ฉบับที่ 238 ปักษ์แรก 1-15 กันยายน 2547

[01] อย่าโยนงูใส่เด็ก
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบถึงนิพพาน"
[03] บันทึกปัจฉาสมณะ:ยอมเป็นอีแร้งในสังคม
[04] สบู่ใครคิดว่าสำคัญ ?
[05] ผักอินทรีย์ไทยโกอินเตอร์ "ริเวอร์แควฯ" รุกตลาดในประเทศ
[06] พ่อท่านยอมเปื้อนโคลนอีกครั้ง เพื่อปรับทิฏฐิคนเรื่องการเมือง
[07] เริ่มงานสร้างตึกสาธารณโภคี ย้ายลานจอดรถบจ.พลังบุญ
[08] เรื่องของโต๊ะทำงาน!
[09] ชาวอโศกศึกษางานวิจัย เจาะลึกถึงจิตวิญญาณ
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] :กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน อินทร์บุรเ
[12] นางงามรายปักษ์ น.ส.เกียว แซ่ลิ้ม:
[13] ผลวิจัยน้ำฉี่ของชาวอโศก:
[14] ด่วน ! ข่าวจาก หนังสือสัจจะชีวิตของสมณะโพธิรักษ์



อย่าโยนงูใส่เด็ก

พระพุทธเจ้าเปรียบเงินตราไว้ว่า เหมือนอสรพิษ

ผู้ใดใช้เงินตราอย่างไม่ระมัดระวัง หรือไปหลงค่าของเงินตรา ย่อมพาสู่ความทุกข์ ความเดือดร้อนใจและการละเมิดศีล ข้อต่างๆ โดยเฉพาะศีลข้อ ๒

ดังนั้นผู้ที่จะอยู่กับเงินตรา จะต้องมีภูมิคุ้มกัน หากขาดซึ่งภูมิคุ้มกัน หรือภูมิไม่ถึง ก็ย่อมถูกพิษของเงินตราพาให้ทุกข์หรือ เดือดร้อน เหมือนคนที่ถูกพิษงูกัด เข้าไปในร่างกาย อาจตายได้ถ้ารักษาไม่ทัน

ด้วยเหตุนี้การที่ผู้ใหญ่จะให้เด็กอยู่ใกล้เงินตราก็เหมือนจับเด็กเข้าไปใกล้งู ซึ่งมีอันตรายน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

ทางที่ดีอย่าให้เด็กรับผิดชอบเรื่องเงินจะดีกว่า ถ้าให้เด็กฝึกดูแลการเงิน ก็ควรให้ดูแลแค่ตัวเลขและควรให้ผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกัน คอยดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบถึงนิพพาน

ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก ปฏิบัติได้ทุกยุคทุกสมัย ถ้ามีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่ได้หมาย ความว่ามาบวช โกนหัว ห่มจีวร ทุกคน ฆราวาสทุกคน อุบาสก อุบาสิกา นักบวชหญิง นักบวชชาย เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบได้ทุกคน เป็นสมณะได้ทุกคน ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตรงตามธรรมของพระพุทธเจ้า

ผู้ได้มรรคได้ผล เป็นสุปฏิปันโน เป็นสัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เป็นผู้ที่ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติควร เป็นผู้ที่ได้รับธรรมะ ที่ชอบที่ควร

เมื่อได้แล้วก็เป็นประโยชน์ตน-ประโยชน์ท่าน เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ต่อสังคม

โลกนี้ต้องการธรรมะ ขาดแคลนมาก ดีมานด์สูงมาก อุปสงค์ทั่วโลก ไม่ใช่แต่ในประเทศไทย

ประเทศไทยมีธรรมะลักษณะนี้ ยิ่งต้องรู้ให้ดีว่า ประเทศไทยนี่แหละรู้ทฤษฎี ของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว พระไตรปิฎก ก็มีอยู่แล้ว ชัดเจน

ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีโลกุตรธรรม แล้วโลกุตรธรรมนี่แหละอยู่ในอโศก จึงเรียกอาริยะ (สำนวนเก่าเรียกอริยะ แปลว่า ประเสริฐ)

เพราะฉะนั้นหากไม่ถึงอาริยชน ก็ยังไม่เข้าขีดขั้นคุณภาพของพระพุทธเจ้า

คนที่เป็นกัลยาณชน เป็นคนดี ทุกศาสนาก็มีอยู่แล้ว แต่ไม่ถึงขั้นปรมัตถ์
ไม่ถึงขั้นโลกุตระ ธรรมะของพระพุทธเจ้าท่านอยู่อย่างโลกุตระ ถึงขั้นเป็นอาริยะ ถึงต้องยืนยันเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้า ที่ท่าน ค้นพบนี้ ต้องปฏิบัติละชั่ว ประพฤติดี อาจจะเลิกอบายมุขมาได้ แต่ว่ากาม โลกธรรม คือโลกียะไม่รู้ อาจจะไม่แย่งลาภยศ สรรเสริญ ด้วยวิธีกดข่ม ไม่รู้แจ้งรู้จริง ไม่รู้ละเอียดลออหมดถึงจิตเจตสิก อย่างละเอียดจับตัวจับตนมันได้ จนฆ่ามันได้ เหมือนพุทธ

พุทธเรียนปรมัตถ์ เรียนละเอียด เป็นอภิธรรม ศาสนาอื่นไม่ได้เป็นอภิธรรม อย่างนี้

ท่านถึงตราธรรมะของท่านเข้าเขตโลกุตระ คืออ่านจิตเจตสิกออก แยกจิตเจตสิก มีรูป มีนิพพาน

เพราะฉะนั้นเรารู้จักนิพพานน้อยๆ เช่น นิพพานบุหรี่ นิพพานเหล้า นิพพาน เครื่องใช้เครื่องกิน นิพพานลาภยศสรรเสริญ นิพพานอะไร ก็แล้วแต่ ถ้าอ่านออกจริงๆว่ามีนิพพาน นั่นแหละคือจิตเจตสิกนิพพาน ศาสนาพุทธมีนิพพานอย่างนี้

เพราะฉะนั้นเรามาพิสูจน์ความจริงอันนี้กันเถอะ เราต้องการสิ่งเหล่านี้ คนชนิดนี้เป็นคนพันธุ์ใหม่ เป็นคนพันธุ์พระพุทธเจ้า คนพันธุ์อย่างนี้ต้องการเยอะ

(สารอโศก ฉบับอโศกรำลึก'๔๗)

ย้ำอีกที มรรคผลนิพพานของโลกุตร ธรรมมีจริงถ้าเราปฏิบัติตรงตามธรรม...
ผู้ปฏิบัติจริงย่อมได้มรรคผล... ผู้นั้นคือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแห่งพุทธศาสนา

- เด็กวัด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


- สมณะแน่วแน่ สีลวัณโณ -

ยอมเป็นอีแร้งในสังคม

ศาสนาและการเมืองทุกวันนี้กลายเป็นเครื่องมือของธุรกิจ มากกว่าการกำจัดทุกข์และบำรุงสุขของประชาชน เหตุสำคัญ มาจากผู้มีอำนาจบริหารปกครอง รวมถึงผู้เกี่ยวข้องของทั้งสองสถาบันนั้น ไม่ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมะที่ถูกต้องอย่างแท้จริง จนเกิดผลที่เป็นโลกุตระ

มีผู้รู้คอการเมืองวิจารณ์ว่า การเมืองทุกวันนี้กลายเป็นขั้วอำนาจสองขั้ว ที่กำลังแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ของ กลุ่มทุนเก่า กับกลุ่มทุนใหม่ การให้สัมปทาน การเจรจาการค้า ก็จะมีบริวารของกลุ่มทุนเหล่านี้พลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย จะหาพรรคการเมือง ที่ไม่มีกลุ่มทุนหนุนช่วยยากยิ่งแล้ว ณ วันนี้ก็ยังไม่เห็นท่าทีว่าคนมีศีล กลุ่มคนที่มีศีล จะก้าวขึ้นมา มีบทบาทเป็นผู้นำพาประเทศ ป่วยการกล่าวถึงการนำไปสู่ความสุข ความเจริญ จนเป็นที่ยอมรับว่า มีผลก้าวหน้า ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมเหนือกว่าและดีกว่าวิธีการของทุนนิยม

กว่าจะถึงวันนั้นพ่อท่านให้เวลาอีก ๕๐๐ ปี บุญนิยมจึงจะเจริญและอุดมสมบูรณ์ จนเป็นที่ยอมรับของสังคมโลก แต่ก่อน ที่จะไปถึงจุดที่สมบูรณ์เต็ม ๑๐๐ ก็ย่อมต้องมีจุดเริ่มต้นที่ ๑-๒-๓...

การเกิดขึ้นของกลุ่มคนชาวอโศก มาจากฐานรากที่ละเลิกอบายมุข ลดละโลกธรรม ลดละกาม-อัตตา ปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรม ตามศีล-สมาธิ-ปัญญา และมรรคมีองค์ ๘ ที่พ่อท่านพร่ำสอนให้ชาวอโศกนำไปปฏิบัติทุกขณะ ทุกอิริยาบถ ทุกกิจกรรม การงานอาชีพ เมื่อแต่ละคนลดละกิเลสของตน มักน้อยสันโดษลงได้จริงๆ การเสียสละช่วยเหลือผู้อื่นก็จะเกิดจริง ตามสัดส่วน ที่ผู้ใดลดละได้มาก-น้อย และนี่คือการสร้างคนให้ได้มรรคผลเป็นโลกุตระ

การเกิดขึ้นของร้านอาหารมังสวิรัติ-โรงพิมพ์ฟ้าอภัย-บจ.พลังบุญ-บจ.แด่ชีวิต-บจ.ขอบคุณ-โรงงานยาสมุนไพร-โรงเรียน สัมมาสิกขา-โรงเต้าหู้-เต้าเจี้ยว-ซีอิ๊ว-โรงสี-โรงปุ๋ย-โรงแชมพู-หม่องค้าผง-ศาลาค้า-โรงแปรรูปอาหาร-เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษแห่งประเทศไทย เป็นต้น จนเกิดเป็นสังคม-ชมรม-กลุ่ม-ชุมชน-หมู่บ้านแบบบุญนิยม กว่าจะมาถึง วันนี้ได้ ล้วนผ่านร้อน ผ่านหนาว เผชิญอุปสรรคนานาสารพัด หลายคนต้องออกไปเพราะกิเลสตนเอง หลายคนต้องออกไป เพราะทนต่อกิเลส ทั้งราคะและโทสะจากภายนอกไม่ได้ และหลายคนต้องออกไปเพราะทนต่อ การขัดเกลาของชาวอโศก ด้วยกันเองไม่ได้ ผู้ที่อยู่ได้จึงคือผู้ที่ทนได้ต่อผัสสะเหล่านั้น ผู้ที่มีมรรคผลย่อมทนอยู่ได้ พระพุทธองค์ตรัสไว้เช่นนั้น

ดูเหมือนว่าการเกิดขึ้นของบุคคลฐานะที่๒ (นักบริการ, พ่อค้า,นักธุรกิจ) และ ฐานะที่ ๑ (นักผลิต,ผู้ใช้แรงงาน) ของชาวอโศก ยังไม่เจอกับอุปสรรคที่หนักหนาอะไรจากภายนอกมากนัก ขณะที่ฐานะที่ ๔ (นักบวช,สมณะ) ผ่านร้อนผ่านหนาว ถึงขั้นถูกจับ ดำเนินคดีมาแล้ว

พ่อท่านเคยบอกว่าธรรมาธรรมะสงครามที่มีกับทางสงฆ์กระแสหลัก เป็นเพียงละครชีวิตฉากหนึ่งของชาวอโศกเท่านั้น ยังมีอีก หลายฉากที่ตื่นเต้นกว่านี้ หนักหนาสาหัสสากรรจ์ กว่านี้ พวกคุณเตรียมตัวกันให้ดีๆเถอะ

บัดนี้พ่อท่านอายุ ๗๐ ปีแล้ว ถ้านับตามอายุขัยจริงๆเหลือเวลาอีกไม่มากเลย สำหรับบุคคลฐานะที่ ๔ ฐานะที่ ๒ ฐานะที่ ๑ ก็พอจะได้รับความยอมรับจากสังคมอยู่บ้าง ดูมีรูปรอยที่เห็นได้ว่าก้าวหน้าเจริญขึ้นเรื่อยๆ มีกลุ่มคนทำงาน มีกิจกรรม ที่นับวัน จะขยายใหญ่ขึ้น ทั้งคุณภาพและปริมาณ(มีคนกล้าลดกิเลสมากขึ้นและกล้าที่จะเสียสละรายได้ของตน มากขึ้น) เหลือเพียง บุคคลฐานะที่ ๓ (นักบริหาร,ผู้ทำงานการเมือง)ที่เพิ่งจะเริ่มปลูกฝังสร้างขึ้น สังคมยังไม่ยอมรับ และยังไม่เชื่อว่า ผู้ปฏิบัติธรรม จะทำงานการเมือ งอย่างเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้

ขณะที่องค์ประกอบทั้งของชาวอโศกและสังคมแวดล้อมภายนอก ยังไม่สุกงอมพอกับการสร้างงานการเมืองอาริยะ หรือ บุญนิยมตามที่พ่อท่านมุ่งหมาย แต่มีนิมิตเป็นสัญญาณงานด้านนี้เกิดขึ้น อายุพ่อท่านก็มากขึ้น ทำให้พ่อท่านจำต้องพิจารณา ตัดสินปัญหาเฉพาะหน้าตามสัญญาณที่เกิด ทั้งๆที่ยังไม่ถึงกาละอันพรักพร้อมก็ตาม เพื่อเป็นรูปรอย ให้ชาวอโศกรุ่นนี้ พอได้เรียนรู้บ้าง จะได้สืบต่อ-ถ่ายทอด ความคิด นโยบาย อุดมการณ์ วิธีการ เท่าที่จะมีปัญญาสามารถทำได้ เพราะหากสิ้น พ่อท่านแล้ว ไม่มีใครสามารถคิดและทำเช่นนี้ได้

นโยบายหรืออุดมการณ์ของพรรคหลายอย่างค่อนข้างเป็นอุดมคติเอามากๆ จนหลายคนปรามาสว่าเพ้อฝัน เช่น ผู้จะมาทำ หน้าที่บริหารรับใช้ประชาชนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ รัฐมนตรี หรือ สส.ก็ตาม ควรเป็นผู้ที่มีภูมิธรรม ถึงขั้นโลกุตระ เป็นอาริยะ อย่างน้อยก็โสดาบันขึ้นไป ถ้าได้ระดับอนาคามีภูมิก็ยิ่งดี ไม่มีบ้านช่องเรือนชานเป็นของตนเอง ไม่รับเงินเดือน รายได้ใดๆ ตอบแทน ประชาชนจะเลี้ยงไว้เอง ไม่ปล่อยให้อดตายแน่ เพราะเป็นผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้สังคมอย่างแท้จริง ดังเช่นที่ท่าน นายกฯ ทักษิณและคณะรัฐมนตรีได้ "ทัวร์นกขมิ้น" ค่ำไหนนอนนั่น นี่ก็พอเป็นบทพิสูจน์ได้แล้วว่าเป็นไปได้ แม้ในยุคนี้ นี่ขนาด ยังไม่ได้อาริยคุณ ประชาชนก็ยินดีเต็มใจที่จะเลี้ยงดูได้แล้ว

กิจกรรมการเมืองของพรรคเพื่อฟ้าดินที่ผ่านมา ทำกับชาวบ้านเป็นส่วนมาก ไม่ได้เป็นข่าวใดๆทางหนังสือพิมพ์ มีเพียง การคัดค้าน บางเรื่องบางครั้งเท่านั้นที่เป็นข่าวบ้าง ซึ่งก็มีผลบ้างไม่มีผลบ้างเล็กๆน้อยๆ ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรนัก

จนกระทั่งวันดีคืนดี กกต.ได้แจ้งระเบียบบังคับให้พรรคการเมืองทุกพรรคจะต้องส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งด้วย ไม่เช่นนั้นถือว่า ไม่ถูกกติกา ทั้งๆที่พรรคเพื่อฟ้าดินมีนโยบายยังไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งง่ายๆ จนกว่าจะมีประชาชนในท้องที่นั้นๆกว่า ๖๐ % ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งขอมาให้ส่งคนลงสมัคร แต่เมื่ออยู่ในกติกาของกกต.ก็ต้องทำตามข้อบังคับของ กกต.

จึงกลายเป็นประเด็นขึ้นมาว่า ถ้าจะต้องส่ง แล้วจะส่งใครลงสมัคร พ่อท่านเองก็เสนอว่าน่าจะเป็น พล.ต.จำลอง เพราะสังคม ยังพอรู้จัก พล.ต.จำลอง มากกว่าชาวอโศกคนอื่นๆ ถ้าจะส่งคนที่สังคมไม่รู้จักเลย หรือคนที่มีศักดิ์มีศรีไม่เพียงพอ เขาจะหาว่า ดูถูกประชาชนได้ เรื่องนี้เป็นการพูดกับญาติธรรมภายใน

แต่บังเอิญมีญาติธรรมคนหนึ่ง ได้นำเรื่องนี้ไปพูดให้นักข่าวคนหนึ่งรู้เรื่องเข้า ทั้งๆที่ พ่อท่านไม่คิดจะให้เป็นข่าว ถ้าพ่อท่าน จะปฏิเสธก็ดูจะแข็งมากไป และเห็นใจที่เขาอุตส่าห์มากัน ก็จึงบอกเล่าความจริงให้ฟัง ก่อนจากก็บอกนักข่าวไปว่า อย่าเพิ่งเอา ไปลงเลย เพราะการเมืองอย่างที่จะทำอยู่นี่ไม่เหมือนอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ อีกทั้งคนส่วนใหญ่ ยังไม่เข้าใจศาสนา และ การเมืองอย่างนี้

หลายวันต่อมาทั้งหนังสือพิมพ์และรายการวิทยุ ก็นำเรื่องนี้ไปนำเสนอเป็นข่าว ขณะที่ผู้บริโภคข่าวสารนี้ มีน้อยคนที่จะเข้าใจได้ ก็ขนาดปราชญ์ทางศาสนา และผู้ที่มีภาพลักษณ์ที่ดีทางการเมือง ยังเห็นสอดคล้องกันว่า ศาสนาไม่ควรเข้าไปเกี่ยวกับ การเมือง มิเช่นนั้น ศาสนาจะแปดเปื้อน

"อาตมาขอยอมเป็นอีแร้งในสังคม" พ่อท่านกล่าวกับนักข่าวที่มาสนทนา

พวกเราหลายคนวิจารณ์ว่าข่าวที่ออกมาอย่างนี้ ทำให้พ่อท่านเสียหาย แต่ดูเหมือน พ่อท่านมิได้สะดุ้งสะเทือนอะไร เห็นเป็นเรื่อง ธรรมดา เมื่อเราทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เขาก็ย่อมตำหนิติเตียนเรา แต่เราไม่ได้ทำงานเพื่อโลกธรรม เมื่อเรามั่นใจ แน่ใจใน สิ่งที่เราทำแล้ว ก็ต้องยอมเปื้อน ยอมให้เขาด่า เขาว่าเราบ้าง เพื่อแลกกับสิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้น

ด้านศาสนา ย้อนอดีตไปเมื่อพ่อท่านเริ่มอธิบายธรรมะใหม่ๆ เน้นการปฏิบัติศีลและลดละอบายมุข ถูกนักการศาสนาด้วยกัน ปรามาสว่าพูดเรื่องพื้นตื้น เพราะท่านต่างพูดถึงสมาธิและปัญญา รู้ นิ่ง เฉย จิตว่าง ไม่มีตัวไม่มีตน ไม่ยึดมั่นถือมั่น และเมื่อ อธิบายศีลข้อหนึ่งกับอาหารมังสวิรัติก็ถูกปรามาสว่าเห็นแก่กิน เป็นศิษย์เทวทัต การอธิบายและปฏิบัติธรรม ที่ต่างไปจาก อาจารย์ทั้งหลาย ก็ถูกกล่าวหาว่า ทำลายศาสนาและทำธรรมวินัยให้วิปริต

ด้านการศึกษา การสร้างโรงเรียนสัมมาสิกขา ที่มีปรัชญา ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ก็ถูกปรามาสว่าทำได้แค่กับเด็ก ด้อยโอกาส และยากจนเท่านั้น ก็ได้แค่สังคมกลุ่มของสันติอโศก เท่านั้น ไม่สามารถขยายไปสู่วงกว้างได้ แต่ปัจจุบัน ก็พอได้รับ ความยอมรับ ว่าเป็นโรงเรียนตัวอย่างต้นแบบหนึ่งในอีกหลายแบบของโรงเรียนวิถีพุทธ ที่กระทรวงศึกษาฯ ก็ยอมรับ

ด้านเศรษฐกิจ การอธิบายทฤษฎีกำไรขาดทุนของอาริยชนและการพาณิชย์บุญนิยม ถูกมองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน ไปไม่ได้ กี่น้ำหรอก แต่ปัจจุบันนี้ร้านค้าในระบบบุญนิยมเติบโตและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ลูกค้าไว้วางใจว่าซื่อสัตย์ ของดี ราคาถูก

ด้านสังคม การสร้างชุมชนของคนมีศีล พึ่งตนเอง เน้นพออยู่พอกินแต่ช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกันได้ ก็ถูกกล่าวหาว่า เป็นคอมมิวนิสต์ แอบแฝงมาในเบื้องต้น ปัจจุบันก็พอได้รับการยอมรับว่าเป็นชุมชนเข้มแข็งพอสมควร เป็นเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำริ

คำตำหนิดูถูกหมิ่นหยามต่างๆนานาที่ ชาวอโศกได้รับนับเป็นวัคซีนช่วยให้ชาวอโศกอดทนเก่งขึ้น และได้แก้ไขปรับปรุงตน การกล่าวร้ายนับครั้งไม่ถ้วน ถือเป็นบาทฐานสู่การพัฒนาต่อไป เมื่อพ่อท่านเริ่มสร้างการเมืองแบบบุญนิยมขึ้นมา ก็จะได้รับ ข้อสอบ อีกหนัก

อาจเป็นไปได้ว่า ธรรมาธรรมะสงคราม หรือบทละครชีวิตของชาวอโศกฉากต่อนี้ไป จะเข้มข้น รุนแรง ดุเดือด สาหัสสากรรจ์ มากกว่า ได้รับคำตำหนิติเตียนมากกว่า ปี ๒๕๓๒ ที่ถูกสงฆ์กระแสหลักฟ้องร้องกล่าวหา และจับกุมดำเนินคดี เพราะฝ่าย การเมืองนั้น ย่อมหยาบ แถมมีเล่ห์กลและผลประโยชน์มากกว่าฝ่ายศาสนาแน่

พ่อท่านให้สัญญาณเตือนให้พวกเราทราบมาล่วงหน้าแล้วว่า ยุทธ์ศาสตร์ของบุญนิยมคือ คารโว นิวาโต อหิงสา อโหสิ ถือเป็น ยันต์กันผีกิเลสของชาวอโศกเอง ที่อาจจะเผลอหลุดออกมาอาละวาด เมื่อถูกกระทบกระแทกจากสื่อมวลชน ประชาชน และ ฝ่ายการเมือง

กับกรณีข้อบังคับของ กกต. ได้มีผู้เสนอว่าทางเราน่าจะรุกกลับไปที่ กกต.บ้าง แทนที่จะตั้งรับอย่างนี้ คือเราน่าจะถามไปที่ กกต.ว่า ถ้าพรรคการเมืองไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งจะมีโทษเป็นอย่างไร ถ้าแค่ถูกปรับเราจะยอมให้ถูกปรับดีไหม หรือถ้าแค่ กกต.ตัดเงินอุดหนุนพรรค เราก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว อีกคำถามหนึ่งก็คือ การบังคับให้พรรคการเมืองต้องส่งผู้สมัคร ลงเลือกตั้งนั้น เป็นการชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือเป็นการผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือเปล่า สุดท้ายนิยามที่ว่ าการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งของพรรคการเมือง เพื่อการได้มาของ สส.ในสภาที่มาก จะได้ไปชิงอำนาจ การบริหารปกครอง สิ่งนี้เป็นความถูกต้องสมบูรณ์แล้วหรือไม่ ถ้าจะมีพรรคการเมืองที่ไม่ได้แสวงหาอำนาจในสภาอย่างนั้น ถือเป็นความผิดด้วยหรือ

"การเมือง" ในทฤษฎีเดิมๆของทุนนิยมก็คือ การแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์

แต่ "การเมือง"ในทฤษฎีใหม่ของบุญนิยมคือ การเสียสละช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง ของผู้ที่ได้ลดละกิเลสถึงขั้น ได้โลกุตรผล โดยไม่มีผลประโยชน์ใดๆแอบแฝง ไม่แย่งชิงอำนาจ แต่อำนาจจะได้จากประชาชนยกให้เอง

บทสรุปท้ายของผู้เขียนที่ใช้นามปากกาว่า เอกราช มูเก็ม จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ ๗ กันยายน ความว่า... การเมืองใหม่นี้น่าสนใจยิ่ง โดยเฉพาะการเมืองแบบ "บุญนิยม" ของพรรคเพื่อฟ้าดิน กับการเมืองแบบ "ทุนนิยม" และนี่คือ จุดเริ่มต้น ของการปะทะกันของสองอารยธรรม ในมิติทางการเมืองที่น่า จับตาดูอย่างยิ่งครับ.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สบู่ใครคิดว่าสำคัญ ?

*** มารู้จักสบู่กันเถอะ
คนไทยผลิตสบู่ก้อนจากน้ำขี้เถ้า ใช้ในครัวเรือนมานาน สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน เพราะทำความสะอาดได้ดี เกิดฟองมาก มีกลิ่นหอม ราคาถูก ไม่เป็นพิษ วิวัฒนาการของสบู่จากอดีตถึงปัจจุบันนั้นมีการปรับปรุง และพัฒนาสูตรมากมาย เพื่อพยายามแก้ไขข้อเสียสำคัญของสบู่ คือความเป็นด่าง และการเกิดคราบไคลของตะกอนโลหะในน้ำด่าง จนปัจจุบันนี้ ถึงแม้ข้อเสียต่างๆของสบู่จะถูกปรับปรุงได้ไม่สมบูรณ์แบบมากนัก แต่ความนิยมการใช้สบู่ก็ยังคงมีอยู่ เนื่องจากราคาถูกเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นนั่นเอง นอกจากนี้ ค่านิยม ของสบู่เกี่ยวกับการฟอกให้เกิดฟอง มีกลิ่นหอม ติดทนนาน และใช้ได้นาน เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สบู่ยังคงใช้มากในปัจจุบัน

การผลิตสบู่ก้อนมีหลายระดับ
๑. ระดับในครัวเรือน
เป็นการผลิตสบู่ก้อนจากสารตั้งต้น โดยใช้สารเคมีอันตราย (โซดาไฟหรือชื่อทางเคมีคือโซเดียมไฮดอร์กไซต์) ส่วนหนึ่ง ในการทำปฏิกิริยา ซึ่งมีความจำเป็นต้องศึกษาวิธีผลิตอย่างละเอียดก่อนเริ่มผลิต ทั้งอุปกรณ์ กระบวนการผลิต สถานที่ผลิต รวมทั้งการบำบัดน้ำเสีย

สบู่เกิดจากการทำปฏิกิริยาของไขมัน ด่าง(โซดาไฟ) และน้ำ ที่อุณหภูมิพอเหมาะซึ่งจะได้สบู่ก้อนที่มีกลีเซอรีน ผสมอยู่ด้วย ดังรูป

ไขมัน + ด่าง + น้ำ + ส่วนผสมเพิ่มเติมในสบู่ เช่น สมุนไพร -->สบู่

ปกติ pH ของผิวหนังค่อนข้างมาทางกรดอ่อน pH ของสบู่ที่ดี ควรอยู่ระหว่าง ๘-๑๐ เพื่อให้ผิวหนังที่สัมผัสสบู่ ภายหลัง ล้างออก สามารถปรับสภาพกลับเช่นเดิมอย่างรวดเร็ว ไม่รู้สึกระคายเคือง ดังนั้นการทำปฏิกิริยาระหว่างกรดไขมันและด่าง จึงต้องทำให้ด่างและไขมันหมดพอดี หรือด่างทำปฏิกิริยาหมดและมีไขมันเหลือเล็กน้อย ห้ามมีด่างเหลือภายหลังทำ ปฏิกิริยา เพราะด่างที่เหลือจะทำอันตรายต่อผิวหนัง แต่ถ้ามี ไขมันเหลือ อาจทำให้สบู่เหม็นหืน

จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ เราสามารถคำนวณปริมาณด่างที่ใช้ ให้พอดี แต่ในทางปฏิบัติมักนิยมคำนวณปริมาณด่าง ที่ใช้น้อยกว่าพอดี เพื่อทำให้เหลือไขมัน ๕-๘ เปอร์เซ็นต์ หลังทำปฏิกิริยา

อย่างไรก็ดี ความผิดพลาดที่อาจเกิดจากมาตราชั่ง ตวง วัด ปัจจัยการผลิตอื่น หรือวิธีการผลิตอื่นอาจทำให้ปริมาณด่าง เหลือมากกว่าที่คำนวณไว้ จึงจำเป็นต้องควบคุมคุณภาพโดยการวัด pH ทุกครั้งที่ผลิต หลังจากสบู่แข็งตัวแล้ว

๒. ระดับอุตสาหกรรม
โรงงานส่วนใหญ่แยกเป็น ๒ ขั้นตอน ใช้หลักการเดียวกับวิธีผลิตสบู่ข้างต้นแต่แบ่ง การผลิตเป็น ๒ ขั้นตอน คือ การเตรียม เนื้อสบู่หรือเกล็ดสบู่ (soap chip) และการอัดเป็นก้อนสบู่ เพื่อให้ได้เนื้อสบู่ที่แน่น และแข็งขึ้นกว่าการเทใส่พิมพ์ ตามวิธีที่ผลิตตามบ้าน

การเตรียมเนื้อสบู่ จะใช้ด่างปริมาณมากกว่าอัตราส่วนระหว่างด่างกับไขมัน เพราะต้องการทำให้ไขมันทำปฏิกิริยาหมด ไม่เหลือค้าง แต่จะเหลือด่างกับกลีเซอรีน เป็นของเหลวแยกออกมา เอามาแยกกลีเซอรีนออกขาย และนำด่างกลับมาใช้ใหม่ หรือบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยออกสู่ธรรมชาติ ปกตินิยมทำ soap chip ของไขมันเดี่ยวแต่ละชนิด เช่น soap chip จาก tallow ทำจากไขมันวัว สำหรับประเทศไทยมีการผลิต soap chip จากน้ำมันปาล์ม ดังรูป

ไขมัน + ด่าง + น้ำ -> สบู่ + กลีเซอรีน + ด่าง

การอัดเป็นก้อนสบู่ ตามปกติจะใช้เครื่องจักรในการผสม soap chip อย่างน้อย ๒ ชนิด ในอัตราส่วนต่างๆกัน
เพื่อให้ได้เนื้อสบู่ที่แข็ง อ่อนนุ่มเมื่อใช้ บดรวมกับส่วนผสมอื่นๆ แล้วใช้เครื่องจักรปั๊มเป็นก้อน ตามลักษณะที่ต้องการ

ปัจจุบันผู้ผลิตทั่วไปนิยมผลิตสบู่ก้อนโดยซื้อเกล็ดสบู่จากโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่าการทำเองในระดับครัวเรือน เพราะสะดวก และปลอดภัยต่อตนเอง และธรรมชาติเนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมจะมีระบบป้องกันอันตรายและระบบกำจัดน้ำเสียที่ดี

การผลิตในระดับนี้เป็นการผลิตบนพื้นฐานภูมิปัญญาดั้งเเดิม ไม่ซับซัอนเป็นการพึ่งตนเองโดยใช้วัตถุดิบหลัก ที่มีอยู่ในประเทศ ซึ่งได้แก่ ไขมันต่างๆ และใช้สารสังเคราะห์ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศน้อยมาก เพียง ๑๐% เท่านั้น จึงราคาถูก ลดค่าใช้จ่ายช่วยเหลือเศรษฐกิจชุมชนได้มาก

แต่เนื่องจากวัตถุดิบหลัก(ไขมัน) ได้แก่ น้ำมันปาล์มในประเทศแถบเอเชีย ราคาถูกว่าในประเทศไทย ราคาเกล็ดสบู่ จึงถูกกว่า ดังนั้นผู้ผลิตส่วนหนึ่งจึงซื้อเกล็ดสบู่จากประเทศข้างเคียง

๓. ระดับนำเข้าจากต่างประเทศ
๑. เป็นการนำเข้าสารเคมีสังเคราะห์ต่างๆจากต่างประเทศมาผลิตเป็นเกล็ดสบู่ ใสในประเทศไทย

๒.เป็นเกล็ดสบู่ใสสำเร็จรูปที่ทำจากสารชำระล้างสังเคราะห์(และผสมสบู่ ปริมาณพอควร)เช่นเดียวกับแชมพู และ สบู่เหลว

ซึ่งการผลิตในระดับนี้เป็นการผลิตที่ซับซ้อนมาก (ยิ่งซับซ้อนก็ยิ่งทำลายธรรมชาติมากขึ้น) เพื่อพยายามแก้ไขข้อเสีย ของสบู่และสร้างแรงดึงดูดใจให้ผู้บริโภคนิยมมากขึ้น ราคาจึงแพง แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขข้อเสียของสบู่ได้หมด ทั้งในกระบวนการผลิตก็ยังต้องผสมสบู่ที่ใช้โซดาไฟทำปฏิกิริยาอยู่เพราะทำให้สบู่ทรงตัวเป็นก้อนได้ดี ไม่นิ่มเกินไป เพราะฉะนั้นที่มีผู้ผลิตบางรายใช้คำโฆษณาว่า สบู่ไร้โซดาไฟหรือไม่มีส่วนผสมของโซดาไฟจึงไม่ถูกต้อง

สบู่มีข้อเสียหลายประการ คือ
๑. ความระคายเคืองที่เกิดจากกรดไขมัน และเกลือของมัน โดยเฉพาะสบู่ที่เกิดจากกรดไขมันที่มีจำนวนคาร์บอน ๑๒ อะตอม

๒. การสูญเสียประสิทธิภาพ เช่น อำนาจชำระล้าง การละลาย และปริมาณ ฟองเมื่อใช้กับน้ำกระด้าง หรือน้ำที่มี แร่ธาตุสูง

๓. ความทนทานของผิวต่อสบู่ บางคนมีความไวต่อสบู่มาก ใช้แล้วผิวแห้ง แตก หยาบ หรือเกิดจากหลุดลอกของ หนังกำพร้าเป็นเกล็ดออกมา โดยเฉพาะผิวหน้าซึ่งเป็นผิวส่วนที่บอบบาง มีความต้านทานต่อสบู่ต่ำกว่าผิวหนังบริเวณอื่น

๔. ความระคายเคือง และการแพ้ต่อน้ำหอมที่ใช้แต่งกลิ่นสบู่ ซึ่งมักใช้ในปริมาณที่สูงพอที่จะมีกลิ่นหอมติดผิว บางชนิดมีการแต่งกลิ่นฉุนมาก สถาบันวิจัยในกรุงเบอร์ลิน (Institute for Constitutional Research in Berlin) ได้รายงานผล การทดสอบการแพ้ (patch test) พบว่าการแพ้สบู่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับสบู่ที่มีการแต่งกลิ่นหอม และเป็น การแพ้แบบปฐมภูมิ (Primary irritation)

เรียบเรียงและอ้างอิง จาก
- การสัมภาษณ์ รศ.ภญ.รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- คู่มือผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอางเพื่อเศรษฐกิจชุมชน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข
- เครื่องสำอางเพื่อความสะอาด ผู้ช่วย ศาสตราจารย์พิมพร ลีลาพรพิสิฐ ภาควิชาเภสัชอุตสาหกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ผักอินทรีย์ไทยโกอินเตอร์ "ริเวอร์แควฯ"
รุกตลาดในประเทศ (ตอน๑)

ในปัจจุบันอาชีพเกษตรกรของคนไทย จำเป็นต้องพัฒนาเทคนิควิธีการปลูกพืชให้สอดคล้องกับพฤติกรรม ของผู้บริโภค ซึ่งตอนนี้รูปแบบการเกษตรสมัยใหม่เน้นเลิกใช้สารเคมี เพราะเกิดการตื่นตัวเรื่องนี้กันมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดยุโรป ส่วนเอเชียแนวโน้มกำลังเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากเกษตรกรรายใดไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้จะมีผลกระทบในเรื่อง ของตลาด ราคาสินค้า รวมถึงการส่งออกนอกประเทศด้วย

"เกษตรอินทรีย์" เป็นระบบการเกษตรที่ผลิตอาหารและเส้นใยให้เกิดความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม สังคมและเศรษฐกิจ โดยเน้นหลักการปรับปรุงดิน การเคารพต่อธรรมชาติของพืชสัตว์และระบบนิเวศ หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีสังเคราะห์

"สุนทร ศรีทวี" ประธานกรรมการบริษัท ริเวอร์แคว อินเตอร์เนชั่นแนล อุตสาหกรรมอาหาร จำกัด ให้รายละเอียดว่า ริเวอร์แควฯเริ่มก่อตั้งเป็นผู้ผลิตและส่งออกผักแปรรูปตั้งแต่ปี ๒๕๓๐ ตอนนี้มีทุนจดทะเบียน ๓๕๐ ล้านบาท ส่งผลิตภัณฑ์ ไปขายต่างประเทศกว่า ๔๐ ประเทศ มีมูลค่าการส่งออกมากกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ ข้าวโพดฝักอ่อน กระเจี๊ยบเขียว หน่อไม้ฝรั่ง พริก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอาหารพร้อมทาน เช่น ชุดต้มยำ ชุดแกงไทย ชุดผัดผักรวม ขายในราคา แพ็กละ ๒๐๐ กว่าบาท

พื้นที่ไร่เกษตรอินทรีย์ของริเวอร์แควฯ ที่กาญจนบุรีมีมากกว่า ๑,๒๐๐ ไร่ ส่วนที่เชียงรายมี ๓๗๕ ไร่ ทั้งสองแห่ง ให้ความสำคัญ เกี่ยวกับการปลูกผักเกษตรอินทรีย์มาโดยตลอด จนได้รับการรับรองมาตรฐานจากสถาบันต่างประเทศ เช่น Soil Association Certification Limited ของอังกฤษ และเป็นไร่แห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ยังได้รับรอง จาก Soil Association UK,OMIC Japan และกรมวิชาการเกษตร เป็นต้น

กว่าจะได้เป็นผักอินทรีย์มีขั้นตอน พอสมควร สุนทรแจงว่า หลักสำคัญต้องเริ่มจากการเลือกพื้นที่ปลูก โดยพื้นที่ จะต้องไม่เคยใช้สารเคมีปุ๋ยเคมีมาก่อนอย่างน้อย ๓ ปี โดยเฉพาะพื้นที่ไม่มีความเสี่ยงกับสารปนเปื้อนข้างเคียง และไม่มีสาร ปนเปื้อนตกค้าง ในดินและแหล่งน้ำ พื้นที่ต้องมีการอนุรักษ์ป่าให้เป็นที่อยู่อาศัยของนกและแมลง ทำให้เกิด ความสมดุลทางธรรมชาติ ทั้งนี้ ห้ามใช้เมล็ดพันธุ์ที่มีการดัดแปลงทางพันธุกรรม (GMO)

การปรับปรุงบำรุงดินควรนำอินทรีย์วัตถุจากพืชและสัตว์ภายในฟาร์มมาใช้ให้เกิดประโยชน์ มีแผนการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ อย่าง ผสมผสาน และเหมาะสม โดยที่นี่จะปลูกต้นโสนฝรั่งเพื่อทำเป็นปุ๋ยพืชสดด้วย ห้ามนำมูลสัตว์ ที่ยังไม่ผ่านการหมักเบื้องต้น มาใช้กับพืช โดยตรง ถ้าจำเป็นต้องใช้สารเร่งการเจริญเติบโตและสารอื่นๆ อนุญาตให้ใช้พวก จุลินทรีย์ที่หมัก ได้จากพืช และสัตว์ โดยไม่มีสารปนเปื้อนตกค้างในผลิตภัณฑ์ ห้ามใช้สารเคมีสังเคราะห์เร่งการเจริญเติบโตทุกส่วนของพืช

วิธีการป้องกันกำจัดศัตรูพืช โรคพืช และวัชพืช ต้องมีการส่งเสริมให้มีการแพร่ขยายชนิดของสัตว์และแมลง เช่น มวนเพชฌฆาต ปลูกพืชขับไล่แมลงเป็นพืชร่วมในแปลงปลูกพืช หลีกเลี่ยงการปลูกพืชชนิดเดิมซ้ำบนแปลงเดียวกัน ใช้พืชสมุนไพร ที่มีคุณสมบัติ ในการป้องกันโรคแมลงศัตรูพืช.

(อ่านต่อฉบับหน้า)

(จาก นสพ.มติชน ฉบับวันที่ ๑๙ มิ.ย.๔๗)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


พ่อท่านยอมเปื้อนโคลนอีกครั้ง
เพื่อปรับทิฏฐิคนเรื่องการเมือง ให้เข้าใจว่า การเมืองที่ดีต้องมีธรรมะ

เมื่อวันที่ ๖ ก.ย. ๒๕๔๗ เวลา ๐๘.๔๕-๐๙.๑๕ น. พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ได้ให้สัมภาษณ์ทางวิทยุเป็นครั้งแรก เกี่ยวกับเรื่อง การเมืองของพรรคเพื่อฟ้าดิน ทางคลื่นเอฟ.เอ็ม ๙๖.๕ รายการเจาะลึก ทั่วไทย ถึงกรณีจะส่งพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ลงสมัคร รับเลือกตั้งส.ส.ในนามพรรคเพื่อฟ้าดิน นอกจากนี้หนังสือพิมพ์หลายฉบับได้ลงข่าวถึง กรณีดังกล่าว เช่น The Nation MONDAY, September ๖, ๒๐๐๔ SANTI ASOKE Bhodirak woos Chamlong, กรุงเทพธุรกิจ จันทร์ ๖ กันยายน ๒๕๔๗ โพธิรักษ์ทาบ "จำลอง" ลง ส.ส. นำพรรคฟ้าดิน กู้ภาพพจน์ปท. ถึงเวลามหา ๕ ขันเข้ามากอบกู้, โพสต์ทูเดย์ ๖ กันยายน ๒๕๔๗ หน้า ๖ คอลัมน์ โหมโรงเลือกตั้ง ๔๘ สันติอโศกทาบจำลอง ลง ส.ส.พรรคเพื่อฟ้าดิน, นสพ. คม ชัด ลึก จันทร์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๗ หน้า ๕ การเมือง เจ้าสำนักสันติอโศก เล็งทาบ "มหาจำลอง" ร่วมงานพรรค เพื่อฟ้าดิน ดันลง ส.ส.สมัยหน้า หวังช่วยกู้ภาพลักษณ์ การเมืองไทยที่อยู่ในสภาพเละเทะมานาน

นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับลงวันที่ ๖ ก.ย.๔๗ ได้ลงตีพิมพ์ว่า พรรคเพื่อ- ฟ้าดินจะทาบทาม "จำลอง ศรีเมือง" ลงสมัคร ส.ส. ในนามพรรค "สมณะ โพธิรักษ์" จะไปร้องขอด้วยตัวเอง ชี้ ถึงเวลาที่มหา ๕ ขันจะเข้ามากอบกู้ ภาพพจน์การเมืองไทย ที่เละเทะ อยู่ในเวลานี้แล้ว ชูแนวทางรากหญ้าของแท้ ด้วยเศรษฐกิจพอเพียง สู้กลุ่มทุนนิยม ลั่น จะเอาธรรมะเข้าไปยุ่งในการเมือง ที่วันนี้ไร้ คุณธรรม

สมณะโพธิรักษ์ เจ้าสำนักสันติอโศก ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษาพรรคเพื่อฟ้าดิน เปิดเผยว่า เขาจะไปทาบทาม พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ปรึกษาฝ่ายทรัพยากรบุคคลของนายกรัฐมนตรี มาลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรค เนื่องจากพรรค ต้องสรรหา สมาชิกพรรค ที่สังคมรู้จักไปลงสมัคร ส่วนจะได้รับเลือกหรือไม่ ไม่เป็นไร เพราะได้ทำตามหน้าที่แล้ว

"พรรคสนใจท่าน(จำลอง) แต่ติดเงื่อนไขที่พล.ต.จำลอง เคยประกาศไว้แล้ว ว่าจะไม่ลงการเมืองอีก ซึ่งอาตมา จะหารือกัน อีกครั้ง ให้ท่าน (จำลอง) ตัดสินใจใหม่ แม้ตอนนี้ ท่านจะเป็นประธานบอร์ด ศูนย์พัฒนาพลังแผ่นดิน ด้านจริยธรรม ของรัฐบาลก็ตาม แต่พรรคเพื่อฟ้าดิน เป็นพรรคอุดมคติ เงื่อนไขคุณสมบัติของผู้สมัครก็เยอะมาก และไม่มีการหาเสียง" สมณะโพธิรักษ์ กล่าวและว่า พรรคเพื่อฟ้าดินได้ก่อตั้งพรรคมาเป็นเวลา ๓ ปีแล้ว โดยยึดหลักบุญนิยม คือ ไม่รับเงิน หรือ ผลประโยชน์ ใดๆทั้งสิ้น จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะไม่รู้ว่านายกฯ จะยุบสภาเมื่อไหร่ หากชักช้า จะติดเงื่อนไข รัฐธรรมนูญ

สมณะ โพธิรักษ์ ยอมรับว่า พรรคเพื่อ ฟ้าดินเคยมีแนวคิดว่า จะยังไม่ส่งผู้สมัคร ส.ส. ในตอนนี้ เพราะยังไม่พร้อมในเรื่อง การทำงานให้ชุมชน ที่ยังไม่กว้างขวางเท่าที่ควร ซึ่งเป้าหมายเดิมนั้นจะส่งผู้สมัคร ส.ส. ในอีก ๒๐-๓๐ ปีข้างหน้า แบบไม่รับ เงินเดือน และผลตอบแทน หากมีการเลือกตั้งขึ้น ประชาชนจะเป็นผู้เสนอผู้สมัคร ส.ส.ขึ้นมา ด้วยตัวเองว่า ต้องการใคร ไปเป็น ส.ส. แต่เมื่อเราส่ง ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ รองเลขาธิการพรรคได้ไปประชุมกับ กกต. จึงทราบว่า จะต้องส่งคนลงสมัคร รับเลือกตั้ง ครั้งหน้าด้วย เราจึงต้องเร่งดำเนินการ มิฉะนั้น อาจถูกยุบพรรคได้

"แนวทางพรรคจะยึดหลักการ ๔ หลัก คือ ๑.เศรษฐกิจพึ่งตัวเอง ๒.ชุมชนเข้มแข็ง ๓.ประชาชนมีธรรม ๔.ประเทศเป็นไท ลดอบายมุข แนวทางการเมืองแบบนี้พิสูจน์ได้จากชุมชนต่างๆ ของสันติอโศกทั่วประเทศ ที่ชุมชนไม่มีการใช้เงินเลย ไม่มีการ หาเสียง ยังเว้นแต่มีป้ายโฆษณาแนะตัวเพียง ๑ แผ่นกลางชุมชนนั้นๆ ซึ่งเป็นนวัตกรรมการเมืองใหม่ ของโลก ซึ่งจะสวนทางกับ การเมืองปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับประชาชนจะตัดสินใจอย่างไร พรรคเพื่อฟ้าดินทำงานเพื่อชุมชนมา ๓ ปีเศษแล้ว เป็นการทำงาน แบบจิตภาพ ลดอบายมุข อบรมความคิดพึ่งตัวเอง เกษตรกรรมไร้สารพิษ ไม่ใช่การเมืองแบบ เอาเงินไปให้ประชาชน เราทำงาน เพื่อให้ประชาชนในชุมชนรู้ทันยุคบริโภคนิยมและทุนนิยมที่ขยายไปทั่วโลกที่ควรรู้ตัว ไม่ตกเป็นเหยื่อ" สมณะโพธิรักษ์ กล่าว

เจ้าสำนักสันติอโศก กล่าวอีกว่า สังคมขณะนี้ขาดภูมิคุ้มกันและปัญญา มีการมอมเมาการบริโภคไปทุกแห่ง หากประชาชน ไม่มีปัญญา แม้มีเงินมหาศาลก็ตกเป็นเหยื่อนายทุน การพัฒนาประเทศบนค่านิยมบริโภคในตอนนี้ของสังคมไทย และ สังคมโลก เหมือนกับคนติดฝิ่นในอดีต มันไม่สามารถทำให้สังคมดีขึ้นมาได้ ฉะนั้นพรรคเพื่อฟ้าดิน มีแนวทาง พัฒนาจิตใจ และความรู้ประชาชนเพื่อสร้างภูมิความรู้ให้ทันกับกระแสโลก พึ่งตัวเอง ตามแนวทางพระราชดำริ ในหลวง และไม่ถูกล้วงไส้ ล้วงตับ จนหมดไปแบบไม่รู้ตัว

"อาตมาขอยอมเป็นอีแร้งในสังคม เพราะสิ่งต่างๆที่อาตมากระทำมาตลอดนั้น กระทำด้วยความจริงใจ ไม่เคยทำอะไรผิด ตั้งใจช่วยสังคมให้พ้นทุกข์ ประชาชนมีศีลธรรม และพึ่งพาตัวเองได้ ทุกวันนี้สังคมเหลวไหลทั้งกฎหมายและค่านิยมต่างๆ ล่าสุดได้ยิน นายกรัฐมนตรีพูดว่า เอาธรรมะมายุ่งกับการเมือง แต่อาตมาคิดว่าพฤติกรรมแบบนั้น มันสร้างสรรค์ หรือทำลาย ขอให้ใช้สมองน้อยๆคิดด้วยมันผิด อาตมาและพรรคจะเอาธรรมะไปยุ่งกับการเมือง เพราะทุกวันนี้ การเมืองไม่มีคุณธรรมเลย นี่คือ สัจจะไม่ใช่โวหาร"

สมณะโพธิรักษ์ กล่าวด้วยว่า "การเมืองทุกวันนี้เข้มแข็งแต่ย่ำแย่และเละเทะลงทุกวัน เป็นการเมืองทุนนิยม อำนาจนิยม และ ศักดินาที่ทำลายประเทศ การเมืองตอนนี้มุ่งเน้นความชนะเท่านั้น โดยไม่สนใจ สิ่งอื่นๆ ถึงเวลา ที่ พล.ต.จำลอง ควรออกมากู้ ภาพลักษณ์ การเมืองไทย ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีไม่ทราบความหวังดีของ พล.ต.จำลอง ทำดีที่สุดแล้ว ตอนนี้คน กทม. เลยประชดการเมือง เช่น ไปเลือกนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้รับคะแนนกว่า ๓ แสนคะแนนในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่ผ่านมา หากพล.ต.จำลองได้รับการเลือกตั้งเข้าไป ต้องสู้กับคนอื่นที่หาเสียง และใช้เงิน ๔๐๐ กว่าคนในสภา ประชาชน จะรู้ว่าของจริง เป็นอย่างไร

"แหม!มันน่าตื่นเต้น และน่าดู ระหว่างการเมืองที่เป็นจริง ที่เน้นการไปทำงานกับประชาชน ไม่เอาเรื่องอำนาจ และ ไม่ใช้เงิน จะสู้กับการเมืองที่มุ่งแต่อำนาจกับการใช้เงิน อันไหนจะอยู่ได้ อาตมาอยากจะรู้ และอยากเห็น มันคงสนุกน่าดู ที่ผ่านมา มีแต่ลิเกการเมือง เมื่อเจอของจริงที่ประชาชนเลือกจริงๆ แล้วจะรู้ เพราะคนอย่าง พล.ต.จำลอง นั้นหากมีเลือด โลกียชน สักหน่อย คงสบายไปกว่านี้แล้ว ตำแหน่ง อะไรๆก็คงได้มากกว่านี้ อย่าลืมว่า พล.ต.จำลอง เป็นเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ เป็น พ.อ. ซึ่งเป็นเลขาธิการนายกฯ ที่หนุ่มที่สุดของเมืองไทยเป็นคนแรก" สมณะโพธิรักษ์กล่าว

จากกรณีข่าวต่างๆ ดังกล่าว ว่าที่ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อฟ้าดิน ได้ให้สัมภาษณ์ นสพ.ข่าวอโศก ถึงกรณี ที่เกิดขึ้นว่า

"ท่าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ไม่สามารถมาลงรับสมัครเลือกตั้งในนามของพรรคเพื่อฟ้าดินได้ เพราะท่านเป็น ประธานบอร์ด ศูนย์พัฒนา พลังแผ่นดิน ด้านจริยธรรม ของรัฐบาล ซึ่งกฎหมายกำหนดว่า ห้ามเล่นการเมือง

ดังนั้น หาก กกต.กำหนดว่าพรรคการเมือง ต้องส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง ทางพรรคก็จะส่ง น.ส.ขวัญดิน สิงห์คำ หัวหน้าพรรค ลงสมัคร เลือกตั้ง แต่หากว่า กกต.ไม่กำหนด ทางพรรคก็จะไม่ส่ง เพราะนโยบายของพรรค คือเราจะทำงานการเมือง คู่กับ ประชาชน เราอยากทำงาน ไปอีกสัก ๒๐ ปี ถึงจะส่งผู้สมัครลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งจะเป็นการสมัคร ส.ส.ที่ไม่หาเสียง เพียงแต่ มีรูปขนาดกลาง ติดประกาศ ให้ทราบไว้เท่านั้น ประชาชนจะเป็นคนเลือกเอง ถ้าต้องการ ให้ผู้สมัคร ของพรรคเพื่อฟ้าดิน เข้าไป เป็นตัวแทน ประชาชน ทำงานเพื่อประชาชน เขาต้องเลือกเราเข้าไป ไม่ใช่เราไปโฆษณา ชวนเชื่อให้เขาเลือกเรา" เลขาธิการ พรรคเพื่อฟ้าดิน กล่าวในที่สุด.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เริ่มงานสร้างตึกสาธารณโภคี
ย้ายลานจอดรถบจ.พลังบุญ ๒๐ ก.ย.๔๘ ต้องแล้วเสร็จ

บริเวณลานจอดรถบริษัทพลังบุญฯ
ณ วันนี้ปิดบริการแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๒๐ ก.ย. ๒๕๔๗ เป็นต้นมา รวมทั้งตลาดนัดกสิกรรมไร้สารพิษทุกวันอาทิตย์ ก็ได้ย้าย ไปอยู่ที่บริเวณซอยกลางหน้าสันติอโศก ทั้งนี้เพื่อปรับพื้นที่สร้างสถาบันบุญนิยมของชาวอโศก การก่อสร้าง สถาบันบุญนิยม มีรายละเอียด อย่างไร พบคำตอบได้จาก ว่าที่ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ ผู้จัดการสถาบันบุญนิยม

รายละเอียด-งบประมาณ
ระยะเวลาในการก่อสร้าง ๑ ปี เริ่มตั้งแต่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๗ และจะแล้วเสร็จวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๘ หากไม่เสร็จ เขาก็จะถูกปรับวันละ ๑ หมื่น จะเป็นตึกที่สวยสง่างามเท่าที่เราเคยมีมา บจ.พลังบุญเป็นผู้ทำสัญญาก่อสร้าง ในครั้งนี้ แต่เป็นทรัพย์สิน ของมูลนิธิธรรมสันติ

สำหรับค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างราคาอยู่ที่ ๓๑,๑๓๗,๓๔๕.๕๐ บาท (ไม่รวมค่าลิฟต์และเครื่องปรับอากาศ)

งบประมาณมาจากเงินสะสมของบจ.พลังบุญและองค์กรต่างๆรวม ๘ ล้านบาท และส่วนที่พลังบุญเก็บออมไว้ ประมาณ ๓ ล้านบาท สิ้นปีนี้พลังบุญก็สามารถจ่ายไปก่อนได้ ๑๑ ล้านบาท โดยจะจ่ายทั้งหมด ๑๑ งวด งวดละ ๑ ล้านบาท โดยเกื้อจาก สัจจะออมทรัพย์และกองบุญคุ้มครองภัย จำนวน ๒๐ ล้านบาท

ในส่วนเงินเกื้อจากกองบุญคุ้มครองภัย บจ.พลังบุญจะรับผิดชอบ ในการชำระคืน ๑๐ ล้านบาท ในฐานะที่ใช้พื้นที่ มากที่สุด สำหรับในส่วน ของสัจจะออมทรัพย์ ๑๐ ล้านบาท คกร.จะเป็นผู้สมทบ

การจัดแบ่งพื้นที่
ชั้นล่างจะเป็นร้านค้าของบจ. พลังบุญ ส่วนร้านพลังบุญเดิมด้านหน้า ก็คงไว้ ชั้น ๒ ก็จะเป็นที่ทำการ ของหน่วยงานต่างๆ ของชาวอโศก ชั้น ๓ จะเป็นห้องพักของคุณปั้นในฐานะเป็นเจ้าของที่ดินส่วนหนึ่ง ชั้น ๓,๔ เป็นที่พักของพนักงานฝ่ายหญิง- ฝ่ายชาย ของบจ.พลังบุญ

ชั้น ๕ เป็นห้องประชุม ๒ ห้อง ขนาดจุคนได้ประมาณ ๒๐๐ คน และจุคนได้ประมาณ ๔๐-๕๐ คน

ถือว่าเป็นตึกสาธารณโภคี จะเป็นสำนักงานที่ทำการขององค์กรต่างๆ ทั้งหมด ๑๙ ด้านของชาวอโศกที่จะไปอยู่ตรงนั้น แต่ตอนนี้ ที่ทำงานจริงๆ มี ๑๑ ด้าน เพราะยังขาดบุคลากร ตอนนี้สำนักงานสถาบันบุญนิยมอยู่ชั่วคราวที่ บจ.ฟ้าอภัยไปก่อน

ที่จอดรถสามารถจอดได้เพียง ๑๖ คัน ซึ่งได้ปรับให้ไปจอดรถในซอยนวมินทร์ ๔๔ (ซอยเทียมพร) บริเวณลานจอดรถ บจ.ฟ้าอภัย, ตึกแดง, ข้างโรงปุ๋ยและข้างตะวันงาย ๑

ประธานสถาบันบุญนิยม คือคุณสมพงษ์ ฟังเจริญจิตต์, เลขาธิการฯ คุณธำรงค์ แสงสุริยจันทร์, ผู้จัดการสำนักงาน สถาบัน บุญนิยม ว่าที่ ร.ต. แซมดิน เลิศบุศย์ รองผู้จัดการฯ คุณลัดดา ปิยะวงศ์รุ่งเรือง

หน้าที่ของสถาบันบุญนิยม
๑.เป็นหน่วยประสานงาน เครือข่ายองค์กรบุญนิยมด้านต่างๆของชาวอโศกให้ทำงานอย่างเป็นเอกภาพ ตามนโยบาย และทิศทางภายใต้กรอบอุดมการณ์บุญนิยม

๒.เป็นตัวแทนของเครือข่ายองค์กรบุญนิยมด้านต่างๆของชาวอโศก ในการประสานนโยบายกับหน่วยงาน และ องค์กรต่างๆภายนอก

๓.เป็นหน่วยงานประสานและสนับสนุนทางวิชาการ การฝึกอบรม การศึกษาวิจัย เพื่อการพัฒนานโยบายและ ทิศทางการดำเนินงานในระบบบุญนิยม.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ศูนย์สุขภาพเรื่องของโต๊ะทำงาน!

พวกเราชาวอโศกปฏิบัติธรรมตามเส้นทางอริยมรรคมีองค์ ๘ ของสัมมา สัมพุทธเจ้า จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่วันๆ (คืนๆ) จะเห็นภาพที่ชาวเราทำงานกันอย่างขะมักเขม้น(โดยไม่ต้องสร้างภาพ) บ้างก็ถนัดงานกลางแจ้ง บ้างก็ทำงานขีดๆเขียนๆ ซึ่งงานประเภทหลังนี้ ต้องอยู่กับบรรดาอุปกรณ์ไอทีทั้งหลายอย่างปฏิเสธไม่ได้ จึงเป็นที่มาของเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ ที่ได้นำมาฝากกันในฉบับนี้ โดยได้คัดมาจาก นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๑๕ มี.ค.๔๗ ดังนี้

"โต๊ะทำงานมีเชื้อโรคยิ่งกว่าส้วม เปื้อนแป้นพิมพ์เมาส์คอมพิวเตอร์"

แป้นพิมพ์ และเมาส์คอมพิวเตอร์ แม้แต่หน้าปัดหมุนเลขของโทรศัพท์ ได้ถูกพบว่าสกปรกโสโครกยิ่งกว่าที่นั่งบน โถส้วม เสียอีก กลายเป็นรังของเชื้อโรคอยู่กันอย่างยั้วเยี้ย ชุมกว่ากันถึง ๔๐๐ เท่า

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยอริโซนาแห่ง สหรัฐฯ ได้ค้นพบเมื่อสำรวจค้นหาเชื้อโรค ตามอุปกรณ์เหล่านั้น ในสำนักงานต่างๆ พบว่า มีเชื้อโรคบนเครื่องโทรศัพท์ในเนื้อที่ ๑ ตารางนิ้วมากถึง ๒๕,๑๒๗ ตัว บนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ ๓,๒๙๕ ตัว ที่เมาส์ ๑,๖๗๖ ตัว และแม้แต่ภายในสำนักงานเอง ก็ยังมีเชื้อโรคเฉลี่ยแล้วมากถึง ๒๐,๙๖๑ ตัว ยิ่งตามโต๊ะทำงานด้วยแล้ว ก็มีสภาพ เหมือนกับ เป็นโรงอาหาร ของพวกเชื้อโรคอย่างดี นักชีววิทยา นายชาร์ส์ เกอบา หัวหน้านักวิจัยกล่าวสรุปว่า ตามข้าวของ เหล่านั้น พูดกันโดยถัวเฉลี่ยแล้ว จะมี เชื้อโรคมากกว่าที่มีอยู่ตามที่นั่งบนส้วมกว่ากันถึง ๔๐๐ เท่า

เขาบอกต่อไปว่า เมื่อพนักงานคนไหนเป็นหวัด ไปจับต้องถูกที่ใดในสำนักงาน ก็จะถ่ายเทเชื้อโรคเอาไว้ เชื้อโรคหวัดและ ไข้หวัดใหญ่ สามารถจะอยู่บนพื้นที่ใดได้นานถึง ๗๒ ช.ม. ดังนั้นสำนักงานก็เท่ากับเป็นโรคกกไข่ของเชื้อโรคดีๆนี่เอง จึงควรจะได้ มีการฆ่าเชื้อโรคตามสำนักงานต่างๆ อยู่เป็นประจำ

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอเมริกัน เพิ่งออกเตือนไปเมื่อเดือนก่อน ให้ระวังเชื้อโรค แพร่กระจายในยามหน้าโรคหวัดระบาด ให้ปิดปากจมูก เมื่อเวลาไอจาม หมั่นล้างมือบ่อยๆ กับให้ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคถูตามโต๊ะทำงานด้วย

อ่านงานวิจัยข้างบนกันแล้ว ก็ขอ เชิญชวนจัดการงาน ๕ ส.ในสำนักงานของแต่ละฝ่าย โดยเฉพาะโต๊ะไหน ใครทำงาน อยู่ก็จะได้ปลอดภัย และมีสุขภาพดีโดยถ้วนหน้าไงคะ.

- บุญนำมา รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชาวอโศกศึกษางานวิจัย เจาะลึกถึงจิตวิญญาณ
ร่วมกับสมาคมวิจัยเชิงคุณภาพแห่งประเทศไทย

ตัวแทนทั้ง ๙ แห่งของชาวอโศกพร้อมเก็บข้อมูลในระยะเวลา ๓ เดือนใช้เวลา ๓ วันในการอบรม

ระหว่างวันที่๑-๓ กันยายน ๒๕๔๗ ชุมชนสันติอโศกร่วมกับสมาคมวิจัยเชิงคุณภาพ แห่งประเทศไทย (THAI ASSOCIATION QUALITATIVE RESEARCHERS) จัดอบรมวิจัยเชิงคุณภาพกับโครงการวิจัย "การสร้างเสริมสุขภาวะจิตวิญญาณ ศึกษา กรณี ชุมชนชาวอโศก" ครั้งที่ ๒ ให้แก่ผู้ช่วยวิจัยในโครงการฯ ซึ่งเป็นตัวแทนจากกลุ่ม/ชุมชนชาวอโศกจำนวน ๙ แห่ง ประกอบด้วย ชุมชนที่มีพุทธสถาน ๕ แห่งและกลุ่ม/ชุมชนที่ไม่มีพุทธสถาน ๔ แห่ง คือ ภาคเหนือ ๑.พุทธสถานภูผาฟ้าน้ำ จ.เชียงใหม่ ๒.ชุมชนดอยรายปลายฟ้า จ.เชียงราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๓.พุทธสถานศีรษะอโศก จ.ศรีสะเกษ ๔.ชุมชนดินหนองแดนเหนือ จ.อุดรธานี ภาคกลาง ๕.พุทธสถานสันติอโศก กรุงเทพฯ ๖.พุทธสถานปฐมอโศก จ.นครปฐม ๗.กลุ่มปราการอโศก ภาคตะวันออก ๘.กลุ่มศรีบูรพา จ.ปราจีนบุรี ภาคใต้ ๙.สังฆสถานทักษิณอโศก จ.ตรัง

การอบรมจัดขึ้นที่ห้องสัจจะออมทรัพย์ ชุมชนสันติอโศก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ

๑.ศึกษาแนวทางของชุมชนชาวอโศกในการสร้างเสริมสุขภาวะจิตวิญญาณ ได้แก่ ค่านิยมและความเชื่อ บรรทัดฐาน ทางสังคม วิถีชีวิตประจำวัน การงานอาชีพ วัฒนธรรมประเพณี การศึกษาและการบริหารปกครอง

๒.ศึกษาสุขภาวะจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นเป้าหมายของสมาชิกชุมชนชาวอโศก คือ ความเป็นคนเลี้ยงง่าย(ใช้ชีวิตเรียบง่าย) บำรุงง่าย(สอนง่ายพร้อมที่จะพัฒนาตนเอง) มักน้อย มีใจพอ(ยินดีในสิ่งที่ได้ที่เป็นอยู่) มีการขัดเกลากิเลสของตนเองและผู้อื่น มีศีลเคร่ง มีอาการน่าเลื่อมใส ไม่สะสม กอบโกย และขยัน

หลังเสร็จสิ้นการอบรมครั้งแรก (เมื่อ ๓-๕ พ.ค. ๒๕๔๗) ตัวแทนทั้ง ๙ แห่งได้ กลับไปเก็บข้อมูลกลุ่ม/ชุมชนของตนเอง เป็นระยะเวลา ๓ เดือน จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ๑๔ คน ประกอบด้วย (๑.)ผู้นำชุมชน ๑ คน เป็นบุคคลที่สมาชิกชุมชน เคารพ นับถือ เป็นผู้นำ จิตวิญญาณ (๒.)ที่ปรึกษาคณะกรรมการชุมชน ๓ คน เป็นผู้ทรงคุณธรรมและคุณวุฒิ ซึ่งกรรมการชุมชน ขอคำปรึกษา ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ (๓.)คณะกรรมการชุมชน ชุมชนละ ๕ คน ประกอบด้วย ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ผู้แทนฝ่ายการศึกษา ผู้แทนฝ่ายสาธารณสุข ผู้แทนฝ่ายเศรษฐกิจ (๔.)สมาชิกชุมชน ชุมชนละ ๕ คน ประกอบด้วย บุคคลที่ดำรงฐานะต่างๆกัน ได้แก่ นักบวช ผู้เตรียมบวช คนวัด สมาชิกชุมชน ญาติธรรม และสัมภาษณ์ แบบไม่มีโครงการ ไม่จำกัดจำนวน ซึ่งดูตามความเหมาะสม

การอบรมเริ่มตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐-๑๖.๐๐ น. ตลอดระยะเวลาทั้ง ๓ วัน ผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านงานวิจัย ประกอบด้วย ดร.ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ, ศ.ดร.สุภางค์ จันทวานิช และดร.สุชาดา รัชชูกุล ซึ่งแต่ละท่าน ได้มาให้ความรู้ ในภาคทฤษฎี และให้ฝึกทดลอง ปฏิบัติ ซึ่งหลังเสร็จสิ้นการอบรม ผู้เข้ารับการอบรมจะกลับไปเก็บข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง

อาจารย์ผู้บรรยาย และผู้อบรม ได้ให้สัมภาษณ์ ดังนี้

ศ.ดร.สุภางค์ จันทวานิช "ที่นี่ดีมากเลย เป็นชุมชนวิถีเรียบง่ายดี น่าสนใจ ที่จริงน่าจะเปิดคอร์ส ๕ วัน ๗ วัน อย่างที่เขา เปิดกัน ให้คนมาล้างซะหน่อยมาดีท็อกซ์จิตวิญญาณและร่างกายด้วย มากินอย่างนี้ มาปฏิบัติอย่างนี้ ชอบที่นี่น่ะ แต่ที่นี่ไม่ชอบ ให้ประชาสัมพันธ์ใช่มั้ย ถ้าไม่มากับรินธรรม ก็ไม่มีทางเจอที่นี่ มีโอกาสจะแวะมาอีก ชอบอาหาร มังสวิรัติ ชอบอะไร ที่สะอาดทั้งจิตทั้งกาย"

ดร.สุชาดา รัชชูกุล "ไม่เคยเข้ามาเลย พอเข้ามาแล้วสงบดี อยากจะให้คนได้รู้จักประทับใจมาก กลมกลืนกับธรรมชาติ ซึ่งหาไม่ได้ในเมือง มีความรู้สึกทางใจว่าเป็นธรรมชาติ ถ้าคนที่อยู่ในเมืองได้มีโอกาสเข้ามา จะช่วยให้เขาลดความเครียด หรือมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทางหนึ่งนะคะ"

น.ส.บุษกร กุลมาตย์ ทักษิณอโศก"ได้รู้อะไรหลายอย่าง เห็นเลยว่าคนทำงานวิจัยมีความคิดที่เป็นระบบมาก เป็นคนละเอียด เป็นคนช่างสังเกต ช่วยฝึกเรา ฝึกความเป็นระบบ ฝึกความอดทน ฝึกความใจเย็นในการไปเก็บข้อมูล"

น.ส.กุลยา แซ่ตัน ทักษิณอโศก "ได้ทบทวนสิ่งที่เราเคยทำมา ได้อะไรเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ เพราะว่าห่างเหินเรื่องนี้ มานาน จนกระทั่งรู้สึกว่าการวิจัยเชิงคุณภาพเป็นสิ่งที่น่าทำ เพราะต้องใช้ ความละเอียดประณีตมากกว่าเชิงปริมาณที่ตัวเองเคยทำมา และโชคดีที่ได้อาจารย์ที่ยอดเยี่ยมทั้ง ๓ ท่าน"

น.ส.รักษ์ศีล มณีกาญจนรัตน์ ภูผาฟ้าน้ำ "การวิจัยเชิงคุณภาพเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวพวกเรามากที่จะนำไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ ได้สะท้อนให้เห็นว่า การวิจัยทำให้เรามีมนุษยสัมพันธ์ รู้เขารู้เรา ได้ปรโตโฆสะและโยนิโสมนสิการ นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์"

น.ส.ใบทิพย์ เฉลยวิจิตร บูรพาอโศก "ไม่ได้มาอบรมครั้งแรก ครั้งนี้ได้ความรู้ กลับไปสัมภาษณ์อีกทำให้มีหลัก ในการสัมภาษณ์ และตรงประเด็นมากกว่าเดิม"

น.ส.สร้างฝัน โพธิอภิญาณพิสุทธิ์ ดอยรายปลายฟ้า "ได้เก็บข้อมูลมา ๑๐ คน ได้ความรู้ จะไปเก็บข้อมูลให้ละเอียด เพิ่มขึ้น ญาติธรรมให้ความร่วมมือในการให้สัมภาษณ์ดี รู้สึกเข้าใจเพิ่มขึ้น ได้ความรู้เพิ่มขึ้น"

น.ส.เสรี ทองพันธ์ ผู้ร่วมวิจัย "ไปเก็บข้อมูลกันมาแล้วฝึกปฏิบัติ ทำให้เข้าใจวิธีการที่จะวิเคราะห์ข้อมูล และแนวทาง ที่จะมาเขียน เป็นรายงานวิจัยชัดเจนขึ้น คิดว่าจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้วิจัยคือคุณรินธรรม เกี่ยวกับสุขภาวะ จิตวิญญาณ ที่ปฏิบัติมาและผลก็จะรวบรวมไว้ว่าปฏิบัติได้จริง คิดว่าคงบรรลุเป้าหมาย แต่ละชุมชน ให้ความร่วมมือ เป็นอย่างดี"

น.ส.ยุวดี รัดนิ่ม ปฐมอโศก "ดีมากๆ ได้ความรู้ในเรื่องการวิจัยเชิงคุณภาพ ทำมา ๑๑ คน แต่ว่าการวิจัยเชิงคุณภาพ จะไม่ค่อย มีคนวิจัย ส่วนใหญ่จะวิจัยเชิงปริมาณ ได้แนวคิดจากการอบรมและได้รู้จักวิเคราะห์ จะเอาสิ่งที่อาจารย์บอกเพิ่ม ไปทำ ให้สมบูรณ์"

ดร.รินธรรม อโศกตระกูล ผู้วิจัย "๓ เดือนที่ผ่านมา ๙ ชุมชนส่งข้อมูลมายังไม่ครบ ส่วนใหญ่กำลังเก็บข้อมูลกันอยู่ การอบรม ครั้งนี้ เพื่อพัฒนาแนวทางการเก็บข้อมูลให้ได้ดีได้ลึกตามวัตถุประสงค์

เป้าหมายของงานวิจัยจริงๆ เพื่อเก็บข้อมูลแนวทางการปฏิบัติธรรมของชาวอโศก จะต้องไปเก็บข้อมูลที่ถูกต้อง ตามหลักวิชาการ จะตั้งคำถามอย่างไรที่จะได้คำตอบที่ถูกต้อง ให้ได้คำตอบตามที่ต้องการ แล้วมีวิธีตรวจสอบ ข้อมูลที่ได้มาว่า มันเป็นจริงมั้ย

แต่พอไปขอทุนสสส.เขาต้องการมากกว่านั้น เขาต้องการแนวทางการพัฒนาสุขภาวะจิตวิญญาณเพื่อที่จะเอาไป เผยแพร่ ให้ผู้อื่น ได้นำไปปฏิบัติ เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณมนุษย์ในวงกว้าง ซึ่งไม่ใช่เป้าหมาย แต่ผลอันนั้นจะได้เอง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ ต่อสังคม วงกว้าง ใช้ระยะเวลา ๒ ปี ตั้งแต่พฤศจิกายน ๒๕๔๖ ทำมาแล้ว ๑๐ เดือน

อุปสรรคคือทั้งผู้ให้ข้อมูลและผู้เก็บข้อมูลติดงาน ไม่ค่อยมีเวลา ทำให้ยากที่จะสละเวลามาเก็บหรือมาให้ข้อมูล".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

หน้าปัดชาวหินฟ้า

เจริญธรรม สำนึกดี พบกับ นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๓๘ (๒๖๐) ปักษ์แรก ๑-๑๕ ก.ย.๔๗

ฉบับนี้เรามีความเคลื่อนไหวในหมู่กลุ่มมาฝากกัน ดังนี้

สัจจะชีวิตฯ...ก่อนจะไปเรื่องอื่น ขอประชาสัมพันธ์ถึงหนังสือ "สัจจะชีวิตของสมณะโพธิรักษ์" ที่มีดำริกันว่า จะจัดทำขึ้น เพื่อเป็นหนังสือที่ระลึกฉลองครบ ๗๒ ปีเต็มในวันที่ ๔ มิ.ย.๔๙ โดยทางมูลนิธิธรรมสันติ ได้ตั้งคณะทำงาน เพื่อดำเนินการ รวบรวม หนังสือดังกล่าวในฉบับปรับปรุงใหม่ ซึ่งครบสมบูรณ์ทั้งเนื้อหาและรูปเรื่องรวมทั้งสิ้น ๔ ภาค พิมพ์ด้วยกระดาษปอนด์ ถนอมสายตา มีภาพ ๔ สี ปกแข็งเย็บกี่อย่างดี กำหนดทยอยเสร็จทันตามวาระสำคัญต่างๆของชาวอโศก ซึ่งแต่ละภาค จะมียอด การจัดพิมพ์ จำนวนจำกัด ราคาเผยแพร่สำหรับผู้สั่งจองเพียงชุดละ(๔ เล่ม) ๙๙๙ บาทเท่านั้น (ในขณะที่ ราคากระดาษ ได้ทยอยขึ้นอีก ๓๐ % แล้ว)

ซึ่งขณะนี้ภาค ๑ (ชีวิตโลกียะ) ได้รวบรวมเสร็จแล้ว พร้อมดำเนินการจัดพิมพ์ออกเผยแพร่ให้ทันงานมหาปวารณาปีนี้ แต่จิ้งหรีดรู้มาว่า ยังมียอดสั่งจองเข้ามาน้อย อาจเป็นเพราะหลายๆท่านคิดว่า รอให้เห็นหนังสือ หรือหนังสือพิมพ์เสร็จก่อน (เหมือน จิ้งหรีด แต่ตอนนี้จองและจ่ายเงินแล้วฮะ) ก็เลยขออนุญาตคณะผู้จัดทำ บอกเล่าถึงท่านญาติธรรม ที่ประสงค์ จะซื้อหนังสือ ดังกล่าวไว้เป็นสมบัติส่วนตัว หรือเพื่อบริจาคให้ส่วนกลางในชุมชนต่างๆ ก็ขอให้รีบสั่งจอง เข้ามาได้ทันที (เพราะไหนๆ ก็ตั้งใจ จะซื้ออยู่แล้วไง) เพราะเห็นคณะทำงานที่งานทำหนังสือก็เต็มที่ อยู่แล้ว ตอนนี้ยังต้องวิ่งหาเงินทุน จัดพิมพ์ล่วงหน้า อีกด้วย รายละเอียดการสั่งจองติดต่อได้ที่ ธรรมทัศน์สมาคม โทร.๐-๒๓๗๕-๔๕๐๖,๐-๙๒๐๗-๕๑๒๐ และ แฟกซ์ ๐-๒๗๓๓-๔๐๒๗ จิ้งหรีดก็ขออนุญาต เป็นสื่อกลางนำมาเล่าสู่กันฟัง และขออนุโมทนาล่วงหน้านะฮะ... สามัคคีคือพลัง สาธุ...จี๊ดๆๆๆ...


อโศกไม่ตกยุค...ช่วงที่ผ่านมาใครๆก็พูดถึงแต่เรื่องกีฬาโอลิมปิก อโศกก็ไม่น้อยหน้า เด็กนักเรียนสัมมาสิกขา ม.๓ สันติอโศก จัดการประชุมเชิงอภิปรายเรื่อง "การกีฬากับสัมมาสิกขา" นำทีมทัพนักกีฬาโดย คุรุชุบชีพ สุขสวัสดิ์ (คุรุภาษาไทย) จัดสอบ แบบเจอของจริง ณ บริเวณศาลาฟังธรรม ประเด็นน่าสนใจเรื่อง ลานกีฬาอเนกประสงค์ และการเพิ่มวิชาพละ ดำเนินรายการ โดยน้องปวีณา ปาทาน ฟังแล้วบอกได้คำเดียว ว่า วิสัยทัศน์ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะกีฬาวิถีพุทธ เป็นการประยุกต์กีฬาที่มีอยู่แล้ว อย่างสร้างสรร ฯลฯ สาธุ อโศกรุ่นใหม่ หัวใจวิถีพุทธนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ...


นักรบฯคนใหม่...คุณตั๊ก(ยิ่งรักเตโช) อาจหาญแกล้วกล้า สลัดเครื่องพันธนาการ เข้ามาอยู่ตึกขาว เพื่อเป็นนักรบ โลกุตระ คนใหม่ เรียบร้อยแล้ว อนุโมทนาสาธุฮะ... จี๊ดๆๆๆ...


คนเกินร้อย...เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนเกินร้อย ช่วงนี้ที่พุทธสถานสันติอโศก ได้มีโอกาสต้อนรับผู้มาเยือนมากมาย บางคน ที่เป็นคน เคยคุ้นมาก่อน แต่เกินร้อยไปสักนิด ก็เข้ามาสร้างความลำบากใจให้แก่ชุมชน ดีที่มีอากวี คอยสอดส่องดูแล ช่วยกันเชื้อเชิญ ให้ไปสงบสติอารมณ์ที่ โรงพยาบาล แต่เชิญไปเชิญมา อากวีของเราก็ได้รับการคารวะ ที่เหนือ ความคาดหมาย ด้วยหมัดล้วนๆเข้าที่เบ้าตา เล่นเอา(ตา) เขียวไปหลายวัน แหม!สงสัยวิชาลมปราณ ที่อากวีฝึก ทุกวี่ทุกวัน จะไม่เพียงพอซะแล้ว แต่ถึงยังไง ก็ขออนุโมทนาสาธุดังๆ ที่(ตา) เขียวนี้เพื่อชุมชนนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ...


ทีมเวิร์คดี...ฟุตบอลและกีฬาโอลิมปิก ก็ปิดฉากไปเรียบร้อยแล้ว จริงอย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ความสุข สนุกสนาน ทางโลกีย์เป็นของชั่วคราว แต่เอาเงินออกจากระเป๋าคนจน(และไม่จน) แต่ไร้ปัญญาไปมากพอดู สู้ทีมเวิร์ค ของสมณะ ที่ปฐมอโศก ไม่ได้ เพราะได้ข่าวมาว่า สนุกสนานยิ่งกว่าฟุตบอลหลายเท่า เพราะจิ้งหรีด ช่วงที่เกาะ ขาพัดลมหมุนก็เห็นกะตาว่า บรรยากาศการประชุมของสมณะที่นั่นเป็นไปด้วยดี มีท่านร่มเมือง ชงเรื่อง ท่านนาไท รับลูกต่อ หรือบางที ก็ผลัดกันชง เสร็จแล้ว ภันเตกุสโล ก็ยิงเข้าประตู (สรุปประเด็น) ส่วนสมณะนวกะ ก็ไปเป็นกองเชียร์ทำหน้าที่ดู และลุ้นอย่างสนุก เห็นแล้ว ก็มีชีวิตชีวาดี เรื่องที่ประชุมก็มีหลายต่อหลายเรื่อง คนวัดบางคนมีปัญหาเรื่องงานนั้นงานนี้ ส่วนเรื่องกิจกรรมช่วงนี้ คนมาดูงาน และจัดงานตลอดสัปดาห์ สมณะก็ช่วยกันวางตัววางแผน ยังกะโค้ชฟุตบอล จิ้งหรีดถึงว่า ฟังดูการประชุมสนุกกว่าฟุตบอลอีก เพราะมีสาระกว่า จริงไหมฮะ...จี๊ดๆๆๆ...


ชีวิตชาวบ้านราชฯเมืองเรือ...กิจวัตร ที่บ้านราชฯช่วงนี้ไม่มีทำวัตรเช้า ตั้งแต่เข้าพรรษาเพราะเหตุไม่สะดวก หลายประการ เช่น น้ำท่วมก็อ่วมอรทัยแล้วนะฮะ จิ้งหรีดยังเห็นคนวัด ชาวชุมชน เด็กๆต่างออกไปทำงาน ที่อุทยานบุญนิยม และสหกรณ์ฯ ตั้งแต่ตี ๔ ส่วนใหญ่จะทำวัตรเย็นเกือบทุกวัน เพราะจะพร้อมหน้าพร้อมตากันมากกว่า และพ่อท่านก็ยังเมตตา มาพบนิสิต ม.วช. และร่วม ทำวัตรเย็นด้วย ในบางคราว

จิ้งหรีดได้สัมผัสถึงความสงบ ความเบิกบานจากพ่อท่าน เพราะพ่อท่านออกนำสายบิณฑบาต โดยการนั่งเรือ ออกจากบ้านราชฯ และนั่งรถต่อออกไปบิณฑบาตในเมือง แม้ฝนจะตกก็ออกไปบิณฑบาตตากฝนเปียกปอนกันหมด นอกจากนี้ ยังประทับใจ ในความศรัทธา ของญาติโยม ที่ใส่บาตรกันเยอะทีเดียวโดยไม่หวั่นฝนตกแม้แต่น้อย

มีวันหนึ่งพ่อท่านนำสายบิณฑบาตตากฝนที่ตกลงมาแรงพอควร พอดีโยมจะใส่บาตร เขาตั้งเก้าอี้ไว้และนิมนต์ แต่ก็วิ่งไปเอา อาหารที่บ้าน พอวิ่งถืออาหารมา พ่อท่านเห็นว่า โยมจะเปียกฝนเวลาใส่บาตร จึงยกเก้าอี้ที่โยมใช้วางอาหารใส่บาตร ไปวางไว้ ใต้ต้นไม้ ให้โยมได้วางอาหารทันพอดี จิ้งหรีดเห็นภาพนั้นแล้วก็ซาบซึ้งใจ ในน้ำใจพระโพธิสัตว์ ซึ่งมีน้ำใจ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องที่ ดูเหมือนเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย

จิ้งหรีดสำรวจดูอาหารที่ญาติโยมใส่บาตร ก็มีข้าวเหนียว ผลไม้ และขนมหลายกะละมัง แต่น่าสงสารกิเลส เพราะพรรษา นี้ตั้งตบะหรรษา ละความอร่อย กันหลายรูป อย่างน้อยก็จะไม่กินขนม รวมทั้งจิ้งหรีด ตัวนี้ด้วยนะฮะ

ช่วงที่ผ่านมาบ้านราชฯ น้ำท่วมขึ้นเรื่อยๆ หลวงตาพรหมฯก็เอาภาระเรื่องดูแลเรือดีมาก ท่านฟ้าไทก็ตอกหมันยา ชันเรือ ที่รั่ว ส่วนหมู่สงฆ์ที่นี่ จะพูดคุยกันทุกวันพุธ และมีการศึกษาพระธรรมวินัยด้วย ตอนบ่าย ๒ ของทุกวัน ก็พยายามจะมา ฮอมแฮง กันทำงาน น้ำท่วมอย่างไร คนที่นี่ก็ยังยิ้มแย้มกันได้อยู่ จะมีก็แต่เรือที่ไม่พอใช้กัน เพราะในชุมชน ไม่มีดินให้เดินกันแล้วไง (แต่ตอนนี้ ได้ข่าวว่า ระดับน้ำกำลังลดลง ปัญหาเรือไม่พอใช้ก็คงหมดแล้วกระมัง)... จี๊ดๆๆๆ...


ปวารณากันก่อน...ใครๆก็รู้ว่า ลูกเคารพพ่อแม่ น้องเคารพพี่เป็นสิ่งดีที่น่าประทับใจ จิ้งหรีดก็รู้สึกประทับใจ สมณะดงดิน ที่เขียนจดหมายถึงสมณะผู้พี่ก่อนที่จะไปจำพรรษาที่สังฆสถานหินผาฟ้าน้ำว่า ยังมีความตั้งใจที่ดีอยู่ โดยพยายามรู้ว่า สิ่งไหนเหมาะ ควรที่จะทำลงไป แบบไม่เอาแต่ใจตนเองจนเกินไป ท่านรู้สึกว่า บางครั้ง ท่านก็เหมือนเด็กๆ และทำอะไรลงไป ก็มีปัญหาอยู่เรื่อย แต่ท่านก็รู้สึกว่าโชคดีที่มีพี่มีน้องที่ดี คอยว่ากล่าวตักเตือน แนะนำให้ความเอ็นดูมีเมตตา แก่ตัวท่านเอง สุดท้าย สมณะดงดิน ก็ปวารณาต่อภันเตว่า หากภันเตจะมีข้อฝาก หรือข้อคิดอะไรแก่ท่าน ท่านก็ยินดีน้อมรับ

จิ้งหรีดก็รู้สึกประทับใจในความอ่อนน้อมของสมณะผู้น้องต่อผู้พี่ แถมท่านดงดินยังขอขุมทรัพย์จากสมณะรุ่นน้อง ด้วยนะฮะ

อย่างนี้ ถ้าจะเรียกว่า ปวารณาเข้าพรรษา คงไม่ผิดนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ...

ตลาดนัดฯ...ตอนนี้ตลาดนัดไร้สารพิษชุมชนสันติอโศกวันอาทิตย์ ได้ย้ายจาก ลานจอดรถหลัง บจ.พลังบุญ มาตั้งในซอย นวมินทร์ ๔๖ (ซอยทาวน์เฮ้าส์) มา ๒-๓ อาทิตย์แล้ว แต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ ก.ย. รู้สึกว่าจะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะพอ มีประกาศว่า จะมีอาหารของครูเพียร จากมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อนมาร่วมออกร้านด้วย ก็พลันเห็นบรรดา ผู้ที่ติดใจ ในฝีมือการทำ อาหารของครูเพียรมาอุดหนุนกันใหญ่ ทำให้บรรยากาศของตลาดนัดฯยิ่งคึกคักขึ้นไปอีก...เราจะมีแต่สิ่งดีๆให้แก่ทุกๆคน สาธุ... จี๊ดๆๆๆ...


สาธารณโภคีก้าวหน้า...สันติอโศกนอกจากทุกหน่วยงานจะนำเงินมารวมกันแล้ว ครัวของทุกหน่วยงานก็รวมอยู่ที่ ชมร. สาขา หน้าสันติฯด้วย นับวันบรรยากาศก็ดียิ่งขึ้น ลงตัว มีความเป็นพี่เป็นน้องสูงขึ้นเรื่อยๆ เยี่ยมมากเลยฮะ จิ้งหรีดไปสังเกตการณ์ แล้วอดปลื้ม แทนพ่อท่านไม่ได้ ที่ลูกๆแต่ละหน่วยงาน สามารถรวมกันเป็นหนึ่ง ได้เป็นอย่างดี ถ้อยที ถ้อยอาศัย แบบพี่แบบน้อง เรียกว่า ลงตัวเลยละฮะ และขอชมเชย ทีมผู้รับใช้ชมร.ที่มีอัธยาศัยดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณเล็ก (ดาบบุญ) คุณนี(ปีกฟ้า) และท่านอื่นๆ อย่างนี้แหละฮะที่เขาพูดว่า "คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก..." จี๊ดๆๆๆ


ครบรอบ ๑๓ ปี... ๗ ก.ย.๒๕๔๗ ครบรอบวันเสียชีวิตของคุณพรพิชัย เจียมกัลชาญ(ปุ๊) นักรบบุญนิยมแห่งกองทัพธรรม ชมร. สาขาหน้าสันติอโศกร่วมรำลึก แจก อาหารฟรีทุกแผนก และที่ศาลาส่วนกลาง ฉายวีซีดี เรื่องราวของคุณพรพิชัยให้ชม ขณะ รับประทานอาหาร สส.สอ.(สัมมาสิกขาสันติฯ) สนใจเข้ามาร่วมชม และซักถาม หากตายปุ๊บเกิดปั๊บ ก็อายุประมาณ ๑๒ ปี เท่ากับ นร.ม.๑นี่แหละฮะ หรือว่าเป็น...??... จิ้งหรีดไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร เอาเป็นว่าใครขยันทั้งงานนอกงานใน คนนั้นคือ คุณพรพิชัยก็แล้วกัน...จี๊ดๆๆๆ...

มรณัสสติ
นายจ่อย เรืองศรีจันทร์ อายุ ๘๓ ปี โยมพ่อของสมณะก้อนหิน โชติปาสาโณ เสียชีวิตด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ ๖ ก.ย.๔๗ ฌาปนกิจศพ เมื่อวันที่ ๙ ก.ย.๔๗ ที่วัดสลกบาตร ต.สลกบาตร อ.ขาณุวรลักษบุรี จ.กำแพงเพชร

สำหรับคติธรรม-คำสอนของพ่อท่านประจำฉบับนี้ มีว่า

เรามาศึกษาฝึกฝนก็เพื่อทำประโยชน์ตน
คือ ทำตนให้พ้นทุกข์ และทำประโยชน์ท่าน
คือ มีชีวิตที่เป็นตัวอย่างหรือเป็นครู
ด้วยเจตนา มีเจตนารมณ์ที่จะให้คนอื่น
เป็นอย่างเรา รู้อย่างเรา.
(๑ ธ.ค.๓๖) (จากหนังสือโศลกธรรม สมณะโพธิรักษ์ หน้า ๘๖)

พบกันใหม่ฉบับหน้า

- จิ้งหรีด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน อินทร์บุรี

สมณะเสียงศีล ชาตวโร และ สมณะบินก้าว อิทธิภาโว ประธานและรองประธานชมรมวิทยุชุมชนบุญนิยม ได้รับนิมนต์ ในวันที่ ๑๔ ส.ค.๔๗ ให้ไปร่วมเป็นวิทยากร อภิปรายในหัวข้อเรื่อง "คลื่นวิทยุชุมชน ประชาชนเป็นเจ้าของ" ที่มหาวิทยาลัย ราชภัฏ นครปฐม ซึ่งถูกจัดเป็นเวทีเสวนาในรูปแบบเวทีสาธารณะ หรือ เวทีชาวบ้าน ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่ง ในงานที่ทาง มหาวิทยาลัย ดังกล่าว ได้จัดขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีพระชนมายุ ๗๒ พรรษา

โดยมีอธิการบดีและคณาจารย์ระดับปริญญาเอก นิสิต นักศึกษา ประชาชนเกือบ ๒๐๐ คน นั่งฟัง มีการแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น และร่วมกันแสดงออกเกี่ยวกับเรื่องสิทธิของประชาชนในการมีวิทยุชุมชน ซึ่งบรรยากาศ ของการเสวนาเข้มข้น และ เป็นกันเองดีมาก

ผลจากการที่สมณะทั้งสองได้ไปร่วมเป็นวิทยากรในคราวนี้ ทำให้มีอาจารย์ จากมหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้ร่วมนั่งฟัง นิมนต์ สมณะเสียงศีล ชาตวโร ไปร่วมเป็นวิทยากรบรรยายต่อที่มหาวิทยาลัยมหิดล (ศาลายา) นครปฐม เกี่ยวกับเรื่องวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ของชุมชนริมแม่น้ำท่าจีนและแม่กลอง ว่าจะช่วยกันรักษาแม่น้ำ ให้สะอาด ได้อย่างไร โดยกำหนดจัดที่ มหาวิทยาลัยมหิดล ในวันที่ ๒ ก.ย.๔๗ นี้.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชื่อ น.ส.เกียว แซ่ลิ้ม
เกิด พ.ศ.๒๔๘๒ อายุ ๖๕ ปี
ภูมิลำเนา อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์
การศึกษา ป.๔
สถานภาพ โสด
น้ำหนัก ๖๓ กก.
ส่วนสูง ๑๖๔ ซ.ม.

ในงานต่างๅของชาวอโศก หลายคนคงได้ลิ้มรสก๋วยเตี๋ยวเป็ดเจของเจ๊เกียว กันมาบ้างแล้ว ในงานสืบทอดสายธาร น้ำใจกวีซีไรท์ อังคาร กัลยาณพงศ์ เจ๊เกียวก็นำก๋วยเตี๋ยวเป็ดเจ มาร่วมงานด้วย นอกจากก๋วยเตี๋ยวจะรสเลิศแล้ว หลายคนอาจไม่ทราบว่า เจ๊เกียวเป็นโสด

*** เป็นลูกคนสุดท้อง
มีพี่น้อง ๔ คน พ่อแม่มาจากเมืองจีน มีอาชีพเผาถ่านและค้าขาย พ่อตายตั้งแต่ป้ายังไม่เข้าโรงเรียน แม่หาเลี้ยง ครอบครัว ป้าต้องช่วยเหลือตัวเอง รู้จักทำมาหากินตั้งแต่ยังไม่จบป.๔ เขาจ้างทำอะไรทำได้หมด หาบข้าวลงเรือตั้งแต่หาบได้ ๑ ถัง จนสามารถ ซื้อข้าวเปลือกใส่ยุ้งไว้ขายเอง สมัยนั้นใช้เกวียนลาก โตขึ้นก็ขายพืชไร่ ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ป้าขนเอง ๑๐๐ กิโลนี่ สบายมาก

*** เป็นโสดทำไม
ไม่เคยมีแฟน แต่มีคนมาจีบ ไม่เคยคิดเรื่องชีวิตคู่ คิดแต่เรื่องทำมาหากิน คิดว่าการที่เราไปอยู่กัน ๒ คน เราต้อง เอาใจเขา มันน่าเบื่อ เราก็ช่วยเหลือตัวเองได้ ทำไมต้องพึ่งใครให้มาหาเลี้ยงเรา แก่ไปก็ไม่กลัวหรอกว่าจะไม่มีใครเลี้ยง เพราะป้า ทำงานหาเงิน สำหรับไว้ใช้จนตายเรียบร้อยแล้ว ไม่คิดเอาเด็กมาเลี้ยง ถึงมาอยู่ร่วมกัน หากเราไม่ได้สร้างบุญ ร่วมกันมา เขาก็ไม่อยู่กับเราหรอก

*** พบสัจธรรมชีวิต
ประมาณปี ๒๕๒๐ ส.ม.มาบรรจบ, ส.ม.จินดา, ส.ม.ลออ และส.ม.บุญจริง เดินจาริกผ่านไปทางนครสวรรค์ มีคนมาบอกว่า มีพระธุดงค์ ป้าจึงไปดูและนิมนต์ท่านไปปักกลดที่บ้าน ๑ คืน พอรุ่งเช้า ท่านก็จาริกไปบางมูลนาก ป้าก็เริ่มกินมังสวิรัติ ตั้งแต่นั้น จนถึงทุกวันนี้

*** สู่ชุมชนปฐมอโศก
เห็นว่าเงินที่เก็บหอมรอมริบมานั้นพอใช้แล้ว ก็เลิกขายพืชไร่ ตัดสินใจมาอยู่ปฐมอโศก ช่วยงานในครัว ตั้งแต่เข้ามาอยู่ จนทุกวันนี้แหละไม่ได้ย้ายไปอยู่ฐานไหนเลย งานอบรมก็ช่วยทำก๋วยเตี๋ยว และช่วยทำกับข้าว เวลาพุทธสถานอื่นมีงาน ก็เอา ก๋วยเตี๋ยวเป็ดเจ ไปร่วมงานเสมอ ผัสสะมี ก็พยายามทำโจทย์อยู่ มีความสุขกับการทำงาน แม้จะเหนื่อยก็เต็มใจ

ไม่ห่วงอะไร มั่นใจในสังคมนี้เรามีพี่น้องช่วยเหลือเจือจุนกัน โชคดีที่เราเป็นโสดไม่ต้องไปคอยห่วงลูกห่วงหลาน เรื่องตายไม่กลัว แต่ก็ไม่อยากทรมาน ตายกับอโศกนี่แหละ ตายแล้วเขาคงไม่ปล่อยให้เหม็นมั้งคงเอาไปเผาให้ จะเผาที่ปฐมฯนี่แหละ ไม่มีอะไรจะฝาก ฉันพูดไม่เก่ง


ป้าเป็นโสดได้เพราะไม่มีเวลาไปฟุ้งซ่าน หมดวันไปกับการทำมาหากิน ใครอยากมีความสุข ไม่ต้องไปห่วงใครๆ เหมือนอย่าง ป้าเกียวบ้าง ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานสั่งสมบารมีพร้อมกับล้างกิเลสไปด้วย นอกจากจะอิสระ ยังได้รับคำชม จากพระพุทธเจ้า อีกว่า เป็นบัณฑิต

- บุญนำพา รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ผลวิจัยน้ำฉี่ของชาวอโศก

"เก็บมาฝาก" ฉบับนี้มีที่มามาจากงานวิจัยเกี่ยวกับการใช้น้ำมูตรบำบัดในเครือข่ายชาวอโศก ที่ผู้ทำการวิจัยได้มาขอ ข้อมูล จากชาวเราในงานอโศกรำลึก'๔๗ ที่ผ่านมา ซึ่งหลายต่อหลายท่านน่าจะได้ทราบถึงผลสรุปงานวิจัยที่ออกมา นอกจากนี้ นสพ. ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๔ ก.ย.๔๗ ยังได้นำเรื่องงานวิจัยนี้ไปลงตีพิมพ์อีกด้วย ซึ่งเนื้อความของข่าวมีดังนี้

"ดื่มน้ำฉี่รักษาโรคได้หลายโรค
มีที่มาจากพระโตรปิฎก"

นักวิจัยเผยน้ำปัสสาวะสุดมหัศจรรย์ สามารถแก้โรคได้สารพัด แถมช่วยชะลอความแก่ ลดสิวฝ้า แก้ผมหงอก พร้อมเผย สาเหตุการใช้ส่วนใหญ่ เพราะพระไตรปิฎก ระบุไว้

นางราตรี ชีพอุดมวิทย์ นักวิชาการกองการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวง สาธารณสุข กล่าวถึงงานวิจัยเรื่อง "การศึกษาการใช้น้ำมูตรบำบัดในเครือข่ายชาวอโศก" ว่า กองการแพทย์ทางเลือก เริ่มทำการ การวิจัย โดยเบื้องต้นศึกษาในกลุ่มของชาวสันติอโศก เพราะทราบว่า ทางผู้ปฏิบัติธรรม หรือพระ มักจะมีความเชื่อ ในเรื่องการบำบัด ด้วยน้ำปัสสาวะอยู่แล้ว โดยมีแรงจูงใจมาจากคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ได้พบว่า ชาวสันติอโศก ส่วนใหญ่ จะใช้น้ำมูตรนี้ ในทุกส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการดื่มกิน อาบน้ำ สระผม หรือล้างหน้า ซึ่งความเชื่อเช่นนี้ ก็ได้ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกด้วย โดยอธิบายว่า พระสมัยก่อนนิยมนำน้ำมูตรเน่ามาดองกับลูกสมอ หรือ ลูกมะขามป้อม เพื่อฉัน เป็นยารักษาโรค รวมถึงความเชื่อของคนจีนโบราณ ซึ่งมากกว่า ๓ ล้านคนก็ดื่มปัสสาวะ เพราะเชื่อว่าจะทำให้สุขภาพดี

"จากการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่จะดื่มกันสดๆ และเป็นปัสสาวะของตัวเอง โดยเฉพาะในช่วงเช้า เพราะเชื่อว่า จะมีสาร เมลาโทนิน ซึ่งเป็นสารในปัสสาวะค่อนข้างสูง ทั้งนี้จะดื่มในปริมาณ ๑-๑ แก้วครึ่ง ขณะที่บางความเชื่อก็ว่า ถ้าจะให้ดี ก็ต้องเป็น ปัสสาวะเด็ก รวมถึงการใช้น้ำปัสสาวะนี้ในการบ้วนปาก สระผม ล้างหน้า เพราะเมื่อใช้แล้ว ผมที่เคยหงอกก็หาย รังแคก็ไม่มี นอกจากนี้ถ้าอยากแก้สิวฝ้าให้ได้ผล ก็ให้ลองเอาสำลีหรือกระดาษทิชชูชุบน้ำมูตร และปะหน้าเอาไว้ รับรอง ได้ผลแน่" นางราตรี กล่าว.

ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ในผลงานวิจัยที่คณะผู้วิจัยได้ส่งมาให้ทางเรา มีดังนี้

ผลการศึกษาการใช้น้ำมูตรบำบัดในเครือข่ายชาวอโศก
ตามที่กองการแพทย์ทางเลือก ได้มาศึกษาการใช้น้ำมูตรบำบัดในชาวอโศก ในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๗ โดยใช้แบบ สอบถาม การใช้น้ำมูตรบำบัด เพื่อสอบถามชาวอโศก จำนวน ๒๐๔ คนนั้น ในการนี้กองการแพทย์ทางเลือกได้ส่งผลการศึกษา ที่ได้จาก การวิเคราะห์ข้อมูล เรียบร้อยแล้ว ดังนี้

ในการศึกษาการใช้น้ำมูตรบำบัดในเครือข่าย ชาวอโศกเพื่อศึกษาปัสสาวะบำบัด หรือน้ำมูตร บำบัด (Urine therapy) หรือ การใช้ปัสสาวะ ของตัวเอง เพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาโรค และส่งเสริมสุขภาพในกลุ่มชาวอโศก เพื่อทราบถึงวิธีใช้ เหตุผล ที่ใช้ และผลข้างเคียงจากการใช้ปัสสาวะบำบัด การศึกษวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (descriptive study) ณ จุดเวลา (Cross-sectional study) กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ชุมชนชาวอโศกที่มีการใช้น้ำปัสสาวะ บำบัด จำนวน ๒๐๔ คน โดยใช้ แบบสอบถาม ที่ผู้วิจัย ได้พัฒนาขึ้นเอง กับชาวชุมชนอโศก ที่สมัครใจให้ความร่วมมือ ในการตอบแบบสอบถาม และนำข้อมูลมาวิเคราะห์

กลุ่มตัวอย่าง จำนวน ๒๐๔ ราย
อายุเฉลี่ย ๕๑.๓(๑๔.๑) ปี พิสัย ๑๘-๘๗ เป็นหญิง ๖๑.๓%
การศึกษาระดับประถมศึกษา ๔๒.๖% มัธยมศึกษา ๒๑.๑%
โดยที่ ๖๘.๘% อาศัยอยู่ในเขตเมือง/เทศบาล

ทราบข้อมูลเรื่องปัสสาวะบำบัด
จากพระ ๔๖% จากญาติธรรม ๔๐% จากการอ่านหนังสือ ๓๖% และจากพระไตรปิฎก ๒๙%
สำหรับวิธีการใช้ ใช้ดื่ม ๙๖% (โดยเฉลี่ยดื่มครั้งละ ๑ แก้ว ๑.๕ ครั้ง/วัน) ใช้ทา ๒๘%

ส่วนสาเหตุหลักที่จูงใจให้ใช้น้ำมูตรบำบัด
๕๘% ตอบทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ๓๘% ตอบมีผู้แนะนำให้ใช้ และ ๒๙% คิดว่าไม่มีผลข้างเคียง
๒๕% ใช้ปัสสาวะบำบัดเพื่อรักษาโรค
๔๐% ใช้เพื่อให้มีสุขภาพดี แข็งแรง และ
๓๑% ใช้เพื่อป้องกันโรค

หลังใช้น้ำมูตรบำบัดแล้ว ประมาณ ๑๐% มีผลข้างเคียง คือ ท้องเสีย (๒.๕%)
ไข้ อ่อนล้า คัน อย่างละ ๒ ราย (%)
ส่วนใหญ่ของผู้ใช้ ๘๗% เห็นผลจากการใช้น้ำปัสสาวะและ ๘๔% ได้แนะนำให้ผู้อื่นใช้ด้วย.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ด่วน ! ข่าวจาก หนังสือสัจจะชีวิตของสมณะโพธิรักษ์

เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ มีการประชุม ๕ องค์กร ผู้สื่อข่าวอโศก ได้รับรายงานข่าวด่วนพิเศษ จากคณะกรรมการ มูลนิธิธรรมสันติ ว่า ได้มีการอนุมัติให้จัดพิมพ์หนังสือที่ระลึกครบ ๗๒ ปี "พ่อท่าน" ซึ่งคณะทำงาน ได้รวบรวม เรียบเรียง เสร็จแล้ว โดย ภาค ๑ ชีวิตโลกียะ กำหนดจะจัดพิมพ์ให้เสร็จทัน วันงานมหาปวารณา ปีนี้, ภาค ๒ โลกียะสู่โลกุตระ ให้เสร็จทันงานอโศกรำลึก ปี ๒๕๔๘, ภาค ๓ ชาวอโศกเพื่อมวลมนุษยชาติ ให้เสร็จทันงานมหาปวารณา ปี ๒๕๔๘ และภาค ๔ โพธิรักษ์กับโพธิกิจ ให้ เสร็จทันในงานอโศกรำลึก ปี ๒๕๔๙ ซึ่งเป็นปีที่ "พ่อท่าน" อายุเต็ม ๗๒ ปี

ผู้สื่อข่าวและอีกหลายๆ คน ได้มีโอกาสเห็นรูปเล่มตัวอย่างแล้ว ก็เป็นที่ฮือฮากันอย่างมากมายเลยทีเดียว เพราะรูปเล่ม สวยงามมากๆ วาดภาพหน้าปกด้วยฝีมือศิลปินเอก "แสงศิลป์ เดือนหงาย" ขนาด "พ่อท่าน" เห็นแค่ภาพปกต้นร่างขาวดำนะ ยังต้องออกปากชม !

ขอบอกกันตรงๆ จริงๆ นะ แค่เห็นปกก็วางไม่ลงแล้ว !ต้องเพ่งพิศ พินิจดูอยู่นานเลย กับความงดงามของภาพปก เชื่อไหมว่า ยิ่งดูยิ่งลึก ยิ่งดูยิ่งซึ้ง เป็นความเรียบง่ายแต่ดูขลัง เหลือเกิน ทั้งปกหน้า ปกหลัง

พอเปิดดูเนื้อหาภายในเล่ม ก็อัดแน่นด้วยเรื่องราวชีวิตของ "พ่อท่าน" ที่ถูกเปิดเผย อย่างหมดเปลือก นับว่า เป็นความเมตตา กรุณาของ "พ่อท่าน" จริงๆ ความที่อยากให้ลูกๆ ได้ดี ก็เล่าเรื่องตัวเองไว้ซะละเอียด ให้ลูกๆ ได้เก็บ ประโยชน์ไปทุกแง่มุม ทุกเรื่องราว จึงแฝงไว้ด้วยสาระสัจจะ ชวนติดตามทุกๆ ตัวอักษร เหมือนดั่งต้องมนต์สะกด (แฮรี่พ๊อตเตอร์ ยังต้องชิดซ้าย ไปเลย)

และสิ่งที่ทุกๆ คนเห็นแล้วจะต้องทึ่งตะลึงมากๆ ก็คือ ความมากมายหลากหลายสวยงามด้วยรูปภาพประกอบ ชนิดที่บางภาพ เห็นแล้วต้องกราบ เพราะเป็นภาพที่มีอายุยืนนานกว่า ๘๐ ปี โอ้โฮ !ทำไม "พ่อท่าน" ช่างเก็บสะสมไว้ สุดยอดจริงๆ จากภาพ ประกอบ เยอะแยะมากมายทุกๆ ช่วงของชีวิต ทำให้เนื้อหาสัจจะชีวิตหนักแน่นชัดเจน มีหลักฐาน สะท้อนความจริงของชีวิต อย่างชัดเด่นขึ้นมาก สุดบรรยายจริงๆ

ผู้สื่อข่าวเห็นแล้ว ก็เลยต้องรีบสั่งจองทันทีเพื่อตัวเอง แล้วก็สั่งจองเผื่อผู้อื่นด้วย กระซิบดังๆ สั่งจองไว้หลายชุดเลย !

ก็อยากจะแนะนำ ญาติธรรมทุกๆ ท่าน กรุณารีบสั่งจองเข้ามาได้แล้ว ที่ "ธรรมทัศน์สมาคม" โทร. ๐๒-๓๗๕-๔๕๐๖ FAX ๐๒-๗๓๓-๔๐๒๗ เพราะทราบว่า พิมพ์จำนวนจำกัด หมดแล้วหมดเลย !ราคาสั่งจองก็เพียงชุดละ ๙๙๙ บาท เท่านั้น ๑ ชุด ไม่ใช่ ๑ เล่ม แต่ ๑ ชุด เท่ากับ ๔ เล่ม ใหญ่ๆ หนาๆ แข็งแรงทนทานด้วยปกแข็งที่มีภาพลายเส้นสีทองสวยงาม เย็บกี่อย่างดี กระดาษที่พิมพ์ ก็เป็นกระดาษปอนด์ถนอมสายตา มีภาพ ๔ สี สวยงามประกอบด้วย โอ้โฮ ! สุดคุ้มจริงๆ !งานนี้ญาติธรรม ไม่ควรพลาด

ใครได้มีโอกาสครอบครอง ก็เหมือนกับได้พบ-ได้มีแผนที่ลายแทงขุมทรัพย์ให้กับชีวิต เพื่อใช้เป็นแผนที่นำชีวิต ของเรา ให้เดินไป สู่ทิศทางแห่งความเจริญยิ่งๆ ผู้หวังความเจริญก้าวหน้าให้กับชีวิต จะพลาดโอกาสเป็นเจ้าของหนังสือดีๆ อย่าง "สัจจะชีวิต ของสมณะโพธิรักษ์" นี้ ได้หรือ ?

อ้อ !เกือบลืมบอกไปว่า ได้ยินเสียงแว่วๆ จากท่านประธานมูลนิธิธรรมสันติ ว่า ราคา ๙๙๙ บาท นี่ เป็นราคาสั่งจองนะ เพื่อฉลอง ๗๒ ปี "พ่อท่าน" ที่เราจะเริ่มฉลองกันไปตลอดทั้งปี ๒๕๔๘ และ ปี ๒๕๔๙ เลย พอหลังจากนี้แล้ว ราคาต้องปรับ ขึ้นไปนะ !

เพราะการพิมพ์หนังสือ "สัจจะชีวิตของสมณะโพธิรักษ์" ครั้งนี้ เปรียบเหมือนงานช้าง ต้องมีเงินลงทุนถึง ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท และยังไม่รู้ว่า จะบานปลายออกไปอีกหรือเปล่า ได้ข่าวแว่วๆ มาแล้วจากคนในวงการธุรกิจการพิมพ์ว่า กระดาษขึ้นราคา ตามน้ำมันแน่ ที่แน่ๆ ตอนนี้ขึ้นมาแล้ว ๓๐ %

คณะทำงานชุดนี้จึงต้องเป็นหนี้กองบุญสวัสดิการ บางคนก็ยังรู้สึกหวั่นๆ ใจอยู่ว่า เอ...จะมีเงินใช้คืนกองบุญฯ ได้หรือไม่ ?

ได้หรือไม่ได้ ก็ต้องวางใจไว้ก่อน !งานนี้คณะทำงานทุกๆ ฝ่ายขอทำกันอย่างสุดๆ จน "พ่อท่าน" ต้องเขียนใบอนุโมทนา มาให้เลยนะ

ก็เลยต้องขอบอกบุญให้ญาติธรรมทุกๆ คน ช่วยกันสั่งจองกันเข้ามามากๆ หน่อย คณะทำงานจะได้อุ่นใจไง !ว่า งานนี้มีเงินใช้คืนกองบุญแน่ๆ

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
67/1 ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. 10240 โทร.02-3745230 ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ 1,300 ฉบับ

อ่านฉบับย้อนหลัง: