ฉบับที่ 211 ปักษ์หลัง 16-31 กรกฎาคม 2546

[01] บทนำข่าวอโศก:
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "เรื่องสำคัญสุดท้ายของคน"
[03] อุทยานบุญนิยมแจกฟรี อาหารมังสวิรัติ วันอาสาฬหบูชา ขายผัก-ผลไม้ต่ำกว่าท้องตลาด
[04] กฎเหล็ก อย.บังคับใช้ จีเอ็มพี ๒๔ กรกฎาคม นี้.
[05] ไปดู 'ชีวิตใหม่' เกษตรกรลูกอีสาน
[06] สัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร

[07] รมว.ยุติธรรม เปิดงาน รัฐเห็นโทษภัย ชวนคนไทย "งดเหล้า เข้าพรรษา"
[08] ศูนย์สุขภาพ : กินไม่พิจารณา เกือบไม่ได้มางานอโศกรำลึก
[09] นศ.กลุ่มรามบูชาธรรมร่วมกับกลุ่มอาสายุวกาชาด เปิดโลกธรรมะ ในมุมมองที่แตกต่าง
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11]หลักสูตรสัจธรรมชีวิต รุ่น ๒ ณ ชุมชนเมฆาอโศก จ.บุรีรัมย์
[12 ]เก็บเบี้ยใต้ถุนวัด
[13] ไททีวี ถ่ายทำรายการที่สันติฯ
[14] ข่าวสั้นทันอโศก
[15] นางงามรายปักษ์ นางสอน มารยาท:
[16] บุญญาวุธหมายเลข ๔ ค่ายสุขภาพ ๗ อ. ณ ชุมชนสีมาอโศก
[17] รามบูชาธรรม รับเพื่อนใหม่ ได้ชื่อ รุ่น"นาวาธรรม"
[18] :คุรุ สส.ภ.จัดหลักสูตรใหม่ เน้นแนวแม่ไก่-ลูกไก่



รู้ฐานะในการรับน้องใหม่ของ ม.วช. (สัมมาสิกขาลัยวังชีวิต) เนื่องจากนิสิตส่วนใหญ่เป็นชาววัด ถือศีล ๘ มีผู้อายุยาว กันหลายคน

ก็ขอฝากให้คุรุผู้มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลในเรื่องเกม ที่นำมาใช้สลายพฤติกรรมว่า ควรรู้จักประมาณให้เหมาะสมกับฐานะ

แม้ว่าบรรดานิสิตจะยอมปฏิบัติตามเกมของคุรุที่จัดหามา ซึ่งก็น่าประทับใจในการลดตัวลดตน ของนิสิต ม.วช.

แต่ก็ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับฐานะของนักปฏิบัติธรรม มิฉะนั้นจะดูเป็นติ๊งต็องมากเกินไป ยังไงๆ คุรุที่เป็นชาววัด ก็ควรช่วย มีส่วนร่วม ในการพิจารณาเกม หรือควรปรึกษาสมณะและสิกขมาตุที่ปรึกษา เพื่อจะได้กลั่นกรองเกม ที่จะนำมาใช้ได้ เหมาะสม ยิ่งขึ้น.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


จับประเด็นจากหนังสือคนคืออะไร ?
*** เรื่องสำคัญสุดท้ายของคน...

สัญญาเวทยิตนิโรธ คือ สภาพดับกิเลส อย่างรู้แจ้งกระจ่างใจด้วย วิชชา เป็นภาวะสำคัญยิ่งของพุทธ

ผู้ที่ปฏิบัติธรรม อย่างสายพุทธแท้ เจริญวิปัสสนาตามหลักโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ย่อมเข้าใจกระบวนการทำงานของจิต และ กิเลส ภายในจิต เป็นอย่างดี รู้จัก แยกแยะกิเลสออกจากจิต แล้วเลือกดับเฉพาะกิเลส ส่วนจิตทรงไว้ให้ใสบริสุทธิ์

สัญญาเวทยิตนิโรธ มิใช่การดับสัญญา ดับความจำไม่รับรู้ใดๆ แต่เป็นการดับกิเลส มิให้ปรุงแต่งร่วมกับสัญญาต่างหาก... ผู้ศึกษา เข้าใจสัจจะ มีปัญญาเข้าใจจิตอย่างลึกซึ้งจึงจะทำได้ ต้องมีภูมิธรรมระดับพระอาริยะขึ้นไป

คนเรามีใจเป็นใหญ่ในชีวิต หากสามารถเอาชนะใจตนได้ เท่ากับชนะสิ่งทั้งปวง หากสามารถอยู่เหนือใจตนได้ เท่ากับ อยู่เหนือ ความเป็นคน หลุดพ้นห้วงวัฏฏสงสาร เข้าถึงปรินิพพาน จบความเป็นคนกัน ณ จุดนี้

*** จบ "คน" แล้วมีอะไร?...

บทส่งท้ายนี้ พ่อท่านได้เขียนให้ผู้อ่าน ได้ใช้ปัญญาวิเคราะห์เอาตามภูมิของแต่ละคน มุมมองของใครก็ของคนนั้น

ข้าพเจ้าเอง ขออนุญาตมองอย่างวิเคราะห์ เท่าที่ภูมิปัญญามีเช่นกัน

พ่อท่าน ได้เล่าถึงประสบการณ์บรรลุธรรมอะไรสักอย่าง ขณะทำธุระในห้องน้ำ ส่วนพ่อท่านบรรลุธรรมระดับใด? ฟ้าเท่านั้นที่รู้ เท่าที่ ภูมิข้าพเจ้ามีทำได้แค่เดา เท่านั้น

และเมื่อพ่อท่านกลับมานอน ได้ปรากฏภาพนิมิตขึ้นในห้วงแห่งความคิดว่า...

"ข้าพเจ้าไปสู่บ้านหญิงที่เคยรักคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่ยังอยู่ห่างไกลธรรมอยู่มาก และข้าพเจ้าพ้นออกจากบ้านนั้นไม่พบหญิง นั้นดอก และ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ไปเพื่อหาผู้ใด เพียงผ่านเข้าไปเท่านั้น แต่เมื่อพ้นออกมาแล้ว ไฟก็โหมไหม้บ้านนั้นขึ้น

ข้าพเจ้าจึงได้คิดว่า ควรจะเข้าไปช่วยเหลือบ้านที่ถูกไฟไหม้นั้น เพราะเป็น บ้านของคนที่ข้าพเจ้าเคยรัก แต่แล้ว ในจิตก็สำนึก ออกมาว่า ไม่ถูกหรอก และเมื่อมองเลยบ้านหลังนั้นไปสู่ที่อื่น ไฟก็โหมไหม้บ้านอื่นอยู่ด้วยทั้งนั้น ผู้คนอยู่กลางไฟ อีกมากมาย ข้าพเจ้า จะช่วยคนที่เคยรักคนเดียวนั้น ไม่สมควร ถ้าจะช่วยก็ต้องช่วยทั้งสิ้น"

นิมิตนี้หมายความว่าอย่างไร?
นัยทัศนะของข้าพเจ้าแล้ว...

ข้าพเจ้าไปสู่บ้าน คือ การกลับมาเกิดยังโลกมนุษย์อีกครั้ง
บ้าน คือ เรือนกายของพ่อท่าน
หญิงที่เคยรัก คือ โลกธรรม

ข้าพเจ้าพ้นออกจากบ้านนั้น คือ ไม่ยึดถือกายขันธ์ พ้นจากอุปาทานขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ไม่พบหญิงนั้นดอก คือ กิเลสตัณหา แท้จริงไม่มีตัวตน โลกธรรมนั้นเป็นเพียงมายา

ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ไปเพื่อหาผู้ใด คือ การกลับมาเกิดของพ่อท่าน มิใช่เพื่อแสวงหาโลกธรรมใดๆทั้งสิ้น

แต่เมื่อพ้นออกมาแล้ว คือ หลุดพ้นจากสังขารโลก ซึ่งพลางดวงตาแห่งปัญญาญาณพ่อท่านไว้ ดุจสำนวนที่ว่า
"ลิงลมอมข้าวพอง"

ไฟก็โหมไหม้บ้านนั้นขึ้น คือ ชีวิต คนเราต้องเผชิญกับสภาพทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนบ้านถูกไฟไหม้

ข้าพเจ้าจึงได้คิดว่า ควรจะเข้าไปช่วยเหลือบ้านที่ถูกไฟไหม้นั้น เพราะเป็นบ้านของคนที่ข้าพเจ้าเคยรัก คือ การเข้าสู่ปรินิพพานที่ไม่ต้องทุกข์ เกิด แก่ เจ็บตายดับสูญไม่มีเหลือภพชาติใดอีก... คิดว่าพ่อท่านหมายจะไม่เกิดอีก

แต่แล้วในจิตก็สำนึกออกมาว่า ไม่ถูกหรอก และเมื่อมองเลยบ้านหลังนั้นไปสู่ที่อื่น ไฟก็โหมไหม้บ้านอื่นอยู่ด้วยทั้งนั้น ผู้คน อยู่กลางไฟ อีกมากมาย ข้าพเจ้าจะช่วยคนที่เคยรักคนเดียวนั้น ไม่ควร ถ้าจะช่วยก็ต้องช่วยทั้งสิ้น...
คือ จิตที่เปี่ยมกรุณา ของพ่อท่าน เห็นว่าเมื่อตนพ้นทุกข์แล้ว ควรที่จะช่วยคนอื่นๆ ให้พ้นทุกข์ด้วยเช่นกัน

ดังที่ข้าพเจ้าวิเคราะห์มานี้...เมื่อ พ่อท่านตื่นขึ้นมา จึงตั้งจิตที่จะไม่สิ้นวิภวตัณหา หรือ ตั้งจิตบำเพ็ญตน เป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อช่วยเหลือปวงชน ให้พ้นทุกข์ จากไฟคือ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย

*** บทสรุปสุดยอด...
รวมความสภาพของคนคือ การไม่หยุดนิ่ง วุ่นๆวนๆ ไม่ใสสะอาดบริสุทธิ์
ในความเป็นคนมีเพียง กาย กับ จิต หากสองสิ่งนี้นิ่งสงบ...คนไม่เกิด
นั่นคือ หยุดสังขารธรรม หมดสิ้นทุกข์ จบความเป็นคน
คงเหลือแต่ความเป็น มนุษย์จิตบริสุทธิ์ ที่มีชีวิตประเสริฐ มีคุณค่าต่อโลกและสังคมโดยรวม

หมายเหตุ
เนื้อหาในเล่มนี้เป็นการสรุป รวบรัด อาจมีบางตอนที่ท่านไม่เข้าใจ ขอให้ท่านค้นอ่านบทขยายได้จากหนังสือ คนคืออะไร? ทำไมจึงสำคัญนัก? ซึ่งเป็นต้นฉบับแม่

ขอผู้ใฝ่ธรรมทุกท่านจงบรรลุ มรรคผลสมประสงค์ทุกคนเทอญ.

๘ ส.ค.๒๕๔๓
- พุทธบุตร ลูกหม้ออโศก. -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

อุทยานบุญนิยมแจกฟรี
อาหารมังสวิรัติ วันอาสาฬหบูชา
ขายผัก-ผลไม้ต่ำกว่าท้องตลาด

ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลฯ ร่วมเปิดงาน
สืบศาสน์พุทธประเพณี ช่วงเข้าพรรษ

วันอาทิตย์ที่ ๑๓ ก.ค. ๒๕๔๖ ซึ่งตรงกับวันอาสาฬหบูชา อุทยานบุญนิยม จัดงาน "สืบศาสน์พุทธประเพณี สร้างความดี ช่วงเข้าพรรษา" เชิญชวนให้พุทธศาสนิกชนถือศีล ละอบายมุข อดเหล้า ทานอาหารมังสวิรัติ ช่วงเข้าพรรษา ผู้ว่าราชการ จังหวัดอุบลฯ นายจิรศักดิ์ เกษณียบุตร ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี กล่าวเปิดงาน และเชิญสื่อมวลชน และ นักจัดรายการวิทยุ มาร่วมงานด้วย

วันนี้บริการอาหารฟรีสำหรับผู้มา รับประทาน หากใส่ถุงกลับบ้านก็จำหน่าย ในราคาปกติ แต่หากนำภาชนะมาใส่ เช่น ปิ่นโต ก็บริการฟรี และที่ร้านนำปิ่นโตมาจำหน่ายในราคาต่ำกว่าท้องตลาด เพื่อสนับสนุนการนำภาชนะมาใส่อาหาร ลดขยะมลพิษ และเชิญชวนให้ผู้มารับประทานล้างจานเองด้วย ซึ่งทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นับเป็นปีแรก ที่แจกอาหารฟรี ในวัน อาสาฬหบูชา นอกเหนือจากแจกฟรีในวันที่ ๕ ธ.ค. เป็นประจำทุกปี

และครบรอบ ๑ ปี ตลาดกสิกรรมไร้สารพิษ มีรายการพิเศษ ผักทุกชนิดขายราคากำละ ๑ บาท เช่น ผักบุ้ง ผักกะเพรา ผักติ้ว ผักเม็ก ผักกระโดน พริกถุงละ ๑ บาท ฯลฯ ซึ่งแต่ละคนสามารถซื้อได้ชนิดละ ๑ กำ และยังมีผลไม้ไร้สารพิษ เช่น แตงโม น้อยหน่า ลำไย แตงไทย ทุเรียน กล้วยน้ำว้า มะม่วง จำหน่ายในราคาต่ำกว่าท้องตลาด เช่นกัน

เวลา ๐๘.๑๘ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวเปิดงาน หลังจากนั้นได้เดินชมตลาดกสิกรรมไร้สารพิษ, ร้านอาหาร กราบนมัสการพ่อท่าน รับของที่ระลึกและขอตัวกลับก่อน หลังจากนั้นพ่อท่านได้เทศน์เป็นเวลา ๑ ช.ม.ย้ำว่า "เกิดมาเป็นคนแล้ว หากไม่ได้อาริยคุณตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ก็จะเป็นแค่เศษสวะของสังสารวัฏ ได้กิเลสเสริม เป็นการเสียชาติเกิด"

สำหรับผู้มาร่วมงานได้ให้สัมภาษณ์ ดังนี้
นางพรรณี นักรัมย์ "มาทานที่นี่เป็นประจำ ทราบว่าวันนี้แจกฟรี และทางร้านก็บอกให้ช่วยบอกต่อๆกันไปด้วย ผักก็ซื้อประจำ แต่วันนี้ไม่ทราบว่าขายกำละ ๑ บาท วันนี้ทุกคนก็ตั้งใจทำบุญกันทั้งนั้น มาทานเพื่อสุขภาพของเราด้วย ราคาก็ถูกกว่าข้างนอก อาหาร ก็มีมากมาย บริการก็ดี"

นางประสพสุข สุรินทร์ต๊ะ "มาทานทุกวัน แต่ไม่ทราบว่าแจกฟรี วันนี้รู้สึกอิ่มบุญ เพราะทางร้านปันกำไรสู่ประชาชนที่ใช้ปิ่นโต เพราะคิดว่าจะปลอดภัยกว่าใส่ถุง เพราะอาจมีสารพิษปนออกมาด้วย อยากเสนอว่า ในตอนเช้า ให้มีอาหารเพื่อสุขภาพ ที่ไม่ใช้น้ำมัน ไม่มีกะทิ เช่น ผัดน้ำ แกงจืด แกงอ่อม อาหารอีสานเยอะๆ ที่นี่ขายไม่แพงอยู่แล้ว วันนี้ยิ่งพิเศษยิ่งขึ้น"

นายอนันต์ คณาพันธ์ สปจ.อุบลฯ "มีความมั่นใจในความปลอดภัยว่าอาหารที่นี่ปลอดจากสารพิษ จึงกล้ากิน มาซื้อเป็นประจำ ผมคิดว่าคนที่ฉลาดจะเลือกกินอย่างนี้ เพราะทุกวันนี้ในตลาดเต็มไปด้วยสารพิษ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ หรือผัก ก็แช่สารเคมี ไม่ให้เหี่ยว เชื่อไม่ได้เลย แต่ที่นี่เชื่อถือได้เลย เพราะทุกคนปฏิบัติธรรม เพิ่งทราบว่าวันนี้ผักขายกำละ ๑ บาท เป็นการทำบุญ ที่ดีมาก ที่นี่เป็นกลุ่มที่ดีมาก ไม่เบียดเบียนใคร ทำแต่บุญ ที่นี่ทุกอย่างดีแล้ว ไม่มีอะไรจะแนะนำ"

นางวิไลวรรณ ทองจิต สมาชิก เครือข่ายฯ "มาขายทุกวันเสาร์ บางครั้งก็มาวันพุธ วันนี้ขายต่ำกว่าทุน เพราะอยากทำบุญ เหมือนที่ พ่อท่านสอน ปีหนึ่งเราได้ทำบุญเสียสละ ผักปลูกเองทั้งหมด ลูกค้าเขาก็แปลกใจ เราก็บอกเขา เขาก็ดีใจ"

นายสุวัฒชัย สิงห์คำ ผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัว จ.อุบลฯ "ไม่ได้มาทานทุกวัน เพราะร้านมังสวิรัติอุบลฯ เปิดหลายร้าน ก็เปลี่ยนกันไป เป็นการอุดหนุน เพื่อให้เขาอยู่ได้ ที่นี่ติดลมแล้ว นานๆก็มาที ทราบว่าแจกฟรีเพราะทางร้านขึ้นป้าย

วันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชา เป็นการทำบุญสำหรับคนที่แจก และคนที่มาทาน ได้ละเว้นจาก การเบียดเบียนชีวิตสัตว์ ผมคิดว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ไม่มีอะไรที่จะต้องแก้ไข อยากจะช่วยส่งเสริมสนับสนุนมากกว่า เพราะคนที่ทำกิจกรรมอย่างนี้ หาได้ยาก"

นายศิลมงคล แก้วอมตวงศ์ บ.ก.หนังสือพิมพ์รักอุบล "ชาวอุบลฯ ให้ความสนใจมาทานมังสวิรัติเป็นสิ่งที่ดี ทำให้ร่างกาย สะอาด เหมือนกับล้าง สิ่งที่ไม่ดีออกไป ตลาดผักไร้สารพิษทำให้ประชาชนรักษาสุขภาพได้ดีขึ้น ผมเห็นดีด้วย เกษตรกรเดี๋ยวนี้ เหมือนกับ จะฆ่าผู้บริโภคให้ตายเร็วๆ แต่มาซื้อที่นี่ ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น มีความสุข สุขภาพดี หากทางราชธานีฯ มีบทความ เกี่ยวกับ อาหารมังสวิรัติ เขียนมาลงหนังสือพิมพ์รักอุบลได้"

สุเชษฐ์ สุรินทร์ต๊ะ "มาทานที่นี่ทุกวัน สุขภาพดีขึ้น วันนี้แจกฟรี คึกคักดี อาหารอร่อย คุณภาพยังเหมือนเดิม ตลาดผัก ก็ราคา ถูกมาก การย้ายร้านของแห้งลงมาที่ร้านใหม่ทำให้สะดวกในการซื้อ แต่บังทัศนียภาพ ทำให้ร้านทึบขึ้น รู้สึกอึดอัด"

นายอดุลย์ อุ่นรัตนะ "เมื่อก่อน ทานเนื้อสัตว์ เอาอร่อยเป็นหลัก ทำให้สุขภาพไม่ดี แต่เมื่อมาทานที่นี่ สุขภาพดีขึ้น คิดว่า ไม่สามารถ จะหาร้านอย่างนี้ จากที่อื่นได้ วัตถุดิบที่มาประกอบอาหาร ก็คำนึงถึงสุขภาพผู้บริโภค ถือว่าคนอุบลฯ โชคดี ที่มีร้านอาหารมังสวิรัติแห่งนี้ อยากจะให้คนอื่นมาลองดูบ้าง จริงๆแล้วในความอร่อย ที่เรากินทุกวันนี้ เขาแถมอะไร มาให้เราก็ไม่รู้ สุดท้าย สุขภาพก็ทรุดโทรม ที่นี่ราคาถูกมากหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ถ้าเป็นเอกชนคงทำไม่ได้ พอถึงวันจันทร์ ผมต้องคิดว่า จะไปกินที่ไหนดี เพราะที่นี่หยุด".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



ข่าวล่า ! กฎเหล็ก อย.
กฎเหล็ก อย.บังคับใช้ จีเอ็มพี ๒๔ กรกฎาคม นี้
อย.จริงจัง คุมเข้มผู้ผลิตอาหาร ๕๔ ชนิด ทั่วประเทศ นำหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิต หรือ จีเอ็มพี บังคับใช้ ๒๔ ก.ค. นี้เป็นต้นไป ผู้ผลิตอาหารทุกรายต้องปฏิบัติ เพื่อยกระดับมาตรฐานสถานที่ผลิต ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคได้บริโภคอาหาร ที่มีความปลอดภัย สม่ำเสมอยิ่งขึ้น

คุ้มครอง ห่วงใย ใส่ใจคุณภาพ
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
กระทรวงสาธารณะสุข

ประกาศ

จากประกาศกระทรวงสาธารณสุข(ฉบับที่ ๑๙๓) พ.ศ.๒๕๔๓ เรื่อง วิธีการผลิต เครื่องมือเครื่องใช้ในการผลิต และ การเก็บ รักษาอาหาร กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อาหาร ๕๔ ประเภท ทั้งเข้าข่ายโรงงานและไม่เข้าข่ายโรงงาน ต้องเข้าสู่ระบบจีเอ็มพี (GMP:Good Manufacturing Practice) หรือ แปลเป็นไทยว่า หลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิต นั้น ขณะนี้ใกล้ถึงเวลาบังคับใช้แล้ว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๖ เป็นต้นไป ซึ่งการบังคับให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามเกณฑ์ จีเอ็มพี ก็เพื่อ ให้อาหาร ที่ผลิต มีความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ ผู้บริโภค สามารถมั่นใจในการบริโภค

อาหาร ๕๔ ประเภท ที่ต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ จีเอ็มพี มีดังนี้
๑. อาหารทารกและอาหารสูตรต่อเนื่องสำหรับทารกและเด็ก
๒. อาหารเสริมสำหรับทารกและเด็กเล็ก
๓. นมดัดแปลงสำหรับทารกและนมดัดแปลงสูตรต่อเนื่อง สำหรับทารก
๔. น้ำแข็ง
๕. น้ำบริโภคในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท
*๖. เครื่องดื่มในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท
*๗. อาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท
๘. นมโค
๙. นมเปรี้ยว
๑๐. ไอศกรีม
๑๑. นมปรุงแต่ง
๑๒. ผลิตภัณฑ์ของนม
๑๓. วัตถุเจือปนอาหาร
๑๔. สีผสมอาหาร
๑๕. วัตถุที่ใช้ปรุงแต่งรสอาหาร
๑๖. โซเดียมซัลคลาเมตและอาหารที่มีโซเดียมซัลคลาเมต
๑๗. อาหารสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
๑๘. ชา
๑๙. กาแฟ
๒๐. น้ำปลา
๒๑. น้ำแร่ธรรมชาติ
๒๒. น้ำส้มสายชู
๒๓. น้ำมันและไขมัน
๒๔. น้ำมันถั่วลิสง
๒๕. ครีม
๒๖. น้ำมันเนย
๒๗. เนย
๒๘. เนยแข็ง
๒๙. เนยใส หรือ กี
๓๐. เนยเทียม
*๓๑. อาหารกึ่งสำเร็จรูป
๓๒. ซอสบางชนิด
๓๓. น้ำมันปาล์ม
๓๔. น้ำมันมะพร้าว
๓๕. เครื่องดื่มเกลือแร่
*๓๖. น้ำนมถั่วเหลืองในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท
๓๗. ช็อกโกแลต
๓๘. แยม เยลลี่ มาร์มาเลด ในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท
๓๙. อาหารที่มีวัตถุประสงค์พิเศษ
๔๐. ไข่เยี่ยวม้า
๔๑. รอยัลเยลลีและผลิตภัณฑ์รอยัลเยลลี
*๔๒. ผลิตภัณฑ์ปรุงรสที่ได้จากการย่อยโปรตีนของถั่วเหลือง
๔๓. น้ำผึ้ง
๔๔. ข้าวเติมวิตามิน
๔๕. แป้งข้าวกล้อง
๔๖. น้ำเกลือปรุงอาหาร
๔๗. ซอสในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท
*๔๘. ขนมปัง
๔๙. หมากฝรั่งและลูกอม
๕๐. วุ้นสำเร็จรูปและขนมเยลลี
*๕๑. ผลิตภัณฑ์กระเทียม
๕๒. ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์
๕๓. วัตถุแต่งกลิ่นรส
๕๔. อาหารแช่เยือกแข็ง

จึงขอย้ำเตือนให้ผู้ประกอบการผลิตอาหารทุกรายตามรายการข้างต้น ปฏิบัติให้ถูกต้อง เพื่อมิให้ผิดกฎหมาย และผู้บริโภค มีความปลอดภัย

กระทรวงสาธารณสุข Ministry of Public Health

คุ้มครอง ห่วงใย ใส่ใจคุณภาพ
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
กระทรวงสาธารณสุข

(จาก นสพ.มติชน ๑๕ ก.ค.๔๖ หน้า ๑๗)
* หมายเหตุ ผลผลิตของชาวอโศก จะมีบางอย่าง ที่ต้องเข้าสู่ระบบจีเอ็มพี (ผลผลิตข้อ ๖,๗,๓๑,๓๖,๓๘,๔๒,๔๘ และ ๕๑) ดังนั้น ผู้ผลิต จึงควรศึกษา และหาข้อมูล ด้านจีเอ็มพี แล้วนำไปประยุกต์ใช้กับการผลิตของตน ส่วนผลผลิตที่ แม้ไม่มีรายชื่อ ในประกาศ ก็ควรได้ตระหนัก ที่จะนำหลักเกณฑ์วิธีการที่ดี ในการผลิต (จีเอ็มพี) ไปเป็นแนวทางในการผลิต เช่นเดียวกัน เพราะจะทำให้ การผลิต มีความสะดวก (เพราะมีขั้นตอน การผลิตเป็นลำดับ) สะอาด (ลดการปนเปื้อน ของสิ่งปนเปื้อน และเชื้อโรคต่างๆ) และ มีมาตรฐาน การผลิตที่ดี

หน่วยผลิตใดต้องการข้อมูลด้านจีเอ็มพี ติดต่อขอคำแนะนำและเอกสารได้ที่ ต.อ.กลาง ชุมชนสันติอโศก
โทร.๐-๒๓๗๔-๙๕๗๐, ๐-๖๐๔๗-๒๙๐๙.

- ต.อ. กลาง รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

- ทีมข่าวสัญจร -

ไปดู 'ชีวิตใหม่' เกษตรกรลูกอีสาน
หลังพักชำระหนี้และฟื้นฟูอาชีพ จาก ธ.ก.ส.

ในอดีตเกษตรกรได้รับการยกย่องว่าเป็น "กระดูกสันหลังของชาติ" เพราะเป็นผู้ที่ต้องแบกรับภาระ ในการผลิตข้าวปลาอาหาร เลี้ยงคนไทย ทั้งแผ่นดิน ไม่ว่าคนจนหรือเศรษฐีร้อยล้าน ก็ต้องกินผลผลิต ที่มาจากหยาดเหงื่อแรงกาย ของพี่น้อง เกษตรกร เหล่านี้ ผลผลิตที่ดีๆ ก็คัด เอาไปขาย ที่เหลือเก็บไว้กินเอง เข้าทำนอง "คนปลูกไม่ได้กิน คนกินไม่ได้ปลูก" ทำกันมาชั่วลูก ชั่วหลาน แต่ทำไมไม่รวยสักที มิหนำซ้ำ กลับเป็นหนี้ ธ.ก.ส.กันถ้วนหน้า หนี้เก่ายังไม่หมด หนี้ใหม่ก็ตามมา ถามลุง-ป้าว่า กู้มาทำอะไร ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เอามาซื้อปุ๋ย ซื้อเครื่องจักรไถนา ปีไหน น้ำท่าไม่ดี ได้ผลผลิตน้อย ไม่พอขายใช้หนี้ ก็มีหนี้ใหม่ เพิ่มเข้ามาอีก.
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จาก นสพ.มติชนรายวัน ๓ มิ.ย.๔๖)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



สัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร

ฤดูกาลเข้าพรรษาหลายคนตั้งใจบำเพ็ญให้เจริญยิ่งๆขึ้น ธรรมะข้อใดที่พ่อท่านเน้นในช่วงนี้ และขณะที่กระแสการยอมรับ เริ่มปรากฏชัด ขึ้นเรื่อยๆ พวกเราต้องระมัดระวัง ในข้อใดบ้าง ขอเชิญพบกับคำให้สัมภาษณ์ของท่าน สมณะเดินดิน ติกขวีโร พร้อมของฝาก ให้กับญาติธรรม ทุกท่านค่ะ

*** ในช่วงเข้าพรรษานี้พ่อท่านเน้นธรรมะอะไรบ้างคะ
พ่อท่านกำชับกำชาว่าสิ่งที่เป็นจุดอ่อนของพวกเราชาวอโศกก็คือ ขาดการพิจารณาให้มาก อาจเป็นเพราะว่า เรามีงานกัน หลายด้าน มีเรื่องที่ต้อง รับรู้กันมาก ก็เลยไม่มีเวลาที่จะพิจารณาให้มาก ในสิ่งที่เป็นสักกายะก็ดี สิ่งที่จะต้องแก้ไข ปรับปรุง ตัวเองก็ดี บางคน อาจจะปฏิบัติธรรม มาสิบปีแล้ว ก็ยังไม่สามารถจับสักกายะ ของตัวเองได้ เหมือนคนป่วยหนัก ใกล้จะตาย ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเอง ป่วยเป็นโรคอะไร ดีไม่ดี อาจจะเป็นกังวลว่า มีสิวขึ้นหน้า ทั้งๆที่โรคร้ายคือมะเร็ง กำลังลามเข้าตับ เข้าปอดแล้ว

ซึ่งพ่อท่านยกเอาพุทธประวัติที่พระพุทธเจ้าได้ออกบำเพ็ญ แล้วท่านได้ข้อคิดอย่างสำคัญว่า เพราะขาดการพิจารณา ให้มาก ในโทษของ กิเลสทั้งหลาย และไม่ได้เห็นถึงอานิสงส์ของจิต ที่หลีกออกจากกิเลสเหล่านั้น จิต จึงไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ในกุศลธรรม ทำนอง เดียวกัน บางทีเรา แทบไม่ได้พิจารณากัน กิเลสร้าย กิเลสหยาบ-กลาง-ละเอียด ทั้งๆ ที่หลายๆ คนอยาก บรรลุธรรม แต่อยากบรรลุธรรมแบบ พรวดๆ ไปเลย โดยไม่มีการพิจารณาลดละ ไปตามลำดับขั้นตอน หยาบ กลาง ละเอียด ซึ่งเมื่อไม่ได้สร้าง เหตุปัจจัย ให้เกิดขึ้น ก็คงได้แต่หวัง ลมๆ แล้งๆ ไปเท่านั้นเอง

ในอวิชชาสูตรจะพูดถึงเรื่องของการ ไม่พิจารณา เพราะไม่มีโยนิโสมนสิการ จิตจึงไม่แยบคาย เมื่อจิตไม่แยบคาย ทำให้ไม่มีสติ สัมปชัญญะ จะมีสติสัมปชัญญะได้ ต้องมีจิตแยบคาย จะมีจิตที่แยบคายได้ เพราะมีการพิจารณาให้มาก เมื่อขาดสติ สัมปชัญญะ ก็จะทำให้ขาด การสำรวมอินทรีย์ และเกิดทุจริต ๓ ดังนั้น กิเลสใดที่เราจะต้องจัดการ เรื่องใดเป็นข้อบกพร่อง ก็ต้องพิจารณาให้มาก เพื่อก่อให้เกิด จิตที่แยบคาย จิตที่แยบคาย ทำให้เกิดสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะ ก็จะทำให้ ลดทุจริต เกิดสุจริต พ้นนิวรณ์ ๕ ทำให้พ้นอวิชชา ไปสู่วิชชาได้ ก็เป็นข้อหนึ่ง ที่พ่อท่านเน้นว่า เราจะต้องพิจารณาให้มาก ในโทษภัยของ กิเลสหยาบ กลาง ละเอียด หรือข้อที่ เราต้องปฏิบัติ ให้ยิ่งๆขึ้นไป

และเราต้องพยายามอ่านใจของเราอยู่เสมอๆทุกๆครั้งเมื่อมีผัสสะเกิดขึ้น ทุกวันนี้การงานเรามาก เราอาจจะมีเวลา อ่านแต่งาน อ่านแต่เรื่องราว ของชาวบ้าน แต่เวลาผัสสะเกิดแต่ละครั้งๆ ก็ไม่สามารถรู้ เท่าทันใจตัวเอง เพื่อที่จะทำราคะโทสะโมหะ ที่เกิดขึ้น ให้เบาบาง จางคลาย สามารถที่จะอ่านเวทนา ๑๐๘ ได้ ไม่ใช่วันๆ อยู่กับเหตุผล ๑๐๘ ที่จะเอาชนะคะคาน หรือ ให้ได้ตาม ความยึดมั่น ของตนเอง

ถ้าเรามีไม่มีเวลาพิจารณาให้มาก ไม่มีเวลาอ่านใจให้มาก ก็นับว่าเป็นความล่มสลายในการปฏิบัติธรรม

*** สิ่งที่หมู่กลุ่มของเราต้องระมัดระวังกันให้มากคือเรื่องอะไรคะ
ในช่วงที่เราได้รับการขานรับ ตอบรับจากสังคมมากอย่างนี้ เหมือนเป็นดาบสองคม ถ้าเราประมาณไม่ดี แทนที่จะเป็นการเจริญ อย่างรวดเร็ว ก็จะเป็น การล่มสลาย อย่างรวดเร็ว เช่นกัน โดยเฉพาะสิ่งที่พ่อท่านให้พวกเรา ต้องระมัดระวัง ก็คือการหลงแต่ ขยายๆๆๆ งานบานออกไป เรื่อยๆ ท่านใช้สำนวนว่า หลงการขยายๆๆๆจนหัวหางไม่อยู่ หลุดไปกับการขยาย ก็คงจะเป็นอย่างนั้น เพราะว่า พวกเราที่ ถนัดงานขยาย ส่วนใหญ่ก็จะวิ่งออกไปภายนอก หัวหางก็เลยไปอยู่แต่นอกเขตเทศบาล ส่วนงานหลักๆ งานภายในแทบไม่มีเวลาอยู่ มันก็เลยทำให้ กลายเป็นคน ที่อยู่ก็อยู่แบบทรุดโทรม เพราะคนขยายก็คิดขยายไปเรื่อยๆๆ เหมือนไม่มี ปัญหาอะไร เพราะว่าได้แต่คิดอย่างเดียว แล้วก็เอางาน มาให้คนที่อยู่แบกภาระ ส่วนคนที่รับแบกภาระ ก็เหมือน เสาหลัก ที่มีแต่หนักขึ้นไปเรื่อยๆ มีแต่ทรุดลงๆ ส่วนคนขยาย ก็สนุกสนาน เพลิดเพลินไป กับงานขยาย ยิ่งขยายออกไป ได้มาก เท่าไหร่ ก็ยิ่งมีคนตอบรับ ยิ่งมีคนเห็นดีเห็นงาม ยิ่งบานปลายออกไป กับโลกธรรม ๘ จนลืม มรรคมีองค์ ๘ ลืมงานหลัก งานภายใน งานกิจวัตร ซึ่งนับวันๆ ก็แทบจะไม่มีใครอยากจะทำ แต่พวกเราพร้อมที่จะออกไป ตีฆ้อง ร้องป่าว ชักชวน ให้คนเข้ามา ดูงานภายในให้มากๆ ทั้งๆที่คนภายใน ที่เป็นตัวหลัก ก็ค่อนข้างที่จะป้อแป้ อ่อนล้า อ่อนแรงกันเต็มทน

ดังนั้น อยากจะให้พวกเรา ในยุคที่เรากำลังได้รับการขานรับอย่างสูง อยากจะให้เข้ามาเน้นการพัฒนาบุคลากร หรือ การเลื่อนฐาน ภายใน ให้มาก พวกเราหลายๆคน มีไฟที่จะขยายเผยแพร่ แต่พอมาพูดถึงไฟที่จะพัฒนาตน ปรับปรุงตนเอง เราจะไม่มีกำลัง ค่อนข้าง จะไม่มีไฟ มาใส่ใจตนเอง คงจะต้อง มาคิดถึงโศลกที่พ่อท่านให้ไว้ เป็นนโยบายปีนี้ ที่เน้นเรื่องความแข็งแรง เข้มข้น ทนทาน ยืนนาน แน่นลึก นึกนบ คงไม่ได้ใช้ท่อง แต่ตอนก่อนทานข้าวเฉยๆ คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่เราจะต้อง ทบทวนกันอยู่ เป็นประจำว่า หมู่กลุ่มภายในของเรา ทุกวันนี้ สามารถ สร้างความแข็งแรง เข้มข้น สร้างความแน่นลึก ได้มากกันดีหรือยัง ซึ่งถ้าเรามีแต่วิ่งๆ กันออกไปสร้างงาน ขยายงานกันอยู่ โดยไม่คิด ที่จะเข้ามาปัดกวาด ภายในชุมชนของเรา หมู่บ้านของเราก่อน มีแต่จะไปช่วย ทำความสะอาด ปัดกวาด ให้แต่คนอื่น แต่ของเราเอง ยังไม่ได้ พัฒนา ให้ดีเท่าไหร่ การหลงขยายงานตรงนี้ ก็อันตราย เป็นความล่มสลายของหมู่กลุ่ม ของชุมชนนั้นๆทีเดียว

*** ท่านจะฝากอะไรให้กับญาติธรรมในช่วงเข้าพรรษนี้บ้างคะอยากจะให้เป็นพรรษาแห่งการเอื้ออาทร ไม่เป็นพรรษา แห่งการฆ่า ตัดตอน นักปฏิบัติธรรมของเรา ดูเหมือนว่าจะมี ๒ สาย คือสายเอื้ออาทรกับสายฆ่าตัดตอน การฆ่าตัดตอน เราก็คงไม่ได้หมายถึง ไปฆ่าคนจริงๆ แต่หมายความว่า ฆ่าโดยการทำให้ จิตวิญญาณ ของคนอื่น เขาตกล่วงไป พวกที่อยู่ในสายฆ่าตัดตอน เป็นคน ที่ชอบ เอาตัวเองเป็นใหญ่ เอางานเป็นใหญ่ เอาตามอารมณ์ของตัวเองเป็นใหญ่ หรือเอาตามความคิดของเรา เป็นใหญ่ ยึดมั่นใน อรูปอัตตา ของเราเป็นใหญ่ คือเรายึด สเป็คของเราไว้อย่างนี้ แล้วใครไม่ได้ทำตามที่เราคิด ทำตามที่เราได้ยึดดีเอาไว้ ในใจมัน จะรู้สึกเลยว่า คนนั้นเขาสมควรตาย หรือ ไม่สมควรอยู่ ในโลกใบนี้ทีเดียว ซึ่งถ้าเราไม่รู้เท่าทันอย่างนี้ เราก็อาจ จะกลายเป็น ผู้มีอิทธิพลทางศาสนาไปในตัวก็ได้ คือคิดเอาเป็น เอาตาย กับคนอื่น เหมือนเจ้าพ่อ เจ้าแม่ทางโลก ถ้าใคร เคยดูหนังรามเกียรติ์ เราจะเห็นว่า เวลาฤาษีถูกขัดใจ หรือไม่ได้ดังใจ แต่ละครั้ง ฤาษี จะแสดงบทบาท สาบแช่งออกมา ก็คือลีลา ของสายฆ่าตัดตอน พร้อมที่จะทำให้จิตวิญญาณคนอื่น เขาตกร่วงได้ อยู่ตลอดเวลา เป็นนักปฏิบัติธรรม ที่ไม่สามารถ รู้เท่าทัน อรูปอัตตาของตัวเอง ที่ยึดเอาความคิด ของตัวเองเป็นใหญ่ หรือ คอยเอาตัวเอง เป็นใหญ่ โดยไม่พยายาม เรียนรู้ การทำงาน ของอัตตา ที่มันเติบโต ออกมาเล่นงาน เข้ามาจัดการเรา โดยยิ่งปฏิบัติธรรม ไปๆ อัตตาของเรา ก็ใหญ่ขึ้นไป เรื่อยๆ แล้วมัน ก็จะจัดการคนอื่น หนักขึ้น ไปเรื่อยๆ พ่อท่านบอกว่า นักปฏิบัติธรรมที่ทำงานไปได้มากๆ แต่ไม่สามารถ ลดละ อัตตาได้ ก็ไม่ได้บุญ ที่เป็นโลกุตระ ได้บุญโลกียะ เท่านั้นเอง เราจะต้องพยายามลดละอัตตา ทำตัวเองให้อ่อนน้อมถ่อมตน ประสานสัมพันธ์กับ คนอื่น ให้มาก จึงจะได้บุญที่เป็นโลกุตระ

ดังนั้น พรรษานี้น่าจะเป็นพรรษาแห่งการเอื้ออาทร คำนึงถึงความเป็นพี่น้องกัน ถึงวิญญาณสัมพันธ์ มุ่งประสานสัมพันธ์ มุ่งความอบอุ่น เป็นหลัก สิ่งที่ทำให้มีช่องว่าง ห่างกันก็คือ ต่างคนต่างพุ่งไปกับงาน หรือจมดิ่งตกภพ ไปกับงานของตัวเอง ตรงนี้ จะทำให้เกิด กำแพงไร้สภาพ ยิ่งทำงานเก่ง มีความสามารถ เพื่อนฝูงก็ไม่กล้า ที่จะแตะต้อง ตรงนี้ก็จะเกิดอันตราย เหมือนกับ เป็นคน ที่ไม่มีใครช่วยเก็บหาง ถ้าเป็นนักมวย ก็เป็นนักมวย ที่ไม่มีพี่เลี้ยง

วิธีที่จะก่อให้เกิดความอบอุ่น ไม่มีกำแพงไร้สภาพ คือ
๑. ตั้งใจที่จะสลายภพของตัวเอง โดยเฉพาะภพของงาน ทุกคนพร้อมที่จะเป็น ผู้ฟังที่ดี เป็นผู้ตามที่ดี เอาหมู่เป็นใหญ่ ถ้าหมู่ ให้หยุด เราก็หยุดได้ ถ้าหมู่ให้ทำ เราก็ทำไปได้ ไม่ใช่ทำตามภพของตัวเอง แต่ทำเพราะหมู่ให้ทำ ทุกคนพร้อมที่จะหยุดภพ สลายภพ ของตัวเอง ถ้าหมู่ต้องการ ให้เลิก ให้หยุด

๒. เน้นเรื่องการศึกษาธรรมวินัยให้มากขึ้น มีเวลาศึกษาธรรมะให้มาก ขยันทำวัตรให้มากขึ้น ปรารภธรรมให้มากขึ้น ส่วนนี้ ก็จะช่วยลด กำแพงไร้สภาพ ที่ต่างคน ต่างจมไปกับงานของตัวเอง

๓. เน้นการปวารณาอย่างสำคัญ มีอะไรก็สามารถที่จะบอกกันได้ ท้วงติงกันได้ แต่ละคนพยายามทำใจของเรา พร้อมที่จะให้ผู้อื่น บอกได้ ว่ากล่าวได้ ตรงนี้จะเป็นความอ่อนน้อม ถ่อมตนที่แท้จริง บางคนพูดเสียงอ่อน แถมบุคลิกก็อ่อนน้อม แต่อย่าไปแตะนะ ถ้าไปแตะ เป็นเรื่อง ใหญ่โต ขึ้นมาทีเดียว ดังนั้น มันเป็นความอ่อนนอกแข็งใน ถ้าจะให้สมบูรณ์ด้วย เราควรจะเป็นคน ที่อ่อนนอก และก็อ่อนในด้วย คือ สามารถ ที่จะน้อม รับฟังคำตำหนิติเตียน มุมมองที่แตกต่างจากเราได้อย่างดี พร้อมที่จะเอาไป ปรับปรุงแก้ไขได้ อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราสามารถ ตั้งจิต ของพวกเราได้อย่างนี้ ก็น่าจะเป็นพรรษาแห่งความอบอุ่น พรรษา แห่งความเจริญ ในกุศลธรรม เป็นพรรษา แห่งการเอื้ออาทร ได้อย่างแท้จริง

ถ้าขยันพิจารณาการปฏิบัติธรรมจะเจริญรุดหน้า เกียจคร้านเมื่อใดความล่มสลายจักเป็นของเรา เข้าพรรษาปีนี้มา ตั้งใจ ทำกิจวัตร ขัดเกลาตน ฝึกฝน ความอ่อนน้อมถ่อมตน มรรคผลก็คง ไม่ไกลเกินฝัน

- ทีมข่าวพิเศษ -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


รมว.ยุติธรรม เปิดงาน
รัฐเห็นโทษภัย ชวนคนไทย
"งดเหล้า เข้าพรรษา"

เชิญชวนพี่น้องชาวไทยทุกท่าน
เลิกดื่มสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ประทับใจผู้ใหญ่ในคณะรัฐบาลชุดนี้ ที่เห็นความสำคัญ ช่วยฉุดรั้งกระแสสังคมไทยให้เลิกทำร้ายอนาคตของชาติลงบ้าง เพราะ ปัจจุบันนี้ เบียร์ ซึ่งเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อดีตเคยได้รับความนิยมดื่มในคนไทยน้อยกว่าสุรา แต่ปัจจุบันคนไทย ดื่มเบียร์กัน มากกว่าเดิมถึง ๖ เท่า จากสื่อต่างๆ ที่โหมโฆษณา จะเห็นว่ากลุ่มเป้าหมาย คือ วัยรุ่น ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ดาราดัง ที่ใช้นำสื่อ ก็เป็นขวัญใจ ของคนกลุ่มนึ้ ภาชนะ บรรจุเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์เหล่านี้ ก็มีสีสัน และรูปแบบสะดุดตา ดึงดูดใจวัยรุ่นอีกด้วย

การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ของ คนไทย อายุ ๑๕ ขึ้นไป ดื่มเฉลี่ยต่อคนเพิ่มจาก ๑๑๐.๖ ลิตร/คน/ปี ในปี ๒๕๔๐ เป็น ๑๒๕.๙ ลิตร/คน/ปี ในปี ๒๕๔๔ เป็นการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๑๓.๘ (ปริมาณปี ๒๕๔๔ รวมกันประมาณ ๒,๐๐๐ ล้านลิตร) โดยยังไม่รวม สุราพื้นบ้าน ซึ่งขณะนี้ กำลังเริ่มได้รับการยอมรับ ให้ผลิตและจำหน่าย โดยถูกต้องตามกฎหมายอีกด้วย


แนวโน้มการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประเทศไทย เทียบกับประเทศฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และ ฟิลิปปินส์ แต่ละประเทศ ล้วนมีแนวโน้มการบริโภคลดลง ตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ จนถึงปี ๒๕๔๒ มีแต่ประเทศไทย เพียงประเทศเดียว เท่านั้น ที่มีแนวโน้ม สูงขึ้น จากสถิติการดื่มเครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์สูงขึ้นเป็นลำดับ ตลอดมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปี ๒๕๔๐ ถึง ๒๕๔๒ ที่ประเทศต่างๆ ล้วนมีการรณรงค์ ให้การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลง ในขณะที่ประเทศไทย มีอัตราการดื่ม เพิ่มมากขึ้นที่สุด

*** โจทย์ใหญ่ของสังคมไทย
คนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจร ปีละประมาณ ๑๕,๐๐๐ คน หรือ ชั่วโมงละ ๒ คน ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุกว่าครึ่ง เป็นวัย หนุ่มสาว (๑๕-๓๕ ปี) ร้อยละ ๒๖ ของการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เกี่ยวข้องกับการเมาสุรา คณะทำงานผู้ตระหนักถึง พิษภัย จากสุรา และเครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์ นำโดย รมว. กระทรวงสาธารณสุข คุณสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ร่วมกับ สำนักนายก รัฐมนตรี, กระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงสาธารณสุข และ องค์กรภาคเอกชน หลายแห่ง รวมถึงองค์กรทางศาสนา ร่วมกัน จัดสัมมนา "งดเหล้า เข้าพรรษา" ณ ห้องประชุมใหญ่ พุทธมณฑล จ.นครปฐม ในวันเสาร์ที่ ๑๒ ก.ค.๔๖


เริ่มการสัมมนาตั้งแต่ ๑๓.๐๐-๑๕.๐๐ น. อภิปรายธรรมเรื่อง "เข้าพรรษาเวลาแห่งบุญ" โดยพระพยอม กัลยาโณ, แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต และ สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ

๑๕.๐๐-๑๗.๐๐ น. อภิปราย "งดเหล้า เข้าพรรษา ได้อะไร" โดย ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม คุณพรรษมน ผ่องพักตร์ นพ. บุญเลิศ จุลเกียรติ คุณลีลาวดี วัชโรบล ดำเนินรายการโดย คุณกรรณิการ์ ธรรมเกษร

มีนิทรรศการในบริเวณงานด้านการสร้างสุขภาพ มีคลินิกให้คำแนะนำการเลิกเหล้า มีร้านอาหารเพื่อสุขภาพ และหนังสือธรรมะ ที่น่าสนใจ อีกทั้งมีพิธี "งดเหล้า เข้าพรรษา" ที่บริเวณหน้าลานองค์พระ โดยนายพงษ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ยุติธรรม เป็นผู้เปิดงาน สมเด็จ พระราชาคณะ เป็นองค์ประธานสงฆ์ให้ศีล มีพิธีร่วมสวดมนต์ นั่งสมาธิ และกล่าวปฏิญาณตน ในการงดเหล้า ตลอดจน ตั้งใจประพฤติ ปฏิบัติสิ่งที่เป็นประโยชน์ คุณค่าต่อชีวิต ในช่วงเข้าพรรษา และสุดท้าย ตอนค่ำ มีการร่วมจุดเทียน เพื่อประกาศ เจตนารมณ์ ในการตั้งใจ ประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่เป็นประโยชน์ คุณค่าต่อชีวิต ในช่วงเข้าพรรษา เป็นอันจบพิธี ตลอดรายการมีการถ่ายทอด ทางโทรทัศน์ ช่อง ๙ และ โทรทัศน์ช่องต่างๆ ตลอดจน รายการวิทยุด้วย

ส่วนวันอาทิตย์ที่ ๑๓ ก.ค. ที่สวนไผ่สุขภาพ ร่วมกับ กู้ดินฟ้าสาขา ๓ มีการ จัดกิจกรรมเนื่องในโครงการ "งดเหล้า เข้าพรรษา" ด้วย โดยในช่วงเช้า สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ เทศน์นำรายการ ติดตามด้วยการให้ความรู้ ทางโภชนาการ โดย นพ.เปี่ยมโชค ชลิดาพงษ์ ให้แง่คิด มุมมอง ในการดูแลสุขภาพตนเองด้วย การเลือกบริโภค สมุนไพรไทย และ หลีกเลี่ยงอาหารหวาน แม้แต่ผลไม้ ที่มีรสหวาน ทุกชนิด ก็ถือว่า มีน้ำตาล เป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วยเช่นกัน หากบริโภคติดต่อกันนานๆ นับเป็น มุมมองใหม่ ที่น่าสนใจ สำหรับชาวอโศก ซึ่งเป็น นักมังสวิรัติ (รายละเอียดติดตามได้จากเทปโภชนบำบัดเพื่อสุขภาพ) นอกจากนี้ มีองค์กรทางศาสนาเพื่อสังคม นำโดย คุณอุสมาน ลูกหยี และ ทีมงาน จากรายการ "มองทะลุกรอบ" มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย บรรยากาศของงาน ชุมฉ่ำไปด้วยสายฝน สมกับเป็น ฤดูกาล เข้าพรรษาเลยทีเดียว

และในวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ ก.ค. ช่วงธรรมะก่อนฉัน ที่ศาลาฟังธรรม พุทธสถานสันติอโศก พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ เทศน์กัณฑ์ พิเศษ ถึงโครงการรณรงค์ "งดเหล้าเข้าพรรษา" ว่าเป็นโครงการที่ชาวอโศกทุกคน ควรต้องช่วยกัน แม้เราชาวอโศก จะพ้น อบายมุข ข้อนี้กันแล้ว แต่โลก-สังคม เขายังทุกข์ ยังเดือดร้อน เราเห็นอยู่ตำตา ต้องให้ความช่วยเหลือกัน แม้เราเองจะไม่ดื่ม เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์แล้ว แต่เรา อยู่ร่วม กับคนเหล่านี้ ในสังคม ย่อมได้รับผลกระทบแน่นอน ตัวอย่างเช่น การที่เรายังต้อง เดินทาง ไปไหนมาไหน บนถนน ก็มีโอกาสเสี่ยง ที่จะได้รับอุบัติเหตุ จากยานพาหนะ โดยผู้ยังเมาสุรา แล้วมาขับรถได้เช่นกัน

สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ แห่งมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน และคุณสงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้จัดการศูนย์ประสานงาน โครงการ รณรงค์ "งดเหล้า เข้าพรรษา" ได้มาร่วมให้ข้อมูลชี้แจงเสริม และบอกวิธีการทำงาน ในรายละเอียดโดยคร่าวๆ ของโครงการฯ ให้ฟัง เพื่อให้โอกาส กับทุกๆท่าน ที่ได้รับข้อมูลนี้แล้ว ขอให้มาช่วยกันด้วย

สำหรับโครงการรณรงค์ "งดเหล้า เข้าพรรษา" มีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องในหลากหลายรูปแบบ ไม่ใช่เพียงการ จัดกิจกรรม ในวงกว้าง เช่น การให้ความรู้ ความเข้าใจในสาธารณชนทั่วไปเท่านั้น ยังมีการให้คำปรึกษาแนะนำ รวมถึงการให้การสนับสนุน ผู้ที่จะช่วยขยายผล ด้วยเจตนาดี เห็นว่า โครงการนี้ น่าจะช่วยกันเผยแพร่ สามารถติดต่อได้ที่หมายเลข ๐-๒๗๓๓-๔๐๐๐ หรือ ตู้ ป.ณ. ๑๐ ปณฝ.คลองกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๔ โดยทางโครงการ จะแจกหนังสือคู่มือ งดเหล้า, ใบปฏิญาณตน, ใบประสาทพร จากสมเด็จพระสังฆราช พร้อมสติกเกอร์ให้ฟรี สำหรับผู้สมัครเป็นสมาชิกโครงการฯ.

อันสุราเมรัยใครเสพติด พาชีวิตมืดมนจนฉิบหาย
หนึ่ง สินทรัพย์ตนนั้นพลันวอดวาย
สอง อาจตายด้วยทะเลาะเพราะความเมา
สาม ต้องเจ็บป่วยด้วยโรคาพยาธิ
สี่ คนตำหนินินทาพาอับเฉา
ห้า หน้าด้านหนักหนาเวลาเมา
หก โง่เขลา ปัญญาหด หมดสิ้นเอย

(พระจันทร์ เก็บความจากพระไตรปิฎก เล่ม ๑๑)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

กินไม่พิจารณา
เกือบไม่ได้มางานอโศกรำลึก

ด้วยความตั้งใจว่า ปีนี้ต้องมางานอโศกรำลึก จึงจัดสรรเวลางานให้ว่างไว้ ๓ วันในช่วงงานอโศกรำลึกอย่างเรียบร้อย ไร้ปัญหา แต่แล้ว ๒ วัน ก่อนมางาน เหตุการณ์ไม่คาดคิด ก็เกิดขึ้นจนได้ เนื่องจาก มีอาการคลื่นไส้อาเจียนอย่างหนัก ชนิดไม่เคย เป็นมาก่อน ในชีวิต

ครั้งแรกอาเจียนเป็นเศษอาหารที่กินเมื่อตอนบ่ายเข้าไปทั้งหมด มาวิเคราะห์สาเหตุแล้ว ต้องเกิดจากการรับประทาน อาหาร เป็นพิษ แน่นอน เนื่องจาก ความเสียดายเมี่ยงญวน ๒ ชิ้นใหญ่ๆ ที่แช่ตู้เย็นไว้เมื่อวาน พอตกบ่ายวันนี้ นึกขึ้นได้ว่า มีของโปรด เหลือเมื่อวาน ก็เลยรับประทาน จนเกลี้ยง

ขณะรับประทานก็รู้สึกอยู่ว่ารสชาติแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจพิจารณา เพราะความชอบ จึงมัวเมาในการกิน พอตกตอนเย็น จึงรู้เรื่อง กันล่ะ อาเจียน จนไม่มีอะไรจะออก แต่ก็คลื่นไส้ อยากอาเจียน อยู่ตลอดเวลา ๓-๔ ช.ม. หมดแรงจน ไม่อยากพูดกับใคร ปวดเมื่อย ไปทั่วตัว ไข้ขึ้น เวียนหัว ใจเต้นเร็ว เหมือนจะช็อก

เดชะบุญที่พอมีความรู้ จึงบอกให้เพื่อนคู่ใจ ไปเอาน้ำเกลือ ๒ ถุง พร้อมชุดแทงน้ำเกลือ จากที่ทำงานมาให้ และตัดสินใจ ให้น้ำเกลือ ตัวเอง ๒ ถุง พอมีแรงขึ้นมาก แต่ก็ยังอาเจียนอยู่ ไม่อยากไปโรงพยาบาล เพราะอยากลองรักษาตัวเอง

อาหารเป็นพิษครั้งนี้ อาเจียนอย่างเดียว ไม่ยอมถ่าย คิดว่าพิษคงคั่งค้างอยู่ในตัวมาก จึงทำดีท็อกซ์ ผลปรากฏว่า กลิ่นเหม็นเน่า เหม็นคาว ชนิดที่รู้เลยว่า ต้องมีแบคทีเรียชนิดร้ายอยู่มาก และเป็นเชื้อบิดมีตัวแน่ วันรุ่งขึ้น ทำดีท็อกซ์อีก ก็ยังมีกลิ่น ไม่พึงประสงค์อยู่ จึงตัดสินใจ กินยาฆ่าเชื้อบิด เพราะรู้สึก จะสู้ไม่ไหวจริงๆ

อยากจะเข้าข้างตัวเองว่า เป็นบุญของเราจริงๆที่ รุ่งขึ้นเป็นวันที่ ๘ มิ.ย.ซึ่งเป็นวันเดินทาง อาการหายเป็นปกติ มาร่วมงาน อโศกรำลึกได้ ดีใจมาก แต่สิ่งที่ต้องระวัง ตลอดงานคือ พิจารณาอาหาร ก่อนรับประทานว่า ถูกกับสุขภาพ ของเราหรือไม่ และ รับประทาน พอประมาณ ไม่อิ่ม จนอึดอัด เหมือนทุกปีที่เคยมา

ต่อแต่นี้ไปก็เลยตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะไม่ลืมพิจารณาอาหาร และรับประทานแต่พอดี คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

ปีนี้ยังโชคดีมีบุญ ที่มีโอกาสได้มาร่วมงานอโศกรำลึก แต่ชีวิตนี้ก็ประมาทไม่ได้ว่าจะโชคดีเช่นนี้ตลอดไปหรือไม่ นะคะ.

กิ่งธรรม รายงาน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


นศ.กลุ่มรามบูชาธรรมร่วมกับกลุ่มอาสายุวกาชาด
เปิดโลกธรรมะ ในมุมมองที่แตกต่าง

กลุ่มรามบูชาธรรม ร่วมกับกลุ่มนักศึกษาอาสายุวกาชาด มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ร่วมกันจัดงาน เปิดโลกธรรมะ ขึ้นที่ บริเวณชั้น ๑ อาคาร ศิลาบาตร (SBB)มหาวิทยาลัยรามคำแหง ระหว่างวันที่ ๗ - ๑๑ ก.ค.๔๖ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้
๑. ประชาชนในสังคมมีความเสียสละต่อส่วนรวมเพิ่มมากขึ้น
๒. ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการได้รู้จักเปิดใจกว้าง ยอมรับและพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ และที่จะเกิดขึ้น ในอนาคต
๓. ประชาชนผู้สนใจธรรม ได้มีโอกาสสนทนาธรรม
๔. นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงงาน ได้พัฒนาศักยภาพในตนเอง
๕. นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงงาน เกิดความสามัคคีในหมู่คณะ

เนื่องด้วยในบริเวณเนื้อที่ในการจัดงานที่มีจำกัด จึงทำให้รูปแบบของงาน เป็นไปแบบเรียบง่าย ไม่ใหญ่โต แต่เน้นเนื้อหาสาระ โดยในช่วง ๑๐.๐๐-๑๑.๐๐ น. ของทุกวัน จะมีการสาธิต การทำน้ำยาอเนกประสงค์, สบู่ก้อน-สบู่เหลวสมุนไพร, ยาดม จากคุณป้อม เคียงดิน ซึ่งได้รับความสนใจ จากนักศึกษา เป็นอย่างมาก เพราะนอกจาก จะได้ความรู้ใหม่ๆแล้ว ยังได้ของ แจกไปทดลองใช้ ที่บ้านด้วย

เวลา ๑๑.๐๐-๑๕.๐๐ น. เป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษาผู้ที่สนใจ มีโอกาสได้สนทนาธรรม กับสมณะและสิกขมาตุ ซึ่งช่วงเวลา ดังกล่าวนี้ ถือว่า เป็นหัวใจของงานเลยทีเดียว และนักศึกษาก็ให้ความสนใจพอสมควร ทั้งนี้ก็ได้รับความเมตตา จากสมณะ-สิกขมาตุ จากสันติอโศก และปฐมอโศก วันละ ๕ รูป เพื่อที่จะมาตอบปัญหา กับนักศึกษา โดยเฉพาะ

นอกจากนี้ในแต่ละวันของการจัดงาน ก็จะมีบอร์ดนิทรรศการที่ให้ความรู้ มีโต๊ะโชว์ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ของชาว ชุมชน มีมุม หนังสือดีๆ ให้นักศึกษา ได้มานั่งอ่าน และก็ได้มีการตั้งโต๊ะ รับสมัครเพื่อนใหม่ ของกลุ่มรามบูชาธรรมด้วย

สำหรับความรู้สึกของผู้ที่มีส่วนรวมในงานครั้งนี้ มีดังนี้น.ส.จิราลักษณ์ ทรงกรานต์ น.ศ. กลุ่มรามบูชาธรรม ทีมทำงาน "ในการจัดงานครั้งนี้ ถือว่า เป็นโอกาสที่ดี ของสมาชิกกลุ่มฯ ที่มีโอกาสได้ทำงานร่วมกัน และถือเป็นความโชคดี ของเพื่อน นักศึกษา ที่มีโอกาส ได้พบธรรมะ ในมุมที่แตกต่าง ในตอนแรกที่คิดจัดงาน ก็เกรงว่าจะไม่มีคนมาดู แต่พอเอาเข้าจริงๆ เพื่อนๆ นักศึกษา ให้ความสนใจกันมาก และ มีเสียงเรียกร้อง ให้จัดงานอีก แสดงให้เห็นว่า คนยังมีพลังศรัทธา ต่อศาสนาอยู่ และ โดยรูปแบบกิจกรรม ของกลุ่มรามบูชาธรรม ก็เน้นในเรื่อง ของธรรมะ เป็นหลักอยู่แล้ว น่าจะมีโอกาส ได้เผยแพร่กิจกรรม ที่ดีๆ มีสาระ ให้กับเพื่อนนักศึกษากลุ่มอื่นๆได้"

นายประศาสน์ พงษ์อำไพ น.ศ.คณะวิทยาศาสตร์ ม.รามคำแหง "มาดูงานก็รู้สึกดี แต่ก็ไม่ได้สนใจตรงจุดไหนเป็นพิเศษ ก็ได้นั่งฟัง สมณะ ตอบปัญหา แต่ก็ไม่ได้ถาม ฟังท่านตอบปัญหา ให้กับคนอื่นซะมากกว่า ตัดสินใจกรอก ใบสมัคร ไปรับ เพื่อนใหม่ ที่วังสวนฟ้า จ.สระแก้ว เพราะอยากจะไปหาธรรมชาติ ไปปฏิบัติธรรม อยากมีเพื่อนที่ปฏิบัติธรรม อยากแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นกัน อยากมีเพื่อนดี สังคม สิ่งแวดล้อมดี จะได้เป็นทั้งหมดทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์ ถ้าเป็นคนก็ได้ เป็นธรรมก็ดี และอยากจะเอาตัวเอง เข้าไปสัมผัสจริงๆ ไม่ใช่แค่ ฟังเขาเล่าเฉยๆ แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะอุเบกขา วางใจเป็นกลาง ที่สุด".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

หน้าปัดชาวหินฟ้า

เจริญธรรม สำนึกดีญาติธรรมทุกๆท่าน พบกับ นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๑๑ (๒๓๓) สื่อสิ่งพิมพ์ที่นำเสนอข่าวความเคลื่อนไหว ในแวดวง เพื่อนพ้อง น้องพี่ชาวอโศกในช่วง ๑๖-๓๑ ก.ค.๔๖

ตบะ-เปิดใจ... ท่านเดินดิน ติกขวีโร เข้าพรรษาปีนี้ถ้าเห็นท่านทักทายญาติโยมก่อน ก็อย่าแปลกใจนะฮะ เพราะท่านตั้งตบะ ทักทาย ญาติโยมก่อน เพื่อฝึกความอ่อนน้อมถ่อมตน จิ้งหรีดเกาะอยู่หลังศาลา ได้ยินเสียงท่านทักทายญาติโยมก่อน รู้สึกบรรยากาศ อบอุ่นขึ้นแยะ ผู้นำอ่อนน้อมอย่างนี้ จิ้งหรีดขอเลียนแบบด้วยฮะ แต่ เอ!...ออกพรรษาแล้ว ตบะนี้ ท่านจะทำต่อ หรือเปล่าละฮะ

ความลับเพิ่งเปิดเผย เมื่อคืนเวียนธรรม หะแรกท่านเดินดิน ตั้งใจไปจำพรรษา ที่ไพศาลี เพื่อจะได้ดูแลโยมพ่อโยมแม่ ที่สุขภาพ ไม่แข็งแรง แล้วท่าน ก็เปิดใจว่า ทำอย่างไรๆ ก็ตัดใจจากเมืองหลวง (ของชาวอโศก)ไม่ได้ เพราะที่นี่มีแต่เรื่องน่าลุ้น อยู่ตลอดเวลา เลยชวนโยมพ่อ โยมแม่ มาเข้าพรรษา ที่นี่เสียเลย แล้วก็สำเร็จ... จิ้งหรีดเพิ่งรู้นะฮะว่า ท่านก็ฮักเมืองหลวง เหมือนชาวบ้านราชฯ เช่นกันนะเนี่ย

เข้าพรรษาปีนี้ที่บ้านราชฯ มีแต่สมณะหนุ่มฯ เพราะเพื่อความสะดวกและปลอดภัย สมณะผู้เฒ่า ถูกจัดให้ไปเข้าพรรษา ที่พุทธสถาน ที่น้ำไม่ท่วม ด้วยเหตุดังกล่าว ยามนี้หลวงตาผองไท รัตนปุญโญ, หลวงพ่ออ้วน อภิมันโต ก็เลยกลายเป็น สมณะหนุ่ม ไปโดยปริยายแล้วฮะ.. จี๊ดๆๆๆ .....

เรือโรงเรียน...โครงการนำเรือมาทำห้องเรียน โดยตกแต่งชั้นล่างของท้องเรือใหญ่ที่สุดเป็นห้องเรียน ๖ ห้อง สมกับเป็น บ้านราชฯ เมืองเรือ เพราะนอกจากมีชีวิตอยู่ในเรือแล้ว ยังมีห้องเรียนอยู่ในเรือด้วย แต่โครงการนี้ยังขาดทุนทรัพย์ ใครสนใจ ติดต่อฝ่ายบัญชี บ้านราชฯ ได้นะฮะ สาธุ...จี๊ดๆๆๆ .....

มีกะใจ... จิ้งหรีดที่ศีรษะอโศก รายงานมาว่า ม.วช.ช่วงนี้มีความตื่นตัว พร้อมออกมาช่วงงานชุมชน โดยเฉพาะการดูแลน้องๆ จิ้งหรีด ก็ขอฝากด้วยนะฮะ หากน้องๆไม่มีพี่ๆเอาใจใส่ดูแล โดยเฉพาะด้านจิตวิญญาณก็คงแย่แน่ ในเรื่องจิตวิญญาณนี้ ก็คงต้องอาศัยคุรุ, สมณะ และ สิกขมาตุ ช่วยดูแลรุ่นพี่ด้วย เพื่อเป็นการต่อยอด ดุจลูกนกอินทรีเรียนรู้จากแม่นกอินทรีย ถ้าแม่นก บินได้สูงมาก ลูกนก ก็จะบินได้สูง ตามไปด้วยนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

ไม่โดดเดี่ยว...แต่ก่อนอาปอทำงานดูแลเด็ก ก็ไม่ค่อยมีคู่หูเท่าไร แต่ตอนนี้จิ้งหรีดจากศีรษะอโศกได้รายงานมาว่า ตอนนี้อาปอ มีมิตรดี สหายดี ทำงานด้วยอย่างใกล้ชิด เพื่อคอยตรวจสอบในการทำงาน และเป็นการให้กำลังใจแก่กันและกัน ก็ขอให้มิตรดี-สหายดี ที่ทำงาน ใกล้ชิดอาปอ (คง) จะทำงานไปด้วยกันได้อย่างสามัคคีที่มีความขัดแย้งกันอย่างพอเหมาะ แต่ยังไงๆ ฝ่ายบริหาร ก็พยายามรับงาน ให้พอเหมาะ กับกำลังของคน ในชุมชน ที่สำคัญขอให้ปรึกษากันให้ถึงๆหน่อยนะฮะ ไม่คิดทำงานกัน แต่เฉพาะ ฝ่ายบริหาร ด้วยกันเอง จิ้งหรีด ก็คิดว่า ผู้บริหารที่ดี จะไม่เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ จริงไหมฮะ... จี๊ดๆๆๆ .....

คอร์สมหัศจรรย์...หลังจากทีมงานสมณะนวกะจากภูผาฯ ไปช่วยอบรมญาติธรรมกลุ่มต่างๆ ช่วงก่อนเข้าพรรษา ก็มีหลายกลุ่ม ที่แม้สมณะ ไปแล้ว ก็ยังคง รวมตัวประชุมกันอย่างน่าประทับใจ และได้เขียนรายงาน ให้พระอาจารย์ด้วยว่า
"๔ ก.ค.๔๖ หลังการอบรม ก็พยายาม ประชุมกลุ่มจัดคอร์สต่อเนื่อง ฝึกมองตนต่อไป
ถ้าวันนี้จบการอบรม พรุ่งนี้รุ่นใหม่จะเข้ามา คืนงานเลิกเราก็มาทำกิจกรรมฝึกมองตนกัน บรรยากาศดีมากครับ
ถ้าเราคิดจะปฏิบัติธรรม เราจะปฏิเสธกิจกรรมนี้ไม่ได้เลย เบื่อก็ห้าม!
มีการประชุมที่สนาม ๑ ครั้ง ในห้องประชุม ๑ ครั้ง"

จิ้งหรีดก็ขออนุโมทนาในความขวนขวายของทุกๆคนต่อกิจน้อยใหญ่ของหมู่ พร้อมกับมีความเพ่งเล็งกล้าในอธิศีล อธิจิต และ อธิปัญญา ดุจแม่โค เล็มหญ้าไปด้วย พร้อมกับดูแลให้ลูกโคดูดนมไปด้วย สาธุฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

แม่ไก่ลูกไก่...จิ้งหรีดได้มีโอกาสเกาะฟังการสัมมนาเรื่อง การร่างหลักสูตรให้ นร. สัมมาสิกขาภูผาฟ้าน้ำ มีโอกาส ได้ฟัง อาจารย์ ๑ กล่าวเปิดการสัมมนา ซึ่งได้ชี้ว่า ช่วงที่ผ่านมาได้ข่าวว่า เด็กทางสันติฯ และปฐมฯ มีการละเมิดศีล โดยผู้ใหญ่ไม่รู้ เด็กที่ละเมิดศีลนั้น แม้มิใช่เด็กส่วนใหญ่ แต่เหตุที่เกิดขึ้นได้หลายครา เพราะขาดคุรุดูแล แบบแม่ไก่กับลูกไก่ ทำให้ลูกไก่บางตัว ถูกโลกีย์ดูดไป อย่างน่าสงสาร

จิ้งหรีดที่ภูผาฯก็รายงานมาว่า ต่อไปนี้แม้แต่ครูวิชาการ ก็ต้องมาดูแลเด็ก ตั้งแต่ตื่นจนถึงเวลานอน คุรุก็ต้องดูแลตลอด เพราะเรา จะไม่แยก ชาญวิชา แต่การทำอย่างนี้ จะทำให้แนวการศึกษาศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา สมบูรณ์ขึ้น ก็ทดลองดูนะฮะ ถ้า ไปได้ดี จิ้งหรีด จะเอาอย่าง นะฮะ แต่ยังไงๆ จิ้งหรีดก็เชื่อว่า การที่ผู้ใหญ่อยู่กับเด็กตลอด ไปไหนก็ไปกันแล้วล่ะก็ ต้องดีกว่าเด็ก ทำอะไรได้ ตามใจตัวเอง คนเดียวแน่ๆ ล่ะฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

ดูแลนวกะ...จิ้งหรีดที่ศาลีฯ รายงานมาว่า ภันเตทุกรูป โดยเฉพาะภันเตชินธโร ดูแลสมณะนวกะเรื่องพระธรรมวินัย อย่างน่า อนุโมทนา

สมณะนวกะที่ไปช่วยงานที่ศาลีฯ คือ ท่านเด็ดแท้ ก็ได้รับมอบหมายให้ช่วยสอนนักเรียนหลายชั้น ถ้ามีความพร้อม และยังได้ เป็นปัจฉาฯ สมณะชินธโร ไปกิจนิมนต์เทศน์ที่ ศูนย์ฝึกผู้นำฯ จ.กาญจนบุรี ประมาณเดือนละ ๑ ครั้ง ซึ่งเรื่องนี้พ่อท่าน ก็ได้อนุญาตแล้ว

และปีนี้ที่ศาลีฯ เป็นปีแรกที่มีการอบรมศีล ๘ เป็นเวลา ๒ คืน ๓ วัน โดยให้โยมมาช่วงเย็นวันโกน ค้างคืน ๑ คืน และ คืนวันพระ อีก ๑ คืน ซึ่งจะจัดให้มี ทุกวันพระ โดยจะเริ่มวันที่ ๒๐-๒๒ ก.ค.๔๖ นี้เป็นครั้งแรก

งานอบรมนี้ จิ้งหรีดเห็นญาติโยมยกมือว่า จะมารับการอบรมประมาณ ๑๐ กว่าคน ยังไงๆ วันอบรมจริงๆ มีไม่ถึง ก็คงไม่ว่ากัน นะฮะ แต่ถ้ามีเกิน ก็ขออนุโมทนา กับผู้ตัดสินใจได้ทีหลัง เพราะสมณะท่านบอกว่า ไม่มีคำว่า "สายเกินไป" สำหรับการเริ่มต้น (ทำความดี) นะฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

อย่าดูถูกเด็กน้อย...จิ้งหรีดที่สันติฯ รายงานมาจากใต้คลังเสียงว่า ช่วงเข้าพรรษานี้ นักเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศก ไม่รู้เกิด พลังอะไร ถึงได้ตั้งตบะ กันคึกคัก จนทำให้ผู้ใหญ่หลายคน รู้สึกทึ่งที่ลูกหลานชาวเรา ตั้งใจบดขยี้กิเลส ในพรรษานี้ แม้ว่ากิเลส มันจะมีกำลัง ร้ายกาจ ข่มขู่เด็ก และผู้ใหญ่หลายคนมานาน งานนี้จิ้งหรีดต้องขอกรีดร้อง ชื่นชมดังๆ นะฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

ภูฟ้า... ๒๑ ก.ค.ที่ผ่านมา ชาวชุมชนดอยแพงค่า จัดงานรำลึกถึงนายภูฟ้า แพงค่าอโศก ซึ่งได้เสียชีวิตในวันนี้เมื่อปีที่แล้ว มีพ่อหลวง และภรรยา มาร่วมใส่บาตรในชุมชน ก่อนฉัน ชาวบ้านหัวเลากลุ่มหนึ่ง ก็มาร่วมฟังเทศน์ โดยพ่อหลวง ได้พูดรำลึก ถึงความดี ของคุณภูฟ้าก่อน ในฐานะตัวแทน ของฝ่ายชาวบ้านแม่เลา

ช่วงทานข้าว เด็ก สส.ภ.ชั้นประถมฯ และมัธยมฯ ได้ออกมาแสดงละคร และร้องเพลงรำลึกถึงคุณภูฟ้า ที่ศาลาซาวปี๋

ช่วงเย็นก็ยังมีการกินข้าวร่วมกันและมีการแสดง ซึ่งถือเป็นการฉลองที่ชาวชุมชนได้ดำนาเสร็จทุกแปลงเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๙ ก.ค. ที่ผ่านมา ด้วยปีหน้า ก็ตั้งใจกันว่า จะมีการจัดงานรำลึกถึง คุณภูฟ้าอีก ในวันที่ ๒๑ ก.ค.๔๗ ใครจะมาร่วมรำลึก ร่วมกับ ชาวภูผาฯ ก็ขอเชิญ นะฮะ... จี๊ดๆๆๆ .....

กลัวโรคซาร์ส...พ่อท่านเพิ่งให้ศัพท์ใหม่ "โรคซาร์สของชาวอโศก" ซึ่งหมายถึง "อาการเห็นเงินแล้วตาโต" เมื่อไม่นานมานี้ ญาติธรรม ท่านหนึ่ง ยังเป็นคนทำงานรับเงินเดือน อยู่ในบริษัทเอกชน ฟังแล้วสะดุ้ง เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า เพิ่งจะคุย เรื่องเงินเดือน กับเพื่อน ร่วมงานมาว่า รู้สึกมันจะน้อยๆอยู่ เมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ใจนึงก็อยากจะได้เพิ่ม อีกใจก็คิดว่า แค่นี้ ก็พอแล้ว จะใช้อะไรมากมายนัก พอมาได้ยิน พ่อท่านสำทับ ก็เลยได้คำตอบสุดท้าย ไม่ต้องขึ้น(เงินเดือน)ก็ได้ กลัวติดซาร์สฮะ ...จี๊ดๆๆๆ .....

ตัวอย่างที่ดี มีค่ายิ่งกว่าคำสอน... เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๒ มิ.ย.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ ๑๐ โมงกว่าๆ การจราจร ในซอยเทียมพร ตั้งแต่หน้าตึกขาว ยาวไปจนถึงปากซอย แออัดวุ่นวายมาก เพราะที่จอดรถ ด้านในแน่นขนัด จนไม่มีที่จะจอดแล้ว รถหลายคัน ต้องวนออก ขณะที่รถจากปากซอย ยังคงวิ่งสวนเข้ามา และช่วงที่รถเข้าและออก กำลังหยุดจังงัง ไม่รู้ใคร จะให้ทางใคร อย่างไรก่อน พลันจิ้งหรีด ก็เห็นสมณะบินบน ถิรจิตโต ท่านอาจารย์ ๑ แห่งภูผาฟ้าน้ำ ซึ่งเพิ่งเดินทางมาถึง สันติอโศก ในเช้านั้น เดินก้าวยาวๆ จากท้ายซอย มาอำนวยการจราจร ให้รถขยับเขยื้อน เบี่ยงทางให้กันโดยสะดวก ด้วยตัว ท่านเอง ลูกศิษย์ที่เป็นฆราวาส เห็นท่านอาจารย์หนึ่งพาทำ ก็รีบวิ่งมาสมทบ ช่วยท่านอีกแรง จากกลางซอย ท่านยังคงขยับ เดินต่อมา ที่หน้าลานจอดรถ ตึกฟ้าอภัยใหม่ ซึ่งเป็นจุดวิกฤติ การจราจร อีกจุดหนึ่ง จากนั้นก็ส่งสัญญาณ บอกรถ ให้ขยับ เบี่ยงกัน จนภาวะติดขัดสลายไป และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยลงตัวดี ท่านก็เดินจากไป ญาติธรรม ท่านหนึ่งหันมาพึมพำว่า เห็นแล้วขนลุกฮะ

อีกตัวอย่างหนึ่งแม้จะเป็นเหตุการณ์ที่ออกจะผ่านมานานสักหน่อย (จากงานฉลองหนาวเมื่อต้นปีนี้) แต่ก็คงไม่สายเกินไป ถ้าจะนำมาเล่า ให้ฟังกัน เรื่องมีอยู่ว่า ก่อนที่พ่อท่านจะเดินทางมาที่ภูผาฟ้าน้ำ ทั้งสมณะ คนวัดและชาวชุมชน ได้ช่วยกัน เก็บกวาดขยะ ดูแลสถานที่ บริเวณ สะพานแขวน ตรงทางเข้าภูผาฟ้าน้ำ ทุกคนขมีขมันกันมาก แต่ที่ประทับใจคือ ท่านอาจารย์ ๑ ที่มาร่วมกวาดขยะกับญาติโยมด้วย แสดงถึง การทำอะไร ต้องปฏิบัติตนเป็นตัวอย่าง (คือปลูกผักให้งาม) ไหนๆก็ ไหนๆแล้ว ก็ขอพ่วงอีก ๑ เรื่องนะฮะว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์ ๑ ได้เดินทาง จากสันติอโศก ขึ้นไปที่ภูผาฟ้าน้ำ พร้อมสมณะถักบุญ (ช่วงนั้น อาการท่านถักบุญ คงจะยังไม่หายดี) แต่มีกล่องสัมภาระ ซึ่งค่อนข้างหนัก แต่ท่านอาจารย์ ๑ ก็เสียสละ เป็นผู้แบกกล่อง ใบนั้นเอง ซ้ำยังห้าม ไม่ให้ท่านถักบุญ ช่วยยกสิ่งของนั้นด้วย แสดงถึง ความมีน้ำใจ ห่วงใยอาวุโสเป็นอย่างมาก จิ้งหรีด เห็นภาพ นั้นแล้ว ยังซาบซึ้งมาจนบัดนี้นะฮะ...เอ้า! ชาวเราทั้งหลาย ที่ยังไม่ได้ฤกษ์ ลงมือ เอาภาระการงานใดๆสักที เห็นเหตุการณ์ หรือ อ่านเรื่องนี้แล้ว เริ่มรู้สึกอะไรบ้างหรือยังฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

ก่อนจากขอฝากคติธรรม-คำสอนของพ่อท่านที่ว่า
จงทำเพียงเพื่อล้มล้างการเอาเปรียบ
แต่อย่าทำจนเราเป็นผู้ได้เปรียบ

(งานตลาดอาริยะปีใหม่ ครั้งที่ ๖/๒๕๒๘)

พบกันใหม่ฉบับหน้า

- จิ้งหรีด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


หลักสูตรสัจธรรมชีวิต รุ่น ๒
ณ ชุมชนเมฆาอโศก จ.บุรีรัมย์

ด้วยศูนย์ฝึกอบรมเกษตรกรชุมชน เมฆาอโศก อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ได้จัดการอบรมเกษตรกร ตามโครงการ พัฒนาศักยภาพ และ คุณภาพชีวิตเกษตรกร "หลักสูตรสัจธรรมชีวิต" รุ่นที่ ๒ ในระหว่างวันที่ ๒๘ พ.ค.- ๑ มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีเกษตรกร จากอำเภอหนองกี่ จ.บุรีรัมย์ จำนวน ๑๐๗ คน (ชาย ๔๐ คน, หญิง ๖๗ คน) และเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. จำนวน ๑๐ คน มีญาติธรรม ๓๓ คน และ ชาวสีมาอโศก ยกทีมมาช่วยงาน จนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

นอกจากนี้ ยังมีสมณะมาร่วมงานทั้งสิ้น ๗ รูป คือ สมณะแก่นเมือง เกตุมาลโก (จากสันติอโศก), สมณะคำจริง วจีคุตโต, สมณะนานุ่ม กัสสโก, สมณะร่มบุญ ฉัตตปุญโญ, (จากสีมาอโศก) สมณะข้าฟ้า ฐานรโต (จากศีรษะอโศก), สมณะพอจริง สัจจาสโภ และ สมณะใต้ดาว เหฏฐานักขัตโต (จากภูผาฟ้าน้ำ)

วิทยากรรับเชิญ ๓ ท่าน คือ คุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์,เกษตรสมพงษ์ คงจันทร์ และคุณสำเริง มีทรัพย์ (หมอเขียว)

ในการอบรมครั้งนี้ มีสิ่งที่เกษตรกรประทับใจมากที่สุด คือ การฟังธรรมจากสมณะ, การต้อนรับจากญาติธรรม และ ความรู้ เกี่ยวกับสุขภาพ (สุขภาพดีด้วย ๗ อ.)

สำหรับสิ่งที่เกษตรกรตั้งใจจะ นำไปปฏิบัติ คือ การทำบ้าน ๕ ส., น้ำยาอเนกประสงค์,แชมพู,ปุ๋ยหมัก และ น้ำหมักจุลินทรีย์, ปลูกผักไร้สารพิษ และ การทานอาหารมังสวิรัติ

ผลจากการอบรมในครั้งนี้ ยังทำให้เกษตรกรตั้งใจขอลด ละ เลิกอบายมุข ดังนี้
๑. เลิกบุหรี่ร้อยละ ๔๕
๒. เลิกเหล้าร้อยละ ๔๓
๓. เคี้ยวหมาก ร้อยละ ๓๖
๔. เลิกเล่นการพนัน ร้อยละ ๔๕

- ทองใบ ดวงเนตร รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

เก็บเบี้ยใต้ถุนวัด

ก่อนพ่อท่านจะเดินทางไปเข้าพรรษาที่บ้านราชฯ พ่อท่านได้กรุณาเทศน์กัณฑ์พิเศษ ให้ชาวชุมชนสันติอโศกฟัง ในช่วงเวลา ทุ่มครึ่ง ของวันอังคารที่ ๑๐ ก.ค.๔๖ เจตนาของพ่อท่าน ต้องการพูดคุย แบบพ่อๆลูกๆ เป็นกันเอง เหมือนรายการ "เอื้อไออุ่น" นั่นแหละ แต่เนื่องจาก ช่วงนี้ฝนตกบ่อยๆ พ่อท่านเลยเปลี่ยนชื่อ เป็นรายการ "เอื้อไอฝน" ซะ จะได้เข้ากับสถานการณ์ รายการนี้ มีชาวชุมชน และนร.สัมมาสิกขา สันติอโศก มาฟังกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งจริงๆ

พ่อท่านได้พูดคุยถึงเรื่องสำคัญๆ ๓ เรื่องด้วยกัน ดังนี้
เรื่องแรก ท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์วิจารณ์ เป็นที่ยอมรับของสังคมไทย ท่านบอกว่า จะบันลือสีหนาท ให้ชาวอโศก ในงานสำคัญ งานหนึ่ง ซึ่งท่านก็ได้พูดชมเชยยกย่องชาวอโศก ว่าเป็นหมู่กลุ่มที่พัฒนา ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ท่านจะชมใครๆ เมื่อพวกเรา ฟังมาแล้ว พ่อท่านเกรงว่า พวกเราจะหลงลำพองหยิ่งผยองกับคำชม เลยรีบปรามไว้ก่อน ให้พวกเรา รู้จักเจียมเนื้อ เจียมตัว ให้มากไว้ อย่าเที่ยว เอาไปพูดอวดเล่น จงมุ่งมั่นทำความดีของเราต่อไป

เรื่องที่ ๒ เรื่องโครงการงดเหล้าเข้าพรรษา ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลสนับสนุน โดยกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการ และรณรงค์ ถือว่า เป็นงานใหญ่ และสำคัญ ซึ่งเขาเชิญองค์กร และหน่วยงานต่างๆ เป็นแนวร่วม รวมทั้งพวกเรา ชาวอโศกด้วย

ในวันที่ ๑๔ ก.ค. ซึ่งตรงกับวันเข้าพรรษา จะรวมตัวกันรณรงค์ที่พุทธมณฑล อยากให้พวกเราเข้าไปรวมพลังด้วย โดยเฉพาะ ชาวอโศก เราไปในฐานะ ผู้ให้บริการเขา เช่น ช่วยแจกหนังสือ เป็นต้น ซึ่งพ่อท่านบอกว่า พวกเราไม่จำเป็นต้องออกหน้า แต่พวกเราจงภูมิใจ ที่ได้เป็น ตัวทำงาน เสียสละอยู่เบื้องหลัง อย่างที่เขาบอกว่า "ถ้าเรื่องทำงานล่ะก็ ต้องยกให้ชาวอโศก"

และเรื่องที่ ๓ พ่อท่านได้พูดถึงเรื่อง นิสิต ม.วช.ที่ยังมีข้อสงสัยหรือไม่ชัดเจนว่า นิสิต ม.วช.คืออะไร, การดร็อปเป็นอย่างไร ยังปฏิบัติกัน อย่างสะเปะสะปะอยู่ บางคนก็อยากจะลาออก โดยมีข้ออ้างสารพัด เช่น อ้างว่าป่วย อ้างว่าแก่แล้ว เป็นต้น ซึ่งพ่อท่านได้แซวว่า "ทำไมแก่เร็วนักล่ะ" ตอนมาสมัคร ไม่เห็นบอกว่าแก่ แต่พอสมัคร เข้ามาแล้ว อะไรๆก็ไม่เป็นดังใจตัวเอง ก็เลยจะลาออก โดยอ้างว่า ตัวเองแก่แล้ว ซึ่งเพิ่งเป็นนิสิตมาไม่กี่เดือนเอง "ทำไมแก่เร็วนักล่ะ" เมื่อเจอพ่อท่านหยอดมุขนี้เข้าไป ทำเอานิสิตหลายคนฟังแล้ว อมยิ้ม อมเปรี้ยว ได้ข้อคิดไปตามๆกัน และพ่อท่านก็ได้เผยไต๋ว่า ทำไมถึงอยาก ให้พวกเรา สมัครเป็น นิสิต ม.วช. ใครสนใจรายละเอียด ติดตาม ฟังเทปได้.

- คนไค รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ไททีวี ถ่ายทำรายการที่สันติฯ

เมื่อวันพุธที่ ๑๖ ก.ค.ที่ผ่านมา
ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ไททีวี รายการ "มองทะลุกรอบ" ได้เดินทางมาถ่ายทำรายการอีกครั้ง ที่สันติอโศก บริเวณ ลานทราย ข้างพระวิหารฯ หลังจาก เคยมาถ่ายทำไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๔ มิ.ย.ที่ผ่านมา ในหัวข้อเรื่อง "ศาสนากับการปราบปราม อิทธิพล" ซึ่งออกอากาศ ไปแล้วหลายตอน สำหรับครั้งนี้ สนทนากันเรื่อง "ศาสนากับการเมือง" ซึ่งมีทีมงาน และผู้ดำเนินรายการ คนเดิม คือ คุณซัลมาน (กุสมาน) ลูกหยี โดยเชิญตัวแทน จากศาสนาอิสลาม, พุทธ และนักการเมืองร่วมรายการ และครั้งนี้ มีการถ่ายทำรายการ ๒ ช่วงคือ ช่วง ๑๐.๐๐-๑๓.๐๐ น. และช่วง ๑๓.๓๐-๑๗.๓๐ น.

โดยช่วงแรก มีผู้ร่วมรายการคือ ดร.อารง สุทธาศาสน์ ตัวแทนศาสนา อิสลาม,อ.อดุลย์(อับดุลลฮ์) มานะจิตต์ ประธานมูลนิธิ ส่งเสริมการศึกษาอิสลาม และการพัฒนา, คุณชิงชัย มงคลธรรม (อดีต รมว.กระทรวงศึกษาธิการ) พรรคความหวังใหม่ ตัวแทน ฝ่ายนักการเมือง และสมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ (ท่านจันทร์) ตัวแทนศาสนาพุทธ

ช่วงที่ ๒ เป็นมุมมองจากตัวแทนศาสนาล้วนๆเลยมี ๒ ท่าน คือ ท่านซัยยิดสุไลมาน ฮุซัยนี ตัวแทนศาสนาอิสลาม และ สมณะ เพาะพุทธ จันทเสฏโฐ (ท่านจันทร์) ตัวแทนศาสนาพุทธ

ทั้ง ๒ ช่วงรายการเนื้อหาเข้มข้นน่าสนใจ และน่าติดตามชม ติดตามฟังมากทีเดียว ซึ่งชาวชุมชนส่วนหนึ่ง และ นร. สัมมาสิกขา สันติอโศก เป็นผู้ร่วมฟังรายการ ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ บอกว่าสนุก ทั้งได้ข้อคิด และได้ความรู้มากมาย แม้จะต้องทนนั่งฟัง ยาวนาน การถ่ายทำครั้งนี้ เป็นการถ่ายทำ เพื่อออกอากาศ ๔ สัปดาห์ โดยจะออกอากาศ ทุกวันอังคาร เวลา ๒๑.๓๐-๒๒.๓๐ น. ทางสถานีโทรทัศน์ ไททีวี ช่อง ๒ ระบบดิจิตอล ผู้สนใจ กรุณาติดตามวันและเวลาดังกล่าว.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


๔ ก.ค.๔๖ รมต.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายพินิจ จารุสมบัติ ไปเยี่ยมชมชุมชน ศรีสงคราม จ.นครพนม

๑๐ ก.ค.๔๖ คกร.ประชุมชี้แจงของบโครงการชุมชนเป็นสุข "พลังกู้ดินฟ้าประชาเป็นสุข" กับ สสส. โดยจะดำเนินงานร่วมกัน ๓ องค์กร (ไตรภาคี) คือ คกร. สสส. และ ธ.ก.ส. ที่ห้องประชุม สสส.๑ ชั้น ๓๔ อาคารเอสเอ็มทาวเวอร์ ทาง สสส. พิจารณาแล้ว เห็นว่า เห็นชอบ ควรผ่านโครงการนี้

๒๒ ก.ค.๔๖ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมทำพิธีมอบธงขาว (ชุมชนปลอดยาเสพติด) ให้แก่ชุมชนปฐมอโศก ที่บ้านของ ส.ส.ประสานต์ บุญมี.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

ชื่อ นางสอน มารยาท
เกิด พ.ศ.๒๔๗๔ อายุ ๗๒ ปี
ภูมิลำเนา บ้านขมิ้น ต.ทม อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ
สถานภาพ ม่าย บุตร ๘ คน
การศึกษา ป.๔
ส่วนสูง ๑๔๘ ซ.ม.
น้ำหนัก ๕๐ กก.

เข้าพรรษาบ้านราชฯปีนี้ ผู้อายุยาว ทิ้งบ้านช่องเรือนชานมาฝึกหัดปฏิบัติตนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คุณยายสอน เป็นอีกท่านหนึ่ง ที่มา เข้าพรรษาที่นี่ เป็นคนเญอ และอยู่ หมู่บ้านเดียวกันกับท่านดินดี สันตจิตโต ซึ่งเป็นเญอเหมือนกันอีกด้วย

*** คนเญอ
มีพี่น้อง ๓ คน ยายเป็นคนสุดท้อง สมัยก่อนเรียนหนังสือที่ศาลาวัด มีคุณครูสอน จบ ป.๔ แล้วก็ไม่มีโรงเรียน ที่จะเรียนต่อ ก็ออกมา ช่วยพ่อแม่ทำนา

แต่งงาน ตอนอายุ ๒๒ ปี พ่อบ้านแก่กว่า ๒ ปี เป็นคนเญอ อยู่หมู่บ้านเดียวกัน ชอบพอกันมาก่อน และผู้ใหญ่ก็เห็นด้วย แต่งงาน แล้ว มีบุตร ๘ คน ช่วยกันทำนา และตายจากไปเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๐ ด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

*** มื้อสุดท้าย
ปกติยายชอบไปวัด ปี ๒๕๓๒ ลูกชายคนโต ชวนไปงานปีใหม่ ที่ปฐมอโศก ก็คิดว่าปีใหม่บ้านเราก็มี ทำไมต้องไปถึงปฐมอโศก ลูกชาย จึงบอกว่า มันไม่เหมือนกัน ถ้าแม่ไม่ไป กลัวว่าแม่จะเสียใจ ยายก็คิดว้าบ ! ในใจว่าทำไมจะต้องเสียใจด้วย จึงตกลงไป พร้อมกับ ชาวศีรษะอโศก ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่า ชาวอโศกกินมังสวิรัติ ไม่เคี้ยวหมาก ยายเตรียมปลาร้า และหมากอย่างดี สำหรับกิน ขณะเดินทาง

ตอนเดินทางยายก็หิว จะหยิบปลาร้ามากินก็ไม่กล้า กลัวจะส่งกลิ่นในรถ ก็เลยกินแต่ข้าวเหนียวเปล่าๆ หมากก็ไม่กล้าเคี้ยว เพราะไม่เห็น มีใคร เคี้ยวหมากเลย

*** ฟังธรรมเข้าใจ
ที่ปฐมอโศกได้ฟังเทศน์ก็เข้าใจว่ากินเนื้อสัตว์ กินหมากไม่ดี จึงตั้งใจกินมังสวิรัติ เลิกหมาก ปลาร้ากับหมาก ที่เตรียมไป ก็ยังอยู่ ในกระเป๋า ไม่ได้แตะต้องเลย ขากลับ ก็เลยขว้างทิ้ง ทั้งปลาร้าและห่อหมาก สำหรับหมากนี่ติดมานาน ตั้งแต่ออกจาก โรงเรียน โน่นแน่ะ ก็เลิกเด็ดขาด จนถึงทุกวันนี้

ต่อมาได้ไปร่วมงานปลุกเสกฯ, พุทธาฯ ก็ชวนลูกชายไปด้วย (คนที่อยู่ที่ราชธานีฯ) และได้ปลูกบ้าน และเข้าพรรษา ที่ศีรษะอโศก ต่อมา ลูกชาย เขามาปฏิบัติธรรม ที่ราชธานีอโศก และปลูกบ้านที่นี่อีกหลัง

ยายปรารถนาจะเห็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริงมานานแล้ว ไปวัดอื่นก็ไม่ศรัทธา เพราะพระยังใช้เงินใช้ทอง เคี้ยวหมาก สูบบุหรี่ ไม่มีมรรคผล แม้แต่ลูกชายของยาย ไปบวชอยู่วัดข้างนอก เป็นถึงเจ้าคุณ พอยายทำอาหารมังสวิรัติ ไปถวาย ท่านก็ไม่ฉัน บอกว่าเจๆจาๆ อย่าเอามาทางนี้ ยายก็เลย ไม่ไปหาท่านอีกเลย

*** ทุกวันนี้ดีใจมาก
ไม่ห่วงอะไรแล้ว ลูกก็เป็นฝั่งเป็นฝาไป ๖ คนแล้ว เหลือ ลูกชายที่อยู่ที่นี่ (คุณกล้าธรรม มารยาท) กับลูกชายคนเล็ก กล้าธรรม เขาชวนยาย มาอยู่ราชธานีฯ มาอยู่ แล้วมีความสุข คนที่นี่มีความเป็นพี่เป็นน้องมาก สังคมอบอุ่น ตอนเช้าได้ทำวัตร เสร็จแล้ว ก็ได้ใส่บาตร ตอนเย็น ก็ทำวัตรเย็น (หากมี) ก่อนนอนก็สวดมนต์ และไปช่วยงานที่อุทยานฯ สัปดาห์ละ ๒ วัน เพราะช่วง เข้าพรรษา จะขายดีมาก

ยายดีใจมาก ที่กล้าธรรมมาปฏิบัติธรรมที่นี่ ไม่คิดว่าเขาจะกลับตัว จากอบายมุขได้เด็ดขาด เปลี่ยนแปลงได้มากขนาดนี้ เพราะเมื่อ ก่อนนี้ เขาเมาเช้า -เมาเย็น ทุกวันนี้เหมือนได้ลูกชายคนใหม่ ก็อยากให้เขาถือศีล เป็นโสดตลอดไป แต่งงาน มันไม่ดีหรอก

ความตายไม่กลัวหรอก ถึงคราวตายก็ต้องตาย หนีไม่พ้น เราต้องเตรียมตัวไว้เสมอ

บ้านช่องเรือนชาน ลูกเต้า ยายก็ปล่อยวางมาได้แล้ว เหลือแต่การปฏิบัติ ใครทำคนนั้นก็ได้

*** ฝาก
ยายนึกถึงคำสอนที่ว่า "การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่นั้น แม้จะแบกพ่อแม่ขึ้นบนไหล่ซ้ายขวาของเรา ดูแลอย่างดี ก็ไม่ชื่อว่า ได้ตอบแทน บุญคุณท่าน เท่ากับให้พ่อแม่ ได้มาปฏิบัติธรรม"

ยายทิ้งบ้านช่องมาฝึกปฏิบัติขัดเกลาตน เข้าพรรษาปีนี้ ท่านได้ลดละอะไรบ้างหรือเปล่า พ่อท่านสอนย้ำนักย้ำหนาว่า "เกิดเป็นคน หากไม่ทำตน ให้มีอาริยคุณ ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ก็เป็นเพียงแค่เศษสวะ ของสังสารวัฎเท่านั้น" แล้วใจคอจะเป็นแค่นี้จริงๆหรือ

- บุญนำพา รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

บุญญาวุธหมายเลข ๔
ค่ายสุขภาพ ๗ อ. ณ ชุมชนสีมาอโศก

สืบเนื่องมาจากพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ได้ให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพกับพวกเราชาวอโศกมาตั้งแต่งานปอยหลวงที่ภูผาฟ้าน้ำ และ เรื่อยมา จึงทำให้ทุกพุทธสถาน ตื่นตัวกันมากขึ้น

สีมาอโศก ก็คิดมาตลอดว่า จะทำอย่างไร จึงจะมีโอกาสเปิดคอร์สสุขภาพ เหมือนพุทธสถานอื่นๆได้ จึงพยายามขวนขวาย โดยคุณเอื้อธรรม ได้ไปทดลอง ทดสอบ คือไปเรียนรู้และคบคุ้นกับคุณน้อมบูชา และคุณหมอเขียว อยู่เป็นเวลานานปีเศษ จึงมีโอกาส ได้จัดคอร์สสุขภาพ ๗ อ. ขึ้นระหว่าง วันที่ ๓๐ มิ.ย.- ๒ ก.ค.๔๖ ณ ชุมชนสีมาอโศก จ.นครราชสีมา โดยเป็น การอบรมภายใน ให้แก่ชาววัด และชาวชุมชน จำนวนสมาชิก ๔๗ คน ประกอบด้วยสมณะ ๒ รูป คนวัด ๓๙ คน และญาติธรรม ๖ คน

การอบรมดำเนินไปด้วยดี จนมีสุขภาพแข็งแรงถ้วนหน้า แม้คอร์สจะมีเวลาเพียงสั้นๆ แต่คุณน้อมบูชา และคุณหมอเขียว ได้ทุ่มเทความรู้ ให้อย่างสุดๆ ว่าแต่ว่า ผู้รับความรู้ จะเอาไปปฏิบัติได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าทุกคนห่วงใยสุขภาพ และปฏิบัติตาม ก็คงแข็งแรง และ มีอายุยืนยาว ได้อยู่ในร่มเงาอโศก เพื่อปฏิบัติธรรม รับใช้ศาสนาและสังคมอีกต่อไป.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

รามบูชาธรรม รับเพื่อนใหม่
ได้ชื่อ รุ่น"นาวาธรรม"

ในระหว่างวันที่ ๑๘-๒๐ ก.ค. ๔๖ กลุ่มรามบูชาธรรม ม.รามคำแหง ได้จัดงานรับเพื่อนใหม่ ขึ้นที่ชุมชนวังสวนฟ้า จ.สระแก้ว โดยมีเป้าหมาย ในการจัดงานเพื่อ
๑. เป็นการฝึกปฏิบัติธรรมในการอยู่ร่วมกันระหว่างการทำงานของสมาชิกในกลุ่ม
๒. เชื่อมความสัมพันธ์อันดีระหว่างชาวชุมชนกับนักศึกษา
๓. หาสมาชิกใหม่ ที่จะมาเป็นทายาทสืบทอด และสานต่อกิจกรรมของกลุ่มต่อไป

การจัดงานในครั้งนี้ มีผู้ร่วมงานประมาณ ๖๐ คน ประกอบด้วยเพื่อนใหม่ ๒๒ คน เพื่อนเก่า ๒๓ คน สมณะ ๒ รูป และ ชาวชุมชน วังสวนฟ้า อีกส่วนหนึ่ง โดยกิจกรรม เริ่มตั้งแต่เช้าวันศุกร์ที่ ๑๘ ก.ค.ได้นัดรวมตัวเพื่อนใหม่ที่ ม.รามคำแหง และ เดินทางมาเยี่ยมชม พุทธสถาน สันติอโศก แล้วสิ้นสุดการทำกิจกรรม ที่ชุมชน วังสวนฟ้า

สำหรับกิจกรรมที่ทำ ได้เริ่มตั้งแต่ การทำวัตรเช้า ออกกำลังกาย ลงฐานงานร่วมกันสร้างบ้านนักศึกษา การแสดงรอบกองไฟ ในภาคค่ำ รับขวัญ เพื่อนใหม่ และนั่งเจโตสมถะ ก่อนนอน

งานรับเพื่อนใหม่ในครั้งนี้ ได้ใจเพื่อนใหม่ไปหลายคน โดยสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติจริงๆ ประกอบกับวิถีชีวิตที่เรียบง่าย สมถะ การได้มา ศึกษา เรียนรู้ ทำงานร่วมกัน เหน็ดเหนื่อย ด้วยกัน หิวด้วยกัน อิ่มด้วยกัน หัวเราะเฮฮาด้วยกัน ถึงแม้จะเป็น ช่วงเวลาสั้นๆ เพียง ๒ คืน ๓ วัน ก็ทำให้ หลายๆคน ประทับใจมากทีเดียว

นายจีระศักดิ์ จันทร์ชม (ใหญ่) น.ศ.คณะนิติศาสตร์ "รู้สึกประทับใจพ่อแม่ชาวชุมชนเป็นอย่างมาก ทุกคนให้การต้อนรับ เป็นอย่างดี และ เพื่อนใหม่ ที่ไปด้วยกัน ก็มีความสามัคคีกันดี เป็นห่วงเป็นใยกันพอสมควร สำหรับรุ่นนี้ชื่อรุ่น นาวาธรรม เหตุผล ที่ตั้งชื่อนี้ ก็เพราะว่า มีเพื่อนคนหนึ่ง เกิดจมน้ำ และเพื่อนก็ช่วย ได้ทัน จึงนึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า ร่างกายมนุษย์ เปรียบเทียบเสมือน เรือที่ลอยอยู่ในน้ำ ตราบที่เรือ ยังไปไม่ถึงฝั่ง เราก็ต้องรักษาเรือนี้ไว้ให้ดี ไม่ให้ล่มกลางคัน ดังนั้น คนเรา จึงต้อง ดำรงชีวิตอยู่ ด้วยความไม่ประมาท"

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

คุรุ สส.ภ.จัดหลักสูตรใหม่ เน้นแนวแม่ไก่-ลูกไก่
ทดลองทำระยะสั้นได้ผล จึงวางแนวในระยะยาว

ในระหว่างวันที่ ๑๖-๑๘ ก.ค.๔๖ ที่ศาลาซาวปี๋ พุทธสถานภูผาฟ้าน้ำ ได้มีการจัดสัมมนาเรื่องจัดหลักสูตรการศึกษาของ ร.ร.สัมมาสิกขา ภูผาฟ้าน้ำ โดยมีสมณะฝ่ายการศึกษา ๓ รูป คณะคุรุ ๑๐ คน เข้าร่วมสัมมนา ซึ่งสมณะบินบน ถิรจิตโต อาจารย์ ๑ ได้มาเป็นประธาน ให้โอวาท เปิดการประชุมสัมมนาครั้งนี้ว่า "...การศึกษาตามแนวทางบุญนิยมของชาวอโศก ถ้าจะดูว่า ประสบผลสำเร็จหรือไม่ ในส่วนตัว อาตมาจะดูที่ว่า เมื่อนักเรียนที่เรียนจบ ตามหลักสูตรออกไปแล้ว ยังอยากจะอยู่ ช่วยงานศาสนา ช่วยงานชุมชนต่อหรือไม่ แต่ที่ผ่านๆมา จะเห็นว่า มีเพียงบางส่วน ที่ยังอยากจะอยู่ช่วยงานศาสนา หรือ ช่วยงานชุมชนต่อ


และจากการที่ได้ศึกษาและติดตามดูแลมา ก็ได้มองเห็นสาเหตุที่ทำให้การศึกษาในระบบของเรา ยังไม่ประสบผลสำเร็จ เท่าที่ควร เป็นเพราะว่า ทางคณะคุรุ ยังไม่มีเวลาที่จะดูแลเด็กได้อย่างใกล้ชิดและทั่วถึง ซึ่งก็อยากจะให้ความสำคัญ ในเรื่องนี้ โดยน่า จะมีการ จัดการศึกษา ระบบแม่ไก่ดูแลลูกไก่ หรือ Home School ซึ่งจะมีการดูแลกันอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่สมณะ จะเป็น ที่ปรึกษา และดูแลคณะคุรุ คณะคุรุ ก็จะดูแลนักเรียน อย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การกิน การทำงาน การนอน อยู่ร่วมกับเด็ก ตลอดเวลา เช่น คุรุ ๑ คน จะรับผิดชอบดูแลเด็ก ๓-๔ คน หรือเท่าที่จะสามารถ รับผิดชอบได้ โดยจะไม่เน้นที่ปริมาณ แต่จะเน้นที่คุณภาพ ของเด็กนักเรียน และต่อไป นักเรียนรุ่นพี่ ก็สามารถ ที่จะช่วยดูแล นักเรียนรุ่นน้องๆต่อไปได้ และก็คิดว่าทาง ร.ร.สัมมาสิกขา ภูผาฟ้าน้ำ ก็น่าจะทำได้ เพราะว่ายังมี นักเรียนไม่มาก และ องค์กร-ฐานงานต่างๆ ก็ยังไม่มีความซับซ้อนอะไรมากนัก..."

หลังจากการสัมมนาเป็นเวลาประมาณ ๓ วัน ก็ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเพิ่มเติมขึ้นจากเดิมคือ ได้มีการจัด นร.ชั้น ม.๒ จำนวน ๕ คน ไปฝึกงาน และเรียนวิชาการ ควบคู่กันไปที่ฐานงาน ชมร.เชียงใหม่ โดยจะมีครูผู้ดูแล ๒ ท่าน คอยเป็นแม่ไก่ และจะมีคุรุ ฝ่ายวิชาการ เข้าไปสอน ในช่วงเย็นที่มีเวลาว่าง โดยมีสมณะคอยเข้าไปช่วยเป็นที่ปรึกษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมีการสรุป และ ประเมินผลในทุกๆ ๓ สัปดาห์ โดยจะดูที่ พัฒนาการ ของเด็กเป็นหลัก ทั้งทางด้านศีลเด่น เป็นงาน และ ชาญวิชา


สำหรับ นร.ชั้น ม.๑ จำนวน ๙ คน, ชั้นประถมฯ ๗ คน, อนุบาล ๓ คน มีการจัดคุรุแม่ไก่ดูแลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง โดยจะหมุนเวียนกัน ดูแล ทั้งเรื่องวิชาการ และความเป็นอยู่ในทุกๆด้าน ซึ่งจะมีคุรุรับผิดชอบ ๗ ท่าน โดยจะศึกษาเรียนรู้ อยู่ที่ชุมชน ภูผาฟ้าน้ำ (สาเหตุที่ต้อง สับเปลี่ยน หมุนเวียนกันดูแล เพราะคุรุบางท่าน ต้องทำงานหลายหน้าที่ หรือ สวมหมวก หลายใบนั่นเอง)


และการจัดสัมมนาครั้งนี้ได้มีการร่วมกันจัดทำโครงสร้างหลักสูตรของ โรงเรียน เพื่อให้เชื่อมโยงกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของทาง กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งก็สามารถที่จะทำความเข้าใจ ร่วมกันได้พอสมควร โดยจะเน้นหนัก ไปที่การ จะนำเอาการสอน วิชาการ ตามหลักการ ของกระทรวงศึกษาฯ เชื่อมโยงเข้ากับการฝึกทำงาน ในแต่ละฐานงานได้อย่างไร

และการสัมมนาครั้งนี้ก็ได้เพิ่มเติมกิจกรรมเสริมหลักสูตรขึ้นมาอีกหนึ่งกิจกรรมคือ จัดให้มีวันลูกโพธิสัตว์ในทุกๆวันเสาร์ โดยจะมี ทั้งสมณะ คนวัด ชาวชุมชน คณะคุรุ นร.สัมมาสิกขา ทุกๆชั้น (จะใส่ผ้าพันคอสีแสดขาว) ตลอดจน นร.พุทธธรรมวันเสาร์ โดย จัดให้มีกิจกรรม เริ่มตั้งแต่ ทำวัตรเช้า การเดินตามสมณะบิณฑบาต ขึ้นศาลาฟังเทศน์และรับประทานอาหารร่วมกัน กิจกรรม หน้าเสาธง และช่วงบ่าย ฝึกทำงานร่วมกัน ในจุดที่มีความเป็นจำเป็นเร่งด่วน ของชุมชน ซึ่งจะพิจารณาเป็นคราวๆไป และ ในช่วงเย็น ร่วมกันเช็คศีล คือ รายการศีลบวร ที่ศาลาเสียงธรรม

ซึ่งหลังจากการสัมมนาในคราวนี้แล้วจะได้มีการติดตามประเมินผลให้ต่อเนื่อง เพื่อจะได้ร่วมกันคิด ร่วมกันพิจารณา บูรณาการ ให้สมบูรณ์ ยิ่งๆ ขึ้นต่อไป


สมณะลานบุญ วชิโร "ในการสัมมนาครั้งนี้ ได้มีการปรับเปลี่ยนการเรียนเพื่อให้เกิดบูรณาการ คือมีความสมบูรณ์เพิ่มขึ้น ก็รู้สึกดี จากเดิม ที่เคยเรียน ในช่วงเช้าตอนตีสี่ครึ่ง โดยคิดว่าเพื่อให้นักเรียนได้ตื่นเช้าและได้เรียนในขณะที่สมองยังโล่งๆอยู่ แต่ต่อมา มีปัญหาเรื่อง ระบบไฟ เพราะที่นี่ ใช้โซล่าเซลล์ บางช่วงไฟไม่พอ ความสว่างไม่พอ และมีปัญหาเรื่องแมลงต่างๆ รบกวนเยอะ จึงลองปรับเปลี่ยน มาเรียน ในวันพฤหัสบดี ในช่วงทำนา เริ่มเรียนตั้งแต่หกโมงเช้าเป็นต้นไป เรียนต่อเนื่องไปทั้งวัน จนถึง สี่โมงเย็น นักเรียนมีความพึงพอใจ จึงเริ่มจัดการเรียน ระบบนี้

และมีความประทับใจที่การศึกษาจะเป็นระบบแม่ไก่ลูกไก่มากขึ้น คุรุจะไปมีส่วนร่วมกับนักเรียนทั้งในกิจวัตร กิจการ กิจกรรมให้ได้ มากที่สุด

นอกจากนี้เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาให้เกิดบูรณาการ จึงได้จัดให้มีการประสาน ทำความเข้าใจ ในเรื่อง การศึกษา ระหว่างคุรุ กับคณะกรรมการ การศึกษาชุมชนมากขึ้น โดยตัวแทนคุรุ จะแจ้งให้ทางคณะกรรมการ การศึกษาชุมชน ได้รับรู้ อย่างต่อเนื่อง ทั้งโดยส่วนตัว และในที่ประชุมชุมชน หากมีข้อเสนอแนะ ทางคุรุจะได้นำไปเป็นข้อมูล ในการจัดการเรียน การสอน เพื่อให้เกิดบูรณาการ ต่อไป และยังมีประชาพิจารณ์ ในเรื่องการศึกษา ในช่วงก่อนฉัน โดยเปิดโอกาส ให้ชาวชุมชน แสดงความคิดเห็น หากมีประเด็นที่สำคัญ นับเป็นโอกาสที่ดี ที่การศึกษา จะมีบูรณาการเพิ่มขึ้นอีกจุดหนึ่ง

อีกวันหนึ่ง ที่มีความประทับใจโดยเฉพาะชื่อมีความหมายที่ลึกซึ้ง 'วันลูกโพธิสัตว์' เป็นวันที่น่าประทับใจ ที่จะเป็นเครื่องเตือนสติ ไม่ใช่เฉพาะ นักเรียนเท่านั้น ที่จะดำเนินรอย ตามแบบอย่าง พระโพธิสัตว์ โดยเฉพาะพ่อท่าน ที่ถือได้ว่า เป็นพระโพธิสัตว์รูปหนึ่ง ในยุคนี้ ให้ได้มากที่สุด ในวันนี้ และ ให้เกิดจิตสำนึกที่ดีต่อๆไป ในวันอื่นๆด้วย"

คุรุกระจาย บุญยัง "หลังจากสัมมนาครั้งนี้เสร็จแล้ว รู้สึกสบายใจมาก ไม่ใช่อะไร แต่เป็นเพราะว่า เข้าใจมากขึ้น รู้สึกว่า มีความอิสระเสรี ยิ่งขึ้น เหมือนนกน้อย ที่ถูกปล่อยออกจากกรง

ต่อนี้ไปโรงเรียนแต่ละแห่ง หรือแต่ละท้องที่ คงจะได้จัดทำแผนการสอน ตรงตามที่ท้องถิ่น หรือสังคมของตนเอง ต้องการเสียที แม้จะมีโอกาสแค่ ๓๐ % ก็พอใจ

แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ก็คงจะมีอยู่เช่นกัน นั่นคือ ทาสที่ปล่อยไม่ไป หมายความว่า ครูเคยชินต่อการเรียนการสอนแบบเก่า โดยมีคน คอยนำแผนให้ แล้วครูก็นำมา ว่าตามแผนนั้นๆ โดยไม่ได้ออกความคิดเลย จนสุดท้าย กลายเป็นคนขี้เกียจ ไม่อยากคิด ไม่อยากทำอะไร

หลายคนวิตกว่า ไม่มีเวลาที่จะทำ ก็น่าจะเป็นจริง เพราะอโศกของเรามีงานมากจริงๆ แต่ก็อีกนั่นแหละ เราจะต้องทำให้ได้ เพราะมันเป็น นโยบาย และก็อีกอย่างหนึ่ง ถ้าอโศกทำไม่ได้ แล้วใครล่ะที่จะทำได้ พ่อท่านเคยบอกว่า 'มันต้องเป็นเรา' แต่วันนี้ ครูประถมของภูผาฯมีแค่ ๒ คนเท่านั้นเอง โอ้!...บุญของเราทั้งนั้น"

น.ส.ห่มหล้า ระดม "ประทับใจในการเข้าสัมมนาครั้งนี้ ประทับใจสมณะและคุรุที่ร่วมกันทำหลักสูตร ซึ่งทุกคนมีความคิดเห็น ไปในแนว ทางเดียวกัน ทั้งเรื่องจะจัดหลักสูตร ให้มีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิต ของชุมชนภูผาฯ และเรื่องปรับให้คุรุ ดูแลนักเรียน อย่างใกล้ชิด ซึ่งดิฉัน เห็นด้วยอย่างยิ่ง"

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
๖๗/๑ ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. ๑๐๒๔๐ โทร.๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ ๑,๕๐๐ ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]