็นแบบอย่างผู้เสียสละ ทรงให้อภัยแม้กับผู้คิดตรงกันข้ามขนาดหนัก ยิ่งแค่ด่าว่าโทษฐาน หมิ่นประมาท จนเกิดเอาเรื่องเป็นคดีความใหญ่โตโกลาหล ดังข่าวครึกโครม ฟ้องกันเป็นเด็กว่าเล่น เรียกค่าเสียหาย กันที ห้าร้อยล้าน สังคมก็คงเห็นว่า เชยแหลก

เคราะห์ดีเหลือเกิน ด้วยพระบารมีปกเกล้า จากพระราชดำรัสชี้แนะการเมืองแก่นายกฯทั้งนักกฎหมายใหญ่ ปรากฏต่อมาว่า มีการ ถอนฟ้องคดีหมิ่นประมาทนายกฯ ทักษิณหลายๆ คดีทีเดียว แม้จะยังไม่หมดทันทีก็ตาม นับว่าพระองค์ทรงห้ามทัพ กรณีวิวาท โดยปริยาย ปัญหาเผชิญหน้าจึงผ่อนคลายความรุนแรงทันเหตุการณ์อย่างน่าปิติยินดีเป็นล้นพ้น ทั่วหล้า

สรุปตรงประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ เป็นข้อจำเป็นต้องทำสำคัญยิ่งใหญ่ในสังคมทุกระดับโดยจะขาดเสียไม่ได้เลย มนุษย์เป็น สัตว์สังคม ที่มีปากเสียง ต้องพูดคุยรับฟังเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ต่างเป็นครูแก่กันและกัน เฉพาะอย่างยิ่ง ประชาธิปไตย เป็นขบวนกลุ่ม ของหมู่ฝูงสังคม จะทำอะไรก็ต้องแล้วแต่หมู่เห็นเหมาะควร เช่นเดียวกับศาสนาขึ้นอยู่กับหมู่สงฆ์ สังคม พุทธบริษัท จะพึงรับผิดชอบ

นั่นคือประชาธิปไตยต้องมีธรรมาธิปไตยเป็นทำนองคลองธรรมของความจริง ประชาธิปไตยทุนนิยมเสรีตามขี้ข้าฝรั่ง มันตลกฝืด แค่นิยามว่าทุนนิยมคือลัทธิมือยาวสาวได้สาวเอา หรือปลาใหญ่กินปลาเล็ก ฟังเท่านี้ก็สยองขวัญแล้ว สมณะ โพธิรักษ์ ท่านถึงบอกใหม่ว่า ปลาใหญ่ต้องอุ้มชูปลาเล็ก คนแข็งแรงต้องเอื้อคนอ่อนแอ สังคมไทยวิถีพุทธ จำเป็นต้อง เปิดดวงตา เห็นธรรม เพื่อประจักษ์แจ้งสัมมาทิฐิในทิศทางสร้างสรรดังว่านี้ ให้ทั่วถึงลึกซึ้งขนานใหญ่

ฉะนั้น วิถีการเมืองที่เข้าสู่อำนาจสำเร็จด้วยทุนใหญ่ เช่นไทยรักไทยหรืออื่นใด มันไม่เป็นธรรม ทำให้คนดีที่จนเงิน ต้องแพ้เกม ต่อให้ ไม่ซื้อเสียงด้วยเงิน หรือด้วยนโยบายประชานิยมก็ตาม การเลือกตั้งใดที่ต้องหาเสียง ในทัศนะของสมณะโพธิรักษ์ ท่านถือว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย!

การห้ามหาเสียง จึงเป็นทางตัดไฟต้นลม ไม่ให้เกิดการทุ่มทุนแล้วหากำไรลาภยศ พวกน้ำดีกล้าเสียสละ จะเข้ามาไล่น้ำเสีย ออกไปได้มากขึ้น

เมืองไทยนับถือพุทธกระแสหลัก แต่นักการเมืองไม่มีหัวคิดภูมิปัญญาวิถีพุทธเลย หลงบูชาเศรษฐกิจทุนนิยมจมเหว ถึงขั้น เคยเผด็จ การห้ามสอนสันโดษ หาว่าเป็นโทษขวางทางพัฒนาเศรษฐกิจ มิจฉาทิฐิปานนั้น กระทั่งอยากเป็นนิกส์ ตามห้าเสือ สัตว์เศรษฐกิจ เอเชีย ไม่ทันไร ก็ได้นรกต้มยำกุ้งทำฟองสบู่แตกครั้งแรก เคราะห์ดีที่ชาวบ้านยังมีปัจจัยสี่ พึ่งตนเอง ถือเศรษฐกิจพอเพียง เลี้ยงตัวเองรอด

ทุกวันนี้ รัฐบาลประกาศพารวยด้วยทุนนิยมขี้โลภเต็มๆ เอาใจประชานิยมสุดๆ ยังไง คนรวยยิ่งรวยไม่รู้จักพอ ความซวย จึงล้มทับ คนจนส่วนใหญ่ให้พาจนหนักขึ้น โพลออกมาบอกไทยรักไทยกำลังขาลง และแล้วลัทธิทักษิโณมิกส์ จะหันมา ขานรับ เศรษฐกิจพอเพียงไปทำจริงๆสักแค่ไหน ไม่อยากดูถูก...

แม้การเมืองวิถีทุนนิยม ถึงไทยรักไทยจะทำสำเร็จเป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้สมใจนึกผู้นำ ทั้งการเมืองจะดูนิ่ง เช่น สภานิ่งเงียบ เป็นเป่าสาก ไม่วุ่นวาย ยุ่งตายห่ะ ดังวาทะท่านโค้วตงหมง แต่ทว่าการเมืองนอกสภาผู้แทนฯ เป็นสภาประชาชน ตัวจริง เสียงจริง มาเอง กลับเปิดโรงกระหึ่มทั่วไทย

ดังนั้นการเมืองน้ำเน่าเท่าที่เป็นมาตลอด เป็นผลพวงของผู้มีอำนาจขาดศีลธรรม ไทยรักไทยเป็นพรรคใหญ่โต คุยโวคิดใหม่ ทำใหม่ เสียดายไปไม่ถึงดวงดาวชั้นฟ้า เพราะท่านสุมหัวดาวโจร เสือสิงห์กระทิงแรดไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ใครจะคิดใหม่ทำใหม่ ในวิถีการเมือง ทุนนิยมเก่าๆ มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง ไม่ช้าก็เร็ว ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยซ้ำซากไม่รู้จักเข็ดสักที...

"หากจะรับใช้เพื่อนร่วมชาติด้วยกัน ซึ่งเราเห็นเขาได้รับความทุกข์ยากอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแล้วไซร้ ก็จำเป็นอย่างยิ่ง ที่เราจะต้อง ละทิ้ง ทรัพย์สินทุกชิ้นโดยสิ้นเชิง" มหาตมะ คานธี

(คนจนมหัศจรรย์ คือ ผู้กอบกู้สังคมให้ไปรอด ...สมณะโพธิรักษ์)

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๖ มกราคม ๒๕๔๙ -