บทความชาวบ้าน
- นายประเทือง ไทยเขียว -

จิตวิญญาณของผู้เสียสละ

สมัยนายกฯ ทักษิณอยู่พรรคพลังธรรม จะเป็นหัวหน้าพรรคหรือลูกพรรคพลตรีจำลองผมจำไม่ได้แล้ว แต่เป็นช่วง ต่อเนื่องตั้งพรรคไทยรักไทย ผมเคยมีหนังสือออกจากวัดพร้าว ต.โพงาม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ไปขอบริจาคเงิน ท่านนายกฯ มาสมทบสร้างสะพานคอนกรีตข้ามแม้น้ำน้อยหน้าวัดพร้าว ให้รถยนต์ข้ามได้ กะว่าจะเอาชื่อท่าน เป็นเกียรติ ตั้งชื่อสะพานว่า "สะพานชินวัตร" อะไรทำนองนี้ แต่ก็ผิดหวัง เรื่องเงียบไป หนังสืออาจไปไม่ถึงท่านก็ได้

อยากจะถามผู้อ่านเล่นๆ หรือจริงๆ ก็ได้ว่า นอกจากการบริหารเงินงบประมาณแผ่นดินไปในโครงการต่างๆ ท่านเคยเห็น หรือนายกฯทักษิณ เคยใช้เงินส่วนตัวบริจาคให้ทำงานสาธารณะอย่างเป็นกิจจะลักษณะอะไรบ้าง ทั้งที่ออก ร่ำรวยเงินทอง ปานฉะนี้ (นี่ก็คนขี้อิจฉา)

ต่อมาได้ข่าวว่า คุณหญิงพจมาน ศรีภรรยาท่าน บริจาคเงินให้พรรคไทยรักไทยเป็นจำนวนสูงถึง ๕๐ ล้านบาท

จึงทราบกันต่อมาว่า ท่านเป็นเจ้าของพรรคตัวจริงเสียงจริง จิตวิญญาณคุณหญิงมีความเสียสละพอสมควร หรือมาก แต่เข้าใจว่า เป็นเรื่อง "โลกีย์" มิใช่พรรคเพื่อฟ้าดิน ซึ่งบริหารจัดการพรรคแบบ "โลกุตระ"

จนกระทั่งมีเสียงล้อเลียนเป็นฉายาทางการเมืองรู้กันทั่วไปว่า"นายหญิง นายใหญ่"คู่กันในพรรค

จนกระทั่งนายกฯ (อ้างว่า เรื่องของลูก) ขายหุ้น "ชิน" ได้เงินมา ๗๓,๓๐๐ ล้านบาท โดยไม่ได้เสียภาษีเงินได้ ให้แก่ ประเทศชาติเลยสักบาท (แดง) เดียว

ประโยคข้างบนนี้ กินใจคนไทยมาก ช่างพูดช่างจา (ช่างเสียดสี)

ยังมาพูดแทงใจคำอีกว่า ทีแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว ก็ไม่ให้รอดเสียภาษีสักบาท

คนก็เลยเอะใจ เฮโลสาระพา หันมาให้ความสนใจเรื่องนายกฯ ขายหุ้น กับแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวมากขึ้น

เรื่องโดนใจผู้คนทั้งขาประจำและขาจรทั้งประเทศ ว่างั้นเถอะ

เป็นความ "ไม่สง่างาม" ของนายกฯ เสียจริงๆ

เป็นทุกขลาภด้วยเงินของนายกฯ ท่านแท้ๆ

เหมือนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ก็ปานกัน หรือมีดาวพุธร่วมด้วย

ฝ่ายตรงข้ามจึงคุ้ยเขี่ยเรื่องหุ้นไปถึงลูกๆสนุกสนาน

สงสัยจะลำบาก เรื่องจะไม่จบง่ายๆ เสียแล้วละหลวงตา

"ขาลง ขาเสื่อม" ของท่านนายกฯ เสียจริงๆ

อาจสะดุดขาตัวเองล้มเพราะเรื่องนี้ก็ได้

เมื่อขบวนการ "สนธิ" บุกทำเนียบพลาดท่าไป ทำไม่สำเร็จ งานขายหุ้นคงเข้าเท้า "ขบวนการน็อคเอ๊าท์ทักษิณ" ต่างๆ อีกมากมาย แน่นอน

เพียงนายกฯ พูดว่า "พวกขี้อิจฉา" เห็นท่านมีเงินมากกว่าใครในประเทศก็อิจฉา

อาจใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ หากไปถามฝ่ายค้านก็ว่า ไม่ใช่ (อิจฉา)

หรือท่านนายกฯ พูดว่า จะตั้งกองทุนวิจัยคนจน

คงจะช่วยลดคำวิจารณ์อะไรได้ไม่มาก เพราะคนไม่รู้รายละเอียดว่า จะตั้งกองทุนสัก ๑๐๐ บาท ๑,๐๐๐ บาท ๑๐,๐๐๐ บาท ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือ๑๐-๑๐๐-๑,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ ล้านบาท หรือเท่าไร

จึงจะลบภาพการซุกหุ้น (ภาค๒) ของลูกๆจากซื้อหุ้นมา ๑ บาท ขาย ๔๙ บาทโดยการเพิ่มหุ้นรวมหุ้นทีหลัง ในเวลา ไล่เลี่ย กับที่ขาย โดยใช้บริกรรับใช้ใกล้ตัวมิให้เสียภาษีเพื่อชาติสักบาทเดียว

เพื่อให้ภาพท่านนายกฯ จบสวยและสง่างาม
เป็นมหาเศรษฐีใจบุญ
เป็นกระฎุมพีใจทาน
เป็นพระเวสสันดรสัตตสดกมหาทาน
เป็นอนาถบิณฑิกเศรษฐีใจป้ำ
เป็นอนาคาริกธรรมปาละ นักต่อสู้เพื่อพระพุทธศาสนา

ท่านนายกฯ ต้องเจริญรอยแสวงบุญล้างบาป บำเพ็ญทุกรกิริยา สะเดาะเคราะห์ครั้งใหญ่ในชีวิต อย่างพระเจ้าอโศก มหาราช อย่างอนาถบิณฑิกเศรษฐี อย่างอนาคาริกธรรมปาละ

บริจาคเงินสักครึ่งหนึ่ง ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท

สร้างและบูรณะศาสนสถาน วัดวาอารามทุกศาสนา

โดยเฉพาะศาสนาพุทธ

สร้างมหาพุทธมณฑล ๔ ภาค (ภาคกลางเสริมพุทธมณฑลนครปฐม ภาคอีสานวัดพระธาตุนาดูน มหาสารคาม ภาคใต้ มหาพุทธมณฑลนครศรีธรรมราชภาคเหนือ มหาพุทธมณฑลวัดพระสิงห์เชียงใหม่-แทนไนท์ซาฟารี)

สร้างอนุพุทธมณฑล ๗๕ จังหวัด (เลือกวัดใดวัดหนึ่งที่พร้อม ไม่ต้องสร้างนอกวัดอย่างที่มหาเถร-สมาคมและสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติออกแบบมา โอกาสล้มและร้างสูง)

ปรับปรุงวัดสมเด็จพระสังฆราช วัดเจ้าคณะจังหวัด วัดเจ้าคณะอำเภอ วัดเจ้าคณะตำบล (วัดเจ้าคณะหนใหญ่ เจ้าคณะภาคไม่ต้อง) ให้ใหญ่โตพอประมาณ เป็นสถานปฏิบัติธรรม อบรมธรรมและให้ความรู้ประชาชน ในรูปแบบ ห้องสมุด และพิพิธภัณฑ์วัด

พระรูปใดดำรงสมณศักดิ์พระสังฆาธิการบริหารระดับใดชั้นใด ให้ย้ายมาจำพรรษาในวัดนั้น ชั้นนั้น แบบสมเด็จ พระสังฆราช สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์

จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณสร้างและซ่อมถาวรวัตถุถาวรสถาน หรือเสนาสนะของราชการและชาวบ้านไม่รู้จบ

พระเจ้าอโศกสร้างวัดถึง ๓๔,๐๐๐ วัด

ท่านนายกฯ สร้างและบูรณะวัดเฉลิมพระเกียรติในหลวงครองราชย์ ๖๐ ปี และพระชนมายุครบ ๘๐ ปี ระดับจังหวัด อำเภอ ตำบลและพุทธมณฑลดังที่ผมเสนอ คงไม่ถึงพระเจ้าอโศกเป็นแน่ แต่ก็จะเป็น "สิริมงคล"แก่พระพุทธศาสนา แก่ประเทศไทย และแก่ตัวนายกฯและตระกูล "ชินวัตร" เอง อย่างยากที่ใครๆ จะทำได้

"จงทำสิ่งที่บุคลอื่นทำได้ยาก" จะได้บุญมหาศาล

ผมจึงเสนอให้ท่านนายกฯ เลือกทำตามอนาคาริกธรรมปาละ ชาวศรีลังกา เรียกร้องพุทธคยาจากชาวมหันธ์ ศาสนา เชน ให้เป็น "พุทธสถาน" ได้สำเร็จ ก็ควรเรียกร้องให้ชาวพุทธทั้งประเทศเปิด "หนึ่งจังหวัด หนึ่งตลาดนัดธรรมะ" ดังที่เคยเสนอ

ท่านนายกฯ ต้องเข้าวัด หรือเข้าพุทธมณฑล มหาพุทธมลฑล อนุพุทธมลฑลใดพุทธมลฑลหนึ่งเป็นตัวอย่าง ทำวัตร ถือศีล ฟังธรรมทุกวันพระใหญ่ ขึ้น-แรม ๑๕ ค่ำ อย่างสม่ำเสมอ เหมือนจัดรายการวิทยุ "นายกฯ ทักษิณ คุยกับ ประชาชน" ทุกวันเสาร์

เพียงทำตัวเป็นพระเวสสันดร เป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนนอนค้างแรมตามเต็นท์ตามวัดแบบ "เรียลลิตี้โชว์" ที่ผ่านๆ มา

ยังมิใช่ อนาคาริกแบบธรรมปาละ

ยังมิใช่พระเวสสันดรทำสัตตสดกมหาทาน ฯลฯ

ท่านนายกฯ ต้องทำตามแบบมหาอุบาสกอนาถบิณฑิกเศรษฐี ผู้บริจาคมหาทานจนหมดตัวเป็น "คนจนผู้ยิ่งใหญ่" สร้างวัดเชตวัน
มหาวิหาร ถวายพระพุทธเจ้า ไม่ต้องทำจนหมดตัวอย่างท่านเศรษฐีอนาถบิณฑิกะดอกทำครึ่งเดียวก็พอ

หากท่านนายกฯ ทำอย่างผู้เจริญด้วยมหาคุณธรรมจริยธรรมอย่างนี้ไม่ได้ ก็ลดขนาดลงมาทำแบบโลกียะ

บริจาคเงินเป็นกองทุนการศึกษาแก่เด็กประถม-มัธยม-อุดมศึกษา จังหวัดละ ๑-๑๐ล้านบาท เป็นกองทุน การศึกษาให้ สพท.(เขตพื้นที่การศึกษา) บริหารจัดการในชื่อ "กองทุนมูลนิธิการศึกษาชินวัตรจังหวัด..." ใช้ดอกเบี้ย มาบริหาร

บริจาคเงินตั้งเป็นกองทุน "มูลนิธิแม่และเด็ก ผู้สูงอายุและคนพิการชินวัตรจังหวัด..." กองทุนละ ๑ ล้านบาท ให้พัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด บริหารจัดการ

และบริจาคตั้งกองทุนทางโลกุตระ คือกองทุนวัด หน่วยงาน หรือสำนักปฏิบัติธรรม ที่สั่งสอนประชาชนให้มีคุณธรรม จริยธรรม อย่างมีคุณภาพ เช่น โรงเรียนผู้นำพลตรีจำลอง เป็นต้น โดยให้ศูนย์คุณธรรมฯ เป็นผู้บริหารจัดการ

พอหรือยัง? ถูกใจหรือยัง?

หากยัง ผู้อ่านสามารถคิดต่อไปอีกได้ รักนายกฯ ต้องช่วยนายกฯ

ภาพนายกฯ อยู่ที่ เศรษฐกิจ การเงิน บริโภคนิยม ขาดภาพคุณธรรมจริยธรรม หากท่านนายกฯ ทำได้อย่างที่ผม "ตั้งใจ" เสนอมาสักอย่างสองอย่างหรือมากกว่า ผมพูดได้เลยว่า

พระเจ้าอโศก อนาถบิณฑิกเศรษฐี อนาคาริกธรรมปาละ กลับชาติมาเกิดในเมืองไทยแล้วในร่างและจิตวิญญาณ ของนายกฯ ทักษิณชื่อใต้คนเหนือเจ๊า!

พร้อมๆ กัน คุณหญิงต้องสวมวิญญาณนักบุญ "เจ้าแม่กวนอิมโพธิสัตว์" ในนาม"มหาอุบาสิกาวิสาขา" ด้วย

เงินทองเป็นของนอกกาย ตายแล้วเอาไปไม่ได้ ลูกหลานก็ใช้ไม่หมด

นี่คือจิตวิญญาณผู้นำผู้เสียสละเพื่อมหาชน เพื่อแผ่นดิน เพื่อพุทธศาสนาเพื่อโลก เพื่อมวลมนุษยชาติ แนวโลกุตระ อย่างแท้จริง

จะเป็น "นายกฯ มหานายกฯ" กี่สมัยหรือตลอดกาล ก็ไม่มีใครรังเกียจเดียดฉันท์อิจฉาตาร้อน รุมยำอย่างทุกวันนี้ หรอกครับ

บังอาจ "สอนจระเข้ว่ายน้ำ อิ๊กคิวซังสอนสังฆราช" เข้าให้แล้ว เดี๋ยวก็....(ฮึ่ม)

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๘ มีนาคม ๒๕๔๙ -