หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

 
เปิดเล่ห์ข้ามโลก (ตอนที่ ๑)
โดย ดร.นิติภูมิ นวรัตน์



(เรื่องอย่างนี้ต้องช่วยกันเผยแพร่ บรรยาย ณ สถาบันราชภัฏ อุบลราชธานี วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๔๓)

ผมเพิ่งเหนื่อยจากการเดินทางกับท่านอาจารย์อรรถ (นันทจักร) และรวมทั้งท่าน รองประธานหอการค้า จังหวัดหนองคาย และท่านรองเลขาธิการหอการค้า จังหวัดนครพนม เราไปเวียตนามกัน ไปที่ ฮาเต็ม เนอาน ฮานอย แล้วก็ได้พบกับ ผู้อำนวยการท่าเรือหวูงอ๋าน ไปเวียตนาม ได้ไปดูท่าเรือ และเส้นทางต่างๆ ก็พอมองเห็น อนาคตของภาคอีสาน แต่เดิมผมมาพูดจาปราศรัย ทางอีสานบ่อยๆ โดยเฉพาะได้คุยกับ ท่าน ส.ส. หลายท่าน ผู้คนมักจะถามว่า ภาคอีสาน จะพัฒนากัน อย่างไรดี เพราะมองกันแง่ไหน ไม่มีทางเลย ผมมีสถานีวิทยุเล็กๆ เป็นของตัวเอง ที่ไต้หวันแห่งหนึ่ง ตั้งกับมิสเตอร์จาง เป็นสถานีที่เผยแพร่กระจายไป แทบจะครบ พื้นที่ในไต้หวัน พบกับพี่น้อง ชาวภาคอีสาน ในไต้หวันเป็นแสนคน พอพูดจากัน ถามไถ่ปัญหา ของพวกเขา ผมมองดูว่ายากมาก ที่จะพัฒนาภาคอีสาน เพราะไม่ว่า จะผลิตอะไร ขึ้นมาก็ตาม หนึ่ง ตลาดไม่มี สอง ส่งออก ไม่ได้ เพราะว่าไม่มีใคร จะมาตั้ง โรงงาน ในภาคอีสาน อย่างจังหวัดนครพนม ห่างกรุงเทพฯ ๗๐๐ กว่า กิโลเมตร แล้วกว่าจะถึง ท่าเรือแหลมฉบัง จะทำอะไรขึ้นมา ค่าขนส่งก็กินหมดแล้ว

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมมาคุยที่จังหวัดขอนแก่น คุณหมอกระแส ชนะวงศ์ ชวนไปคุย ผมกับคุณหมอ มักจะไปด้วยกันบ่อยๆ เพราะเวลาผมไปต่างประเทศ ถ้าประเทศไหน ไม่ให้พบกับผู้หลักผู้ใหญ่ ผมก็มักจะดึงคุณหมอไปด้วย เพราะแต่เดิม คุณหมอเป็นอดีต รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ ดังนั้น ก็มักจะได้รับเกียรติอย่างสูง วันหนึ่งท่านชวนไปคุย ที่จังหวัดขอนแก่น เราก็มาสรุปปัญหาต่างๆ ผู้คนมักจะถามเยอะ ส.ส.หลายท่าน ยกมือถามเลยว่า จะพัฒนาภาคอีสานอย่างไรดี หรือบางท่านก็บอกว่า ให้ช่วยเขียนลงไปหน่อย ว่าให้คนที่เป็น เจ้าของโรงงาน มาตั้งโรงงาน ที่ภาคอีสานดีไหม ผมบอก เป็นไปไม่ได้ครับ ที่จะมาตั้งโรงงาน ที่ภาคอีสาน เพราะว่าตั้งโรงงานเรียบร้อย ผลิตสินค้าเรียบร้อย มันส่งไม่ได้ เพราะท่าเรืออยู่ไกล แล้วหลังจากนั้น เราพยายาม ติดต่อไปที่ลาว เวียตนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดร.อรรถ ก็ประสานกัน เดี๋ยวนี้ท่าเรือ ที่ผมไปดูครั้งแรก ยังไม่เป็นเรื่องเป็นราว เป็นที่โล่งๆ ปรากฏว่า ผ่านไปพักเดียว ตอนนี้ท่านผู้อำนวยการ อดีตท่านเป็นนายอำเภอ และเป็นนักปรัชญา ท่านสร้างท่าเรือ ใกล้จะเสร็จแล้ว ปีหน้าก็เสร็จ พอเสร็จเรียบร้อย ภาคอีสานจะพลิกแผ่นดินทันที ปลูกพืชผล การเกษตรได้ จะทำโรงงานได้ ถ้าเส้นทางสายใหม่ มันเสร็จขึ้นมา ระยะทางเพียง ๒๐๐-๓๐๐ กิโลเมตร เราสามารถจะส่งสินค้าไปขายได้

แต่เดิมเรามองอีสานว่ามืดมน แต่เดี๋ยวนี้ไม่มืดมนแล้ว โดยเฉพาะสินค้า ทางการเกษตร ถ้ารัฐบาล วางนโยบายดีๆ สามารถที่จะพัฒนาไปได้ แต่สิ่งหนึ่ง ที่จะทำให้ ภาคเกษตรของเราแย่ อาจจะเป็นเพราะ นโยบายเสรี ของทางรัฐบาล ผมอยากจะเรียนก่อนว่า ที่บอกว่าตลาดมี สามารถจะส่งออกไปได้นั้น ต้องคำนึงถึง นโยบายของรัฐบาลไทยด้วย คนที่เป็นรัฐบาล จะต้องเข้าใจว่า เสรีมีประโยชน์อย่างไร และมีข้อด้อยอย่างไร

ผมได้พบกับผู้จัดการยา ของบริษัทเฮิร์กซ์ เฮิร์กซ์ผลิตยาในเมืองไทย มีพนักงานประมาณ ๔,๐๐๐- ๕,๐๐๐ คน พอพบอีกครั้งหนึ่ง เขาตกงานแล้ว ผมถามทำไมตกงาน เขาตกงานเพราะ นโยบายเสรีของรัฐบาล ผมไม่เข้าใจ เขาบอกว่า เกี่ยวกับนโยบายยาเสรี ถ้าเป็นสมัยก่อน คนต้องมาตั้งโรงงาน ในประเทศไทย เพราะผลิตยาเอาไปขายได้ ถ้าเอายาเมืองนอกเข้ามา มันเสียภาษีแพง รัฐบาลของนายชวน หลีกภัย ไปลดภาษียา คือ ใครผลิตยา ในเมืองนอก พอจะส่งมาขายในเมืองไทย เขาไม่ต้องเก็บภาษีแพง บริษัทเฮิร์กซ์ ซึ่งเป็นของ เยอรมนี ก็เลยบอกว่า จะตั้งในเมืองไทยทำไม ก็เลยย้ายฐานทั้งหมด ไปตั้งในประเทศอินเดีย เพราะค่าจ้างแรงงานถูกกว่า และโรงงานเฮิร์กซ์ ในเมืองไทยก็ปิดไป คนก็ตกงาน ระเนระนาดหมด ตอนนี้เฮิร์กซ์ไปผลิตยา ในอินเดีย แล้วก็ส่งมา ขายในเมืองไทย แต่เดิมเขาต้องผลิตในเมืองไทย เพราะภาษีมันแพง เดี๋ยวนี้ภาษีลด

ทางรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ตอนนี้กำลังทำอะไรพลาดอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งผมไม่ทราบว่า ทางรัฐบาลไม่รู้ หรือว่าทางรัฐบาลรู้ แต่ว่าแกล้งโง่กันแน่ คือนโยบาย สินค้าเกษตรเสรี แต่เดิมคนไทยไม่กินสินค้านอก เราไม่กิน แอ๊ปเปิ้ลนอก ถ้าจะกินขึ้นมา เราก็จะซื้อให้เฉพาะผู้ใหญ่ เป็นของเยี่ยม ญาติผู้ใหญ่ เดี๋ยวนี้ แอ๊ปเปิ้ล ไม่ใช่สินค้าชั้นสูงอีกต่อไป ราคาถูกมาก เพราะเป็นนโยบาย สินค้าเกษตรเสรี ของรัฐบาลนายชวน หลีกภัย สินค้าเกษตร เมืองนอก มาขายเมืองไทย ภาษีจะลดลงมาก และในอนาคต ประมาณปี ๒๕๕๓ สินค้าเกษตร จะมีภาษีเพียง ๆ ๐-๐.๐๗ เท่านั้น

ถึงวันนั้น อีกสิบปีข้างหน้า สินค้าเกษตรของไทย อาจจะเจอ สินค้าเกษตร เมืองนอก เข้ามาตีเสียจนเรา ไม่สามารถ ที่จะทำการเกษตรกันได้ แล้วคนที่อยู่ในภาคเกษตร บ้านเรา ๗๐-๘๐ % อาจจะตกงานก็ได้ แล้วคนตกงานในอนาคต จะไม่ใช่ตกงานน้อยๆ ผมเคยไปประเทศ ที่คนตกงานมากๆ ไม่ใช่ตกงาน ๑๐% ๑๒% ๑๕% เคยไปในประเทศ ที่คนตกงาน ๕๐% ๖๐% ๗๐% ก็มีประเทศทางอัฟริกา ที่คนตกงาน มากขนาดนี้ เช่น ประเทศมาลาวี ประเทศโมซัมบิก ทำไมตกงาน มากขนาดนี้ ในสมัยโบราณ คนเหล่านี้ อยู่ในประเทศของเขาได้เอง คนนั้นปลูกข้าว คนโน้นปลูกข้าวโพด คนนู้นปลูกมัน คนนี้ปลูกมะละกอ คนนั้นทำไวน์ได้ ทำแยมได้ สังคมเกษตรกรรมดั้งเดิม เขาอยู่กันได้ ฝรั่งมองการณ์ไกล มองทีหนึ่ง ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๕๐ ปี แล้วของเขา ค่อนข้างมองได้ผล ทวีปอัฟริกา ฝรั่งมองล่วงหน้า ๕๐ ปี ๑๐๐ ปี พอเขาเข้ามา ถึงทวีปอัฟริกา สิ่งที่เขาทำคือ ออกกฎหมายทุกประเทศ ให้ปลูกพืช เชิงเดี่ยวเท่านั้น ถ้าเป็นประเทศมาลาวี ปลูกมัน ก็มันอย่างเดียว ห้ามปลูก อย่างอื่น เขาออกกฎหมาย แบ่งโซนไปเลย โซนนี้ปลูกได้ แค่มันเท่านั้น โซนนี้ปลูกได้ แค่ข้าวโพดเท่านั้น โซนนี้ปลูกพืชเชิงเดี่ยว อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น

การที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวอย่างนี้ หมายความว่า เขาต้องการทำลาย ภูมิปัญญา ต่างๆ ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น คนที่เป็นรุ่นพ่อ ก็ยังปลูกมันเป็น ปลูกข้าวโพดเป็น ยังพอปลูกกินกันได้ พอปลูกมันอย่างเดียว คนรุ่นลูก ก็ปลูกเป็นแต่มันอย่างเดียว พอรุ่นหลาน ก็ปลูกเป็นแต่มันอย่างเดียว พออีกรุ่น ก็ปลูกเป็นแต่มันอย่างเดียว แล้วพอเขาให้ อิสรภาพคนอัฟริกาขึ้นมา ก็เหมือนกันกับ ไม่ได้มีอิสรภาพ เพราะ ทำอะไร ไม่เป็นเลย เป็นแต่ปลูกมัน อย่างเดียว ก็ต้องไปเป็นลูกจ้างโรงงาน ร้านค้า ของฝรั่งเหมือนเดิม แล้วยังต้องไปซื้อของฝรั่งกิน เหมือนเดิม เพราะทำอะไรไม่เป็นเลย

ผมกับอาจารย์อานนท์ เอื้อตระกูล เป็นคนที่สุมหัวกัน คิดกันมานาน แต่เดิมท่านเป็น อาจารย์อยู่ที่ มหาวิทยาลัยเกษตร แล้วภายหลัง ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญ ของสหประชาชาติ พอช่วงหลัง เราแบ่งงานกันทำ ให้อาจารย์อานนท์ ไปอยู่ซีกทางด้านการเกษตร เป็นผู้เชี่ยวชาญ ทางด้านการเกษตร
แล้วให้ท่านไปขลุกอยู่ใน ทวีปอัฟริกา ท่านก็ออกไปอยู่ ตามประเทศต่างๆ ส่วนผมก็แบ่งงาน ไปทางโลกของ ศาสนาอิสลาม แล้วพอตอนหลังๆ ผมก็ดึงท่าน ไปตามประเทศอิสลาม ที่ผมรู้บ้าง ส่วนท่านก็ดึงผม ไปตามประเทศ ในทวีปอัฟริกาบ้าง ไปเห็นแล้วสงสาร คนทำอะไรไม่เป็นกันเลย สักอย่างเดียว แยมก็ทำไม่เป็น ต้องซื้อเขาอย่างเดียว ตอนนี้ เราก็เลยจัดตั้ง ไปได้ที่นามิเบีย เป็นหมื่นๆ ไร่ แล้วเอาคนไทย ไปทำการเกษตร ไปสอนเขาทำเกษตร แล้วค่อนข้าง จะได้ผล ผมกับอาจารย์อานนท์ ไปทำเกษตรที่อัฟริกาใต้ ทำแค่ ๔๕ ไร่เท่านั้น แต่ละเช้า เราสามารถจะขายกะเพรา พริก ได้เช้าละหมื่นกว่าบาท ทุกวันนี้ไร่ก็ยังอยู่ เอาคนไทยเข้าไปทำกัน ทางโน้นทำอะไรไม่เป็น ทุกอย่างซื้อหมด

สิ่งที่ทางประเทศฝรั่ง ทำกับ ๕๓ ประเทศในทวีปอัฟริกา เราก็นำมาจับด ูในประเทศไทย เขมร เวียตนาม พม่า มาเลเซีย ดูว่าฝรั่งคิดทำอะไร แล้วเราค่อยๆ ตามดูไป ผมค่อนข้างจะมองออก ในประเทศทางแถบนี้ ถึงแม้จะเป็น ประเทศ สมาชิก WTO คล้ายๆ กัน แต่มีเพียงประเทศเรา ประเทศเดียวเท่านั้น ที่ตามฝรั่งโดยสิ้นเชิง พอทาง WTO องค์การการค้าโลก ออกอะไรมา รัฐบาล ของเรา มักจะตามเขาตลอดเวลา ในอนาคต สินค้าเกษตรบ้านเรา จะถูกลง ไปเรื่อยๆ ผมอ่านจากวิจัยชิ้นหนึ่ง ราคาพืชผล การเกษตรของเรา ราคา ดิ่งลงไปเรื่อยๆ แล้วไม่มีทางโงขึ้น ทางรัฐบาลก็บอกว่า ปีหน้าจะดีขึ้น ผมกล้าท้าว่า ไม่มีทางที่สินค้าเกษตร จะโงขึ้น

แถวบ้านผมปลูกลำไย แล้วรัฐบาลก็บอกว่า ปีหน้าราคาลำไย จะดีกว่านี้ เพราะทำการอบแห้งให้ ผมกล้าบอกว่า ราคาสินค้า ทุกตัวในบ้านเรา มันจะมีแต่ทาง ดิ่งลงๆ เพราะนโยบาย สินค้าเกษตรเสรีของรัฐบาล ผมยกตัวอย่าง เปรียบเทียบ ในประเทศออสเตรเลีย เดี๋ยวนี้เขาปลูกสินค้าเกษตร เลียนแบบบ้านเราครบ แทบทุกประเภท ไม่น่าเชื่อว่า เขาจะปลูกทุเรียนได้ เดี๋ยวนี้เขาเริ่มปลูกมังคุด ใครจะคิดว่า เขาจะเริ่มปลูก มันเป็นพืช พันธุ์ของเราแท้ๆ แต่เขาก็ปลูก แล้วเขาไม่ได้ปลูกเหมือนบ้านเรา เขาปลูกไป พัฒนาไป แล้วไม่ได้ปลูก ๓ ไร่ ๕ ไร่ ๑๐ ไร่ เขาปลูกเป็นพันๆ หมื่นๆ เอเคอร์ ๑ เอเคอร์ เท่ากับ ๒ ไร่ครึ่ง ๑,๐๐๐ เอเคอร์ ตกเข้าไป ๒,๕๐๐ ไร่ ปลูกคนละ ๑,๐๐๐ เอเคอร์ ๒,๐๐๐ เอเคอร์ ๓,๐๐๐ เอเคอร์ การปลูกทีละมากๆ แล้วใช้เครื่องไม้ เครื่องมือ ทำให้ต้นทุนการผลิตถูก พอต้นทุนการผลิตถูก สินค้าก็ราคาถูก พอสินค้าราคาถูก เขาก็ส่งมาขายบ้านเราได้ ในราคาถูก

แต่ก่อน เราไม่กินพืชผัก ผลไม้ต่างประเทศ เพราะราคาแพง เนื่องจากรัฐบาล เอาภาษีไปยันไว้ ถ้าราคาเขามา ๑๐ บาท เอาภาษีไปยันไว้ ๕ บาท ก็กลายเป็น ๑๕ บาท ของเราอาจจะผลิตได้ ในราคา ๑๒ บาท ก็ยังราคาถูกกว่า ของเมืองนอก เมื่อบวกภาษีแล้ว

รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ที่ว่าท่านทำผิดนั้น คือท่านไป ลดภาษีตรงนี้ลง พอลดภาษีลง สินค้าต่างๆ ของเมืองนอก ที่เตรียมจะมาบุกเมืองไทย ก็ราคาถูกลงมาก ในขณะที่ เราไม่พร้อมจะสู้เขาด้วย เมื่อก่อนคนไทย ยังซื้อข้าวของ จากทางร้านค้าต่างๆ เดี๋ยวนี้ เพราะการบริการเสรี ทำให้ร้านค้าต่างๆ แทบจะไม่มีแล้ว

ผมเคยเล่าในที่บางแห่งว่า ในอดีตผมเคยมีแฟน เป็นลูกเจ้าของร้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในจันทบุรี ชื่อว่าร้าน อึ้งเลี่ยงฮวด เขามีพี่น้อง ๔ คน พี่ชายคนโตจบวิศวะ จุฬาฯ ปริญญาโทไปจบที่ฮาลิงตัน พี่ชายคนรอง จบปริญญาตรีวิศวะ จุฬาฯ จบปริญญาโท ก็ที่จุฬาฯ แฟนผมนั้น จบจากมหิดล น้องคนสุดท้อง จบบัญชี จุฬาฯ และได้เกียรตินิยมด้วย ส่งลูกเรียน ๔ คน พ่อแม่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ เป็นตึก ๓ ชั้น ชั้นล่าง ขายของโชห่วย ชั้นที่ ๒ พ่อนอนครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเก็บสินค้า ส่วนชั้น ๓ ให้ลูกๆนอน แค่ตึกเล็กๆ เลี้ยง ลูกได้ถึง ๔ คน เรียนหนังสือ จบจุฬาฯ ๓ คน แล้วเรียนต่อ จบปริญญาโท ๒ คน จบมหิดล ๑ คน เดี๋ยวนี้ ร้านอย่างนี้ ไม่มีแล้ว เพราะการเปิดบริการเสรี ของรัฐบาลนายชวน หลีกภัย พอเปิดปั๊บ ทำให้ร้านฝรั่ง เข้ามาได้ คนไม่ได้ซื้อของ ตามร้านโชห่วยเล็กๆ ร้านเหล่านี้ตายเกือบหมดแล้ว

เพราะการบริการเสรี ทำให้ฝรั่งมาตั้งร้าน แมคโคร โลตัส เซเว่น-อีเลฟเว่น เต็มไปหมด เดี๋ยวนี้ คนไทยก็ซื้อของ ตามร้านพวกนี้แล้ว ร้านคนไทยด้วยกันไม่ซื้อ ผมเคยถามเขาว่า ห้างใหญ่ๆ อย่างนี้ เงินไหลออกไป ประมาณเท่าไหร่ มีคนสรุป ให้ฟังว่า ออกไปประมาณ ๓๐% - ๔๕ % เขาขายได้กำไร ๑๐๐ บาท เงินออกไป ประมาณ ๓๐ บาท ๔๐ บาท ๔๕ บาท แล้วมันใช่ จังหวัดเดียวที่ไหน การบริการเสรี พวกสินค้าขายส่ง ขายปลีกเสรีนี่ ต่อไปจะมี ครบทุกจังหวัด เท่าที่ถามดูแล้ว เขาเตรียมจะตั้ง ให้ครบทุกจังหวัด ถ้าครบทุกจังหวัด เงินมันไหลออกตลอดเวลา แล้วรัฐบาลบอกว่า ต้องการจะให้ เงินอยู่ในประเทศ ต้องการให้คน มาลงทุนนั่นน่ะ มันไม่ได้ก่อประโยชน์จริงๆ

เรื่องการท่องเที่ยวก็เหมือนกัน ตอนนี้ การบริการเสรีของเขา มันกระทบ แม้แต่ การท่องเที่ยว เมื่อก่อน บริษัทท่องเที่ยว ที่จะมีได้นั้น ต้องเป็นบริษัท ของคนไทย ฝรั่งไม่สามารถ มาตั้งบริษัทท่องเที่ยว ในเมืองไทยได้ ไกด์ก็ต้องเป็นคนไทย เดี๋ยวนี้เขาเตรียม ออกกฎหมาย ให้บริษัทท่องเที่ยว เป็นของต่างชาติได้แล้ว ผมเคยถามรัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถามว่า ท่านครับ ทำไม ท่านปล่อยให้ มีบริษัทท่องเที่ยวเสรี หรือ การบริการเสรีเกิดขึ้นมา เขาบอกว่า เป็นไปตาม กฎระเบียบ ขององค์การการค้าโลก ผมบอกว่าเสรีอย่างนี้ บริษัทท่องเที่ยวไทย ยังไม่พร้อม ต่อไปไม่เจ๊งหมดหรือ เขาบอกว่า ต้องการเงิน ทุนต่างชาติ เข้ามาในเมืองไทย ผมบอกว่า คิดอย่างนี้น่ะคิดผิด การจะตั้งบริษัท ขึ้นมาบริษัทหนึ่ง อยากจะถามว่า ใช้เงินเท่าไหร่ เงินทุนจด ทะเบียน ๑ ล้านบาท ใช้เงินตั้ง ๗ - ๘,๐๐๐ บาท ก็ใช้ได้แล้ว ซื้อแฟ็กซ์ อีกเครื่องหนึ่ง ๕,๐๐๐ บาท ก็ตั้งได้แล้ว มันไม่ได้เงินเข้าประเทศเลย

จะเห็นว่าบ้านเรา คุยหนักหนาว่า เรามีรายได้ จากการท่องเที่ยว ปีหนึ่งประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่ว่า ๔๐๐,๐๐๐ ล้านนี้ เป็นรายได้ทุกอย่าง อยากจะถามว่า เขาเข้ามา โดยสายการบินไทย ทุกคนหรือเปล่า เปล่าเลย คนญี่ปุ่น เขาก็เข้ามา ทางสายการบินญี่ปุ่น คนฝรั่งเขาก็เข้ามา ทางสายการบินฝรั่ง เราไปบวก ค่าเครื่องบิน ไม่ได้นะ ค่าโรงแรม ที่ไปนับรวมๆ ว่า ๔๐๐,๐๐๐ ล้าน เราเก็บโรงแรมไทย ทั้งหมดหรือเปล่า โรงแรม ๑๐ โรง เป็นของฝรั่งกี่โรง เป็นของญี่ปุ่นกี่โรง เป็นของสิงคโปร์กี่โรง รถที่ใช้ๆ กัน รถเช่าก็เป็นของฝรั่ง ญี่ปุ่น ร้านอาหารภัตตาคาร เป็นร้านอาหารเจ้าของฝรั่ง ญี่ปุ่น เกาหลี เยอะแยะ เงินที่มันเหลือจริงๆ เหลือกับ บริษัทท่องเที่ยวไทยเท่านั้น แต่ปรากฏ รัฐบาล จะให้บริษัทท่องเที่ยว เป็นของต่างชาติ ไปเสียอีก ต่อไป จะไม่เหลือ อะไรเลย มาเที่ยวทะเลเรา ก็มาเที่ยวฟรี ภูเขาก็เที่ยวฟรี ป่าไม้ก็เที่ยวฟรี ค่าน้ำตก อาจจะเสีย ๕ บาท ๑๐ บาท ต่อไปคนไทย อาจจะไม่ได้อะไร หรืออาจจะได้แค่ ๒ บาท เท่านั้น เป็นค่าห้องน้ำ เพราะฝรั่งคงไม่มาทำห้องน้ำ

พอเป็นอย่างนี้ ผมอยากจะถามว่า เงินมันจะเหลือลงในประเทศไหม มองดูแล้ว เงินจะมีแต่ไหลออก เงินจะไม่มีเข้าเลย ตอนที่เปิดเสรี คนที่คิดเรื่องเสรี ในบ้านเรา วันนี้ท่านก็มาจังหวัด พูดที่อุบลราชธานี เหมือนกัน ท่านนี้แหละครับ ท่านคิดเรื่องเสรีๆ ตลอดเวลา เพราะท่านไปจบมา จากเมืองนอกตลอด ปริญญาตรีก็ฮาวาร์ด ปริญญาโท ได้ข่าวว่าพรินซ์ตัน แล้วแรกๆ ก็ทำแบงก์ อยู่ฟิลิปปินส์ กลับมาเมืองไทย ก็ทำแบงก์ไทยตลอด แล้วท่านก็เกี่ยวพันกับ คนเมืองนอก ตลอดเวลา ในสมองของท่าน ก็คิดแต่เรื่องเสรีๆ ท่านจึงเป็นคนแรก ที่เปิดการเงินเสรี เมื่อมาเป็นรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลัง การเงินเสรี คืออยากจะเอาสตางค์ ออกนอกประเทศ เมื่อไหร่ก็ได้ อยากจะเอาสตางค์ เข้าประเทศ เมื่อไหร่ก็ได้

ผมเคยยกตัวอย่างว่า ประเทศเหมือนกับครอบครัว สมมติครอบครัวผม มีกัน ๓ คน พ่อ แม่ ลูก ถ้าผมมีรายได้ ๑๐,๐๐๐ บาท ภรรยามีรายได้ ๘,๐๐๐ บาท เราสองคน รวมกัน มีรายได้ ๑๘,๐๐๐ บาท แล้วผมบอกกับคน ในครอบครัวว่า ครอบครัวเรา มีรายได้ ๑๘,๐๐๐ บาท อยากจะใช้อะไร ขอให้อยู่ในงบประมาณ ๑๘,๐๐๐ บาทนี้ เราอาจใช้ ๑๖,๐๐๐ บาท แล้วเก็บฝากแบงก์ไว้ ๒,๐๐๐ บาท อย่างนี้ครอบครัว ก็อยู่รอด การเปิดเสรีการเงิน หมายความว่า ผมไม่ประกาศ กับลูก ไม่บอกภรรยา ว่ามีรายได้ เข้าครอบครัวเท่าไหร่ แล้วอยาก จะใช้จ่ายออกไป จะใช้จ่ายอย่างไรก็ได้ ถ้าวันไหนไม่พอใช้ อยากจะไป หยิบยืมใคร ก็หยิบยืมได้ ไปติดหนี้สินเขามาได้ การเปิดการเงินเสรี ในขณะประเทศ ไม่พร้อม ทำให้เกิดปัญหาอย่างใหญ่หลวง

พอเปิดการค้าเสรี คนเมืองไทย ก็ไปกู้เงินกันมา เยอะไปหมด ฝรั่งก็มาปั่นตลาดหุ้น พอปั่นตลาดหุ้น ได้กำไรกันมากๆ เมื่อก่อน เอาเงินออกไปไม่ได้ เพราะคนจะเอาเงินออก ต้องรายงานรัฐบาล รายงานกระทรวงการคลัง รายงานธนาคาร แห่งประเทศไทยว่า บริษัทผม จะเอาเงินออกไปเท่าไหร่ เงินได้มาจากไหน เมื่อมีการเงินเสรี ฝรั่งเอาเงินออก ไปได้โดยเสรี ไม่ต้องแจ้งใคร เมื่อก่อน ผมไปเรียนเมืองนอก พอถึงดอนเมือง จะออกจากดอนเมือง ต้องเขียน ไปเลยว่า ผมจะเข้าประเทศ ผมนำเงินเข้ามาเท่าไหร่ แล้วเงินที่ จะออกนอกประเทศ เงินที่จะเข้าประเทศ มันก็ไหลไปอยู่ที่กระทรวงการคลัง หรือว่าที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย ทางโน้นเขาก็รู้ว่า ตอนนี้มีเงินไหลเข้าเท่าไหร่ เงินออกไปนอกประเทศ เดือนหนึ่งเท่าไหร่ นั่นคือ ครอบครัวเรารู้ว่า เรามีเงินเหลือ ที่จะใช้จ่ายกันเท่าไหร่ พอเปิดการเงินเสรี บ้านเมืองจึงพัง

(อ่านต่อฉบับหน้า)

 
เรื่องอย่างนี้ต้องช่วยกันเผยแพร่ (เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ หน้า ๓๔ - ๓๙ )