ฉบับที่ 182 ปักษ์แรก 1-15 พฤษภาคม 2545

[01] บทนำข่าวอโศก: สบายๆแต่อันตราย!
[02] ธรรมะพ่อท่าน:ท่องไปกับพ่อฯ (๓)
[03] บันทึกปัจฉาสมณะ : การขัดแย้ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ฉบับใหม่
[04] จับกระแส ตอ .: สรุปผลการตรวจหายาฆ่าแมลง
[05] กสิกรรมธรรมชาติ: ผักหวานป่า ปลูกกินยอดเป็นยา
[06] ชมร. เชียงใหม่ ทำอาหารแจกครั้งที่ ๒ สนุกและคึกคักกว่าเดิม
[07] ข่าว: กิจกรรม วันกตัญญู ที่ร.ร.สัมมาสิกขา หินผาฟ้าน้ำ
[08] ข่าว: พ่อท่านร่วมอบรมเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. ให้เป็นคนจนเสียสละและสร้างสรร
[09] ข่าว: ปฏิบัติการเพื่อฟ้าดิน รวมพล ณ บ้านราชเมืองเรือฯ เปิดโลก กสิกรรมไร้สารพิษ
[10] ข่าว: ข่าวจากพรรคเพื่อฟ้าดิน
[11] หน้าปัดชาวหินฟ้า
ขอบคุณ..ขอบคุณ...ชาวอโศกต้องเป็นกสิกร..หนังสืออีคิวโลกุตระ..กิจกรรมเพียบที่สันติอโศก.. ๓ มิ.ย. เปิดสวนไผ่สุขภาพ ตรงข้ามซอยราชครู.. ๗ มิ.ย.ประชุมตัวแทนจากทุกพรรคการเมือง...แจกนาฬิกา.. มหัศจรรย์จริงหนอ..
[12] งานวิสาขบูชาที่ท้องสนามหลวง แง้มประตูฯ

[13] ชายงามรายปักษ์: นายดีแล้ว ชาวหินฟ้า
[14] ศูนย์สุขภาพ: หญ้าเป็นเทวดาได้ด้วย

 
...1...


สบายๆแต่อันตราย!

มีการวิจัยทางการแพทย์ในต่างประเทศพบว่า ท่านั่ง "ไขว่ห้าง" ซึ่งเป็นท่านั่งยอดฮิตนั้น เป็นท่านั่ง ที่อาจทำให้เกิด อันตราย ถึงชีวิตได้ เนื่องจากเส้นเลือดใหญ่ ที่ต้นขาทั้งสอง จะถูกแรงของขาทั้งสอง บีบเอาไว้ให้เลือด ไหลเวียน ไม่สะดวก และทำให้ หัวใจต้องทำงานหนักมากขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อที่จะลำเลียงเลือด ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ให้ได้อย่างทั่วถึง

และนี่คือ สาเหตุที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม เพราะหัวใจต้องทำงานหนักกว่าปกติ จึงทำให้ผู้นั่ง อาจจะรู้สึก วิงเวียน ศีรษะ หรือหน้ามืดบ่อยครั้งมากขึ้น หลังจากลุกจากที่นั่ง หรืออาจมีอาการปวดบวม ที่ขาทั้งสอง

ทางคณะแพทย์จึงแนะนำว่า ควรหลีกเลี่ยงท่านั่งที่แสนสบายนี้เสีย ก่อนที่ชีวิตของท่าน จะไปสบายก่อนวัยอันควร

เราจะเห็นได้ว่าท่านั่งที่เราคิดว่าเท่ หรือดูดีและรู้สึกสบาย แต่ความจริง กลับเป็นอันตรายต่อชีวิต

ดังนั้น ตามหน่วยงานต่างๆของชาวเรา ก็พึงสำรวจตัวเองดูให้ดีๆว่า อะไรที่เรารู้สึกสะดวก หรือเท่ มันอาจเป็น ความเข้าใจผิด ก็ได้ และนำปัญหามาสู่ตน และคนอื่นอย่างไม่รู้ตัว

โดยเฉพาะคนที่บอกว่า ชอบถือศีล แต่มักถือสาหาความอยู่ก็ต้องทบทวนหลักการปฏิบัติธรรมของตน เช่นเดียวกับ คนที่ร่างกาย ทรุดโทรม ก็พึงสำรวจท่านั่ง แล้วพยายามยึดหลักปฏิบัติธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "การตั้งตน อยู่บนความลำบาก กุศลธรรมย่อมเจริญยิ่ง".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

...2...


ท่องไปกับพ่อฯ ตอน ๓

ฉบับนี้ขอพาท่านเข้าสู่เรื่องราวของ "ท่องไปกับพ่อฯ" กันต่อ ตอนนี้เป็นตอนที่ ๓ แล้ว ก็หวังเช่นเคยว่า ท่านญาติธรรม จะได้รับ ประโยชน์จากบันทึกของ "ปัจฉาฯเฉพาะกิจ" นี้ -ทีมข่าวพิเศษ

วันศุกร์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕

ไม่ได้ลุกทำวัตรเช้ากับผู้เข้าอบรม จะได้ให้พ่อท่านพักเต็มที่

บิณฑบาต ผู้คนใส่บาตรมาก วันนี้มีสมณะ ๗ รูป ปกติมีแค่ ๒ รูป ชาวอีสานกระตือรือร้นขวนขวาย ใส่บาตรดี เดินนาน ร่วม ๒ ช.ม. อากาศเย็นๆ เพราะลมพัดแรง

ก่อนฉันพ่อท่านแสดงธรรมเรื่อง ความฮัก ๑๐ มิติ ภาคภาษาอีสาน อ่านหนังสือมาแล้วทั้งเล่มเก่า และ ที่เขียนใหม่มาฟังอีก ก็ยิ่งเป็นการซ้ำให้ชัดยิ่งขึ้น

สรุปคือ ความรักต้องไม่เห็นแก่ตัว รักแล้วเป็นประโยชน์คุณค่าแก่คนที่เรารัก

ทรัพย์แท้ๆ คือ กรรม

คนมารวย ไม่เก่งเท่าคนมาจน

พระพุทธเจ้าเป็นคนจน

คนเราดีที่สุด สุดยอดของคนคือ ไม่เอาอะไร

ทุกวินาทีเป็นกรรม กรรมเป็นสมบัติ

ทรัพย์แท้อยู่ที่สมรรถนะและขยัน

ราวๆบ่ายโมงออกจากสวนส่างฝันถึงศีรษะอโศก เวลา ๑๕.๑๕ น. เด็กๆเห็นพ่อท่านต่างดีใจกันใหญ่ใครๆเห็นพ่อท่าน ก็จะชวนคนใกล้ๆมากราบ

ค่ำนี้ผู้เข้าอบรมฯธ.ก.ส. รุ่นที่ ๑๑ ของศีรษะอโศกแสดงละครของแต่ละกลุ่ม พ่อท่านได้ไปเยี่ยม ให้กำลังใจกระทั่งเวลา ๒๐.๑๒ น.พ่อท่านก็เปิดโอกาสให้ทีมนกกระจอกเทศ ซึ่งเป็นคณะทำงานอบรมฯ เข้าพบ ขอกำลังใจ จากพ่อท่าน

พ่อท่านบอกว่า งานอบรมทำให้พวกเรารวมตัวกัน และพูดถึงการอบรมที่สวนส่างฝันว่า มีศิลปะประกอบดี ส่วนที่สีมาอโศก ยังแข็งๆอยู่

พูดถึงความขัดแย้งว่าตัวการก็คือ อรูปอัตตา โดยเฉพาะการเอาแต่ใจตัว

ตามพ่อท่านครั้งนี้จะได้ยิน ๒ คำนี้บ่อย ไปที่ไหนก็พูดก็เน้น อีกข้อความหนึ่งก็คือ

"เหตุผลคือความบ้า อัตตาคือความจริง" ฟังแล้วได้ทบทวนตรวจสอบตัวเองไปด้วย ตรวจสอบความบ้า และความจริง ของตัวเอง

จบด้วยฝากท้ายจากพ่อท่านว่า

"เอาให้ดี เอาให้ได้ ได้ให้ดี"

ภันเตผืนฟ้า อนุตตโร บอกว่า ให้นำไปเป็นโศลกงานปลุกเสกฯปีนี้ แต่พ่อท่านไม่ทันได้ยิน

ก่อนกลับที่พัก หลังจากพ่อท่านเตรียมจำวัด โดยกราบสามครั้งแล้ว จะกราบลาพ่อท่าน ขอบพระคุณ ที่ท่านเปิดโอกาส ให้ได้ ปรนนิบัติรับใช้ และกราบขอขมา ในสิ่งที่ผิดพลาดบกพร่อง.

ปัจฉาฯเฉพาะกิจ

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

...3...


ช่วงที่มีข่าวพุทธศาสนิกชนสองกลุ่มขัดแย้งกันเรื่อง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับใหม่ มีนักข่าวโทรศัพท์มาหาเรื่อง ไปเขียนข่าวว่า มีพระรูปหนึ่ง กล่าวพาดพิงว่า การที่ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ฉบับใหม่ยังไม่ผ่านสภา ก็เพราะสันติอโศก อยู่เบื้องหลัง!

พ่อท่านให้ผู้เขียนตอบนักข่าวไปว่า เราลาออกจากการปกครองของคณะสงฆ์ มหาเถรสมาคมแล้ว จึงไม่ขอออก ความเห็นใดๆ ในเรื่องนี้ อีกทั้งเราเอง ก็เป็นเพียงผู้เล็กผู้น้อย ส่วนใครจะวิพากษ์ วิจารณ์อย่างไร เราก็รับฟัง

ในบรรยากาศกันเองพ่อท่านเปรยวิจารณ์เล็กๆว่า ความคิดเห็นของทั้งสองกลุ่ม มีอะไรๆดีๆ ที่เราเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย มีสองเรื่องที่ชาวอโศก ไม่ขอออกความเห็นใดๆ ก็คือ เรื่อง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับใหม่ และ
เรื่องภิกษุณีสงฆ์ ในไทย

ผู้เขียนคาดว่า ชาวบ้านคงรำคาญและเสื่อมศรัทธาไม่น้อย ที่ความแตกต่างในความคิด ความเชื่อ กลายเป็น ความแตกแยก ด้วยต่างยึดความรู้ ยึดความเห็นของตน ถกเถียง จะเอาเป็นเอาตายกัน ด้วยเรื่องสมมุติสัจจะ.. กฎระเบียบต่างๆ ในสังคมพระ.. สมมุติฐานะของการบวช แบ่งกันเป็นฝักเป็นฝ่าย มีพรรคมีพวก ดูคล้าย พระทะเลาะกัน ทั้งๆที่ต่างก็รู้เยอะ เรียนมาก็มาก แต่ขาดความอนุโลม ปฏิโลม ไม่ลดลาวาศอก ยอมกันไม่ได้

บ้างก็คิดไปถึงขั้นว่า ศาสนาพุทธจะเสื่อม หรือเจริญอยู่ที่สมมุติสัจจะเหล่านี้ แทนที่จะมองที่ การขาด คนปฏิบัติจริง จนเกิดผล เป็นปรมัตถ์สัจจะ ของชาวพุทธ

"โลกทุกข์ร้อน เพราะความแตกแยก
โลกสุขสดสวย ด้วย ความแปลกต่าง"

เป็นข้อความที่พ่อท่านใช้ขึ้นหน้าปก น.ส.พ.เราคิดอะไร ฉบับใหม่

พ่อท่านยืนยันมาตลอดว่า ได้นำพาชาวอโศกแปลกต่างจากสังคม ไม่ใช่แตกแยก เป็นเพียงนานาสังวาส ยังมิใช่นิกาย กับสงฆ์ หมู่ใหญ่

งานเพื่อฟ้าดินที่เพิ่งผ่านไป (๔-๖ พ.ค.) คุณอมร ณ สุวรรณ กรรมการสหภาพแรงงานของพนักงาน ธ.ก.ส. แอบมาร่วม ก่อนจากกล่าวชื่นชมว่า มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่หลากหลาย ได้ประโยชน์อย่างยิ่งครับ ทำให้ผู้เขียนได้คิดว่า แม้งานจะไม่คึกคัก สินค้ายังไม่มาก และหลากหลาย แต่ก็น่าซาบซึ้งกับความตั้งใจ อุดมการณ์ ความคิดที่จะมาร่วมรวมกัน เสียสละ และ แลกเปลี่ยน ทั้งความรู้..ผลผลิต..พืชพันธุ์ธัญญาหาร แค่นี้ก็ถือเป็น ความสำเร็จ อย่างยิ่งแล้ว สำหรับงานนี้ แต่เป็นเรื่อง ยิ่งใหญ่มาก สำหรับชาติพันธุ์มนุษย์

หลังงานเลิกมีการประชุมกรรมการ เพื่อหาช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการจัดงานปีต่อๆไป เสียงส่วนใหญ่ เห็นว่า ควรจะเป็น ช่วง ๑๗ พ.ค. ต่อมามีผู้เสนอว่า น่าจะเป็นช่วงงาน "โฮมไทวัง" (๕ มิ.ย.) พ่อท่านเห็นด้วย จึงนำมาเสนอ ถามความเห็น ในช่วงทำวัตรเช้า กับผู้มาร่วมงานทั้งหมดอีกทีว่า เห็นควรสะดวก ช่วงไหนมากที่สุด ผลปรากฏว่า ความเห็น ของพ่อท่านแพ้ เสียงส่วนใหญ่เลือกช่วง ๑๗ พ.ค. พ่อท่านก็ยอมได้ ก็ขนาดถูกด่า ถูกประณาม ถูกบังคับให้เปลี่ยนชุดนุ่งห่ม ถูกลิดรอนสิทธิ ไม่ให้ใช้คำนำหน้าว่า "พระ" ก็ยอมได้มาแล้ว ประสาอะไรกับเรื่อง สมมุติสัจจะแค่นี้

แพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

...4...


สรุปผลการตรวจหายาฆ่าแมลง
ในผลผลิตที่นำมาจำหน่ายในงานเพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ ๙

ระหว่างวันที่ ๓ - ๕ พฤษภาคม ๒๕๔๕ มีดังนี้

ผู้นำมาจำหน่าย รวม ๔๐ แห่ง จำแนกเป็น
ชุมชนพุทธสถาน/สังฆสถาน ๖ แห่ง
เครือข่ายชุมชนชาวอโศก ๑๒ แห่ง
ญาติธรรม/เครือข่ายเกษตรกร ๒๓ แห่ง

ผลผลิตที่เก็บตรวจ รวม ๑๔๐ ตัวอย่าง จำแนกเป็น
ข้าว/ธัญพืช ๖ ตัวอย่าง
ผัก ๔๓ ตัวอย่าง
ผลไม้ ๓๔ ตัวอย่าง
อาหารแปรรูป ๕๒ ตัวอย่าง
ยาจากสมุนไพร ๕ ตัวอย่าง

ผลการตรวจ
ตรวจไม่พบ ๑๓๙ ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๒๙
ตรวจพบยาฆ่าแมลงแต่อยู่ในขั้นปลอดภัย* ๑ ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ ๐.๗๑

หมายเหตุ
*๑.จากการวิเคราะห์ปัญหาร่วมกับผู้ผลิต พบว่าสาเหตุอาจเนื่องจาก การใช้น้ำรดผัก ที่มีต้นทางมาจากไร่สวนที่ใช้ยา ฆ่าแมลง และ การใช้ปุ๋ยขี้วัว-ขี้ควาย

๒.ผลผลิตด้านอาหารแปรรูปบางตัวอย่าง ได้ตรวจ รา ยีสต์ อีโคไล โคลิฟอร์ม (เพื่อดูการปนเปื้อน ของเชื้อจุลินทรีย์ และ ความสะอาด ในกระบวนการผลิต ว่ามีมากน้อยเพียงใด) ซึ่งยังไม่ทราบผลในช่วงวันงาน

๓.การตรวจสอบใช้ชุดทดสอบยาฆ่าแมลง ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งสามารถทดสอบยาฆ่าแมลง เฉพาะกลุ่ม ออการ์โนฟอตเฟส และคาร์บาเมต ซึ่งกลุ่มเกษตรกร มักใช้ยาฆ่าแมลงใน ๒ กลุ่มนี้เป็นหลัก

๔.ดำเนินการตรวจสอบโดย รถหน่วยตรวจสอบเคลื่อนที่ ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

...5...

"ผักหวานป่า" ปลูกกินยอดเป็นยา

ฉบับนี้เรามีข้อมูลเรื่อง "ผักหวานป่า" ซึ่งเป็นผักพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่งที่น่าสนใจมาฝากกันดังนี้ค่ะ

*โดยธรรมชาติของ "ผักหวานป่า" พบมีขึ้นทั่วทุกภาคของประเทศไทยบนดอยสูงในป่าเต็งรัง ป่าผสมผลัดใบ ที่มีพื้นที่
เป็นดินดาน ดินร่วนปนทราย ดินปนหิน ซึ่งเป็นที่โล่งแจ้ง ไม่มีน้ำท่วมขัง พบมากที่สุดทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ และ ภาคกลางบางส่วน จัดเป็นไม้ป่าที่มีคุณค่าทางโภชนาการชั้นยอดชนิดหนึ่ง ที่คนในอดีต และปัจจุบัน
นิยมรับประทานกันมาก โดยเฉพาะชาวบ้านทางภาคเหนือ กับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งใช้ยอดอ่อน ใบอ่อน และ
ดอกอ่อน มีรสหวานกรอบ นึ่งหรือกินสดกับน้ำพริกตาแดง น้ำพริกปลาร้า หรือแกงผักหวาน คนเดินป่า นิยมทำกิน
เพราะหาง่าย ใส่เกลือป่นโรยลงไปเล็กน้อย ทุบพริกขี้หนู ข่า ตะไคร้ ที่เตรียมไป ซดน้ำคล่องคออร่อยดี... สมัยก่อน
หากินยากมาก นานๆคนหาของป่า จะนำเข้าไปขาย ในตัวเมือง ราคาก็แพงด้วย ปัจจุบันมีบางพื้นที่ ปลูกเก็บยอดขาย
เป็นสินค้าแล้ว

ผักหวานป่า นอกจากรับประทานอร่อยแล้ว ยังมีบางส่วนเป็นสมุนไพรด้วย โดยตำราโบราณกล่าวว่า รากเป็นยาเย็น
ต้มน้ำดื่มลดไข้ ระงับพิษ แก้พิษร้อนกระสับกระส่วย แก้น้ำดีพิการ แก้เซื่อมมัว แก้ร้อนในกระหายน้ำ ส่วน น้ำยาง
จากใบ ใช้กวาดคอเด็ก แก้ลิ้นเป็นฝ้าขาวดีนัก

ผักหวานป่า เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ ขนาดกลาง สูง ๖-๑๐ เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มทรงกลม ใบเป็นใบเดี่ยว
ออกเรียงสลับ เป็นรูปไข่หรือรูปรี ปลายแหลม โคนสอบ เนื้อใบหนาสีเขียวเข้มคล้ายใบมะนาว หรือใบมะตูม ยอดอ่อน
ใบเล็กเรียว เป็นสีเขียวอมเหลือง รับประทานได้ รสหวานกรอบ ปรุงอาหารได้หลายรูปแบบ อร่อยมาก

ดอก เป็น สีเขียวอมเหลือง ออกเป็นช่อยาวตามซอกใบ แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็ก "ผล" รูปกลมรี ยาว
๒-๓ ซ.ม. กว้าง ๑.๕-๑.๗ ซ.ม. ติดเป็นพวงสีเหลืองอมน้ำตาล เมื่อผลแก่หรือสุกเป็นสีแดง ดอกออกช่วงฤดูร้อน
ระหว่างเดือน ก.พ.-พ.ค. ของทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเมล็ด เพาะชำรากและตอนกิ่ง มีชื่อเรียกอีกคือ ผักหวาน
(ทั่วไป) ปัจจุบันมีผู้เพาะขยายพันธุ์ต้น "ผักหวานป่า" ขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร บริเวณโครงการ
๒๑ แผง ราคาอยู่ที่ขนาดของต้น

การปลูก ขึ้นได้ในดินทั่วไป เป็นไม้ชอบแดด ไม่ชอบน้ำท่วมขัง ทนแล้งได้ดี เหมาะจะปลูกไว้ในบริเวณบ้าน เพื่อรับประทาน ยอดอ่อน และใช้ประโยชน์ ทางสมุนไพร ตามที่กล่าวข้างต้น หลังปลูกบำรุงปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก เป็นประจำทุก ๑๕ วัน รดน้ำพอชุ่ม อย่าแฉะ วันละครั้งก็เพียงพอที่จะทำให้ "ผักหวานป่า" เจริญเติบโต สามารถใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่า

(*จาก น.ส.พ.ไทยรัฐ ๒๘ ก.ค.๔๓)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

...6...

ชมร.เชียงใหม่ทำอาหารแจก ครั้งที่ ๒
สนุกและคึกคักกว่าเดิม

ญาติธรรมกลุ่มภูผาฟ้าน้ำได้รวมพลังกันอีกครั้ง ที่ ชมร.ช.ม. เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๖ เม.ย.๔๕ เพื่อช่วยกันทำ อาหาร มังสวิรัติ แจกลูกค้า ที่มาบริโภคที่ร้าน เช่นเดียวกับเดือนที่ผ่านมา

อาหารที่ทำแจกมีมากมายหลายชนิด เน้นพืชผักไร้สารพิษที่ได้มาจากภูผาฟ้าน้ำ ลานนาอโศกและ บ้านญาติธรรม ("หนึ่งผลิตภัณฑ์ หนึ่งครอบครัว" หรือ "หนึ่งบ้าน หนึ่งผลิตภัณฑ์")

เริ่มแจกตั้งแต่ ๐๖.๐๐-๑๔.๐๐ น. มีผู้มารับบริการไม่ขาดสาย และประมาณว่ามากกว่าครั้งที่ผ่านมา ในครั้งนี้ พวกเราโชคดี ได้ทำบุญถวายอาหารสมณะ ๓ รูป คือ สมณะบินบน ถิรจิตโต สมณะก้อนหิน โชติปาสาโณ และ สมณะโพธิสิทธิ์ โพธิสิทโธ นอกจากนี้ญาติพี่น้องของเรา ที่มาเข้าคอร์สมหัศจรรย์ จากสีมาอโศก ก็ได้มาช่วยอีก ๘ ชีวิต บรรยากาศในงานจึงสนุกสนาน เบิกบาน ร่าเริง และสุขใจที่ได้ให้ ทุกจุดในร้านเป็นไปโดยอัตโนมัติ หากมีส่วน ที่ติดขัด ควรแก้ไข สมณะท่านก็ช่วยชี้แนะ ให้เราได้แก้ไขทันท่วงที

หลังเลิกงานได้ประชุมสรุปเรื่องที่ควรปรับปรุง มีดังนี้

๑.ที่ล้างจานสำหรับลูกค้าควรกางเต็นท์ มีที่วางจานให้ดีกว่านี้ และควรจัดวิธีล้างจานแบบ "ชุดเล็ก" ไว้ด้วย ส่วนที่ล้างแก้ว ควรจัดให้อยู่ใกล้ที่ล้างจาน

๒.ควรบริการลูกค้าผู้อายุยาวด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน (ช่วยล้างจานให้)

สำหรับความคิดเห็นของผู้มาร่วมงาน มีดังนี้

สมณะโพธิสิทธิ์ โพธิสิทโธ กล่าวโดยสรุปว่า การทำดีนั้นทำยาก ต้องให้มีความต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังช่วยยกปัญหา ที่น่าช่วยกันขบคิด เช่น

หากลูกค้าอยากจะบริจาคเงิน เราจะทำอย่างไร?

ผู้มารับบริการมีเวลาน้อย ไม่สามารถล้างภาชนะด้วยตัวเองได้...?

จะปลูกฝังระบบบุญนิยม...อย่างไร?

(ทุกข้อมีคำตอบ ท่านผู้อ่านโปรดติดตามการแจกอาหารของ ชมร.ช.ม.ครั้งที่ ๓)

สมณะก้อนหิน โชติปาสาโณ "เคยอยู่เชียงใหม่ ได้อ่านจากข่าวอโศก ก็อยากจะมาดูเบื้องหลังการทำงาน ของพวกเรา บรรยากาศเหมือนตอนที่เด็ก เขาขายข้าวขายแกง มีผู้มาช่วยหลายระดับ ได้เจอหน้าตากันทุกคน มีจิตวิญญาณ ร่วมมาก เห็นทีมล้างจาน แล้วน่าสนุก ลูกค้ายืนเข้าคิวรอล้างจาน กิจกรรมนี้อยากให้ชื่อว่า "แจกมหัศจรรย์ จิตมหัศจรรย์" เห็นความรัก ความเอื้ออาทร เมตตาต่อเด็ก..."

สมณะบินบน ถิรจิตโต "ถนนมหัศจรรย์อยู่ที่สีลม สำหรับเชียงใหม่เรามีที่นี่ ค่าแรงเราก็ไม่คิด เราขายขาดทุน แต่เราได้กำไร ถ้ามีคนต้องการบริจาคจริงๆก็รับได้ แต่ไม่รับเงิน ควรรับเป็นวัตถุดิบ เพื่อร่วมโรงบุญฯได้ ให้บริสุทธิ์ใจกับเขา

"ทำไมเราจึงแจกเช่นนี้ ก็เพราะอยากจะแจก" เป็นเรื่องเป็นไปได้ เพราะได้ศึกษามาจากครูบาอาจารย์ (พ่อท่าน) ให้เราทำการค้า ๔ ระดับ ซึ่งระดับสูงสุด (แจกฟรี) เราก็ทำได้เดือนละครั้ง และจะแจกให้บริสุทธิ์ ด้วยการใช้ ผักไร้สารพิษจากป่าธรรมชาติ (ดอยแพงค่า)

เราต้องการมอบสิ่งที่ดีให้แก่ลูกค้าทั้งทางกายและทางใจ ผู้ให้ไหว้ผู้รับด้วยความนอบน้อม เป็นการปฏิบัติธรรม ก็ขอให้ พยายาม รักษาสิ่งที่ดีนี้ไว้".

นักข่าวเบอร์จู๋น รายงาน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

...7...


กิจกรรม "วันกตัญญู" ที่ ร.ร.สัมมาสิกขา "หินผาฟ้าน้ำ

เมื่อวันที่ ๑๙ เม.ย.๔๕ ร.ร.สัมมาสิกขาหินผาฟ้าน้ำ จัดกิจกรรม "วันกตัญญู" ในช่วงที่กำลังเข้าค่ายดูตัวนักเรียน สส.ผ.ตั้งแต่วันที่ ๘-๒๖ เม.ย.๔๕ นำโดย สมณะกลางดิน โสรัจโจ

เริ่มงานเวลา ๐๘.๐๐ น. โดยมีผู้ปกครองเด็กมาร่วมงานจากหลายจังหวัด สมณะกล่าวถึง ยัญพิธีอย่างหนี่ง ที่เป็นพิธีให้ลูกหลาน ได้แสดงออกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน และความกตัญญูที่มีต่อผู้มีพระคุณ เช่น บิดา-มารดา ครู-อาจารย์ ปู่-ย่า ตา-ยาย และพระสงฆ์ ซึ่งควรเคารพกราบไหว้ ให้เด็กได้รู้ถึงวัฒนธรรมอันดี ควรอนุรักษ์ และ สืบทอดต่อไป เพราะปัจจุบัน ประเพณีเหล่านี้ แทบจะไม่เหลือให้ลูกหลาน ได้เห็นและปฏิบัติ จึงรับเอาวัฒนธรรม ของฝรั่งมาใช้ และใช้ผิดๆ โดยไม่รู้เรื่อง ทำไปตามกิเลสของปุถุชน ที่หินผาฟ้าน้ำ จึงได้นำเอาประเพณีนี้ มาทำ ให้นักเรียนได้เห็น และปฏิบัติ โดยหลังจาก สมณะ เทศน์เสร็จแล้ว ก็ให้ตัวแทนของชุมชน กล่าวถึงประเพณีอันดี เด็กที่มาที่นี่ ก็ต้องเป็นเด็กดี ที่จะอนุรักษ์ประเพณีนี้ไว้ หลังจากนั้น ตัวแทนของเด็ก ก็มาแสดงความรู้สึก ในกิจกรรมนี้ และ ตัวแทนของผู้ปกครองนักเรียน ก็ได้แสดงความรู้สึกด้วย สรุปแล้ว ทุกฝ่ายต่างก็ประทับใจ ที่ได้เห็น และ ร่วมกิจกรรม หลังจากนั้น สมณะกล่าวสรุป เป็นเสร็จพิธี

การจัดงานที่เรียบง่าย กะทัดรัด แต่แฝงไว้ด้วยสาระสัจจะ สมณะผู้ใหญ่และเด็กได้ทำพิธีร่วมกัน เข้าใจซึ่งกันและกัน จึงเป็นวัฒนธรรม ที่ชุมชนหินผาฟ้าน้ำ ต้องจัดเป็นประเพณีตลอดไป.

เจือบุญ รายงาน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

...8...


พ่อท่านร่วมอบรมเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. ให้เป็นคนจนที่เสียสละ และสร้างสรร
เน้น "จิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง"

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๙ พ.ค.ที่ผ่านมา พ่อท่านเดินทางไปที่ ร.ร.นายร้อย จปร. เขาชะโงก จ.นครนายก เพื่อเทศน์อบรม เจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. ที่เป็นวิทยากรอาสาสมัคร (สจส.) จำนวน ๑๘๕ คน ก่อนที่จะไปช่วยเป็นวิทยากร อบรมลูกหนี้ ธ.ก.ส. พักชำระหนี้ ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้นับถือศาสนาอิสลามด้วยจำนวนหนึ่ง และมีสมณะ ๗ รูป สามเณร ๑ รูป สิกขมาตุ ๒ รูป ญาติธรรม จากสันติอโศก ปฐมอโศก ศรีบูรพาอโศก ญาติธรรมจาก จ.นครนายก ทั้งหมดร่วม ๔๐ คน และมีรองผู้จัดการใหญ่ ธ.ก.ส.ร่วมรับฟังด้วย

พ่อท่านเริ่มเทศน์ตั้งแต่เวลา ๐๗.๐๐ - ๐๘.๔๕ น. ก่อนเทศน์มีตัวแทนเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. นำกราบ ก.ส.และ พาสวดมนต์ พร้อมกับกล่าว แนะนำประวัติความเป็นมา ของพ่อท่านอย่างสังเขป และกล่าวยกย่องพ่อท่าน และ ชาวอโศกว่า มีคุณูปกา ต่อชาว ธ.ก.ส. ต่อสังคม ประเทศชาติและโลก

จากนั้นพ่อท่านได้เริ่มเทศน์ เนื้อหาโดยสรุปคือ อธิบายถึงลักษณะของพีชะ ชีวะ จิตวิญญาณ และการพัฒนาการ ของมนุษยชาติ ที่มีจิตวิญญาณ เจริญกว่าสัตว์ต่างๆ ซึ่งมนุษย์แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ อเวไนยสัตว์ ได้แก่ สัตว์ที่สอนไม่ได้ ไม่มีภูมิธรรม หรือพลังความรู้ ที่จะรู้ทะลุถึงขั้น โลกุตรธรรมได้ และ เวไนยสัตว์ คือ สัตว์ที่สอนได้ สามารถมีความรู้ ถึงโลกุตรธรรมได้

โลกุตรธรรมสูงสุด คือ นิพพาน คือการเรียนรู้จิตวิญญาณที่สมบูรณ์สูงสุด จนสามารถ สลายพลังงาน จิตวิญญาณ ตัวเองได้ เป็นอนัตตา จบสูญ เรียกว่า ปรินิพพาน โดยพระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบ เป็นนักวิทยาศาสตร์ทาง จิตวิญญาณ สามารถพิสูจน์ ได้ด้วยตัวเอง ฉะนั้นคนที่จะรู้แจ้ง ต้องปฏิบัติด้วยตัวเอง

คนเรามีจิตวิญญาณเป็นประธาน ถ้าจิตวิญญาณมนุษย์ไม่มีภูมิธรรมสามารถพัฒนาให้สูง ถึงขั้นเวไนยสัตว์ได้ ก็ไม่สามารถ ข้ามขีดมารับรู้อะไรที่ลึกซึ้งได้ จิตวิญญาณระดับเวไนยสัตว์ คือ รู้เรื่องกรรม ธรรมะ รู้กรรมดี-กรรมชั่ว รู้ธรรมะ รู้อธรรมะ มีภูมิธรรม เห็นความสำคัญของชีวิตอยู่ที่กรรม รู้สิ่งที่เป็นธรรมะ สิ่งที่ไม่เป็นธรรมะ ซึ่งเป็นเรื่อง ลึกซึ้งมาก เช่น คนที่เห็นว่า ความรวยเป็นสิ่งประเสริฐ เป็นสิ่งที่มนุษย์พึงมี เป็นต้น เป็นความเข้าใจผิด เห็นผิด ความจริงแล้ว คนเราจนได้จึงประเสริฐ อย่างพระพุทธเจ้ามาจน คือ ประเสริฐ คนที่จะไปรวยไม่ประเสริฐ หรือ ชัดๆก็คือ คนไม่ดี คนเลวพระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่อง "กรรม" ท่านแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด ประเสริฐที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้ ท่านพานพบ พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ถึง ๕๑๒,๐๒๘ พระองค์ ในที่สุดพระพุทธเจ้า (สมณะโคดม) ค้นพบทาง ไปสู่จุด สูงสุดของมนุษย์ แค่พระอรหันต์ก็ถือว่า ถึงจุดสูงสุดของมนุษย์แล้ว แต่ก็ยังสามารถพัฒนาขึ้นไปอีกได้ จนสูงสุด เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็มาเป็นคนจน คนเสียสละสร้างสรร

ทำไมคนรวยจึงไม่ประเสริฐ ๑.คนจะรวยต้องโลภ ต้องเอาเกินทุน คือ เอาเปรียบ จึงจะรวย คนโลภ-คนเอาเปรียบ คือเลว ๒.คนจะรวยต้องขี้เหนียว(ตระหนี่) ไม่กล้าเสียสละ จะเสียสละก็เพื่อให้ได้ กลับมามากขึ้น คนขี้เหนียว จึงคือ คนเลว เป็นต้น

พระพุทธเจ้าเป็นคนสุดยอด สูงสุด สุดท้ายก็มาจน

จากนั้นพ่อท่านก็พูดถึงระบบสังคมบุญนิยม โดยยกตัวอย่างชาวอโศก และที่สุดการที่จะพัฒนาคนอื่น ต้องมาพัฒนา ที่ตัวเองก่อน คือ ลดละอบายมุข กามคุณ โลกธรรม อัตตา เรียนรู้ล้างละกิเลสนั่นเอง

สำหรับบรรยากาศโดยทั่วไป ผู้ฟังก็ให้ความสนใจกันดี

ต่อจากนั้นก็พักประมาณ ๑๕ นาที ให้ผู้อบรมได้รับประทานอาหารกัน

รายการต่อมา คือ การอภิปราย เรื่อง "สังคมไทยจะไปทางไหนดี" มีพ่อท่าน, ศจ.น.พ.ประเวศ วะสี, คุณนิติภูมิ นวรัตน์ (มาหลังรายการ เริ่มไปแล้วประมาณ ๒๐ นาที) ดำเนินรายการโดย พ.จ.อ.ไพโรจน์ กระจ่างพงษ์

ศจ.น.พ.ประเวศ วะสี กล่าวถึงตั้งแต่วิกฤติสังคมเป็นมาอย่างไร จะไปทางไหน อารยธรรมตะวันตก กำลังจะพาโลก ไปสู่วิกฤติ อย่างไร เกษตรเป็นสัมมาอาชีวะ เป็นฐานแห่งความดี ความยั่งยืนของสังคมชนบท จะทำให้สังคม ทั้งหมดยั่งยืน ถ้าสังคมชนบท ล่มสลาย สังคมทั้งหมดก็จะสลายด้วย การศึกษาของไทยเมื่อ ๑๐๐ ปีที่ผ่านมา ทำให้คนไทย ไม่เข้าใจ แผ่นดินไทย เพราะไทยจัดการศึกษาแบบฝรั่ง คนไทยเลยโง่ทั้งประเทศ ฯลฯ

สมณะโพธิรักษ์ กล่าวว่าถ้าคนไทยไม่เรียนรู้วิกฤติ ประเทศชาติจะพัง โลกเสียหายเพราะคนทำลาย ทำไมชาวอโศก เร่งรัดพัฒนา ไปสู่กสิกรรม เป็นกสิกรรมไร้สารพิษด้วย เพราะอาชีพกสิกรรม คนต้องอาศัย ชาวอโศกมาเน้น ทำกสิกรรม อย่างนี้จึงแก้วิกฤติได้

ดร.นิติภูมิ กล่าวถึงการศึกษาในมหาวิทยาลัยไม่ให้อะไรเลย เย่อหยิ่ง สอนให้เห็นแก่ตัว เอาเปรียบ แล้วพูดถึง เรื่องของสื่อว่า เป็นสิ่งจำเป็น ถ้าหากได้ลงสมัครเป็นผู้ว่า อ.ส.ม.ท. จะต้องบริหารให้ขาดทุน คือ อย่าหวังกำไร ไม่เน้นกำไร แต่ประชาชนได้กำไร (น.พ.ประเวศ เสริมว่า "สร้างกำไรให้สังคม") ให้เป็นแหล่งความรู้ ของประชาชน เน้นเนื้อหาสาระ เป็นต้น

หลังจากนั้น ก็เป็นการตอบคำถามต่างๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. ก็ให้ความสนใจดี สนุกสนานพอสมควร มีเสียงปรบมือ เมื่อวิทยากร พูดถูกใจ เลิกรายการเวลา ๑๒.๒๐ น.

ในงานนี้ชาวอโศกได้นำหนังสือ ความรัก ๑๐ มิติ, ระบบบุญนิยมในศตวรรษที่ ๒๑ และเทปธรรมะ ๑ ตลับ แจกฟรี สำหรับผู้มา เข้าร่วมอบรมด้วย.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

...9...


ปฏิบัติการ"เพื่อฟ้าดิน" รวมพล ณ บ้านราชเมืองเรือฯ
เปิดโลก 'กสิกรรมไร้สารพิษ'

ส่งเสริมเกษตรกรไร้สารพิษ สาธิตและขายสินค้าราคาถูก

งานกสิกรรมไร้สารพิษ เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ ๙ บุญญาวุธหมายเลข ๓ ระหว่างวันที่ ๔-๖ พ.ค.๔๕ ณ ชุมชนราชธานีอโศก จ.อุบลราชธานี นับเป็นความก้าวหน้าของการจัดงานอีกก้าวหนึ่ง เพราะในปีนี้มีการจัดตลาดออกเป็น ๓ ส่วน คือ ตลาดสินค้า ตลาดอาหาร ตลาดความรู้และเวทีชาวบ้าน ปีนี้มีผู้สนใจมาร่วมงาน มากกว่าปีที่แล้ว แต่อาจจะดูน้อย เพราะปีนี้ ได้ย้ายไป จัดงาน บริเวณตลาดอาริยะ ซึ่งบริเวณกว้างขวางกว่า บริเวณใกล้เฮือนใหญ่ ที่เคยจัดในปีก่อน

มีการประชาสัมพันธ์การจัดงานผ่านรายการทางวิทยุของจังหวัดอุบลฯ และมีการทำแผ่นพับ สูจิบัตร แจกแก่ ประชาชน โดยมีวัตถุประสงค์ ของการจัดงาน คือ

๑.เพื่อส่งเสริมสนับสนุน ให้เกษตรกรที่ทำกสิกรรมไร้สารพิษ สามารผลิตเอามาขายได้เอง มีตลาดของตัวเอง จนพึ่ง ตัวเองได้

๒.เพื่อให้ผู้บริโภคได้ของดีราคาถูก โดยผู้ผลิตได้พบกับผู้บริโภคโดยตรง อีกทั้งจะได้เป็นการเชื่อม ความสัมพันธ์ และ ความเห็นอก เห็นใจ ซึ่งกันและกัน ระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค

๓.เพื่อสำนึกถึงบุญคุณของฟ้าดิน ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง ถ้าฟ้าดินถูกทำลาย สรรพสิ่ง ย่อมหายนะ แต่ถ้า ฟ้าสวย ดินดี ทุกชีวีย่อมสุขสบาย

ในส่วนของตลาดสินค้า จำหน่ายสินค้าในราคาต่ำกว่าท้องตลาด เปิดบริการตั้งแต่ ๐๙.๐๐-๑๗.๐๐ น. มีญาติธรรม และสมาชิก เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษแห่งประเทศไทย ทั่วทุกภาค มาร่วมออกร้านจำหน่ายสินค้า เกษตรกรรม พืช ผัก ผลไม้ และพืชไร่ไร้สารพิษ รวมทั้งสินค้าแปรรูปจากกสิกรรมถึง ๕๐ กว่าร้าน และสินค้าทุกชนิด ที่นำมา จำหน่าย ล้วนเป็นสินค้า ไร้สารพิษทั้งสิ้น โดยเจ้าหน้าที่จาก อย.และ ต.อ.จากชาวอโศก ได้ให้ความร่วมมือ เก็บตัวอย่าง สินค้าทุกชนิดตรวจหาสารเคมี ที่ปนเปื้อนอยู่ในสินค้า ที่จำหน่ายอยู่ในตลาดสินค้า ปรากฏว่า ไม่พบว่า สินค้าใดๆ มีสารเคมีปนเปื้อนอยู่เลย จึงนับเป็นครั้งแรก ของงานกสิกรรมไร้สารพิษ เพื่อฟ้าดิน ที่ไร้สารพิษ ๑๐๐ % นอกจากนี้ ยังมีต้นไม้ที่หายากในเมืองไทยมาจำหน่าย ในราคา อนุรักษ์ไม้ไทยอีกด้วย และบางร้านสาธิต การทำซีอิ๊ว-เต้าเจี้ยว ด้วยภูมิปัญญาไทย ไร้วัตถุกันเสีย ไร้ผงชูรส ไร้สารเร่ง การย่อยสลาย ของถั่วเหลือง สาธิตการสีข้าวกล้อง ด้วยมือ นอกจากนี้ ทีมสมุนไพรจากปฐมอโศก และนิสิตพลาภิบาล จากคณะสาธารณสุขบุญนิยม ได้จัด นิทรรศการ และ ให้ความรู้เรื่อง พืชสมุนไพร สาธิตการอบ ประคบด้วยสมุนไพร อาหารสมุนไพร และมีพันธุ์ไม้สมุนไพร ๙ รส มาแสดง และ ผ้าฝ้ายทอมือ ย้อมสีธรรมชาติ เลือกซื้อกันให้เต็มอิ่ม สำหรับผู้นิยม ผ้าฝ้ายทอมือ

ตลาดอาหาร มีอาหารมังสวิรัติที่ปรุงจากพืชผักไร้สารพิษ ขายในราคาต่ำกว่าท้องตลาดเช่นกัน เปิดบริการตั้งแต่ ๐๙.๐๐-๑๗.๐๐ น. นอกจากมีการสาธิตการทำขนมจีน หากใครสนใจ อยากจะชิมว่าเส้นขนมจีน ที่ไร้สารกันบูด อร่อย แค่ไหน ก็สามารราดน้ำยารับประทานได้ทัน นอกจากนี้มีการสาธิตทำขนมไทยๆ ไร้สารปรุงรส ให้ได้ชิม และซื้อ กลับไปรับประทาน และในหมู่บ้าน ก็มีร้านขายขนมจีน "ป้าสำเนียง" จำหน่าย สำหรับผู้ที่ต้องการ บรรยากาศ แบบส่วนตัว กินเสร็จก็ปูเสื่อ นอนรับลมเย็น หลบลมร้อนได้ ตามความพอใจ

ตลาดความรู้ ซึ่งเป็นหัวใจของงานนี้ เผยแพร่ความรู้ที่สามารถนำกลับไปทำเองที่บ้านได้ทันที พร้อมเอกสาร แจกฟรี เปิดสาธิต ตามใต้ถุนบ้านต่างๆรอบๆบริเวณงาน เช่น สาธิตการทำเต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว น้ำยาอเนกประสงค์ แชมพู การถนอมอาหาร ตังฉ่าย ขิงดอง กระเทียมดอง ฯลฯ

ในส่วนของเวทีชาวบ้าน จัดอยู่บริเวณใต้เฮือนใหญ่ มีการฉายวิดีโอ อภิปรายให้ความรู้ในเรื่องของกสิกรรม ไร้สารพิษ โดยผู้ทรง คุณวุฒิ และมีดนตรีจากวงฆราวาส บรรเลงให้ฟัง

สำหรับรายการในแต่ละวันมีดังนี้

๔ พ.ค. เวลา ๐๙.๐๐ น. พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ปฐมนิเนศ เสร็จแล้วนายอำเภอวารินชำราบ นายอดุลย์ พลเดช ได้เป็น ประธาน กล่าวเปิดงาน ชื่นชมการจัดงานครั้งนี้ว่า เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมาก หลังจากนั้น ได้ทำพิธี เปิดตลาดสินค้า และเดินชมบริเวณงาน ภาคบ่ายเป็นการอภิปราย "ท่องโลกจุลินทรีย์ ตอบปัญหาจุลินทรีย์" , "การดูแล สุขภาพองค์รวม" ที่เวทีชาวบ้าน ใต้เฮือนใหญ่

เวลา ๑๖.๐๐ น. ชมขบวนแห่กลองยาวเพื่อฟ้าดิน และภาคค่ำฟัง "การนำเสนอผลงาน และแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ จากเกษตรกรทุกภาค"

๕ พ.ค. ธรรมรับอรุณ โดยพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ แล้วยืดเส้นยืดสายร่วม Work Shop โฮมแฮงเก็บถั่วลิสง ที่ริมมูล หรือ จะเดินป่า หาความรู้ ที่สวนวังไพร หรือไปขุดหลุมเพื่อปลูกต้นไม้ ที่สวนไวพลัง ก็ล้วนได้ประโยชน์ทั้งสิ้น แล้ว กลับมา ฟังการเสวนาเรื่อง "การพัฒนาเครือข่าย กสิกรรมไร้สารพิษให้ยั่งยืน" ก่อนรับประทานอาหาร แล้วภาคบ่าย ฟัง "บัญญัติ ๕ ประการ หัวใจสำคัญของกสิกรรม" โดย คุณสมพงษ์ คงจันทร์ ที่ฟังแล้วหลับไม่ลง ไม่ว่าจะเป็น รุกขเทวดา ตามต้นไม้ หรือ พญานาคจากแม้น้ำมูล ต่างกระเจิดกระเจิงไป คนละทิศละทาง เพราะลีลา การบรรยาย และอุปกรณ์สาธิต ที่น่าสนใจจริงๆ

หลังจากนั้นเป็นการเสวนากลุ่มย่อยตามความสนใจ ๖ กลุ่ม คือ ๑.จุลินทรีย์ ๒.ปุ๋ย ๓.ทำนา ๔.สวนผลไม้ ๕.ผัก และ ผักพื้นบ้าน และ ๖.สมุนไพร แต่ละคนได้รับความรู้กันถ้วนหน้า

ภาคค่ำฟังการเสวนาเรื่อง "แผนการตลาด ยึดหัวหาด กสิกรรมไร้สารพิษ" โดยเครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษ ทำหน้าที่ สร้างเครือข่าย และให้ความรู้เรื่องกสิกรรม แก่เกษตรกร เพื่อทำการผลิต บจ.ขอบคุณรับสินค้าไปจำหน่าย และ บจ.ภูมิบุญ รับผิดชอบ เรื่องการตลาด ดังนั้น เมื่อทำ กสิกรรมไร้สารพิษ ท่านจะไม่ผิดหวัง ในเรื่องของ การถูกกด ราคาสินค้า หรือ หาตลาดจำหน่ายไม่ได้

๖ พ.ค. ธรรมรับอรุณ เพื่อเพิ่มพลังจิตวิญญาณกลับไปทำกสิกรรมไร้สารพิษ ให้เป็นบุญญาวุธ หมายเลข ๓ เพื่อพี่น้อง ประชาชน ร่วมโฮมแฮงเก็บเต็นท์ เก็บหาง อันเป็นวัฒนธรรมอันดีของชาวอโศก ที่สืบทอดกันมา รับพรก่อนจาก แล้วพบ กันใหม่ปีหน้า โดยงานเพื่อฟ้าดิน จะเลื่อนไปจัดในวันที่ ๑๖-๑๘ พ.ค.๔๖

"กสิกรแข็งขลังเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ไทยจะเรืองอำนาจเพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม"

สำหรับผู้มาร่วมงาน ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ ดังนี้

สมณะลานบุญ วชิโร พุทธสถานภูผาฟ้าน้ำ "งานครั้งนี้มีหลายๆอย่างที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องของการ นำเสนอ สินค้า ที่ไร้สารพิษ สมุนไพร ได้ฟังแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ยาก ในการที่จะนำมาใช้ประโยชน์ เราไม่ต้องกังวล ในการรู้จัก ชื่อยา สรรพคุณ เพียงแค่ชิมรส และจำรสว่า รสนี้แก้อะไร รักษาโรคอะไร เท่านั้นเอง เป็นจุดที่น่าสนใจในงานนี้ หรือแม้แต่ เรื่องของการ เอาวัสดุที่จะทิ้งแล้ว มาทำเป็นจอบ ก็เป็นเรื่องที่เราพึ่งตัวเองได้ และรายการบรรยาย เกือบทุกรายการ ล้วนน่าสนใจทุกรายการ เป็นประสบการณ์ ที่น่าติดตามมาก มีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ให้สาระ ที่เป็นความรู้ ที่เอาไปใช้ ในชีวิตประจำวันได้จริง"

นายเสริฐ เชื้อดวงผุย จ.นครพนม (กลุ่มเรณูนคร) "ประทับใจมาก เห็นความก้าวหน้าของงาน เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ปีนี้มี การขยายตัวขึ้น มีมวลหมู่ ลงตัวดี มีแต่ความยินดีครับ รายการอภิปรายแต่ละรายการ ให้ความรู้ดีมากเลยครับ เอาข้าวกล้อง และมีดพื้นบ้านมาจำหน่าย ขายหมดเลยครับ ปีหน้าจะมาอีกครับ"

นายทิวเมฆ ชาวหินฟ้า "ชุมชนปฐมอโศก ก็มีทั้งนิทรรศการมาแสดง และส้มโอไร้สารพิษ มาจำหน่าย ๒ ตัน มีผลิตภัณฑ์ จากกล้วยแปรรูป คนมาซื้อก็มาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็ได้เห็นหน้า เห็นตาพวกเรา คิดว่าการจัดงาน คราวหน้า คงดีกว่านี้อีก"

นายดาวพลัง อังกาพย์ละออง ทักษิณอโศก "ทักษิณอโศกนำพันธุ์ไม้และข้าวยำมาจำหน่าย ขายหมด ทุกอย่างครับ งานนี้ ถ้าว่ากันแล้ว ดูจะไม่คุ้ม ถ้าเทียบกับทางโลก เพราะคนมาน้อย ถ้าเทียบกับงานอื่น ของชาวอโศก พ่อท่าน บอกว่า พวกเรามา ร่วมลงทุนต่างๆ ทั้งเวลาและแรงงาน บุญทางโลกียะเราได้แน่ แต่บุญทางโลกุตระ จะได้หรือไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับ แต่ละบุคคล ดังนั้นการมา ทำให้เวลา-แรงงาน-ทุนเหมือนจะเสียไป แต่เรามาทำให้เกิดกับโลกุตระ น่าภูมิใจกว่า ผมประทับใจครับ เพราะว่า เราเกิดมา ก็ไม่มีอะไร ก็จะพยายาม ที่จะขวนขวาย ในแนวทางนี้ ไปตลอด ชีวิตครับ"

นายร้อยแจ้ง จนดีจริง ราชธานีอโศก "เป็นการออกร้านที่เอาจริงเอาจังมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา คนมาร่วมงาน ทั้งหมด ประมาณ ๔-๕ พันคน ญาติธรรมให้ความสนใจ มากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา กลุ่มตะวันออก (จันทบุรี ระยอง ตราด) เป็นสีสันของงาน เพราะเอาผลไม้ (เงาะ ลองกอง ทุเรียน มังคุค ระกำ สละ) มาออกร้าน และขายหมด การเตรียมงาน ยังบกพร่องอีกหลายจุด การบรรยายที่เฮือนใหญ่ ทำให้บรรยากาศในตลาด เงียบเหงาลง น่าจะมีการจัด แยกออกไป ให้ใกล้ตลาดสินค้า

ช่วงงาน พ.ฟ.ด.คิดว่า เป็นช่วงของการแสดงผลงานกสิกรรมไร้สารพิษ ที่ท่านทำมา และมีองค์ความรู้ ที่เกิดขึ้นมา และ ให้ความรู้ ในเชิงประกอบอาชีพ ในการแปรรูปอาหาร หรือผลิตภัณฑ์ ที่เราคิดค้น ด้วยภูมิปัญญาไทย"

ส.ว.เตือนใจ ดีเทศน์ จ.เชียงราย "ทราบข่าวงานจากกัลยาณมิตร และพาเครือข่ายจากทางเชียงราย มาร่วมด้วย เพราะอยากเห็น เกษตรกรเป็นไท กับตัวเองจริงๆ ซึ่งก็ต้องเริ่มต้น จากการเปลี่ยนวิธีคิดว่า เราต้องคิดค้น ทดลอง รวมกลุ่ม แสวงหาความรู้ และภูมิปัญญา ให้มากที่สุด

ชื่นชมชาวอโศกที่คิดถึงเรื่องของบุญนิยม ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย อยู่กับธรรมชาติและเพื่อนมนุษย์ ด้วยความเมตตา การไม่กิน เนื้อสัตว์ เป็นความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ ที่เราไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ การพึ่งตัวเอง ที่มองไปทางไหน ก็มีพืชกินได้ ทำให้ทุกคน อยู่อย่างมีหน้าที่ และมีความสำคัญ ทุกคนทำหน้าที่ต่อตนเอง และชุมชนและก่อให้เกิด การใช้เวลา อย่างเป็น ประโยชน์ และสร้างสรร อยากเห็นคนไทยเพียงเอาแนวคิด บางส่วนของชาวอโศกไปใช้ ก็จะทำให้ ประเทศชาติ เป็นอิสระ ต่อการ พึ่งพาต่างชาติ อยากจะให้ขยายแนวคิดนี้ ไปทั้งชาวไทย และชาวโลก ให้หันกลับมา ใช้ชีวิต ที่เป็นธรรมดาสามัญ และเรียบง่าย เป็นประโยชน์ที่สุด ผลิตมากแต่ใช้น้อย แบ่งปันมาก".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

...10...

จากการประชุมผู้อำนวยการพรรคการเมือง ครั้งที่ ๒/๒๕๔๕ ในวันที่ ๓ เม.ย.๔๕ ที่ประชุมมีมติให้พรรคเพื่อฟ้าดิน เป็นเจ้าภาพ จัดประชุมผู้อำนวยการพรรคการเมือง ครั้งที่ ๓/๒๕๔๕

คณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อฟ้าดิน ประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๔๕ เมื่อวันที่ ๕ พ.ค.๒๕๔๕ ณ ชุมชนราชธานีอโศก มีมติให้จัดประชุม ผู้อำนวยการพรรคการเมือง ที่ชุมชนสันติอโศก ในวันศุกร์ที่ ๗ มิ.ย.๒๕๔๕ เวลา ๐๘.๐๐-๑๓.๓๐ น. โดยมีวาระการประชุม ดังนี้

๐๘.๐๐-๐๙.๐๐ น. ลงทะเบียน
๐๙.๐๐-๐๙.๒๐ น. หัวหน้าพรรคเพื่อฟ้าดิน กล่าวต้อนรับ และแนะนำพรรค
๐๙.๒๐-๐๙.๔๕ น. ประธาน กกต.หรือ กรรมการการเลือกตั้งบรรยายพิเศษ
๐๙.๔๕-๑๐.๐๐ น. พัก
๑๐.๐๐-๑๐.๔๕ น. สมณะโพธิรักษ์ให้ความรู้ทางการเมือง ในหัวข้อ "ทำอย่างไรการเมืองจึงจะมีธรรมะ"
๑๐.๔๕-๑๒.๓๐ น. ประชุมตามระเบียบวาระ
๑๒.๓๐-๑๓.๓๐ น. พักรับประทานอาหารและชมการแสดง

การจัดงานครั้งนี้ ผู้มาร่วมงานจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ กกต. หัวหน้าพรรคการเมือง ผู้อำนวยการพรรคการเมือง และเจ้าหน้าที่ ของพรรคการเมือง รวมประมาณ ๑๒๐ คน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงาน ทางการเมือง มีความรู้ความเข้าใจ ในการดำเนินงานอย่างถูกต้อง

ในส่วนของพรรคเพื่อฟ้าดิน การจัดประชุมครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดตัวการดำเนินงาน ของพรรคการเมือง ตามระบบบุญนิยม ให้เห็นเป็นรูปธรรม ผู้เข้าร่วมประชุม จะเห็นแนวทางการทำงานของพรรค ร่วมกับชุมชน เข้มแข็งว่า หากคนมีคุณธรรมจำนวนมาก มาอยู่รวมกัน ส่วนกลางก็จะอุดมสมบูรณ์ และส่วนตัว ก็ไม่ขาดแคลน แต่ไม่ฟุ้งเฟ้อ นอกจากนี้ สิ่งที่ผู้เข้าร่วมประชุม จะสัมผัสได้ก็คือ บรรยากาศที่ร่มรื่น สะอาด สงบ วิถีชีวิตที่เรียบง่าย ประหยัด สมถะ มักน้อย วัฒนธรรมที่ดีงาม และพึ่งตนเองได้ ในทุกกรณีของชาวชุมชน

พรรคเพื่อฟ้าดินจะเน้นคุณธรรมมากกว่าความรู้ จึงกราบนิมนต์พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ มาเป็นผู้บรรยาย ให้ความรู้ แก่ผู้เข้าร่วมประชุม ในหัวข้อ "ทำอย่างไรการเมืองถึงจะมีธรรมะ"

การจัดงานนี้ได้รับความร่วมมือจากที่ปรึกษาพรรค กรรมการบริหารพรรค กรรมการสาขาพรรค ตลอดจน ชาวชุมชน ทุกท่าน พรรคเพื่อฟ้าดิน ขอขอบคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้

อนึ่ง หากองค์กรใดประสงค์จะร่วมเปิดซุ้มอาหารมังสวิรัติเลี้ยงผู้เข้าร่วมประชุม ติดต่อแจ้งความจำนงได้ที่ น.ส.ลัดดา ปิยะวงศ์รุ่งเรือง บริษัท ฟ้าอภัย จำกัด หมายเลขโทรศัพท์ภายใน ๒๒๒.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

...11...


เจริญธรรม สำนึกดี พบกันอีกครั้งกับ น.ส.พ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๑๘๒(๒๑๕) ปักษ์แรก ๑-๑๕ พ.ค.๒๕๔๕

ก่อนอื่นขอประชาสัมพันธ์เรื่องสำคัญสักหน่อย สำหรับพ่อให้แม่ให้ทั้งหลาย ที่มีความประสงค์ จะตั้งโรงบุญ มังสวิรัติ ในวัน อโศกรำลึก ที่จะถึงนี้ (๙-๑๐ มิ.ย.๔๕) ขอให้แจ้งความจำนงล่วงหน้า ได้ที่ สม.ผาแก้ว ชาวหินฟ้า หรือ สมณะ เมืองแก้ว ติสสวโร ภายในวันที่ ๓๑ พ.ค.๔๕ เพื่อจะได้จัดเตรียมความพร้อมไว้แต่เนิ่นๆ

อย่างตอนนี้ก็มีประเดิมแจ้งกันเข้ามาแล้ว เช่น ร้านข้าวขาหมูเจของป้านิด ร้านก๋วยเตี๋ยวของอาซ้อ ร้านขนมครก ของคุณหมู ร้านจากปฐมอโศก ร้านจากกลุ่ม สมุทรปราการ ฯลฯ นี่ก็แค่ตัวอย่างนะฮะ กว่าจะถึงวันงาน ชาวเรา คงรวมพลังให้เห็น เหมือนเคยนะฮะ

ส่วนทางสันติอโศก เจ้าของสถานที่ ขณะนี้ได้ขอยืมเต็นท์จากบ้านราชฯ ๒๐ หลังแล้วนะ จิ้งหรีดล่ะ อยากให้ถึง วันงานเร็วๆ เพราะอยากเห็นบรรยากาศอบอุ่นแบบพี่ๆน้องๆอีก

ส่วนในฉบับนี้เรามีข่าวงาน พ.ฟ.ด.มาฝากเต็มที่ทั้งเรื่องและรูป เพื่อขานรับความสำคัญของ "กสิกรรมไร้สารพิษ บุญญาวุธ หมายเลข ๓ " เรื่องนี้พ่อท่านกล่าวไว้บ่อยครั้งใ นหลายๆโอกาสว่า "ชาวอโศกจะต้องเป็นกสิกร"

ได้คะแนน...หลังงาน พ.ฟ.ด คราวนี้ ได้ยินว่า พ่อท่านชมชาวบ้านราชฯด้วยล่ะ ที่สามารถพลิกฟื้น ให้พื้นที่ในชุมชน เขียวขจี ไปทั่ว แม้ก่อนหน้านี้จะถูกน้ำท่วมจนแทบไม่เห็นดิน แต่หลังน้ำท่วม ก็ลงต้นไม้ จนเขียวทันการณ์ งาน พ.ฟ.ด. ปีนี้ จึงเดินดู ความเขียวได้ ตั้งแต่ด้านในไปถึงแม่มูล ตอนนี้พี่น้องเราก็ยังตั้งใจ สานความเขียวต่อ แว่วว่า จะได้เขียว สมบูรณ์ (แบบ)ไง อย่างนี้ต้องเทคะแนน ให้ชาวบ้านราชฯแล้วล่ะ จิ้งหรีดก็ขอเอาใจช่วย ให้หาคนเก็บผัก เก็บพืช ให้ทันด้วยเด้อ เชียร์อยู่นะฮะ ...จี๊ดๆ

เมื่อไรหนอ...นี่ก็ประกาศกันไปหลายแห่งแล้วว่า "ที่นี่ใช้พืชพันธุ์ธัญญาหารไร้สารพิษ" เช่น ชมร.ช.ม. หรือแม้แต่ ชุมชนคนเมือง อย่าง ชมร.หน้าสันติอโศก แต่ไหงที่อุทยานบุญนิยม จ.อุบลฯ ของเรายังประกาศบ่ได้ เพราะยังต้อง ซื้อผักจากตลาด ซึ่งเรื่องนี้ จิ้งหรีดได้ยินพ่อท่านเอ่ยฝากลูกๆให้ช่วยกัน (เก็บผักไร้สารพิษ ช่วยอุทยานบุญนิยม) ด้วย นักปลูกมืออาชีพ เราพอมีแล้ว ตอนนี้ขอมืออาชีพ เก็บผักสักโหลสองโหลนะ ตำแหน่งเร่งด่วนด้วย อุทยานบุญนิยม จะได้ขึ้นป้าย กับเขาเสียที...จี๊ดๆ

น่าประทับใจ...เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๐ พ.ค.๔๕ เวลาประมาณ ๓ ทุ่ม น.พ.วินัย วิริยกิจจา ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้เดินทางมา กราบคารวะพ่อท่าน และได้สนทนาธรรม จนกระทั่งเวลา ๔ ทุ่ม จึงได้นมัสการลากลับ มีผู้เล่าให้ฟังว่า เป็นผลมาจาก การที่ท่าน ได้อ่านหนังสือ "EQ โลกุตระ" จบแล้วด้วยความประทับใจในธรรม จิ้งหรีดได้ยินแล้ว ก็รู้สึก อนุโมทนาอย่างยิ่ง ที่แม้ท่าน เป็นถึงผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง (ย่อมมากด้วยภารกิจ) แต่ก็ยังสนใจใฝ่ธรรม เอ!ใครเอ่ย ที่ยังไม่ได้อ่าน? รีบๆหาอ่านกัน ได้แล้วนะฮะ...จี๊ดๆ

กิจกรรมเพียบ...มีโอกาสเขาฟังประชุมที่สันติอโศก เลยทราบว่า ต้นเดือน มิ.ย.ที่จะถึงนี้ ชาวเรามีหลายต่อหลาย กิจกรรม จิ้งหรีดก็ขอเก็บมาเล่าสู่กันฟัง พอสังเขปนะฮะ

เริ่มต้นเดือน วันที่ ๒ มิ.ย. เปิดงานแสดงศิลปะตามโครงการศิลปะชุมชน ที่สันติอโศก ซึ่งจะเปิดแสดงให้ชมกัน ทั้งเดือน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นการเปิดม่านอีกมุมหนึ่งของชาวอโศก...

พ่อท่านเองท่านใช้ศิลปะขั้นโลกุตระกับมนุษยชาติ กับจิตวิญญาณเพื่อความเบิกบาน เพื่อความพ้นทุกข์ และ ได้กล่าวไว้ด้วยว่า เราต้องเอาศิลปะ มาเป็นมงคลให้ได้ ต้องทำให้มีผลต่อมนุษยชาติ

๓ มิ.ย.เปิดตลาด "สวนไผ่สุขภาพ" ตั้งอยู่ริมถนนพหลโยธิน ติดกับธนาคารทหารไทย สาขาสนามเป้า ตรงข้าม ปากซอยราชครู (พหลโยธิน ๕) อยู่ห่างจากสถานีรถลอยฟ้า ซอยอารีย์ไปทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ประมาณ ๒๐๐ เมตร สังเกตได้ง่าย เพราะ บริเวณ ตลาดล้อมด้วยไม้ไผ่ ตอนนี้กำลังปรับปรุงสถานที่อยู่ ได้ยินมาว่า จะมีร้านส่วนกลาง ร้านเครือข่าย เช่น ร้านกู้ดินฟ้า ขายผัก-ผลไม้ไร้สารพิษ ร้านขายเต้าหู้ ร้านโชว์สินค้าของ บจ.ภูมิบุญ ร้านอาหาร มังสวิรัติ เป็นต้น วัตถุประสงค์ เพื่อให้เป็น ตลาดของพืชผักไร้สารพิษจริงๆ ตอนนี้ผู้ช่วยงาน คือ คุณดินนา คุณบึงบุญ คุณเพียรเพ็ญธรรม และคุณดอกบัวน้อย ใครสนใจงานบุญ สมัครได้ที่ คุณดินนา ตอนนี้ เราต้องการผู้ร่วมทีม ไม่จำกัดจำนวนฮะ ๗ มิ.ย. จะมีการประชุมตัวแทน จากพรรคการเมืองทั่วประเทศ ครั้งที่ ๓/๒๕๔๕ ที่ชุมชน สันติอโศก ใครสนใจ ตั้งโรงบุญมังสวิรัติงานนี้ ติดต่อได้ที่ คุณลัดดา ปิยะวงศ์รุ่งเรือง บจ.ฟ้าอภัย

๙-๑๐ มิ.ย. ก็งานอโศกรำลึก ปี '๔๕ ไงฮะ แล้วเจอกัน...ใครสนใจงานไหน ขอเชิญร่วมบุญ (ทั้งนั้น) ได้ตามอัธยาศัย ... จี๊ดๆ

ลมหัวกุดถล่มสวนส่างฝัน...มีรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ ๒ ทุ่มของคืนวันที่ ๒๒ เม.ย.ที่ผ่านมา "พี่น้องของเรา ได้ออกพื้นที่ ไปประเมินผลเกษตรกร ผู้ผ่านการอบรมลูกหนี้ ธ.ก.ส. และขณะที่ทำกิจกรรม 'เว้านัวหัวม่วน' (สร้างมิตรสัมพันธ์) ที่บ้านของ อาจารย์ยินยอม ที่ อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร ก็ต้องตกใจกับเสียงโทรศัพท์ จากคุณ ไม้งาม ที่รายงานว่า 'ได้เกิดลมพายุ พัดอย่างรุนแรง เกิดความเสียหายมาก' แม้จะไม่ค่อยสบายใจ นักหลังทราบข่าวนี้ แต่พวกเรา ก็ยังคงทำงานกันต่อไป

หลังจากเสร็จงานแล้วได้เดินทางกลับมาถึงดึก รุ่งเช้าจึงได้รีบช่วยเก็บ จัดสิ่งที่กระจัดกระจาย และซ่อมแซม ส่วนที่ชำรุด เสียหาย

คุณสร้างทำและคุณจอมดิน ซึ่งเฝ้าสวนอยู่ เล่าว่า ตอนทุ่มครึ่ง ขณะที่กำลังทานข้าวกัน เกิดลมพัดแรงมาก แล้วก็แรงขึ้นเรื่อยๆ มีฝนเม็ดใหญ่ ตกดังกราวๆ สักครู่ลูกเห็บก็ตกลงมาดังเป๊งๆ ทุกคนพากันหลบ เข้าไปอยู่ ในห้องน้ำ ก่อนฝนห่าใหญ่ จะเท ลงมาอีก พักใหญ่ก็ซาลง จึงค่อยออกมาสำรวจ ดูความเสียหาย พบว่า โรงจุลินทรีย์ ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ (ก่อนหน้านี้ ๒ วัน) ได้ล้มลงมา กองกับพื้นซะแล้ว เดินดูบริเวณศูนย์ฝึกอบรมฯ ก็เห็นเต็นท์เสา หักล้มทับรถอยู่ หลังคาศูนย์ฝึกฯ ที่มุงด้วยหญ้า ก็เปิดเป็นช่องกระจุย ส่วนห้องน้ำ ที่เพิ่งสร้างใหม่ ก็ถูกลมหอบ เอาหลังคาสังกะสี หลุดลอยไปเช่นกัน ต้นไม้ที่อยู่ใกล้เคียง เช่น ต้นอีหล่ำ ต้นกล้วย ต้นมะละกอ ก็ถูกพัดหักลง ด้านท้ายสวน โรงเรือนที่พักปฏิบัติกรชายพังยับ หลังคาห้องน้ำ หลุดลอย ไปทั้งสองห้อง สังเกตว่า โรงเรือนทุกโรง ที่มุงด้วยหญ้า หรือสังกะสี จะได้รับความเสียหายทุกโรง

ก่อนหน้านี้ (๑๘ เม.ย.) ก็มีลมพัดแรง ทำให้เกิดความเสียหาย ในพื้นที่ใกล้เคียงมาแล้ว น.ส.พ.ก็ลงข่าวถึงขนาดว่า มีป้าย ขนาดใหญ่ ของโชว์รูมรถยนต์แห่งหนึ่ง ถูกพัดล้มลง

สำหรับครั้งนี้ทางราชการได้ออกสำรวจพบว่า มีบ้านเรือนเสียหายประมาณ ๕๐ หลังคาเรือน (ทางเราไม่ได้แจ้งไป เขาคง ไม่ได้รวม)

สอบถามคุณแห่งไท ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่นี้ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า เมื่อปี '๔๑ มีปรากฏการณ์เอลนินโย ช่วงปลาย เดือนเม.ย. ซึ่งอากาศร้อนอบอ้าวมาก ก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ลมชนิดนี้ชาวบ้านเรียกว่า 'ลมหัวกุด' มีลักษณะหมุนวน มีแรงดึงดูด ขึ้นรุนแรงมาก พัดผ่านที่ใด จะดึงเอายอดหลุดไปหมด บ้านไหนไม่แข็งแรง ก็จะถูกลมนี้พัดล้ม หรือ หลังคามุงไม่ดี ก็จะหลุดลอยไปไกลได้เลยทีเดียว

ถามความรู้สึกคุณศรีวิชัย (สมาชิกของสวนฯ) และพวกเราอีกหลายคนกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ทุกคนบอกว่า ไม่หนักใจ กับของเสีย เพราะซ่อมแซมใหม่ได้ (ลงแขกช่วยกัน ๒ วันก็เสร็จ) แต่โรงจุลินทรีย์นั้น เสาหักหมด ต้องรื้อทำใหม่..." ก็ยังดีนะ ที่ไม่มีใคร เป็นอะไร นี่แหละนักปฏิบัติธรรม... ส.บ.ม. ธ.ม.ด. ป.ก.ต. ห.ห. (หายห่วงไง)... จี๊ดๆ

แจกนาฬิกา...ขณะที่เลยเวลาประชุม "คณะกรรมการ ๕ องค์กร" ไปหลายนาที แต่กรรมการก็ยังมาไม่ครบ องค์ประชุม อาจเป็นเพราะ หลายท่านมีกิจธุระมาก จิ้งหรีดได้ยินแว่วๆว่า พ่อท่านจะแจกนาฬิกา ยี่ห้อที่มีชื่อเสียง ในความเที่ยงตรง ที่ซู้ดให้ท่านละ ๑ เรือน...เอ! แบบนี้เรียกว่า...กรรมนี้มีผล...จะได้มั้ยฮะ...จี๊ดๆ

มหัศจรรย์จริงหนอ!...ช่วงที่ผ่านมาแม้อากาศโดยทั่วไปจะร้อนอบอ้าวปานใด แต่ที่ภูผาฟ้าน้ำ กลับมีแต่ ความอบอุ่น สงบเย็น พลังจากสมาชิกชาวอโศกหลายพุทธสถาน หลายฐานะ ซึ่งได้ทยอยเดินทางมาแวะเยี่ยมเยียน ชาวชมร. ช.ม. ทั้งไปและกลับ ก่อนและหลังกลับจากภูผาฟ้าน้ำ เพื่อเข้ารับการอบรม ค่ายมหัศจรรย์รุ่นแล้วรุ่นเล่า จิ้งหรีดอยู่ที่ ชมร.ช.ม. ได้เห็นความ เปลี่ยนแปลง ของผู้ผ่านค่ายนี้แล้ว ก็รู้สึกประทับใจมาก แม้แต่ ด.ช.ภูผาเมฆ แพงค่าอโศก นักเรียน ร.ร.อนุบาล หลานปู่โพธิรักษ์ ก็ยังพูดกับคุณแม่ว่า "เราไปเข้าค่ายอบรมมหัศจรรย์กันเถอะ" ฟังแล้ว ก็ได้แต่ทึ่ง กับความขวนขวาย เร่งรัดพัฒนาตน ของทุกคน ที่สำคัญ ประทับใจ กับการเอาภาระ ของท่านอาจารย์ที่นั่น เพราะท่าน ขยันจริงๆ สาธุ...จี๊ดๆ

อนุโมทนา...กับคุณปะฝุ่นไท โพธิสาร ซึ่งผ่านโหวตได้รับการเลื่อนฐานะขึ้นเป็น "นาค" เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ ๑๓ พ.ค.๔๕ สาธุ...จี๊ดๆ

ฉบับนี้ลากันด้วยคติธรรม-คำสอนของพ่อท่านที่ว่า เสริมสร้างความดีต้องมีเมตตาฝ่าฝัน

พบกันใหม่ฉบับหน้า.

จิ้งหรีด

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

...12...


แง้มประตูมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน .. ท่านจันทร์
งานวิสาขบูชาที่สนามหลวง

งานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาในเทศกาลวิสาขบูชา เป็นงานที่กลุ่มองค์กรชาวพุทธ ได้ร่วมใจกันจัดงาน ที่มณฑลพิธี ท้องสนามหลวง โดยดำเนินงานต่อเนื่องกันมาหลายปี ทางมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน ได้รับโอกาส จากทางฝ่ายจัดงาน ให้ได้มี ส่วนร่วม เป็นส่วนหนึ่งของงาน ติดต่อกันมา จนเข้าสู่ปีที่สามแล้ว นับเป็นโอกาส ที่เหมาะสมยิ่งนัก เพราะเป็นช่วง วันสำคัญ ทางพุทธศาสนา และเป็นสถานที่อันเหมาะสมเป็นอย่างมาก กับการเดินทาง ไปร่วมกิจกรรม บำเพ็ญบุญ นั่นคือ "สนามหลวง"

ปีแรกที่ทางมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อนได้รับโอกาสให้ไปร่วมงานนั้น ทางเราได้อาณาบริเวณ เพื่อการจัดทำนิทรรศการ พุทธประวัติ และ เผยแพร่เทป หนังสือธรรมะเพียงครึ่งเต็นท์เท่านั้น ในคราวนั้นทางเรา มิอาจขึ้นป้ายมูลนิธิ เพื่อนช่วยเพื่อนได้ ต้องอาศัย ป้ายของมูลนิธิ ธรรมรักษ์ ของวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี เหตุผลก็คือ ทางเรายังมิอาจ เป็นที่ยอมรับ ของฝ่ายบริหาร จัดงาน เท่าใดนัก แต่ก็ประคับประคอง ให้ผ่านงานในปีแรก มาได้ด้วยดี และด้วยความ เจียมกาย เจียมใจ เป็นที่สุด

เมื่อปีที่แล้ว เหตุการณ์แปรผันจากปีแรกโดยสิ้นเชิง ทางเราได้รับความเห็นชอบ ให้จัดงานได้ถึง ๒๐ เต็นท์ ซึ่งเกินแรง ที่จะทำได้ ต้องแบ่งเต็นท์ ให้กับองค์กรอื่น หลายองค์กร และงานก็ผ่านไปได้ด้วยดี

ปีนี้ทางเราก็ได้รับความเห็นชอบให้มีส่วนร่วมงานอีกเช่นเคย ในวันที่ ๒๐ - ๒๖ พ.ค.๒๕๔๕ คราวนี้คณะทำงาน ของเรา พยายาม เตรียมงาน อย่างดี เพื่อให้งานมีคุณภาพ สมกับที่ฝ่ายจัดงาน ให้โอกาสเรา ติดต่อกันมา เข้าสู่ ปีที่สาม

โดยสถานภาพของพวกเรา ยังคงต้องเจียมกายเจียมใจ เช่นเดียวกับปีแรก ที่ถูกขัดขวางไม่ให้ร่วมงาน แม้ท่าที ของฝ่ายจัดงาน จะผ่อนคลาย ไปบ้างแล้วก็ตาม การเจียมกาย เจียมใจ คงทำให้เราไม่โดนกระทบ กระแทก กับความแตกต่างมากนัก ทั้งนี้ เพื่อให้งาน ผ่านไปอีกสักปี บำเพ็ญบารมีอีกสักครั้ง.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

...13...


ชายงามรายปักษ์

นายดีแล้ว ชาวหินฟ้า

ชื่อเดิม นายประโยชน์ อยู่ผาสุข
ชื่อใหม่ นายดีแล้ว ชาวหินฟ้า
เกิด ๗ ส.ค.๒๔๖๗ อายุ ๗๗ ปี
ภูมิลำเนา อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
การศึกษา ม.๓
สถานภาพ แต่งงานแล้ว บุตร ๘ คน
ส่วนสูง ๑๕๓ ซ.ม.
น้ำหนัก ๕๕ กก.

ลุงดีแล้วเป็นญาติธรรมรุ่นแรกๆของชาวอโศก ปฏิบัติธรรมกับชาวอโศกมาแล้วร่วม ๒๗ ปี นอกจากนี้ ยังเป็น ต้นตระกูล นามสกุล "ชาวหินฟ้า" เรื่องราวของลุง น่าสนใจทีเดียว ไปรู้จักกับลุงกันเลยนะคะ

ชีวิตเด็กรับใช้
มีพี่น้อง ๓ คน ผมเป็นคนสุดท้อง พ่อเป็นคนจีนเกิดในเมืองไทย จบ ป.๔ แล้วมาเรียนต่อ ร.ร.เทเวศร์ศึกษา จนจบชั้น ม.๓ ที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นอายุประมาณ ๑๔ ปี มาอยู่กับพี่สาว ซึ่งทำงานรับใช้อยู่บ้านท่านขุน ซึ่งทำงานอยู่ใน พระราชวัง ผมคอยช่วย งานรับใช้ส่วนตัวอยู่ในบ้าน ไม่มีเงินเดือน แต่ได้กินได้อยู่และได้เรียน โดยท่านขุน เป็นคนส่งเสีย กลับจากโรงเรียนตอนเย็น ก็ไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ เรียนจบแล้ว ก็ออกมาหางานทำ เพราะเบื่อ ชีวิตเด็กรับใช้ อยากจะทำงานหาเงินเป็นอิสระ งานแรกเป็นลูกจ้าง ทำทุเรียนอยู่กับพี่เขย ต่อมาทำงาน กรมชลประทาน ช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ถูกเกณฑ์ทหารไปอยู่ภาคใต้ และรับราชการ อยู่อีกระยะหนึ่ง หลังจาก สงครามเลิก แล้วแต่งงานครั้งแรก มีลูกด้วยกัน ๑ คน

ต่อมาย้ายกลับมาอยู่กับพี่สาว ซึ่งเปิดร้านตัดเสื้อที่กรุงเทพฯ มีพี่เขยเป็นดาราละคร ชื่อ ทัต เอกทัต ผมก็มาเรียน ตัดเสื้อ เป็นช่างตัดอย่างเดียว อยู่ที่นี่จึงมีโอกาสแสดงละคร ที่โรงละครเฉลิมนคร และแสดงหนัง เป็นตัวประกอบบ้าง เป็นตัวแทน คนโน้น คนนี้บ้างเวลาที่ดาราไม่อยู่ เคยเดินทาง ไปถ่ายหนังที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส เรื่องสามรักในปารีส แต่หนังไม่ประสบความสำเร็จ

ต่อมาทำงานที่องค์การซีโต้ แผนกชิปปิ้ง (รับ-ส่งของจากต่างประเทศ) ซึ่งมีรายได้ดีมากทำอยู่ ๒๐ กว่าปี และ แต่งงาน ครั้งที่ ๒ เจ้านายจะเดินทางกลับต่างประเทศ ชักชวนให้ไปทำร้านอาหารที่อเมริกา แต่ไม่ได้ไป เนื่องจากภรรยาป่วย และเสียชีวิต ด้วยโรคมะเร็ง และแต่งงานครั้งสุดท้าย กับภรรยาคนปัจจุบัน

ชาวอโศกรุ่นแรก
ปี ๒๕๑๘ ญาติธรรม (ปัจจุบัน สม.รินฟ้า นาวาบุญนิยม) ทำงานอยู่ที่องค์การซีโต้ แผนกวิจัยมาเลเรีย ครั้งแรก ผมเห็นท่าน มาทำงาน แต่งตัวสวย เพิ่งกลับจากเมืองนอก แต่เอ๊ะ...นานไป ทำไมเปลี่ยนไป เลิกแต่งตัว ไม่เหมือนเดิม มารู้ทีหลังว่า ปฏิบัติธรรม และผมมีโอกาสติดตามไปฟังธรรม ที่สันติอโศกด้วย ตอนนั้น ยังเป็นบ้านทรงเรือนไทย ฟังแล้วประทับใจมาก จนน้ำตาไหล และติดตามไปฟัง พ่อท่านบรรยายธรรม ในที่ต่างๆอีก เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง กินมังสวิรัติ เลิกอบายมุข เงินทองก็เหลือ ฝึกปฏิบัติอยู่ประมาณ ๓ ปี จึงตัดสินใจลาออก มาช่วยงานวัด ทั้งๆที่ตอนนั้น มีรายได้เดือนละหมื่นบาท อายุประมาณ ๕๐ ปี ก็ช่วยการงานต่างๆในวัด ช่วยขับรถ ช่วยตัดเย็บบริขาร ช่วยงานทุกอย่าง และร่วมก่อตั้งโครงการ ปฐมอโศก จนเป็นชุมชนปฐมอโศก ในทุกวันนี้

เป็นสัปเหร่อ
ผมมีคนไม่พยาบาท ไม่ทะเลาะกับใคร ในชีวิตผมมดยังไม่เหยียบเลย ชอบทำงาน ช่วยที่ร้านค้าปฐมอโศกอยู่ ๒ ปี แล้วมาอยู่ ห้องเครื่องมือ ตัดผม ช่วยขับรถ งานทุกชนิดเรียกใช้ผมได้ สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย

ผัสสะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะทำงานอยู่ด้วยกันก็ต้องมี เราก็เลี่ยงๆซะ เจอกันก็ทักทาย ยิ้มแย้มแจ่มใส ยกมือ เจริญธรรม ให้กัน กิเลสที่สู้อยู่ ที่ยังเอาชนะไม่ได้ คือ ตัวมานะ

เรื่องความตายนี่ไม่กลัว ตอนเป็นทหารก็สัมผัสกับคนตายมามาก ๑๔ ตุลาฯ ๒๕๑๖ ผมก็ไปร่วม วันที่พ่อท่าน ไปเดินบิณฑบาต โปรดสัตว์ ผมเห็นแล้วน้ำตาไหลเลย แต่ยังไม่ได้ติดตาม เพียงเห็นแล้ว ประทับใจเท่านั้น ผ่านเหตุการณ์ นองเลือดมาหลายครั้ง แต่รอดชีวิตมาได้ทุกครั้ง

แม่ยายคนเก่าบอกว่า หากท่านตายลงไม่ต้องไปให้สัปเหร่อทำ เพราะท่านเคยเห็นมาแล้ว เขาเพียงแต่ทำปาก ขมุบขมิบเท่านั้น แล้วเอาด้วยสายสิญจน์ ผูกขาผูกมือ ท่านเคยทำมาแล้ว ดังนั้นพอแม่ยายตาย เมียตาย ลูกชายตาย พี่สาวตาย ผมก็ทำศพเอง ได้ใกล้ชิดกับสิ่งเหล่านี้ ที่พ่อท่านบอกว่า ผีจริงไม่มีหรอก มีแต่ผีหลอก ผมเชื่อมั่นเลย เพราะผ่านมา หลายศพแล้ว

พรของบรรพชน
เป็นลูกพ่อท่านต้องขยัน มิฉะนั้นจะอยู่กับชาวอโศกลำบากแล้ว จะอยู่ได้ไม่นาน ต้องซื่อสัตย์ ทำงานให้กับสังคม เชื่อเถอะ ครับว่า พ่อท่านพานำไม่ผิด จะช่วยให้เรามีความสุข ที่เกิดจากการทำงาน เกิดจากการช่วยสังคม การก่อสร้างจำเป็น เพราะ หมู่กลุ่มเรามากขึ้น

บรรพชนอีกท่านหนึ่งที่ทุ่มเทชีวิตเสียสละให้กับศาสนา สิ่งเหล่านี้คือ ทรัพย์แท้ที่จะติดตัวไปทุกชาติ พระท่านบอกว่า ทุกสิ่งบนโลกนี้ เราล้วนแต่ยืมมาใช้เพียงชั่วคราว หามีสิ่งใดเป็นของเราไม่ แม้แต่ร่างกายก็ต้องคืนเขาไป มีแต่บาป กับบุญเท่านั้นที่เป็นของเรา อย่าลืมว่า อีกไม่นานร่างกายเราก็ต้องคืนเขาไป บาป-บุญเท่านั้นที่ติดตัวเราไป.

บุญนำพา รายงาน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

...14...

ศูนย์สุขภาพ ...กิ่งธรรม
หญ้าเป็นเทวดา ได้ด้วย

เมื่อต้นเดือนมีนาคม หลังกลับจากงานพุทธาฯที่ไพศาลี รู้สึกอาการไม่ค่อยดี อินทรีย์พละอ่อน เพราะขาดการฝึกฝน ร่างกาย อ่อนแอมาก จนล้มป่วย เป็นไข้หวัดนอนซม จนไปทำงานไม่ไหว พยายามที่จะรักษาแบบ ธรรมชาติบำบัด ไม่อยากกิน ยาเคมี เพราะรู้ดีซะแล้ว น้องสาวที่อยู่ด้วยกัน ก็ร่ำเรียนมาทางแพทย์แผนไทยสมุนไพร ระดับที่อาจารย์ เชิญไปช่วยสอน มาเห็นดิฉัน นอนซมไข้ขึ้น ก็เลยไปเด็ดเอาหญ้า ที่ปลูกไว้ข้างบ้าน มาปั่นให้รับประทาน ใส่น้ำผึ้ง นิดหน่อย ผสมน้ำจุลินทรีย์ จากลูกยอ เล็กน้อย รสชาติจึงออกเปรี้ยวๆหวานๆหอมๆ อร่อยถูกกิเลส จึงดื่มได้ถึง ๒ แก้วใหญ่ๆ ดิฉันดื่มพร้อมกาก โดยไม่ต้องกรอง

อีกประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง รู้สึกสบายเนื้อสบายตัว มีเรี่ยวแรงกระชุ่มกระชวย อยากทำงานโน่นนี่ ไม่อยากนอน เพราะมีแรงแล้ว พอรุ่งเช้า เจ้ากากหญ้าที่รับประทานเข้าไป ก็เก็บกวาดลำไส้ออกมา อย่างสวยงาม ดิฉันคิดว่า การกินโดย ไม่ต้อง กรองเอากากออกจะดีกว่า เพราะจะทำให้มีกาก ซึ่งสามารถจะดูดซับ สารพิษออกมา พร้อมกับ อุจจาระ ทำให้ร่างกาย สะอาดขึ้น ยกเว้นกรณีที่กลืนลำบาก หรือต้องให้ทางสายยาง เพราะเคยทดลอง กับคนไข้แล้ว อาจทำให้เกิดการอุดตันได้

ดูเอาเถอะ แม้ต้นหญ้าต้นเล็กๆ ยังทำตนเป็นผู้รับใช้และผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ นอกจากจะให้ออกซิเจนแก่โลกแล้ว ยังช่วยดูแล รักษาสุขภาพของมนุษย์ ให้สมบูรณ์แข็งแรงอีกด้วย จนใครๆก็ให้สมญานามว่า "หญ้าเทวดา" ดิฉันเคยแต่ ได้ยินสรรพคุณ เล่าลือของหญ้านี้ เมื่อเจอเข้าด้วยตนเอง ก็เลยไปเปิดตำราสมุนไพรดู จึงทราบว่า มีผลการวิจัย ของหญ้านี้ว่า มีสารต้านมะเร็ง ลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม ลดไข้ ลดการอักเสบ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันดี ดูสรรพคุณ กับสมญานามแล้ว สอดคล้องกันจริงๆ

แล้วเราล่ะที่เรียกตัวเองว่า คนบ้าง มนุษย์บ้าง ถ้าไม่ทำคุณประโยชน์อะไรเลย ก็น่าอับอายหญ้านะคะ เราจึงควร สร้างสรร ประโยชน์ ให้มีคุณค่ามากกว่าหญ้า ให้สมกับสมญานามคำว่า "มนุษย์" ซึ่งแปลว่า ผู้ประเสริฐ เช่นกัน ใช่ไหมคะ?.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
67/1 ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. 10240 โทร.0-2374-5230 ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ 1,500 ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]