เบิกฟ้าหน้าใหม่ ของสภา

‘วิมุตตินันทะ‘

 

หนังสือพิมพ์ เราคิดอะไร ฉบับที่ 129

เดือน เมษายน 2544


 

หลายๆ คนคงจะเบื่อระอากับการเมืองน้ำเน่าแบบไทยๆ แม้จะผ่านยุคเผด็จการ มาจนถึงประชาธิปไตย ที่นับว่าเต็มใบพอสมควร ตามที่เปิดโอกาสให้ประชาชน เลือกเองกับมือแท้ๆ มันก็ไม่วายมั่วนิ่มแบบศรีธนญชวน เอ๊ย ศรีธนญชัย อยู่อย่างนั้นแหละ

กรณีตัวอย่างวุฒิสภาเกิดเรื่องอื้อฉาวติดๆ กัน เฉพาะอย่างยิ่ง ตัวบุคคลที่เป็นต้นกลิ่นเหม็น ไม่ใช่เล็กๆ เพราะเป็นถึงรองประธาน และประธานวุฒิสภานั่นเทียว เสร็จแล้วก็ยังคงอุ้มพวกมากลากไป อ้างแต่กฎหมาย ตามลายลักษณ์อักษร โดยไม่ดูเจตนารมณ์นิติธรรม ล้วนพวกเจ้าถ้อย หมอความทั้งนั้น ที่คอยขัดแย้งตีรวน จึงไม่ประหลาดอะไร ที่ต้องคอยโยนกลองไปที่ ศาลรัฐธรรมนูญ อยู่เรื่อยๆต่างใช้หัวคิดไม่เป็นหรืออย่างไร ถึงต้องตีความกันไม่เว้นแต่ละวัน

เมืองไทย หากเรียนนิติบัญญัติกัน ให้น้อยลงหน่อย ถอยไปเรียนธรรมสูตรให้มันซึมเข้าหัวกะโหลกบ้าง เรื่องจ้องช่องทางเบี้ยวบาลีตีกิน อาจจะเบาบางบ้างกระมัง แทนที่จะตั้งหน้ายื้ออำนาจ ฟาดผลประโยชน์เมามัน ไปเสียทุกด้าน ก็ให้รู้ด้วยว่า เขาเลือกนายมาทำงานเสียสละ ตรงตามที่เสนอหน้าอาสาเข้ามา ปากว่าขอรับใช้ พ่อแม่พี่น้อง เมื่อให้จริงดังพูดไม่ได้ ก็น่าคิดหนักว่า ใครควรเป็นลูกผู้ชายต่อไปไหม สงสัยในสภาสูง จะเหลือสัจจะชายชาตินับหัวได้กี่คนเชียว วังเวงเศร้าใจพิลึก!

อย่างไรก็ตาม แม้จะหวังอะไรได้ยากเหลือเกิน ขนาดสภาบนยังอกหักอกพังขนาดนี้ สภาล่างจะออกลายขนาดไหน ไม่ต้องไปเพ่งโทษ ดูถูกเขาก่อนดีกว่า เดี๋ยวคงได้ดู ใครจะยี้แย้กว่ากัน เท่าใดเอ่ย...

และแม้ว่าประชาธิปไตย แบบไทยๆ มันจะแย่ปานใดด้วยรวมหัว ใช้อำนาจเป็นธรรม แต่การใช้ธรรมให้เป็นอำนาจ ก็ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว ในขณะที่ต่อมยางอาย สำนึกดี ยังมีน้ำยา หิริโอตตัปปะหลงเหลือ อยู่บ้าง ดังเช่นในที่สุด นายเฉลิม พรหมเลิศ ได้ตัดสินใจลาออก จากวุฒิสมาชิก ไม่รอให้ใครต้องออกแรงขับจากสภา ทั้งที่สภาอุตส่าห์อุ้มเอาไว้แน่น ในขณะที่เจ้าตัวเคยบอก ไม่ขอใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองจากสภาสักหน่อย ถ้าปล่อยให้เขาถูกดำเนินคดี เดินหน้าไปตามเรื่องอันควร มันจะเสียหายตรงไหนกับใครเชียว หรือว่าอีกาดำช่วยเหลืออีกาดำ พิลึกอะไรหรือเปล่า สภาผู้ทรงเกียรติ...

ถึงกระนั้น กระแสสังคม ย่อมมีฤทธิ์อยู่จริง การลงโทษทางสังคม หมู่ฝูงจึงทำใด้ในเมื่อ ความเลวของคนอาจประจักษ์แจ้ง โดยไม่ต้องถามหาใบเสร็จ แบบศรีธนญชัย เฉพาะอย่างยิ่ง คนผู้อยู่ในฐานะบทบาทสูง ยิ่งต้องสง่างาม และห่างไกลจากของเหม็นโฉ่

คดีนายเฉลิม พรหมเลิศ อดีตรองประธานสภา ฉาวด้วยข้อหา มั่วสุมทางเพศกับเด็กหญิง และกรณี นายสนิท วรปัญญา ประธานวุฒิสภา โดน กกต.สอยร่วง ทั้งสองเรื่อง ล้วนประจานวิสัยทัศน์ของสภา มีแค่นี้เองหรือ คนดีเด่น น่าเชื่อถือไว้วางใจอย่างเต็มที่ ให้เป็นผู้นำของสภาอันสูงส่ง พวกเขาใช้วิจารณญาณ สัมมาทิฐิ เลือกเฟ้นมาได้ดังที่เห็นเป็น เช่นนี้เอง เกียรติภูมิศักดิ์ศรีของสภา ยังจะถามหากันได้อีกหรือ?

ประชาชนหลงอุ่นใจมากว่า กกต.มาช่วยให้การเลือกตั้งมันเลวทรามน้อยลง มันก็คงค่อยยังชั่ว น้อยลงนั่นแหละ แต่คนฉลาดหลอกย่อมเก่งพอ ที่จะดันตัวเองขึ้นมาจนได้

กกต.จะทำอะไรได้สักหน่อย ไม่วายเจอตอพญามารอยู่ร่ำไป เกิดกระแสเสียงขึ้นมาทำนองว่า กกต.ชักจะใหญ่เกินไป ถ้าวุฒิสภา ยอมรับปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของ กกต. จะกลายเป็นว่า กกต.ใหญ่กว่าศาล เลยต้องไม่ฟังไว้ก่อน เป็นเสียแบบนี้ พวกหัวหมอความทั้งหลาย เมืองไทยเลย ไม่ต้องเดินหน้า คิดใหม่ ทำใหม่อะไรได้ ขัดขากันมันดีอย่างนี้เอง

การที่ กกต.ออกใบเหลือง สอย ส.ว. ๑๐ ท่าน ลงมาให้ไปพิสูจน์ตัวเองใหม่ ใครแน่จริง ไปลงให้เขาเลือกสะอาดๆ กันมาอีกหน จะเป็นไรไป กกต. ควรมีสิทธิ์ขาดออกใบสั่ง อันนี้ได้เต็มๆอยู่แล้ว หาก กกต. มั่วส่งเดช แกล้งคนไม่เข้าเรื่อง เดี๋ยวก็รู้ สิบอรหันต์นั้น จะเป็นตัวจริงเสียงจริง วิเศษขนานแท้แค่ไหน ประชาชน เขาย่อมท้าพิสูจน์กันแน่ๆ เพราะไม่ยอมกระจายอำนาจ ให้รู้จักรับผิดชอบ ชั่วดี ตามระดับ วิสัยงานที่ควรจะทำได้ทันที ในระดับเสมียน หรือหัวหน้าหน่วยพวกโบ้ยส่งเดช เรื่องไปถึงหัวหน้ากอง อธิบดีโน่น เมื่อไหร่จะรู้เรื่อง และทันกินสักที!

ฉะนั้น การเพ่งโทษองค์กรอิสระเช่น กกต. ว่าออกนอกอธิปไตย ๓ บ้างล่ะ หรือเป็นอำนาจใหม่ที่ลอยตัว ข้อกังวลนี้คงจะไม่ทันคิดใหม่ให้ถี่ถ้วนลึกซึ้งพอเพียง ตัวใครจะใหญ่แค่ไหน คงไม่เกินกว่าโลง เช่นเดียวกัน องค์กรไหนๆ ไม่น่าจะเกิดมีใครใหญ่กว่าองค์กรประชาชน ไม่ผิดหรอก ที่ประชาชน ย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน นั่นคือใครๆ ก็มีสิทธิ์รับผิดชอบ พอประมาณได้ทั้งสิ้น เมื่อถูกทำนอง คลองธรรม โดยรู้จักประมาณไม่เกินตัว รู้เรารู้เขา ถูกกาลเทศะ ตามหลักสัปปุริสธรรม อันนั้นแหละสำคัญที่สุด

ดังนั้นประชาธิปไตย สังคมเสียงส่วนมากย่อมใหญ่ที่สุด เป็นจุดตัดสินความชอบธรรม ในขณะเดียวกันสังคมเสียงข้างน้อย ที่มีอยู่หลากหลาย ย่อมได้รับความคุ้มครอง ในหลักสิทธิมนุษยชน ด้วยเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ต้องห่วงอะไรมากเกินไป กับสภาบนสภาล่าง อย่างสภาห้าร้อยเมื่อรวมตัวกันทำดี ก็ดีตามจริง ถ้าห่วยแตก เมื่อไหร่ ย่อมไร้ความหมายของเขาเอง และเมื่อนั้นสภาห้าหมื่น สภาห้าแสน จะเดินหน้าแทนแน่นถนน เมื่อเกิดความจำเป็นปานนั้น ดังที่เคยพิสูจน์กันมาแล้ว

สภาตัวจริง จึงอยู่ที่สภาประชาสังคม หากสภาตัวแทน ทำอะไรไม่เข้าท่า สภาตัวการควรออกโรง ร่วมด้วยช่วยกันสื่อสาระสัจจะ โดยกระทุ้งส่งเสียงดังๆ ออกไปบ้าง ไม่ใช่เอามือซุกหีบหุบปาก เงียบเชียบ มองตาปริบๆ ทัดทานอะไรไม่ได้ กับสภาศรีธนญชัย ไม่จริงเลย สังคมก็ต้องเป็นตัวการ คอยกำกับตัวแทนให้อยู่ในร่องรอยได้เสมอ จะสอยรายตัว หรือคว่ำบาตรทั้งสภา ก็อาจทำได้ เมื่อเกิดจำเป็นเช่นนั้น ขอให้รู้บ้างว่าไผเป็นไผ เพราะไม่มีใครผูกขาดอำนาจใดๆ ไว้ผู้เดียวได้เลย

 

 
    อ่านฉบับ 130

(เราคิดอะไร ฉบับ ๑๒๙ เม.ย. ๔๔ หน้า ๗๒ - ๗๓ )