ฉบับที่ 239 ปักษ์หลัง16-30 กันยายน 2547

[01] :ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน
[02] ธรรมะพ่อท่าน: " สัจจะของความรัก"
[03] พ่อท่านไขปริศนา และเสนอทางออก สาเหตุนายกฯทักษิณแม้ทำดีมาก แต่ก็ถูกต่อต้านมาก
[04] มารู้จักพลาสติกเมลามีนกันหน่อยนะ
[05] ผักอินทรีย์ไทยโกอินเตอร์"ริเวอร์แควฯ" รุกตลาดในประเทศ (ตอนจบ)
[06] สกู๊ปพิเศษ: สัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร
[07] สัมภาษณ์พิเศษ: นักข่าวหลายสำนักมาขอสัมภาษณ์พ่อท่าน
[08] ศูนย์สุขภาพ: ระวัง! ไข้เลือดออก
[09] คกร. ร่วมงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ'๔๗ เน้นมากเรื่องพึ่งตนและลดความร่ำรวยลง
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน อินทร์บุรี
[12] รายการเพื่อนหญิง พลังหญิง ช่วงอาหารต้อนรับเทศกาลเจ มาถ่ายทำที่สันติอโศก
[13] ข่าวจากเครือข่ายสื่อบุญนิยม
[14] พรรคเพื่อฟ้าดิน
[15] ชายงามรายปักษ์ นายชูศักดิ์ แก้วทอง
[16] ผักพื้นบ้าน อาหารพื้นเมือง



ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน

นายกฯ ทักษิณ คุยกับประชาชน เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๑ ก.ย. ๒๕๔๗ ได้พูดถึงเรื่องการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ แทนปุ๋ยเคมีในการเพาะปลูกพืช

ผักต่างๆ จะช่วยให้เกษตรกรลดรายจ่ายในการทำกสิกรรม และเป็นการช่วยสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ ฯพณฯนายกฯ ทักษิณ ยังได้ให้ข้อมูลเรื่องสุขภาพของคนไทยทุกวันนี้ว่า เป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นจนนำ เป็น อันดับ ๑ ทั้งนี้ก็เพราะอาหารส่วนใหญ่ที่คน

ไทยบริโภคไม่ปลอดสารพิษ

นับว่าเป็นโชคของคนไทยที่มีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้

และก็นับว่าเป็นบุญของชาวอโศกที่พ่อท่านให้นโยบายแก่ร้าน กู้ดินฟ้าให้นำพืชผักไร้สารพิษมาจำหน่ายเท่านั้น ถ้าไม่มีพืชผัก ไร้สารพิษจำหน่ายก็ให้ปิดร้านไป

เลย เพื่อสุขภาพที่ดีของชาวอโศกและชาวโลก

ข้อสำคัญในขณะนี้ชาวโลกเป็นจำนวนมากเพิ่มขึ้นที่เชื่อมั่นว่า พืชผักที่ชาวอโศกนำมาจำหน่าย เป็นพืชผักไร้สารพิษทั้งหมด

ฉะนั้นชาวอโศกก็มิควรเห็นแก่ได้ จนไม่เคร่งครัดในการตรวจสอบพืชผักไร้สารพิษ โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ขายก็ควร สนับสนุน นโยบายที่ดีนี้

เราจะต้องซื่อสัตย์ต่อตนเองและประชาชน

อย่าลืมคำพังเพยที่ว่า "ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

สัจจะของความรัก

ผู้ที่คิดจะเพิ่มอธิศีลของศีลข้อ ๓ หรือผู้ที่กำลังดื่มด่ำกับความรักหรือผู้ที่สมหวังในเรื่องของความรัก หรือแม้แต่ผู้ที่ ผิดหวัง ในเรื่องของความรัก เคยคิดจะเลิกรักบ้างไหม ธรรมะพ่อท่าน ฉบับนี้ ขอนำคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่อง"ความรัก" (จากหนังสือ สัจจะชีวิต ของสมณะโพธิรักษ์ (ฉลอง ๗๒ ปี) เล่ม ๑"ภาค ๑ ชีวิตโลกียะ") ที่พ่อท่านได้ขยายความถึงสัจจะของ ความรักไว้ อย่างน่าศึกษาว่า...

"ความรัก เป็นเรื่องเหลวไหล ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า ไม่ใช่สัจธรรม ไม่ใช่เรื่องดีอะไร"....

แท้จริงคนเรา"รักกัน""ต่างมาทวงหนี้กัน-มาก่อกรรม-ก่อเวรแก่กันและกัน" ถ้ารักกันมากประเภทเอาอกเอาใจกัน ก็จะก่อเวร ก่อภัย ให้สืบต่อยาวนานอีรุงตุงนังถ่วงไปนานแสนนาน เพราะเหมือนมีความอร่อย มีความสุข ดูเหมือนไม่เจ็บ ไม่ปวด แต่กินลึก ยาวนาน ต่องแต่งผูกพันกันไป ชาติแล้วชาติเล่า

นี่แหละคือ"การฆ่ากันด้วยเกสรดอกไม้ ด้วยน้ำผึ้งรสหวาน"

เรียกว่า"กามเทพยิงลูกศรอาบน้ำผึ้งเสียบอก"

ที่จริง"เป็นเรื่องเสียดแทง เป็นเรื่องของเวรภัย เป็นเรื่องของความเจ็บปวด เป็นความโง่ เป็นความหลง เป็นอวิชชาของเราที่ไปยึดติดผูกพันอยู่ไม่จางคลาย"

คนที่ผูกมัดยึดติดตราตรึงใจตนเอง หลงว่า"ความรัก เป็นของจริง ของแท้ ของดี" เป็นคนที่มี"อวิชชา" ความโง่ มองไม่เห็น ความจริงว่า "ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยง ไม่แท้อะไร"

แต่เราก็ไม่รู้เรื่อง-ไม่รู้สัจจะความจริง เพราะไม่ศึกษาธรรมะ-ไม่ศึกษาสัจธรรม

"พระพุทธเจ้า" ตรัสชัดอย่างนี้"ไม่มีรัก..ก็ไม่มีทุกข์ ถ้ามีรัก..ก็มีทุกข์"

แต่คนไม่รู้-ไม่เข้าใจ ก็ไปรัก ไปเอาอกเอาใจกัน ไปห่วง ไปหวง ไปหึง ไปผูกพันหนาแน่นตราตรึงกันมาก ก็จะยิ่ง เจ็บปวดมาก ถ้าถลำลึกก็จะทำชั่ว-ทำเลวไปได้อีกในโอกาสข้างหน้า แล้วก็ไปแก้แค้นกัน ไปก่อเวรก่อภัยกัน เมื่อมีวิบาก บางเรื่องมาร่วมผสม ก็ถึงฆ่าแกงกัน! ผิดศีล-ผิดธรรมหนักกันไปอีก! ไม่เข้าท่าเลย

ผู้รู้ทันแล้วต้องละเลิก ต้องปล่อยวาง เห็นให้ได้ว่า"ความจริงแล้ว เป็นเรื่องของคนปรุงสร้างมาหลอกกัน" เป็นเรื่อง เหลวไหล หลงรูป-กลิ่น-เสียง-สัมผัส

ผู้ใดละวางจางคลายได้ เป็น"กุศลสูง" ตามศาสนาพุทธมุ่งหมาย

อาตมาเมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจ เดี๋ยวนี้ รู้สึกว่า"เป็นความโง่งมงายของเรา ไม่เข้าเรื่อง" เขาหักอกเรา เราก็เจ็บปวด เราหักอกเขาบ้าง เขาก็คงเจ็บปวดเหมือนกัน

แต่เราไม่รู้! ชีวิตก็เป็นไปอย่างนั้น ไม่รู้ว่า"เป็นวิบากต่อกันมาแต่ปางไหน?"

เมื่อถูกหักอกหรืออกหัก เราก็ต้องมองความไม่ดีของเขาให้ออก ตั้งแต่รูปร่างหน้าตา จริตนิสัยใจคอ มองให้เห็น จุดที่ไม่ดี ไปให้หมด เป็นการปลงอสุภะ เมื่อเจอความไม่ดีมากๆเข้า จะคลายใจ ไม่ดูด ไม่ดึง ไม่ติด ไม่ยึดอะไร ก็เลิกรักได้

ต้องถือว่า"โชคดีแล้วที่ไม่เคยรักใคร ไม่ต้องอกหักให้ซวยๆโง่ๆ"

บริสุทธิ์สะอาดดีกว่า ปลอดโปร่ง เบาว่าง มีพลังสร้างสรรสิ่งที่เป็นคุณค่าคุณประโยชน์ ให้เป็นบุญ-เป็นกุศล ต่อไป ในโลก

ทุกคนต่างก็มีเส้นทางชีวิต มีวิบากของแต่ละคนๆ ชีวิตผ่านพบอะไรที่ไม่ดี ก็ต้องพยายามฝึกฝน"ปฏิบัติธรรม" เพื่อให้หลุดพ้นจากอำนาจของ"วิบากอกุศล"....

...ก็อยากให้ทุกคนได้มา"ปฏิบัติธรรม" จนเห็นให้ได้ชัดว่า"รสกาม โลกีย์...อย่างนี้...แค่นี้ ไม่มีค่าอะไรเลย!" แล้วคุณ จะรู้ภาวะ "ความไม่มีรสกาม" มันเป็นอย่างนี้จริงๆ และเป็นไปได้ เชื่อก็เพราะเราเป็น

แต่ถ้าเราไม่สร้าง"กุศล"ให้มากๆ เพื่อให้มีฤทธิ์แรงมากพอ ที่จะไปลดทอน ฤทธิ์ของ"อกุศล" ชีวิตของเราก็จะจมหนักดิ่งเข้าไปหา "อกุศลวิบาก" นั้นๆ

จะมี"อกุศลวิบาก"ที่ต้องไปทุกข์ร้อน ลำบากลำบน มัวเมา หรือ ไปข้องแวะ ไปผูกพันเป็นเวรานุเวร ก็ยิ่งจมหนัก และเป็นเรื่องที่เรา"ทำเอง" ทั้งนั้นแหละ

ฉะนั้น ก็ต้องแก้ไขด้วยตัวของเราเอง ด้วยการสร้าง"กุศล" ให้มาก

(อ่านต่อฉบับหน้า)

- เด็กวัด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



พ่อท่านไขปริศนา และเสนอทางออก
สาเหตุนายกฯทักษิณแม้ทำดีมาก แต่ก็ถูกต่อต้านมาก
ศาสนาเท่านั้นที่จะนำการเมืองพ้นวิกฤต!

ศาสนาโลกีย์ช่วยการเมืองไม่ได้
ต้องสร้างคนดีมีโลกุตระให้มากแล้วจะช่วยชาติได้จริง

*** ทุกวันนี้ดูว่ากระแสต่อต้านนายกฯ ในหมู่ปัญญาชนจะขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ กระแสต่อต้านที่มีเพิ่มมากขึ้น เพราะมีสาเหตุ จากอะไร......?

# # # กระแสต่อต้านนายกฯ มันก็เป็นเรื่องของนายกฯ ที่นายกฯทำงานแล้วเกิดผลเอง เมื่อนายกฯทำงานส่วนใด ที่ผู้รู้ก็ดี ประชาชนก็ดี เห็นว่ามันไม่เข้าตาเขา มันรู้สึกไม่ถูกต้อง มันรู้สึกว่าไม่ได้ผลไม่ได้ประโยชน์ตามใจเขา แม้จะมอง ไปในด้าน อัตตา อัตตนียา ไม่ได้ประโยชน์ตน ตนไม่ได้ประโยชน์อะไรที่มองเห็นอันนี้อย่างนั้นก็ตาม มันก็ขัดใจ มันก็ขัดข้อง มันไม่ชอบ เป็นธรรมดา

จริงๆแล้วคนทำงานมากๆ มันก็มีส่วนที่ถูกใจคนไม่ถูกใจคนกันทั้งนั้นแหละ ทีนี้ยิ่งทำงานมาก แม้ส่วนที่ถูกใจคนมีมากก็ตาม ส่วนไม่ถูกใจคนนี่ คนมันก็ไม่ชอบ ทั้งนั้นแหละ ส่วนที่ถูกใจคนเขา เวลามันถูกใจคนแล้วเขาก็ไม่เก็บไว้ เขาก็ดีใจไปชั่วคราว

แต่ส่วนที่ไม่ถูกใจคนนี่ มันคือพยาบาท สายโทสมูล เป็นอุปนาหะ ผูกเอาความไม่ชอบใจไว้ เป็นการผูกยึด เป็นความ ไม่วางปล่อย จองเวรจองกรรม ถ้าเข้าใจจิตวิทยาตรงนี้ก็จะไม่สงสัยอันนี้เพราะฉะนั้นส่วนที่ไม่ดี แม้จะน้อย แต่เขาพยาบาท เขาผูกพัน เขาไม่ยอมปล่อย เขาจะทวงคืน เขาจะต้องแก้กลับให้ได้ ดังนั้น เมื่อมีส่วนบกพร่อง มันก็จะต้องทับถมสะสมเข้ามา จนกระทั่ง ถึงขนาดหนึ่ง มันก็แรงขึ้นๆ เป็นธรรมดาธรรมชาติ แม้ส่วนดีจะทำมาก ส่วนไม่ดี ก็จะเป็นบทบาท อย่างหนึ่ง จนกว่า จะทำสิ่งที่ดีมากๆๆขึ้น เพื่อพิสูจน์กลบความไม่ดีนั้นมากขึ้นๆ มีปริมาณมาก อย่างเพียงพอโน่นแหละ เขาถึงจะยอมจำนน ว่าเออ....ใช่ อันนี้ดีจริง

ถ้าจะให้ไปวิเคราะห์วิจัยว่าคนที่มีดีมาก จะชั่วมากด้วย วิจัยกันจริงๆแล้วนี่ คนเราว่ากันจริงๆ ว่าไปแล้วนี่ มันไม่ได้ เลวร้าย จนกระทั่ง ชั่วมากกว่าหรอก ในโลกคนที่เป็นอยู่นี่ คนสามัญในโลกนั้นไม่ได้เลวร้ายมากจนชั่วมากกว่า มันไม่ถึง ขนาดนั้นหรอก ถึงขนาดนั้น อาจจะมีนะบางคน มันอาจจะมีได้จริงๆ แต่ถ้าชั่วขนาดนั้นคนเขารับไม่ได้หรอก

เพราะฉะนั้นคนที่มาทำงานกับสังคมจะต้องมีดีมากกว่าชั่วเยอะ แต่ถึงกระนั้นก็ตามดังที่กล่าวแล้วชั่ว มันก็เป็น ตัวคู่กันกับ พยาบาทกับจองเวร แล้วมันไม่ปล่อยง่ายมันก็เลยสะสมมันก็จะทวงคืน

เพราะฉะนั้นการต่อต้านนี่ก็เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติของคนผู้ทำงานกับสังคม ยิ่งทำงานกับสังคมในระบบ ของโลกียะ มันเห็นแก่ตัว อยู่มาก จากกิเลสอัตตามานะ ตัวกูของกูมันยังเยอะ ยังโลภอยู่ก็ยังเยอะ โทสะมันก็ยังเยอะ โมหะมันก็ยังเยอะ

เพราะฉะนั้นเมื่อมันโลภโกรธหลงอะไรอยู่เยอะ เวลาทำงานโลกีย์มากขึ้นๆ ลักษณะที่มันปรากฏกับคนที่ทำงาน มันก็ทำให้แก่ ตัวเอง มากขึ้นๆๆ มันก็จะพอกพูนมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น

นอกจากคนโลกุตระเท่านั้นแหละ ที่ทำงานก็ยิ่งปฏิบัติธรรมก็ยิ่งกิเลสลดน้อยลงลดน้อยลงๆๆให้เห็นปริมาณ ความดี ก็มากขึ้นๆๆ เอามาเป็น ของตัวน้อยลงๆๆ จึงจะเด่นจึงจะชัด คนถึงจะยอมรับ บอกแล้วไงว่า มันไม่มีใครดี ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีชั่วเลย ชั่วร้อยเปอร์เซ็นต์ มันไม่มีอย่างว่า และจริงๆ คนก็มีดี มากกว่า ชั่วอยู่ ไม่งั้นอยู่ไม่ได้หรอกในโลก ถ้ามีชั่ว มากกว่า คนๆนั้น ก็หมาหัวเน่าจริงๆ ธรรมดาธรรมชาติ มันก็คบใครไม่ได้หรอก

เพราะฉะนั้นในเรื่องของสัจจะพวกนี้ ถ้าไม่เข้าร่องเข้ารอยของโลกุตระ ความดีมันจะไม่สามารถที่จะอุ้มความชั่วได้ ความดี จะไม่สามารถ ที่จะมากลบคุมอำนาจของสิ่งชั่วของตัวเองจนกระทั่งทำให้คนยอมรับได้ง่ายๆ ต้องคนโลกุตระ เท่านั้นแหละ ที่เจตนา ปฏิบัติธรรม ให้ถึงความจริง จนกิเลสลด เห็นแก่ตัวน้อย มีความเข้าใจถึงสัจธรรมเลย อ้า....คนเราไม่ต้อง ไปสะสม ไม่ต้องหลงในโลกธรรม ลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข แล้วก็ไม่สะสมไม่กอบโกยอะไรอีกแล้ว มีความพอมีสันโดษ แล้วก็มี ความมักน้อยลงไปกับชีวิต ว่าง เบา ง่าย สบาย คนโลกุตระ หรืออาริยชน ที่แท้จริง โดยนัยของพระพุทธเจ้า อย่างที่ว่านี้ เท่านั้น ที่จะยิ่งทำงานก็ยิ่งจะปรากฏความดี หรือปรากฏสิ่งที่พัฒนาตัว ดียิ่งขึ้นไปได้

เพราะฉะนั้นคำถามก็ถูกแล้วว่า ทำไมนายกฯทักษิณถึงถูกต้านมากขึ้น ก็คือนัยอย่างที่กล่าวนี้ เพราะนายกฯ ทักษิณ ทำงานอยู่ ในสายโลกียะอยู่

*** มีผู้รู้อยู่ในสังคม เป็นห่วงเป็นใยว่าท่านนายกฯทักษิณจะพาประเทศชาติล่มสลายกว่ายุคใดๆ ในทัศนะ ของพ่อท่าน คิดว่า การจะพาประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองควรมีทิศทางในการพัฒนาอย่างไร ?

# # # แบบกำปั้นทุบดินเลย ตอบอย่างตัดเชือกเลยว่า ต้องสร้างคนให้คนเป็นอาริยะ เป็นโลกุตระที่แท้จริง ถ้าไม่สร้าง ให้คน เป็นคนอาริยะ อย่างโลกุตระ ของพระพุทธเจ้าถูกต้องแท้จริง คือลดละกิเลสได้จริงแล้ว จนมีทิฐิมีปัญญา เห็นเลยว่า โลกุตระ เหนือชั้นกว่าโลกียะ แล้วตัวเอง ก็จะลดละจนเป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์อย่างแท้จริง ธรรมชาติของปุถุชน ก็จะทำงาน เพื่อตัวเองทั้งนั้น ยิ่งทำงานเสร็จ ก็ยิ่งได้ลาภยศ สรรเสริญสุขโลกีย์มากขึ้นๆ โลภ โกรธ หลง ก็จะโตขึ้นๆ ทุกคนรู้ว่าการโลภไม่ดี การเห็นแก่ตัวไม่ดี การกอบโกย เอาเปรียบเอารัดไม่ดี คนรู้ทุกคน ในโลกรู้ ทุกคนนั่นแหละ แต่จะลดมันก็ลดไม่ได้ ทำไม่ได้ๆ เพราะกิเลสมันแรงกว่า เหมือนที่เคยถาม ใครต่อใครบ่อยๆ ว่าจริงๆ แล้วคน จะคอร์รัปชั่น คนจะโกงนี่เขารู้มั้ยว่าการโกงนี้ชั่ว ก่อนจะทำการโกงเขารู้ว่ามันชั่วมั้ย? หรือคนจะปล้ำ ข่มขืนฆ่านี่ ก่อนจะปล้ำ มันรู้มั้ย การข่มขืน มันเป็นความผิด คนจะปล้น มันรู้มั้ยการจะปล้นมันไม่ดี มันชั่ว มันผิดรู้มั้ย เขารู้ทุกคน แต่เขาต้านไม่ได้ เพราะกิเลส ในตัวมันเก่งกว่ารู้ เขาต้องทำ ต้องโกง ต้องปล้น ต้องข่มขืน ต้องทำชั่วอะไร ก็แล้วแต่ หรือ แม้แต่ ต้องเอาเปรียบ ถามจริงๆเถอะ การเอาเปรียบคน รู้มั้ยว่ามันเลว มันไม่ดี การเอาเปรียบมันไม่ดีหรอก แต่มันอดไม่ได้ กิเลสของคน มันมีอำนาจแรงกว่า จะต้องได้เปรียบ อดไม่ได้ มันจึงบังคับ ให้ตัวเอง ทำชั่ว แม้แต่แง่เอาเปรียบ มันก็ชั่วแล้ว ยิ่งไปโกง ยิ่งไปทุจริตหยาบ กิเลสชั่วร้ายหยาบกว่านี้ คนมันก็รู้ทั้งนั้นแต่มันห้ามไม่ได้ เพราะฉะนั้น ปัญหา มันไม่ได้อยู่ที่ว่า ไม่รู้ เพราะมันรู้ทั้งนั้น ไม่ใช่ไปแก้ที่รู้ ต้องแก้ที่ลดกิเลส

เพราะฉะนั้นทำอย่างไร เมืองไทยจึงจะมีพุทธศาสนาที่เป็นโลกุตระเป็นอาริยะอย่างแท้จริง เป็นวิทยาศาสตร์ พุทธศาสตร์ ลดกิเลสได้จริง ทำได้ ขอยืนยัน เพราะพวกเราได้พิสูจน์แล้ว ทุกวันนี้ใครจะเชื่อไม่เชื่อ ก็ตาม ว่าธรรมะของ พระพุทธเจ้า ปฏิบัติ จนกระทั่ง สามารถทำให้คน ทำงานฟรี ทำงานไม่ต้องเห็นแก่ตัว ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเกื้อกูล ไม่ต้องสะสม กอบโกย ไม่ต้องโลภ อย่างแท้จริง เห็นอยู่อย่างทุกวันนี้ แม้แต่พยาบาท โทสะก็ลดน้อยลง อย่างเห็นชัดๆ เราเป็นกลุ่มเป็นหมู่ เป็นวัฒนธรรม ของสังคมเราแล้ว ถ้าไม่เอาธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่เป็นโลกุตรธรรม หรือเป็นอาริยบุคคล ที่แท้จริง มาทำ ให้เป็นจริง เป็นจัง ให้มนุษย์สามารถที่จะเอาทฤษฎี ของพระพุทธเจ้าอันนี้ มาปฏิบัติมีประสิทธิผล สำเร็จขึ้นมาได้ การแก้ปัญหาโลก การแก้ปัญหาสังคม จะเจริญไปอย่างถาวรไม่ได้ ขอยืนยันว่า เจริญไม่ได้ มีแต่.... ซับซ้อนๆๆ

ที่ถามว่าทำไมขณะนี้การบริหารประเทศรู้สึกว่าจะพาประเทศชาติลงไปหนักหนากว่าเก่า

ก็เพราะว่าสภาพของการทำงานอย่างโลกีย์มันกว้าง มันดูดี คนทุกคนเอาลักษณะดีมาแสดง เอาลักษณะดี มาปรากฏ แต่ในความดี แนวนี้เป็น แนวตื้น ส่วนแนวดิ่งลึก มันก็มีกิเลสโลภโกรธหลงเจริญด้วย ตามที่พูดมาแล้ว มันทำงาน เป็นตัว ปฏิปักษ์กัน เมื่อยังมีความไม่รู้ หรืออวิชชา มันจะไม่รู้แนวลึก เพราะฉะนั้นในลักษณะการทำงานทุกวันนี้ เป็นผลดี หรือ เสียอย่างไร พอตอบได้ แต่อธิบายยากเหลือเกิน เป็นเรื่องที่ เข้าใจได้ยาก ขอตอบเป็นภาษา เสียก่อนว่า ที่ถาม การทำงาน อยู่เดี๋ยวนี้ ดูผลแนวระนาบ แนวตื้นนี้ดูได้ผล กระจายผลเฉลี่ย เงินทองข้าวของ อะไรออกไปให้แก่คน มองตื้นๆ ง่ายๆ คนก็ชอบ ก็ได้รับผล ไปทำการแจก ไปทำการเผื่อแผ่ไปทำการกระจายออก แต่ในแนวลึก ที่วนซ้อนเข้าไป ในแนวลึกนั้น มันก็เป็นภัย อันใหญ่ มีผลใหญ่เหมือนกัน จึงมีภัยใหญ่ที่เป็นภัยลึก ภัยลึกที่ว่านี้ เช่น ความโลภ จนมากเกิน คนก็ไม่ชอบ ความโกง ที่ซุกซ่อน ความเอาเปรียบ หรือเล่ห์ที่คนจับได้ เป็นต้น ถ้ามีมันก็สะสมให้ความไม่ชอบเจริญขึ้นได้

เพราะฉะนั้นอันนี้คนไม่รู้ภัยลึกตอนต้นๆ แต่คนที่เริ่มรู้ภัยลึกขึ้นมาได้เรื่อยๆ จึงเกิดการต้านสูงขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะมัน เติมภัยลึก เรื่อยๆๆ ภัยลึก มันกินเข้าไปเรื่อยๆ คนรู้ความจริงหรือรู้สัจธรรมดังกล่าวนี้ชัดคือผู้รู้เท่านั้นนานๆ จึงจะรู้ หรือ ผู้รู้ ปัญญาดีก็รู้ๆๆ อ๋อ....เพราะฉะนั้น แม้ข้างบน จะมีผลใหญ่ ประโยชน์ใหญ่ ภัยลึกเขาเห็นเขาก็เอามาเตือน เขาบอก มันไม่ใช่แล้วนะ มันมีอะไร ซับซ้อน ไปหาแนวลึก นี่คือสภาพ ที่พออธิบายได้ แต่ความจริงมันอธิบายยากอยู่ ไม่รู้จะพูดยังไง เพราะไม่ได้เป็นนักวิชาการ ไม่รู้จะอธิบายด้วยภาษาวิชาการยังไง

*** ทุกวันนี้ข่าวการเมืองกำลังมาแรง แล้วก็มีการพูดกันไปพูดกันมาทุกวันนี้ จนกลายเป็นว่าพ่อท่านเอง เป็นเจ้าของ พรรค เพื่อฟ้าดิน พ่อท่าน เกี่ยวข้องอย่างไร กับพรรคเพื่อฟ้าดิน ซึ่งมีผู้รู้หลายท่านท้วงติงมาว่า พ่อท่านไม่น่า เข้ามายุ่งกับการเมือง

ตกลงตอบคำถามว่าไม่น่าเข้ามายุ่งกับการเมืองก่อน คนในโลกนี้มันขาดจากการเมืองไม่ได้ ทุกอย่างมัน สัมพันธ์กัน การเมือง เป็นตัวบริหารสังคม การเมืองเป็นตัวที่ทำงานกับคนทุกคน เพราะฉะนั้น การที่จะบอกว่า ตัวเองไม่ยุ่งกับ การเมืองนั้นน่ะ คนนั้นแหละ โดนการเมือง ย่ำยีแล้ว ก็กลายเป็นเบี้ยให้แก่ผู้ที่ทำงานการเมือง มาใช้ประโยชน์ กลายเป็นทาส หรือกลายเป็นเบี้ย ที่ถูกใช้ตามอำเภอใจ หรือกลายเป็น หน่วยที่เขาจะหยิบจับ ฉุดถูไถโยนขว้าง อะไรก็ได้ เพราะฉะนั้น คนไม่ยุ่งการเมือง จึงกลายเป็นเบี้ย เป็นทาสเต็มเข่งกระบะอยู่ในสังคม เป็นคนไม่ยุ่ง ไม่รู้การเมือง นั่นแหละ นักการเมืองจึงตีกินได้ ยุ่ง คือ การทำหน้าที่ ต้องเกี่ยวข้อง ไม่ปล่อยปละละเลย ต้องรู้จักหน้าที่ของเรา และของ นักการเมือง ที่ไปทำงานการเมือง เขาทำถูก หรือผิด ถ้าทำผิดเรามีหน้าที่ มีสิทธิ์จะแสดงออกบอกเขา แม้เขาทำถูก เราก็มีสิทธิ์ แสดงออก เหมือนกัน ไม่เช่นนั้นเขาก็ฉวยเอา จำนวนความเป็นประชาชน ที่ไม่รู้ไม่ชี้ หรือ ไม่ยุ่งกับการเมือง นั้นแหละ เป็นหุ่นเชิด เป็นเบี้ยเป็นทาส ใช้สบายไป

เพราะฉะนั้น ใครจะบอกว่าอาตมานี้เข้ามาเล่นการเมืองเข้ามายุ่งการเมือง อาตมาไม่มีปัญหา เพราะตอนนี้ ได้ตัดสินใจ ที่จะทำตาม ความเชื่อมั่น ของตนเองแล้วว่า เราจะทำอะไรให้แก่สังคม เราจะทำงานกับสังคมนี้ เราทำเพื่อเห็นแก่ตัว เราทำเพื่อเห็นแก่ได้ เราทำเพื่อที่จะสร้าง สิ่งเลวร้าย ไม่ดีไม่งาม ให้แก่สังคมหรือไม่ ได้พิจารณาแล้วว่า ไม่ได้ทำ เพื่อเห็นแก่ตัว ไม่ได้สะสมกอบโกย ไม่ได้เอาผลเอาประโยชน์ ไม่ได้ทำเพื่อเห็นแก่ตัว ไม่ได้ทำเพื่อลาภยศ สรรเสริญสุข โดยเฉพาะ ไม่กลัว ที่จะไม่ได้สรรเสริญ และไม่ได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายอะไร แน่นอนแล้ว เราต้องทำ ให้ประชาชน เห็นอยู่ โทนโท่ว่า การเมือง มันไม่ไปถึงไหน เพราะประชาชน ไม่รู้การเมือง

เพราะฉะนั้นเมื่อความชัดเจนของตัวเองมีอย่างนี้ ใครจะว่าหลงตัวหลงตนอะไรก็ตามใจ จึงไม่มีปัญหา เพราะตัวเอง ไม่ได้ทำงาน เพื่อที่จะได้รับ คำยกย่องเชิดชู ใครลบหลู่ไม่ได้ ใครดูถูกดูแคลนไม่ได้ ใครด่าใครทอไม่ได้ ไม่ใช่ จะด่า จะทอ ก็ด่าทอ ใครจะมาลบหลู่ ดูถูกอะไร ก็ไม่ว่ากัน เพราะว่า คำลบหลู่ดูถูกที่เขายังไม่เข้าใจ เขาก็ลบหลู่ดูถูกกันอยู่จริง เพราะเขาไม่รู้ ลึกกว่านั้น แต่เชื่อแน่ว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งดี ที่จะทำให้แก่มนุษยชาติ มันเป็นเรื่องสัจธรรม อาตมาสงสาร ประชาชน สงสารมนุษย์

เพราะฉะนั้นก็ตั้งใจที่จะทำ ใครจะเข้าใจว่าเป็นเจ้าของพรรคการเมือง พรรคเพื่อฟ้าดินก็ไม่ว่า เพราะจริงๆ อาตมา ไม่ได้เป็น เจ้าของ คนไม่รู้ความจริง ก็ให้เขาว่าไป เพราะเขาไม่รู้ เขาก็ต้องพูดผิดเป็นธรรมดา

พรรคเพื่อฟ้าดินคือพรรคที่ตั้งขึ้นตามหลักเกณฑ์ของรัฐตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายประเทศ ตามรัฐธรรมนูญ ตามนิตินัย ของประเทศ ทุกอย่าง ก็ถูกต้องตาม นิตินัยของประเทศ พระไปเป็นหัวหน้าพรรคไม่ได้หรอก ไม่ได้ไปเกี่ยวข้อง อะไรกับ นิตินัย ของเขา แต่ถ้าบอกว่า เป็นเรื่องของพฤตินัย เป็นที่ปรึกษา เป็นผู้ช่วยชี้ช่วยอ่าน มีอะไรก็ช่วยให้คำแนะนำ อะไรต่ออะไร ก็เป็นจริงๆ ไม่ได้ปฏิเสธ โดยพฤตินัย ไม่ได้ปฏิเสธ แต่โดยนิตินัย ไม่ได้เป็นอะไรเลย กับพรรคการเมือง จะเรียกว่า อาตมาเป็น เจ้าของ พรรคการเมือง ก็เป็นคำตู่ของเขา ไม่ได้ติดใจอะไรหรอก คนเราจะตู่ยังไง จะว่ายังไง ก็ว่าได้ เรื่องนั้นก็ไม่ได้ติดใจอะไร

แต่ว่าทำงานการเมืองหรือว่าทำงานส่วนที่เกี่ยวข้องกับสังคมเมืองหรือเหตุการณ์บ้านเมืองในประเทศนี้มั้ย ทำแน่ เพราะฉะนั้น อาตมาก็เข้าใจว่า เรื่องของการเมือง คืออะไร เข้าใจว่าเรื่องของการศาสนาคืออะไร

การเมืองก็คือสิ่งที่จะต้องทำงานกับสังคมในแนวกว้างในแนวกายภาพ ในเรื่องของทางวัตถุธรรม เน้นในเรื่อง เครื่องอาศัย ของชีวิต ด้านกายเป็นหลัก ในแนวระนาบวงกว้าง

ส่วนการศาสนานั้นทำงานกับสังคม ไปในแนวลึกแนวจิตภาพ เน้นเนื้อหาของวิญญาณ แนวลึกด้านลึกของสังคม เป็นด้านหลัก พัฒนาพฤติกรรม ศีลธรรม ของสังคม ของคน ไม่ละเว้น แม้แต่คนที่เป็นนักการเมือง หรือกิจกรรม การเมือง ถ้าบกพร่อง ในด้านศีล ด้านธรรม ก็ต้องร่วมเข้าไป ทำงานด้วย ก็แบ่งกันง่ายๆแค่นี้ก่อน แต่ผลเหมือนกันกับ การเมือง คือช่วยให้สังคม เป็นอยู่สุข ช่วยให้สังคมดำเนินไป มีชีวิตอยู่อย่างสงบ อยู่อย่างเรียบร้อย เกื้อกูลช่วยเหลือ ไม่เกิด ความเดือดร้อน วุ่นวาย อะไรกันเหมือนกันเลย การเมืองก็ตาม ศาสนาก็ตาม มีจุดเป้าหมายเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่า แยกแบ่งกัน นิดหน่อย เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่ร่วมกันทำกับสังคม ศาสนาพุทธไม่ใช่ฤาษีหนีไปเป็นคนป่า แต่เป็นศาสนา ของคนเมือง ขอยืนยัน

เพราะฉะนั้นเมื่อจุดมุ่งหมายอันเดียว กันทำไมจะไม่ร่วมกัน ทำไมจะต้องแยกศาสนาออกจากการเมือง ที่พูดว่า ทำไม.... ที่จริง อาตมารู้ เพราะนักการเมือง หรือผู้ ไม่ใช่นักการเมืองไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่เห็นว่าการเมืองมันเป็นเรื่อง เลวร้าย มันเป็นเรื่อง ร้ายกาจ ส่วนศาสนา เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องสะอาด ก็เลยเห็นกันว่า ไม่ควรจะให้ศาสนา ไปแปดเปื้อน กับสิ่งนั้น เขาก็เลย กันออก นี่คือคนที่เจตนาดี

ส่วนคนเจตนาร้ายก็คือ เอามันออกไป มิฉะนั้นมันเป็นเรื่องที่จะต้องมาฟ้อง มันจะมาประจาน มันจะมาจับผิดได้ เพราะธรรมะ เป็นตัวแนวลึก เป็นตัว ความสะอาด เป็นตัวแนวรู้สัจธรรม เพราะฉะนั้น เขาจะทำชั่ว ทำเละ ทำเลอะ อะไรได้ลำบาก เมื่อนักการเมืองพวกนี้ มีอำนาจทางการเมือง จึงใช้เล่ห์เหลี่ยม กันธรรมะออกจากการเมือง นี่ก็เป็น อันหนึ่ง

เพราะฉะนั้น การจะทำงานการเมือง เมื่ออาตมาเข้าใจอย่างนี้แล้วใครจะเข้าใจว่า อาตมาเป็นเจ้าของพรรค จริงๆ มันก็ไม่ใช่ แต่จะบอกว่า ทำงานการเมืองมั้ย ก็ไม่ปฏิเสธ แต่เที่ยวไปทำงานการเมืองอย่างฆราวาสหรือไม่ ไม่ทำอยู่แล้ว โดยมีกฎหมาย มีหลักเกณฑ์ของสังคม มีกฎมีระเบียบอะไร เราก็ไม่ไปละเมิดอยู่แล้ว เราก็ทำตามสิทธิของมนุษยชน ที่พอทำได้ ดังนั้น ใครเขาจะเข้าใจไม่ได้ เข้าใจผิด หรือว่า เข้าใจถูก ก็ตามใจเถอะ จะมาถล่มทลายก็ตาม ก็บอกแล้ว แต่ต้นว่า ก็ยอมที่จะให้เขา ดูถูก ดูแคลน ไม่ว่ากัน จะทำงานอย่างเดียว เพราะอายุ ก็มากแล้ว ๗๐ ขึ้นไปแล้ว นี่ก็เดินทาง ใกล้เข้าสู่ หลุมฝังศพแล้ว ก็จะขอทำงานไป จนกว่าจะตาย จะเสียมากกว่าได้ ก็ไม่เป็นไร

เพราะว่าอะไร ก็ไม่ได้อยากได้เด่นได้ดีอะไรหรอก อยากจะด่าก็ด่าได้ไม่ว่ากัน ไม่มีปัญหาอะไรหรอก อาตมาเอง บอกเลย ได้ว่า เขาจะเห็น อาตมาเป็นหมูเป็นหมา ก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาจะทำงานไป ไม่กลัวเปื้อนอะไร จะเป็นแบบ อรหันต์จี้กง บ้าๆบอๆ เขาจะเข้าใจยังไง แล้วแต่ แต่เราทำ ประโยชน์ให้เกิด เพราะเราแน่ใจ เราทำของเราไป เพราะอาตมา มั่นใจว่า เรามีผู้ที่ เข้าใจเรา แล้ว มีความจริง ที่ยืนหยัด เนื้อหาแล้ว เพราะฉะนั้น เราจะสร้างเนื้อหาต่อไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นประโยชน์ ทางสังคม ที่จะต้องได้รับรู้ คือคนในสังคมก็ยังไม่รู้อีกเยอะ เพราะฉะนั้น ในจำนวน ปริมาณของคน ที่จะรู้มีน้อย กี่ต่อ ก็แล้วแต่ อีกหน่อยอาจจะมีเพิ่ม แต่อาจจะได้มา ๑ ส่วนใน ๑๐ ก็เอา แม้คนส่วนใหญ่ จะเข้าใจผิด อีก ๙๐ จะเข้าใจผิด ก็ไม่มีปัญหา

*** ดูเหมือนว่าที่ผ่านมานี่พอพระเข้ามายุ่งเรื่องการเมืองทีไรมันเป็นผลเสียเสียมากกว่า?

# # # ที่บอกว่าพระมายุ่งกับการเมืองทีไรเป็นผลเสียมากกว่านั้นก็เป็นไปได้ เพราะว่า

๑. พระไม่สามารถที่จะนำสัจธรรมที่แท้ที่จริงมาใช้ให้ให้ได้ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล

๒. ตัวพระเองนั่นแหละเมื่อไปยุ่งกับการเมืองก็ถูกเสือสิงห์กระทิงแรดในการเมืองครอบงำแล้วใช้ไปเป็นเครื่องมือ อย่าง น่าสังเวชใจ พระก็เลยเสียไป ศาสนาก็เสียไป คุณก็เห็นอยู่

เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ถึงสัจธรรมจริง ฉลาดไม่พอทางโลกีย์เขาหรอก ต้องฉลาดเข้าใจสัจธรรมทั้งโลกียะ และ โลกุตระ อย่างเพียงพอ จึงจะรู้จักว่า ทำกับสังคมเขาอย่างไร โดยเฉพาะทำอย่างสุจริต หรือถ้าพระแคร์เรื่อง ลาภยศ สรรเสริญ ที่มีเชื้อ ของโลกีย์อยู่เยอะ พระก็จะไปสู้คน ที่เขามีอำนาจ ทางการเมือง ทางประเทศ ซึ่งเขามีอำนาจทางรัฐ ทางประเทศ ทางนิตินัย อยู่ด้วย ส่วนพระนั้นไม่มีอะไรเลย ทั้งนิตินัย ทั้งธรรมวินัย แม้แต่การเข้าถึง สัจธรรมก็ไม่มี เมื่อไม่มีอะไรเลย แล้วไปทำงาน การเมืองกะเขา ลาภยศสรรเสริญ ตัวเองก็ยังอยากได้อยู่จากเขา เขาเป็นคนให้ เขาเป็นคนป้อน ทรัพย์สิน เงินทอง อำนาจ เงินของรัฐเงินของอะไร รัฐเขา มี แต่ตัวพระมีที่ไหน พระแบบนี้ ก็ทำให้คน ลบหลู่ศาสนา

เพราะฉะนั้นเมื่อไปต่อสู้หรือไปร่วมกับเขา ก็เป็นเบี้ยล่างเขาทุกทีไป แต่ถ้าพระที่เป็นโลกุตระไม่ได้ง้อเงิน ง้อทอง ไม่ได้ง้อ อำนาจเลย ไม่แม้แต่ จะกลัวว่า ไม่ได้รับความยกย่องจริงๆ ทำอย่างบริสุทธิ์ใจ พวกการเมืองจึงไม่มีอำนาจ หรือไม่มีส่วน ที่จะเอา สิ่งเหล่านั้น มาเป็นเครื่อง ต่อรองได้ อันนี้ต้อง เป็นพระ ที่มีโลกุตระ และโลกวิทูถึงจะทำได้

*** พัฒนาการของระบบเศรษฐกิจทุนนิยม นับตั้งแต่อดัม สมิธ จนกระทั่งเปลี่ยนมาเป็นสังคมนิยมของ คาร์ลมากซ์ แล้วระบบ บุญนิยม ที่พ่อท่านพาทำ มีนัยที่เหมือน และแตกต่างกับ ระบบเศรษฐกิจ ที่มีอยู่ในโลกอย่างไร ?

เศรษฐกิจบุญนิยมมีความต่างแน่นอน และเป็นนวัตกรรมทางเศรษฐกิจแน่นอน ขอยืนยัน เพราะฉะนั้น เศรษฐกิจ ที่เขาใช้กันมา เรียนกันมา อย่างเศรษฐกิจอดัม สมิธ แม้จะวิวัฒนาการมาเป็นเศรษฐกิจนีโอคลาสสิคจนกระทั่งมาถึงเศรษฐกิจอย่าง คาร์ลมากซ์ หรือ แม้แต่ที่สุด จะมา เหมือนกับ เศรษฐกิจประสมประสาน ทางคุณธรรม อย่างชูเมกเกอร์ก็ตาม มันก็ไต่ระดับมาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น เศรษฐกิจต่างๆ ก็เป็นไป เพื่อที่จะทำให้คน ให้สังคม อยู่เย็นเป็นสุข เหมือนกันกับการเมือง ก็มีแบ่งแจกกัน ผู้ที่มี ความสามารถมาก มีความรู้มาก แม้เป็น ผู้ที่สามารถ ที่จะเอาเปรียบได้ ก็เป็นคนเสียสละเป็นคนช่วยเหลือ ปลาใหญ่ ช่วยปลาเล็ก มันก็เป็นสัจธรรมที่ถูกต้อง แต่ความจริงแล้ว ปลาใหญ่ มันไม่ช่วยปลาเล็ก มันกินปลาเล็ก เอาเปรียบ ปลาเล็ก เมื่อมีการแบ่งสัดส่วน ก็เป็นสัดส่วน ที่ได้เปรียบ ยิ่งกว่าปลาเล็กมาตลอดกาลนาน เศรษฐกิจ ของโลกโลกียะ ตั้งแต่อดัม สมิธ ผ่านคาร์ลมากซ์ มาถึงชูเมกเกอร์ก็ตาม มันก็ยังไม่เปลี่ยน

แม้แต่ชูเมกเกอร์ก็ยังไม่ชัดเจนในโลกุตระ ถึงคาร์ลมากซ์ คาร์ลมากซ์นี่เน้นความสำคัญของส่วนกลาง ทำเฉลี่ย เป็นส่วนกลาง ให้มาก พอมาถึงชูเมกเกอร์ ก็บอกว่าส่วนกลางนั้นต้องมีคุณธรรม มันถึงจะเกิดความเสมอภาคได้ ชูเมกเกอร์ ก็พยายาม จะเอาคุณธรรมมา แต่ชูเมกเกอร์ ไม่เก่งโลกุตระ ยังไม่ก้าวล่วงเข้าโลกุตระ อย่างสำเร็จ ประโยชน์ เพราะฉะนั้น จึงนำพารูปแบบ นำพาทฤษฎี นำพาหลักการมาปฏิบัติ จนเกิดผล กับสังคม กับประชาชน มนุษยชาติไม่ได้

แต่เศรษฐกิจบุญนิยมนี้เหนือชั้นกว่า ชูเมกเกอร์ตรงเป็นโลกุตระที่แท้จริง เป็นคุณธรรม เป็นสัจธรรมที่ละลด ความเห็นแก่ตัว เฉลี่ยจนเผื่อแผ่ มักน้อย สันโดษ ปลาใหญ่ช่วยปลาเล็กแท้จริง เป็นเศรษฐกิจ ที่ปลาใหญ่ ช่วยปลาเล็ก อย่างบริสุทธิ์ใจ พร้อมกับ เต็มใจ ตั้งใจที่จะช่วยด้วย เพราะรู้แจ้งว่า เป็นหน้าที่ของผู้สูง ต้องมีหน้าที่ช่วยผู้ต่ำ ตนเอง ก็ช่วยตนเองได้แล้ว การช่วยเขา การเสียสละเป็นสิ่งประเสริฐ และเป็น การปฏิบัติตน มักน้อย สันโดษได้จริง ลดได้จริง เสียสละจริง ไม่ต้องใช้มาก กินมาก แต่ประสิทธิภาพสูง สามารถทำได้มาก สร้างได้มาก จึงเผื่อแผ่เกื้อกูล ออกไปได้ กว้างขวาง และทุกคนที่มาในระบบ บุญนิยม นี้อย่างจริงจัง ก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพราะฉะนั้น ผลประโยชน์ที่ได้ ก็จะมีมา รวมกันเยอะเพราะต่างไม่สะสม ไม่กักตุน ไม่กอบโกย แล้วก็เผื่อแผ่เสียสละ ออกไปสู่คนจน คนด้อย ที่ควรจะได้รับ การช่วยเหลือ ได้มากขึ้นๆ

ดังนั้นเศรษฐกิจบุญนิยมจึงเป็นเศรษฐกิจที่เกิดจากสัจธรรมที่แท้จริงในมนุษย์ เป็นจิตวิญญาณของมนุษย์ ที่เข้าถึง อาริยะ เป็นอาริยจิต เป็นจิตอาริยบุคคล ที่แท้จริง จึงสามารถที่จะทำเศรษฐกิจเหนือชั้น

ทุกวันนี้ในโลกศาสนาเทวนิยมทั้งหลายแหล่ ไม่รู้จักโลกุตระ มีศาสนาพุทธรู้จักโลกุตระเข้าไปถึง จิตวิญญาณ เป็น วิทยาศาสตร์ ทางจิต และสามารถ ที่จะทำจิตให้ลดกิเลส อย่างแท้จริงแล้วเกิดปัญญา เกิดญาณทัสนะวิเศษ เกิดวิชชา เกิดความรู้ ถึงสัจธรรม ที่แท้จริงว่า สิ่งนี้เป็นเรื่อง ของมนุษย์ ที่ควรได้ควรเป็น ควรมี การเสียสละเป็นเรื่องควรได้ การมักมาก เป็นสิ่งที่ ไม่พึงทำ การมักน้อย การไม่มีกิเลส โลภโกรธหลง เป็นสิ่งที่จริง และเป็นสุขที่จริง ทุกอย่าง สงบ อย่างยั่งยืน ถาวรได้จริง เมื่อปฏิบัติ ความจริง อันนี้ที่เป็นโลกุตระ จึงเกิดผล เกิดประโยชน์ที่แท้จริง มีความจริง ปรากฏ เศรษฐศาสตร์บุญนิยม เป็นของใหม่ เป็นเศรษฐกิจพันธุ์ใหม่ A lien species ที่จริงเป็นของ พระพุทธเจ้า สมัยพระพุทธเจ้า เคยมี แต่มันเลือนมาแล้ว มันเพี้ยนมา จนกระทั่งลืม นี่ก็กลับมากู้โลกุตรธรรม ของพุทธขึ้นมา ให้ปรากฏ จะบอกว่า เป็นนวัตกรรม เป็นสิ่งใหม่ ก็เป็นเศรษฐกิจแบบใหม่ ของโลกอยู่ในขณะนี้ เคยมีมานานแล้ว แต่ว่ามันลืมไป หมดแล้ว มันไม่มีให้ปรากฏแล้ว มันเกือบจะไม่มี ร่องรอย แต่เนื้อแท้ ของทฤษฎีนั้น เมื่อรื้อฟื้นแล้วเอามาปฏิบัติ กับมนุษย์ พิสูจน์ได้เป็น เอหิปัสสิโก อกาลิโก ไม่จำกัดยุคกาล และสามารถ ท้าพิสูจน์ได้ เพียงแต่ยุคก่อน กับยุคนี้ มันคนละ บริบทกันเท่านั้น

*** พ่อท่านมองเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาว่า การศึกษาทุกวันนี้มีจุดอ่อนอยู่ตรงไหนและจะแก้ไขได้อย่างไร ?

การศึกษาทุกวันนี้จุดอ่อนก็คือ ไปหลงแนวระนาบกว้างไปหลงความรู้ที่เป็นความรู้ของชาวโลกีย์ ชาวทุนนิยม ชาวอำนาจนิยม ชาวอวิชชานิยม ไปนิยมความรู้ ไปนิยมอำนาจ ไปนิยมทุน ไปนิยมบริโภค ไปนิยมสิ่งที่เป็น จักรวรรดินิยม อะไรพวกนี้ สรุปแล้วเป็นโลกีย์

เพราะฉะนั้นความรู้ที่เป็นเชิงโลกีย์นี้ยิ่งตะกละตะกลาม ยิ่งเห็นแก่มาก เห็นแก่ได้ เห็นแก่กว้าง เห็นแก่เยอะ เห็นแก่ดัง เห็นแก่เด่น เห็นแก่โลกีย์ พวกนี้ ไปหมดเลย เด่นดังในลาภ เด่นดังในยศ เด่นดังในสรรเสริญ เด่นดังในการเสพกาม เสพอัตตามานะ เบ่งศักดิ์ศรีอะไร ก็แล้วแต่พวกนี้ มันหลงแต่พวกนี้ แล้วคนก็นิยมอย่างนั้น ในโลกีย์

การศึกษาก็ศึกษาเพื่อที่จะเพ่งไปได้ลาภเยอะๆ เพ่งไปได้ยศเยอะๆ เพ่งไปได้สรรเสริญเยอะๆ เพ่งไปได้เสพกามกัน อย่างพิสดาร วิตถาร เพ่งไปใน การสร้างศักดิ์ศรีตัวเอง ให้ได้ยิ่งใหญ่ เป็นเจ้าโลกอะไรก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านี้แหละ มันปรุงกัน หลอกกันให้คนหลง ไปศึกษา โน้มไปหาโลกียะ หรือโลกธรรม พวกนี้หมดเลย นี่คือ ความบกพร่อง ของการศึกษา

ขอยืนยันว่า เร่งส่งเสริมแต่ความรู้ ไม่เรียนไม่ลดกิเลส แก้ปัญหาประเทศไม่สำเร็จ ถ้าการศึกษาใด ทำให้คน ลดกิเลส ไม่สำเร็จ พัฒนาสังคม ไม่เสร็จอย่างยั่งยืนแน่นอน

ส่วนการศึกษาที่ควรจะเป็นก็ควรจะเป็นการศึกษามาหาโลกุตระ เป็นการศึกษามาสร้างคนให้คนเข้าใจสัจธรรม แล้วคน ที่เข้าใจ สัจธรรม ก็จะพึ่งตนเองรอด และจะเป็นคนช่วยผู้อื่นได้อีก จะเป็นคนเห็นแก่ตัวน้อยลง จะเป็นคน เห็นคุณค่า ของการช่วย มนุษยชาติ ไม่ใช่ไปเอา มนุษยชาติ มาเป็นเหยื่อ ไม่ใช่จะเป็นนายใหญ่ แล้วเอาคนอื่นๆ มาเป็นทาสเรา... หรือ เป็นเครื่องมือ สนองกิเลส ไม่ใช่

เพราะฉะนั้นการศึกษาที่ไม่เน้นมาหาโลกุตรธรรมจึงเป็นการศึกษาที่เสื่อม ทั้งโลกเป็นการศึกษาแนวโลกียะ อย่างนี้ จึงเสื่อม ทั้งโลก หลงเฟ้อ เป็นการศึกษา หลงเฟ้อ ใช้งานไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ เฟ้อเกินจนทิ้งขว้าง ศึกษามา ก็มาใช้กับ ชีวิตจริงไม่มาก แต่หลงว่าเรารู้มากๆๆๆ แต่ความเป็นจริงแล้ว ใช้ประโยชน์ไม่ได้มาก แล้วก็ทั้งตื้น ทั้งฟ่าม ทั้งสูญเสีย ผลาญพร่าทำลาย ในตัวด้วย ที่สำคัญคือ การศึกษา เป็นเครื่องมือ หรือเป็นอาวุธ ที่ทำร้ายตนเอง และสังคม ยิ่งสูงยิ่งเก่ง ยิ่งเอาเปรียบ ซับซ้อนซ่อนเงื่อน

เพราะฉะนั้นการศึกษาของโลกนี่ ถ้าวิจารณ์กันจริงฟังแล้วหนักเพราะมันไม่เข้าใจเป้าหมายของความเป็นจริงของ มนุษยชาติ เป้าหมาย ความเป็นจริงของ มนุษยชาตินั้น มนุษยชาติจะต้องกลับเข้าไปถึงสัจธรรมในระดับโลกุตระ เป็นการศึกษา ที่ล้างกิเลส ความเห็นแก่ตัวจริง เมื่อไปถึงโลกุตระแล้ว จึงจะเข้าใจโลกีย์ เพราะคนโลกุตระนั้น เข้าใจ โลกีย์ดี แล้วก็ไม่ติดโลกีย์แล้วตัวเอง ก็หลุดพ้น ออกมาจากโลกีย์ จึงไปหาสูญ ไปหาความไม่มีตัวตน เพราะฉะนั้น เขาจึงช่วยคนอื่นได้จริง เพราะมันไม่ติดตัวตน ไม่มีติดอะไร ไม่ต้องสะสม ไม่ต้องมี ไม่ต้องเป็นอะไร ของตัวเอง เพราะฉะนั้น จึงสร้างสรร โลกุตระจึงไม่ไร้สมรรถภาพ ไม่ไร้ความสามารถ ไม่ไร้ความรู้ สูงส่งในความรู้ สูงส่ง ในความสามารถ เป็นศาสนา เพื่อสังคม

ทุกวันนี้เข้าใจศาสนาพุทธผิด เพราะพุทธไม่ได้ใช้สมาธินั่งหลับตาสะกดจิต แล้วทิ้งบ้านเมืองหรือลืมทิ้งสังคม ไม่รับรู้อะไร ไม่เอาอะไร อย่างฤาษี สมัยก่อน .....ไม่ใช่

ศาสนาพุทธนั้นใช้"สัมมาสมาธิ" ที่ลืมตาปฏิบัติมรรค ๗ องค์ ตามคำสอนใน"มหาจัตตารีสกสูตร" (พระไตรปิฎกเล่ม ๑๔ ข้อ ๒๕๒ ถึง ๒๘๑) เป็นโลกุตระ ที่อยู่กับโลก ช่วยเป็นประโยชน์กับมนุษยชนเป็นอันมาก(พหุชนหิตายะ) เป็นสุขกับ มนุษยชน เป็นอันมาก (พหุชนสุขายะ) อนุเคราะห์ เกื้อกูลโลก (โลกานุกัมปายะ) อย่างแท้จริง

ในยุคโลกาภิวัตน์นี้ทำให้เราต้องแข่งขันกับประเทศต่างๆทั่วโลก ถ้าเราไม่ทำตามกระแสโลก เช่น เรื่องการเงินเสรี การค้าเสรี หรือใหม่ล่าสุด เร็วๆนี้ คือ การปลูกพืช จีเอ็มโอ เราจะมีวิธีรับมาใช้อย่างไร จึงไม่ทำให้ตกขบวน โลกาภิวัตน์

สรุปแล้ว....ก็คือจะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจ โลกุตระอย่างแท้จริง ถ้าเข้าใจโลกุตระที่แท้จริงแล้วจะทำให้เราเข้าใจเท่าทัน โลกียะ และเข้าใจ ความหลอกของโลก ซึ่งจะทำให้ดูเหมือนว่า โลกนี้เต็มไปด้วยอิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ หรือสันติภาพ มีสมรรถภาพ บูรณภาพ แต่ความจริง มันไม่เป็นความจริง สาเหตุมันเริ่มมาจากการศึกษานั่นแหละ เมื่อการศึกษาไม่ถูก มันก็เลย ไม่ได้สัจธรรม ไม่รู้สัจธรรม

เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีความจริง มันก็มีแต่ความหลอก จะบอกว่าเรามีอิสระเสรีภาพมันก็หลอก เพราะฉะนั้น จะค้าขายเสรี จะปล่อยให้เป็น เสรีโน่น เสรีนี่ ล้วนแต่เป็นคำหลอกของ ผู้ที่ฉลาดเอาเปรียบ โดยเฉพาะ คนที่อยู่ในฐานอำนาจ ยิ่งใหญ่ ก็ยิ่งไม่มีใคร มาต้านมากั้น มันก็มีสิทธิ์ ที่จะกวาดมา เป็นของตัวเองได้มาก เพราะการศึกษาในโลก ไม่สอนวิชา ลดกิเลสได้จริง ที่เป็นโลกุตระ

เพราะฉะนั้นยิ่งเปิดเสรีเท่าไหร่นายทุน หรือผู้มีอำนาจจริงๆในโลกในสังคมที่มีอำนาจเหนือชั้นกว่า ก็มีโอกาส ที่ยิ่งจะได้เปรียบ มาก เปิด FTA ก็ทำสัญญา กับคนนั้นคนนี้ เสร็จแล้วทำสัญญากับคน ที่มีอำนาจ มากกว่า คุณก็แพ้เปรียบเขา แน่นอน ระบบเสรี จะเสรีในอะไร ก็แล้วแต่ คนที่มีอำนาจ มันก็ได้เปรียบหมด แล้วมันก็ทำลาย ไอ้ตัวน้อยๆ เล็กๆ หญ้าแพรกแหลกลาญหมด เพราะยิ่งเสรีเท่าไหร่ ถ้ายังตะกละ ตะกลามอยู่ ยังโลภโมโทสันอยู่ เราก็เป็นเหยื่อ เป็นเหยื่อผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า เป็นเหยื่อ เป็นระดับๆๆ ไปเลย คุณมีอำนาจสูงกว่า ฉลาดเล่ห์ มากกว่า ก็เอาเปรียบเอารัดไปเรื่อยๆๆ แต่ถ้าเราเป็นคนที่เสียเปรียบได้ เราก็ไม่ว่า เมื่อเราเป็นโลกุตรบุคคลแล้ว เพราะฉะนั้น เราจะไม่กลัว เสียเปรียบ เพราะเรารู้จัก ขอบเขตของ ความเหมาะสม เป็นมัชฌิมาปฏิปทา โดยเฉพาะเรา ไม่ต้องการ ของคนอื่น พึ่งตนเอง ได้แท้จริง และเหลือ พอแจกคนอื่น เผื่อคนอื่นได้

ดังนั้น เมื่อรู้จักขอบเขตของความเหมาะสม เราก็ทำไปตามที่เรามีสัปปุริสธรรม ๗ ประการ รู้จักของจริง รู้จักธรรมะ ธรรมะคือ ความจริงทั้งหมด เท่าที่ตัวเราสามารถ มีปัญญารู้ธรรมะทั้งหมด ธัมมัญญุตา อัตถัญญุตา คือ รู้เป้าหมาย รู้จุดสำคัญ

เมื่อเรารู้องค์ประกอบทั้งหมด และรู้จุดสำคัญ แล้วก็รู้อัตตัญญุตา รู้ตัวเรา เมื่อเรารู้ตัวเรา ตัวเราก็เท่านี้ เราก็ทำ ได้เท่านี้ เราก็พออยู่แล้ว เพราะศาสนาพุทธ สอนให้มักน้อยสันโดษ รู้จักความพอ เพราะเราไม่ได้ต้องการมากเกิน ไม่ได้มักมาก มักใหญ่ มีมากทำได้มาก เราก็แบ่ง ก็ช่วยผู้ด้อย เราก็ทำเท่าที่เป็นสัดส่วน ที่เราพออยู่พออาศัยเหมาะสมกับตัวเรา เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มักมาก ไม่มักใหญ่ เราก็ไม่ตกหลุมพราง ของพวกชาวทุนนิยม หรือพวกที่ใช้เล่ห์กล สร้างเครือข่าย สร้างเล่ห์กล ในสังคม แล้วเราก็ตกเป็นเหยื่อ เข้าไปในวงจรของเขา

เพราะฉะนั้นเราเองเราเข้าใจโลกุตระอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ตกเป็นเหยื่อเข้าไปตกอยู่ในกระแสวงจรหมุน หรือ กระแสดูด อะไร ของเขา ก็ไม่ไป เป็นทาสของเขา เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปกลัวว่าเราจะไม่ทันโลก จะไม่ใหญ่ ไม่ดังในโลก หรือว่า เราจะตกยุค แม้แต่ความรู้ว่า เขาจะสูงจะมาก จะไปไกล ถึงไหนๆๆ ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะชีวิตของมนุษย์ คือการเป็นอยู่ ที่เป็นสุข และก็มีประโยชน์คุณค่า เท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าเราเป็นประโยชน์คุณค่าแล้ว เราก็เป็นสุขได้ เราไม่ต้อง ไปมักมาก ไม่ต้องกลัวว่า เราจะต้องเด่น ต้องดัง ต้องไม่ทันโลก โลกทั้งโลก เขาจะเป็นพวกหลงการศึกษา จนมันเฟ้อ มันฟ่าม มันไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร ก็เฟ้อกันไปอยู่เยอะแยะ แต่ไม่ตรวจสอบให้จริง หลายอย่าง มันเป็นของเปล่า หลายอย่าง มันเป็นสิ่ง สักแต่ว่ารู้เท่านั้น แล้วมัน ก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ และแล้ว แม้แต่จะเหลือ เป็นร่องรอย เป็นความจำ ที่หลากหลาย มันก็ล้าสมัยไปเรื่อยๆตามกาละ มันตกยุคจนแทบเอาไปทิ้งได้ หรือเป็นเพียงแค่ ประวัติศาสตร์ ฟ่ามๆ ฟุ่มเฟือย เอามาเทียบเคียง ได้เล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้นในชีวิตที่จะเดินไปข้างหน้าไปสู่อนาคต มันก็มีแต่ร่อยหรอมีแต่แย่งชิงทั้งนั้น แล้วถ้าขืนเราไปหลง กับความโลภ ที่เขาปั่นกัน ต่อไป เราก็จะไปอยู่ ในกระแสแย่งชิง แข่งขันต่อสู้แล้วกิเลสก็ไม่ลด เมื่อกิเลสไม่ลด เราก็ทุกข์มาก เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อเราลดกิเลสเราได้ แล้วเราก็สามารถ เป็นอยู่อย่างพึ่งตนเองได้ ไม่กินมากไม่อยากใหญ่ ไม่ใช้เฟ้อ ไม่กอบไม่โกย มีแต่ สร้างสรรเกื้อกูล ให้คนอื่น รับใช้กันไป เมื่อคนพึ่งตนเองรอด ช่วยคนอื่นอยู่ได้ด้วยตน คนนั้น ก็เป็นดาวฤกษ์แล้ว แล้วก็ช่วย คนอื่นอีก สร้างคนอื่น ให้เป็นดาวฤกษ์ อีกต่อๆ ไป

เพราะฉะนั้นดาวฤกษ์แต่ละดวงๆ มีแต่จะช่วยดาวบริวารอื่นๆ ต่อไปได้เรื่อยๆ เมื่อเกิดดาวฤกษ์อย่างนี้มากๆๆขึ้น สังคมนี้ ก็ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะไม่มีใคร มาแย่งใคร ดาวฤกษ์ไม่เป็นตัวแย่ง ดาวฤกษ์เป็นตัวช่วย มีประโยชน์ต่อผู้อื่น ทั้งนั้น

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


มารู้จักพลาสติกเมลามีนกันหน่อยนะ

"เมลามีน" เป็นพลาสติกอย่างหนา พลาสติกประเภทนี้เอาไปรีไซเคิลไม่ได้ มีความแข็งแรงทนทาน ทนร้อน ทน กรดด่างได้บ้าง

แต่ถึงจะทนทานแค่ไหน ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายเทคโนโลยีวัสดุ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) แนะ อย่าเอาไปใส่ พวกน้ำส้ม น้ำมะนาว หรือของที่มีความเป็นกรดเป็นด่างสูง เพราะมันจะไปละลาย ส่วนผสม อันตราย ของพลาสติกเมลามีน ออกมาให้เรา รับประทานได้

สังเกตง่ายๆ ใส่น้ำส้มไปปุ๊บ ทิ้งไว้ซักพัก จะเห็นรอยด่างเหลืองเกาะติด ฝังแน่นในถ้วยชามเมลามีน ไม่เพียง กรดด่าง จะไปละลาย สารเคมี อันตรายออกมาเท่านั้น ยังจะทำให้ถ้วยชามใบนั้น เสื่อมสภาพพังเร็วด้วย

เอาไปใช้ใส่ยำ แกง ต้มยำ ก็เหมือนกัน จานชามเมลามีนจะอยู่ได้ไม่นาน ใช้ไปแล้วเมลามีนมีรอยเหลืองด่างดำ ไม่ต้องรอ ให้มันแตกหักพังหรอก รีบทิ้งไปเลย รอยด่างที่เกิดขึ้น แสดงว่าผิวเคลือบด้านนอกของเมลามีน เสื่อมสภาพ เอามาใส่อาหาร ไม่ปลอดภัย และรอยด่างนั้น คือช่องทาง ให้สารพิษจากพลาสติก ละลายปนกับอาหารของเรา

สังเกตได้เวลาเราไปร้านก๋วยเตี๋ยว ก้นถ้วยชามเมลามีนมีรอยด่างดำติดก้นชามล้างไม่ออก...นั่นใช่เลย เมลามีน เสื่อมสภาพ ไม่ควรนำมา ใส่อาหารอีกต่อไป

ข้อสำคัญอีกอย่างของการเลือกซื้อจานชามเมลามีน...ควรเลือกซื้อแบบที่เป็นสีพื้นๆมาใช้จะปลอดภัยกว่า แบบ มีลวดลาย สวยเก๋ เพราะลวดลายนั้น เป็นสี ทำจากสารเคมี สามารถหลุดล่อน สึกละลายปนในอาหาร ที่เรากินได้ ... ไม่เชื่อ ก็ลองเอา สกอตไบรต์ ถูตรงลวดลาย จะเห็นว่า มันสึกร่อนออกมาได้

ถึงเมลามีนจะแข็งแรงกว่าพลาสติกรีไซเคิล สามารถเอาเข้าเตาอบไมโครเวฟได้...แต่ไม่ใช่ทุกใบ จานชาม เมลามีน เอาเข้า ไมโครเวฟได้ ให้ดูตรง ก้นถ้วยชามว่า มีการระบุยี่ห้อ ระบุสรรพคุณ ทนความร้อนได้สูงแค่ไหน ถ้าทนความร้อน ได้เกิน ๑๐๐ องศาเซลเซียส ก็โอเค

แต่ถ้าเมลามีนชิ้นไหนไม่มีการระบุค่าการทนความร้อน ให้สงสัยเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน โรงงานผลิตได้ ไม่ดีพอ ไม่ได้มาตรฐาน ... มันกลัวร้อน อย่าเอาเข้า ไมโครเวฟ อย่าเสี่ยงได้สิทธิบริโภคสารอันตราย จากพลาสติกเลย

สิ่งที่ควรรู้อีกอย่างของเมลามีน ในเรื่องทนร้อน ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายเทคโนโลยีวัสดุ วว. กระซิบบอกมาว่า... อย่าเอา น้ำเดือดๆ ใส่ถ้วย เมลามีน ชงชากาแฟ ถ้วยกาแฟเมลามีนส่วนใหญ่ ไม่ได้ผลิตมาเพื่อทนความร้อนขนาดนั้น ถ้าคิดว่า ถ้วยกาแฟ เมลามีน ทนร้อนน้ำเดือดได้ ให้ลองพลิก ก้นถ้วยมาดู... มีไหมที่ระบุสรรพคุณว่า ทนร้อนได้เกิน ๑๐๐ องศาเซลเซียส

ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง จะชงกาแฟในถ้วยเมลามีน ให้รู้ไว้ว่าใส่ได้เฉพาะน้ำอุ่น หรือเย็น อย่าทึกทัก คิดว่า ถ้วยกาแฟ ทุกชนิด จะใส่น้ำเดือด ได้เสมอไปนะคะ

ดังนั้น ขนาดพลาสติกอย่างหนายังทนร้อน ทนด่าง ทนกรด ได้บ้าง อย่างมีระดับ จะกล่าวไปไยกับพลาสติก อย่างบาง เพราะฉะนั้น ชาวเรา ที่รู้ข่าวคราว เรื่องพลาสติก นี้กันแล้ว ก็ช่วยกันบอกต่อเพื่อจะได้เลือกใช้ หรือจำหน่าย ภาชนะ พลาสติกกัน อย่างมีความรู้ มีความปลอดภัย ไม่สร้างพิษภัยใส่ตน

ทั้งนี้มีข้อมูล(ที่ยังไม่ได้ตรวจสอบแหล่งที่มา) ว่า สารเคมีในพลาสติกทำให้ชายเป็นหมัน ทำให้หญิงเสี่ยง เป็นมะเร็ง เต้านม และ รังไข่ผิดปกติ !!

เรียบเรียงจากบทความเรื่อง พลาสติก...เมลามีน
ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ หน้า ๖ วันที่ ๑๑ เม.ย. ๒๕๔๗

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ผักอินทรีย์ไทยโกอินเตอร์
"ริเวอร์แควฯ" รุกตลาดในประเทศ (ตอนจบ)

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว การแปรรูปและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว ภาชนะ เครื่องมือกรรมวิธีต้องสะอาดถูกสุขลักษณะ ป้องกันการปนเปื้อน จากเชื้อจุลินทรีย์ พาหะนำโรค สารเคมี ห้ามใช้สถานที่ เครื่องมือ ภาชนะ และเครื่องจักรร่วมกับ การแปรรูป ผลิตภัณฑ์อื่น ที่ไม่ใช่ ผลิตภัณฑ์ อินทรีย์ ในส่วนของ การขนส่ง ต้องมีใบ ตรวจสอบสินค้า เกษตรอินทรีย์เข้า -ออกที่ชัดเจน มีการติดฉลาก และมีภาชนะ บรรจุแยกชัดเจน

หลังจากที่เปิดตลาดต่างประเทศมานานจนได้รับการยอมรับจากลูกค้าเกือบทั่วโลก ริเวอร์แควฯได้ศึกษาทิศทาง ของตลาด อยู่ตลอดเวลา เพื่อนำมาเป็น ข้อมูลในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้ดียิ่งขึ้น จนกระทั่ง"สุนทร" ได้เฝ้าติดตาม พฤติกรรม ของกลุ่ม ลูกค้า ในย่านเอเชียแล้ว พบว่า กำลังให้ความสนใจ กับเกษตรอินทรีย์กันอย่างมาก โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น มีอัตราการเจริญเติบโต สูงมาก ในส่วนของ ประเทศไทย ก็ไม่น้อยหน้า กลุ่มลูกค้า ที่มีกำลังซื้อเริ่มนิยมบริโภค ผักอินทรีย์ มากขึ้น เพราะมีประโยชน์ต่อ ร่างกาย ไม่มีอันตรายข้างเคียง แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่า ผักทั่วไปก็ตาม

เมื่อเห็นความเป็นไปได้ของตลาดในเมืองไทย ริเวอร์แควฯจึงได้จับมือกับบริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเตม จำกัด เพื่อผลิต ผักอินทรีย์ มาตรฐานสากล จำหน่ายที่ห้างเทสโก้โลตัส สาขาสมุย เป็นการนำร่องก่อน ปรากฏว่า ได้รับการตอบรับ ด้วยดี จากลูกค้า จึงต้องมาวางแผน เพิ่มอีก ๖ สาขา ได้แก่ สมุย ซีคอนสแควร์ ฟอร์จูน ภูเก็ต พระราม ๔ สุขุมวิท ๕ และพระราม ๓ โดยมีผักอินทรีย์ ๑๕ รายการ คือ ข้าวโพดอ่อน กระเจี๊ยบ ตะไคร้ ผักฉ่อย พริกจินดาเขียว ผักชี ใบกะเพรา ข่า หน่อไม้ฝรั่ง ต้นหอม คะน้า ผักบุ้งจีน สะระแหน่

"การปลูกผักอินทรีย์ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องทำไปเรียนรู้ไป เมื่อได้ผักที่มีคุณภาพ แล้วต้องมีการตลาด และประชาสัมพันธ์ ที่ดีด้วย เพื่อทำให้ ผู้บริโภคเข้าใจ ผมจะใช้วิธีเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ชี้ให้เห็นถึง ประโยชน์ต่อ สุขภาพ ร่างกาย แม้ว่า จะมีราคาแพง กว่าผักทั่วไป ประมาณ ๒๐ % ผมก็มั่นใจว่า มีผู้บริโภคซื้อแน่นอน" สุนทร กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

สำหรับปัญหาของการปลูกผักอินทรีย์นั้นก็คือ ถ้าผักแปลงใดถูกโรคพืชหรือแมลงกัดกิน จะต้องแก้ไขด้วยวิธี ธรรมชาติ เท่านั้น ทำให้ต้นทุนสูง เพราะผักบางรุ่น ต้องเสียหายหลายแปลงทีเดียว เช่น ต้นหอมถ้าเป็นโรคเชื้อรา ก็ต้องปล่อย ทิ้งเลย อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจ อยากจะปลูก ผักอินทรีย์จำหน่าย ควรจะต้องศึกษาหาความรู้ให้เข้าใจก่อนลงมือทำ ถ้าทำได้เชื่อแน่ว่า มีตลาดรองรับอยู่แล้ว

โครงการปลูกผักอินทรีย์เพื่อการส่งออกและบริโภคภายในประเทศกำลังไปได้ดี ริเวอร์แควฯยังมองการณ์ไกล เตรียมวางแผน เข้าไปส่งเสริม ให้ความรู้ กับกลุ่มเกษตรกรต่างๆ ที่ต้องการเข้าร่วมเป็นพันธมิตร ขณะนี้ ได้ไปสนับสนุน กลุ่มเกษตรกร จังหวัด สุรินทร์ เพื่อส่งเสริม ให้ปลูก ผักอินทรีย์ และข้าวอินทรีย์ หลังจากนั้น จะรับซื้อ เพื่อมาทำตลาด ให้เป็นการช่วยเหลือ เกื้อกูล ซึ่งกันและกัน ระหว่าง ธุรกิจขนาดใหญ่ กับธุรกิจรากหญ้า นับว่าเป็นโครงการ ที่ดี น่าสนับสนุน ให้ขยายตัว ไปยังพื้นที่ต่างๆ ที่มีความพร้อม ถือว่าเป็นการสร้าง ความเข้มแข็ง ในเชิงเศรษฐกิจ ให้เกิดขึ้น กับวงการ เกษตรเมืองไทย.

(จาก นสพ.มติชน ฉบับวันที่ ๑๙ มิ.ย.๔๗)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



สัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร

ปีนี้จะได้ร่วมฉลองน้ำกันหรือไม่ นโยบายสำคัญในช่วงนี้ของพ่อท่านคืออะไร หากไม่อยากเป็นแค่กรรมกรศาสนา ควรปฏิบัติ อย่างไร ขอเชิญพบกับ สัจธรรมของชีวิต จากสมณะเดินดิน ติกขวีโร ได้ ณ บัดนี้

* สถานการณ์น้ำท่วมบ้านราชฯไปถึงไหนแล้วคะ ?

- ตอนนี้น้ำลดไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้เรือเป็นพาหนะเข้า-ออกกันอยู่ กำลังรอลุ้นกันว่าน้ำจะขึ้นมาอีกรอบ หรือเปล่า เพราะว่า คราวที่แล้ว น้ำโขงยังไม่สูง แต่ตอนนี้น้ำโขงก็หนุนสูงขึ้นมาด้วย น้ำจากทางร้อยเอ็ด, มหาสารคาม ก็กำลังท่วม มาสมทบอีก เลยไม่แน่ใจว่า เทวดาจะเอาน้ำ มาท่วมอีกรอบ และจะหนักกว่าเก่าไหม? ส่วนการจัดงานฉลองน้ำปีนี้ ดูทีท่าว่า เปอร์เซนต์จะลดน้อยลงไป มีพวกเราเสนอว่า จัดงานฉลองน้ำลดได้ไหม มันก็คงจะไม่สนุกเท่าไร ถ้าน้ำลดแล้ว

อาหารขบฉันปีนี้พวกบ้านราชฯก็สบาย เพราะมีแม่ครัวระดับเจ้าของร้านมังสวิรัติมาชุมนุมกันหลายคน จะทำอะไร ออกมา ก็ดูน่ารับประทานไปหมด ไม่ว่าจะเป็นยำหัวปลี แกงหยวกกล้วย ต้มจืดอ่อมแซบหรือผัดสายบัว ต้ม-แกง สายบัว และ ผัดผักบุ้ง นี่เป็นอาหารหลักในช่วงนี้ ซึ่งแม่ครัวมีเทคนิคทำให้ชวนรับประทานได้ง่ายๆ คือทำให้ร้อนๆเข้าไว้ ควันขึ้นโขมง ทำให้ ไม่มีใคร บ่นว่าอาหารซ้ำๆ ไม่มีใครรู้สึก เดือดร้อน อะไร ยังรู้สึกว่ามันไม่อยู่ในสถานการณ์น้ำท่วมเลย แม้จะมีผัก พวกนี้เป็นหลัก วันหนึ่งๆ ก็มีหลายอย่าง ยิ่งเราเป็นเจ้าของ โรงเต้าหู้เองด้วย โรงสีเองด้วย รู้สึกว่าน้ำจะท่วม ไปทั้งปี ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

ประโยชน์ที่เกิดขึ้นที่เห็นได้ชัดในช่วงน้ำท่วมนี้ก็คือ พวกเราแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอก คือคนข้างนอก ที่จะบุก เข้ามา หาเราตอนนี้ แทบจะไม่มีใครมาเลย เพราะเข้ามาลำบาก จึงทำให้เรามีการรวมตัวกันพร้อมหน้า พร้อมตา ได้มาร่วมกัน ลงศาลา ทำกิจวัตร มีการศึกษา ภายในร่วมกัน ทำให้เราได้มาเคี่ยวใน เน้นแก่นเน้นแกน กันได้มากขึ้น ดูแล้วทิศทางของ ชาวอโศกนับวันๆ กระแสของโลกธรรม จะพุ่งเข้ามาหาเรา มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าคุณธรรมของเรา ไม่ได้เพิ่มขึ้น ตามไปด้วย สุดท้ายเราก็จะไม่สามารถ ต้านกระแสโลกธรรมได้ ถ้าเราไม่แข็ง มีแก่นสาระจริงๆ อาตมาคิดว่า มันอาจจะทำให้เรา...เปลี้ยนไป๋... แล้วสุดท้าย มันจะเพี้ยนไปหาโลกียะ ไปหาทุนนิยมในที่สุด ถ้าคุณธรรมไม่เพิ่ม ตามโลกธรรม ที่เพิ่มเข้ามาหาเรา

* นโยบายที่สำคัญๆของพ่อท่านในช่วงนี้มีอะไรบ้างคะ ?

- ในวันที่ ๒๖ สิงหาคม ทีมประสานงาน คกร., ทีมศีรษะอโศกและสวนส่างฝัน ได้มาร่วมสรุปผลการอบรม และ ทิศทาง ในการดำเนินงาน กันต่อไป ที่ราชธานีอโศก พ่อท่านมาร่วมรับฟังด้วย และได้เน้นประเด็นสำคัญๆ ๒ ประเด็นคือ

๑. พวกเราจะต้องระวัง อย่าหลงภาพลวงตา โดยหลงพุ่งเป้าที่งานภายนอก ได้เห็นชาวบ้านเขาดีขึ้น ได้เห็นเขา เปลี่ยนแปลงขึ้น เราก็จะพุ่ง ออกไปทำแต่งานข้างนอก มุ่งสร้างเครือข่ายให้เข้มแข็งจนลืมถามตัวเองว่า ชุมชนที่เราอยู่ เข้มแข็งหรือยัง เรามีโครงการ ที่จะติดตาม ประเมินผล ปีหนึ่งเป็นร้อยๆ ครั้ง แต่จริงๆแล้ว เราก็ควรได้มาทบทวน กันเองด้วยว่า เราประเมินผล ตัวของเราเอง ได้ผลเป็นที่พอใจหรือยัง

เรามุ่งจะสร้างคุณธรรมให้กับชาวบ้าน จนลืมสร้างคุณธรรมที่จะให้เกิดขึ้นกับตนหรือเปล่า? และที่สำคัญ ก็คือ จะต้อง ไม่ลืมว่า ความเสื่อมของ อุบาสกอุบาสิกาก็คือว่า ไม่ได้มาวัด ไม่ได้มาพบสมณะ ละเลยการฟังธรรม นอกจาก ไม่ได้มาพบ สมณะแล้ว ยังดึงสมณะออกไปข้างนอกอีกด้วย สมณะทุกวันนี้ ก็ป่วยกันเกือบส่วนใหญ่ เหลือผู้ที่แข็งแรงกันจริงๆ ไม่เท่าไรเลย จากที่เรา ทำงานหนัก กันมาสองสามปี จะหาตัวหลักๆ ที่จะไม่ฟุบค่อนข้างลำบาก ซึ่งในเรื่องนี้ พ่อท่านเอง ให้ข้อคิดว่า "ขณะที่เรา ออกไปข้างนอก กะจะไปสร้าง คนภายนอก แต่สนามแม่เหล็ก แห่งคุณธรรม ไม่เพียงพอ ที่จะหล่อหลอม ได้ดีเท่ากับ ให้ชาวบ้าน กลับเข้ามาหาเรา" ดังนั้น เราต้องมาพยายาม ที่จะสร้างข้างในของเรา ให้เข้มแข็ง ให้แข็งแรง จริงๆ จนทำให้เขาอยากจะกลับ เข้ามาหาเรา ซึ่งตรงนี้ จะได้ประโยชน์มากกว่า เพราะเรามี สนามแม่เหล็ก แห่งคุณธรรม หนาแน่นมาก เพียงพอที่จะทำให้เขา เปลี่ยนแปลงชีวิตได้

๒. พ่อท่านย้ำพวกเราว่า อย่าไปพร่าประโยชน์ตนเพราะว่าประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก ต้องเน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก พยายาม พัฒนากลุ่ม หรือชมรม ให้เติบโตขึ้นมา ไม่ใช่เป็นเพียงแค่กลุ่มหรือชมรม ควรจะมีทิศทางพัฒนาจากชมรม มาเป็นกลุ่ม มาเป็นชุมชน มาเป็นหมู่บ้าน มีคนมาอยู่จริงๆ มีวิถีชีวิตจริงๆ ที่จะเผยแพร่ออกไปให้เขา มีพืชผักไร่นา ที่มีความสมบูรณ์ เป็นตัวอย่าง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ศูนย์อบรม ที่เป็นศูนย์จริงๆ มีแต่ความว่างเปล่า มีแต่ผักงามอยู่ในศาลา ฉะนั้น เราจะต้อง ไม่ลืม การสร้างเนื้อหาภายใน ให้เข้มแข็งให้แข็งแรงขึ้นมา

พ่อท่านเองเคยให้โศลกเมื่อหลายปีมาแล้วเป็นปรัชญา ที่บอกไว้ว่า

"แม้นจะสั่งสมกิ่งไม้มากมายสักปานใดก็หาได้ชื่อว่าเป็นต้นไม้ไม่
ตึกจะใหญ่และสูง ได้มากๆ ก็เพราะรากแข็งแรงและลึกพอ"

พ่อท่านให้คำขยายความในโศลกอันนี้ไว้ว่า ชาวอโศกกำลังจะสร้างสังคมและมนุษยชาติ ซึ่งต้องมีจิตวิญญาณ เหมือนดั่ง พระเจ้า เท่านั้น ที่จะสร้างได้ เพราะมันคือการสร้างโลกทั้งโลก

สร้างกรรม สร้างจิต สร้างพีชะ สร้างอุตุ ความหมายของต้นไม้ก็คือความแน่นใน ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ของพวกเรา ที่สามารถ ประสานสอดร้อย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ดี แต่ถ้าพวกเรา ยังไม่สามารถเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันได้ ก็ไม่สามารถ เป็นต้นไม้ได้ เป็นเพียง แค่กิ่งไม้ แม้กิ่งไม้ จะมากมายสักปานใด ก็หาได้ชื่อว่าเป็นต้นไม้ ถ้ายังร่วม ประสาน เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันไม่ได้ ป่วยการพูดถึง จะไปสร้างชาวบ้าน ให้เป็นต้นไม้ เพราะแม้แต่คนสร้างเอง ก็เป็นเพียง แค่กิ่งไม้เท่านั้น

* ฝากอะไรถึงพวกเราบ้างคะ ?

- อยากจะฝากว่า ทำงานอย่างไรจึงจะไม่หลุดจากโลกุตระไปหาโลกียะ ก่อนอื่นต้องเข้าใจธรรมชาติของกาย กับจิต ของรูป กับนาม ก่อนว่า ชีวิตของคนเรา มีกิเลสเป็นอาคันตุกะจร ที่มักจะวนเวียนเข้ามาเยี่ยมเยียน หรือครอบงำ จิตวิญญาณ เดิมแท้ ที่เป็นอิสระเสรี อยู่เสมอๆ เมื่อไรที่เราหลงตัวลืมตัว อาคันตุกะจรไม่ว่าเป็นโลกธรรม กามคุณ หรือว่า โลกอัตตา ก็ดี ก็จะกลับมา ครอบงำ ซึ่งเร็วๆนี้ พ่อท่านให้สัมภาษณ์ นักจัดรายการวิทยุ ถึงประเด็นนี้ เขาถามเกี่ยวกับ นายกฯทักษิณ พ่อท่านเอง ก็อธิบาย ทั่วๆไปว่า ธรรมชาติของคน ถ้าเราไม่มีสติแข็งแรง ก็จะลืมตัว ถูกลาภยศ สรรเสริญ ความหลงอำนาจ อัตตามานะ เข้ามาครอบงำ ซึ่งพวกหนังสือพิมพ์ก็ เลยเอามาพาดข่าว ไปใหญ่โตเลยว่า พ่อท่าน ฉะทักษิณลืมตัว ซึ่งจริงๆ เป็นการอธิบาย ธรรมชาติของมนุษย์ ที่ไม่มีสติสัมปชัญญะที่แข็งแรงพอ พวกอาคันตุกะจร ทั้งหลาย ก็จะเข้ามา กลายเป็น อาคันตุกะประจำ และ ยึดครอง เอาจิตวิญญาณของเราเป็นทาส

ดังนั้นในขณะที่เราทำงาน ต้องแยกกันให้ออกว่า เรากำลังเอาจริงเอาจังกับงาน หรือเรากำลังถูกกิเลส เล่นงาน อย่างเอาจริง เอาจัง เรากำลังถูกผีสิง ไม่ว่าจะเป็นผีอัตตา มานะก็ดี ผีโลกธรรมก็ดี กำลังเข้ามาบงการ เรา หรือ เราทำงาน ด้วยจิตแท้ จิตที่มีอิสระเสรี มีความเบิกบาน มีความเป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอยู่

๑. ตรงนี้ขึ้นอยู่ว่าเราสามารถจัดวงจรชีวิตไปในทิศทางที่ทำลายล้างอวิชชาอยู่หรือไม่? พระพุทธเจ้าท่านกำหนด วงจรชีวิต เอาไว้ว่า ต้องเริ่มต้น ตั้งแต่การได้คบ สัตบุรุษก่อน การได้คบสัตบุรุษได้อยู่ใกล้สัตบุรุษก็จะทำให้เราได้ฟัง สัทธรรม การที่ได้ฟัง สัทธรรม ก็จะเป็นอาหาร ที่ทำให้เราเกิดความศรัทธา เกิดความเชื่อถือ เชื่อฟัง เมื่อปฏิบัติตาม จนเกิดผล ก็จะเกิด ความเชื่อมั่น จากศรัทธา ก็จะเป็นการทำให้จิตของเรา เกิดความแยบคาย เพราะว่าเราได้เอาธรรมะ ไปพิจารณา ไตร่ตรอง เมื่อฟังธรรม พ่อท่านแล้ว เราก็เอาธรรมะ มาพิจารณาไตร่ตรอง มีโยนิโสมนสิการ อยู่เสมอๆ จิตของเรา ก็จะเกิด ความแยบคายขึ้น เปลี่ยนแปลง จากหยาบคาย ทางโลภ-โกรธ-หลง มาเป็นความแยบคาย ที่จะพินิจ พิจารณา ให้โลภ-โกรธ- หลง เบาบาง จางคลาย ลงไป การที่มีจิตแยบคาย ก็จะเป็นองค์ประกอบ ที่จะทำให้เราเกิด สติ สัมปชัญญะ ให้เรารู้เท่าทัน ไม่เกิดความหลงตัว ลืมตัว สติสัมปัชญญะ ก็จะทำให้เราเกิดการสำรวมอินทรีย์ เมื่อมีสำรวมอินทรีย์ ก็จะทำ ให้เราเกิด สุจริตสาม เมื่อเราลด ทุจริตลงไปได้ นิวรณ์ห้าก็ลดไปด้วย อวิชชาก็จะลดลงไปด้วย นี้ก็เป็นวงจรของ ทิศทาง ในการที่ จะลดละอวิชชา ถ้าเป็นวงจรชีวิต ของการเพิ่มอวิชชา ก็มีทิศทางตรงข้ามคือ ไม่ได้พบสัตบุรุษ ไม่ได้ฟังสัทธรรม ไม่มีศรัทธา...ฯลฯ และ อวิชชาเพิ่มขึ้น ในที่สุด

๒. ในปัจจุบันเราทำงานด้วยความ ตั้งใจอย่างไร? ทำงานอย่างหมกมุ่นมัวเมาไปกับงาน (กัมมรามตา) หรือทำงาน ไปอย่าง "กรรมเบื่อระอา" ทำสักแต่ว่าทำ โดยไม่มีอิทธิบาทเข้าไปทำด้วย จิตที่ตกภพ ทำงานอย่างซังกะตาย จิตที่ไม่ได้อยู่กับ ปัจจุบัน ก็ไม่สามารถ อ่านกิเลสได้ ซึ่งในขณะที่เราทำงาน จะมีผัสสะเข้ามาให้เราลด ละกิเลสได้มากมาย ดังนั้น เราควรทำงาน ด้วยความตั้งใจ ที่จะล้างกิเลส ได้จิตที่วิเศษ เพราะกิเลสลดลง ไม่ใช่มุ่งทำแต่งาน เหมือนกรรมกร รับจ้างทั่วๆ ไป

๓. เมื่อทำงานแล้วแต่ละวัน เรามี บุพเพฯ ประเมินผลหรือไม่ ? หรือทำอย่างทิ้งๆขว้างๆ ไม่ได้เอามาทบทวน ปรับปรุง พัฒนาตน แต่อย่างใด? อย่างน้อย ก็น่าจะได้ทบทวนว่า แต่ละวันเราทำงานอย่างมีความสุข มีอีคิวมากน้อยแค่ไหน? มีความเป็นพี่ เป็นน้องมากขึ้น หรือศัตรู เต็มไปหมด? แต่ละวัน เราเผลอโกรธกี่ครั้ง? ผิดศีลกี่ข้อ? มีอธิศีลข้อใด ที่ควรจะได้ สมาทานเพิ่มขึ้น? นั่นก็คือ การสะสมหน่วยกิจโลกุตระ เพื่อที่เราจะได้ สมาทาน ประเมินผลถึง ความหลุดพ้น จากกิเลส ต่างๆ ได้ในที่สุด

ระวัง!!...จะหลงประเด็น เพลิดเพลินเจริญใจไปกับงานนอก หมดวันไปกับบทบาทของกรรมกรศาสนา ไม่คบหา สัตบุรุษ หยุดการเพิ่มอธิศีล ให้กับตัวเอง สักวันเราอาจจะถูกโลกียะดูดดึงไปโดยไม่รู้ตัว !!... พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้วว่า "อย่าพร่าประโยชน์ตน เพราะประโยชน์ท่าน แม้มาก".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


นักข่าวหลายสำนักมาขอสัมภาษณ์พ่อท่าน
ชาวอโศกขอสัมภาษณ์นักข่าว
ชี้สันติอโศกเกิดท่ามกลางสังคมเผด็จการ

วันศุกร์ที่ ๒๔ ก.ย. ๒๕๔๗ เวลา ๐๙.๐๐ น. ผู้สื่อข่าวจาก นสพ. ร่วมด้วยช่วยกัน โทรทัศน์ช่อง11 news1 และเวลา ๑๕.๐๐ น. TTV (ไททีวี) มาถ่ายทำรายการ"การเมืองภาคประชาชน"โดย ๒ พิธีกร คือ อาจารย์สมาน ศรีงาม และอาจารย์ สมบูรณ์ ยืนยงสุวรรณ ได้มาขอสัมภาษณ์ พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ เกี่ยวกับพรรคเพื่อฟ้าดิน

ซึ่งพ่อท่านได้มอบบทความคอลัมน์สีสันชีวิต ที่ได้ไปสัมภาษณ์พ่อท่านในหนังสือพิมพ์เราคิดอะไร ในวาระ ครบรอบ ๑๐ ปี ซึ่งจะออก ในเดือนตุลาคม

ผู้สื่อข่าว พิธีกร ที่มาสัมภาษณ์พ่อท่านได้ให้สัมภาษณ์ ดังนี้

คุณขวัญจิต อติโรจน์ นสพ.ร่วมด้วยช่วยกัน"จะมาสัมภาษณ์พ่อท่านเกี่ยวกับเรื่องการดำเนินงานของพรรค เพื่อฟ้าดิน บังเอิญ จะทำข่าว เกี่ยวกับการเลือกตั้ง พอดีกระแสการเมืองตอนนี้ เป็นกระแสที่ใช้เงินเป็นใหญ่ ทีนี้พรรค เพื่อฟ้าดิน จะมีจุดแตกต่าง จากพรรคอื่น ตรงที่ว่า ออกมาก็ชูว่า ไม่ใช้เงินและบุญนิยม ไม่เหมือนใคร น่าจะเป็นอีก ทางเลือกหนึ่ง ก็เลยจะมานำเสนอ แก่ประชาชนว่า แนวนี้ก็มี

เคยรู้จักสันติอโศกมาก่อน จากรู้จักท่านมหาจำลองก่อน ที่ท่านไปพูดต่อต้าน ก.ม.การทำแท้งเสรี

กรณีข่าวด้านลบกับสันติอโศกที่ออกมาในครั้งเก่าก่อน บังเอิญที่บ้านจะเป็นฝ่ายธรรมะ ทางเราคิดว่า ไม่ว่า จะสายไหน ถ้าสอน ให้คนเป็นคนดี ก็ไม่น่าตั้งแง่รังเกียจ ไม่ว่าจะปฏิบัติอย่างไร สุดท้ายจุดเดียวกันก็คือ แสวงหา ความหลุดพ้น ก็ไม่ได้คิดว่า สันติอโศกทำอะไรเพื่ออะไร ไม่ได้คิดในแง่นั้น ตัวเองปฏิบัติสายหลวงพ่อสด คิดว่าไม่ว่าปฏิบัติ ในแนวไหน ถึงที่สุดแล้ว ก็จะพิสูจน์ตัวเอง ถ้าทำจริง ก็จะมั่นคง ถ้าไม่จริง ก็ต้องจบไป เหมือนกับที่บางสาย เขาไม่ได้ทำดีจริง ก็คือ เวลาจะเป็น เครื่องพิสูจน์ ไม่ได้ไปคิดอะไรมากกว่านั้น

สันติอโศกค่อนข้างมั่นคง แม้ว่าจะเจอกระแสอะไรก็ยังอยู่ได้ บางช่วงคนก็อาจบูมมาเยอะหน่อย บางช่วง ก็หายไป จะพาแม่ มาซื้อของ ที่พลังบุญ ซึ่งของดี ราคาถูก จริงๆค่ะ ถูกกว่าที่อื่น นโยบายนำถุงมาใช้ ถือว่าได้ลดขยะ ที่นี่รู้สึก ทำมานานแล้ว"

ผู้สื่อข่าว ช่อง ๑๑ "ผมมาจากสถานีข่าวผ่านดาวเทียม ช่อง 11 news1 คงจะคุยกันเรื่องการเมืองแนวใหม่ ทราบว่าทาง สันติอโศก มีส่วนร่วม ในการจัดตั้ง พรรคเพื่อฟ้าดิน ซึ่งจะมีการผลักดันนโยบายแบบบุญนิยม หรือว่าส่งเสริม ประชาธิปไตย ชุมชนพึ่งตนเอง คือเป็นแนวทาง ที่น่าสนใจ ถ้าประชาชน ได้รับรู้ในวงกว้าง

เคยทราบว่าพรรคเพื่อฟ้าดินเคยไปคัดค้านการขึ้นเงินเดือนของ ส.ว. ส.ส.ที่ยื่นเรื่องไปให้ประธานรัฐสภา พิจารณา ตั้งแต่ปี'๔๕ แต่ช่วงนี้ กำลังเป็นช่วงที่จะเริ่มต้น การเลือกตั้งในปีหน้า ทางสถานีข่าวต่างๆ ก็จะสนใจ การจัดตั้ง พรรคการเมือง ที่มีอยู่ ในปัจจุบันว่า พรรคไหน มีบทบาท ทางการเมืองอย่างไร มีแนวโน้มที่จะส่งคนลง ส.ส.มั้ย ต่างๆ เหล่านี้ เคยศึกษาสันติอโศก มาบ้าง เคยอ่านหนังสือ ที่เขารวบรวม เกี่ยวกับสันติอโศก ธรรมกาย สวนโมกข์ ที่เขียนโดย มูลนิธิ หมอชาวบ้าน

คิดว่าสันติอโศกน่าจะเป็นแนวทางที่น่าสนใจแนวทางหนึ่ง เพราะรัฐธรรมนูญปัจจุบัน เปิดโอกาสให้คนมีความเชื่อ หรือ มีแนวทาง ในการที่จะทำงาน หรือว่าในความศรัทธาของแต่ละคน คือเปิดกว้างในการที่จะแสวงหา การใช้ชีวิตของตัวเอง

อย่างสันติอโศกผมก็สังเกตเห็นว่าเขาเป็นชุมชนที่พึ่งตัวเองและก็ดำเนินตามแนวทางนี้มาเป็นเวลายาวนานแล้ว คิดว่า สังคม ส่วนหนึ่ง ในวงกว้าง ก็รู้จักดี และก็ยอมรับ ทราบว่าทำเรื่องของพวกพืชผัก ปลอดสารพิษ สิ่งพิมพ์อะไรต่างๆ"

คุณนันทวัน บุญทร ช่างภาพ ไทยทีวี "มาครั้งแรก มีต้นไม้เยอะ มีพวกกระรอก กระแตเยอะ พอเข้ามาในนี้แล้ว ก็ไม่น่าเชื่อว่า จะอยู่ในเมือง ที่มีรถติดมากๆ ก็คือด้านหน้าของสันติอโศก จะเป็นถนน ซึ่งรถติดมาก บรรยากาศร่มรื่น มีลักษณะ คล้ายป่าโปร่ง รู้สึกดี เคยได้ยินมาว่า สันติอโศก เป็นลัทธิๆหนึ่ง แค่นั้นเอง เอื้อธรรมชาติอะไรประมาณนี้"

อาจารย์สมบูรณ์ ยืนยงสุวรรณ พิธีกร"มา ๒ ครั้งแล้ว แล้วก็มองว่า สันติอโศกก็เป็นหลายมิติ มิติทางสังคม มิติเศรษฐกิจ มิติทางศาสนา เป็นการตีความ ของแนวการปฏิบัติ ที่เห็นด้วยกับท่านโพธิรักษ์ ที่บอกว่าแนวความคิด ในทางของโลก กับในทางของธรรม อยู่ในตัวคน แล้วก็ไม่สามารถ ที่จะแยกออกจากกันได้ แล้วก็ได้ติดตามงานของ สันติอโศกมา สิบกว่าปีแล้ว แนวความคิดความเชื่อหลายข้อ ก็ตรงกับแนวความคิด ของศาสนาอื่น ซึ่งถือว่าเป็นหลักสากล เคยเห็นป้าย เมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว ผ่านมา เมื่อก่อนผมเรียนนิด้า คือรักเพื่อนบ้าน รักตนเอง อะไรยังจำได้อยู่ เพราะผมก็อยู่ โบสถ์ตรงนี้

ได้ไปเห็นแนวการทำเกษตรที่ปฐมอโศก ได้ไปแอบสังเกต แอบถามสมาชิกว่า จริงๆแล้วมีความเชื่อเข้มแข็ง ขนาดไหน เชื่อมั่น ในหลักของ สันติอโศก ก็ปรากฏว่า ทั้งเด็กทั้ง ผู้ใหญ่ที่ผมพยายามที่แอบถามนี้ ก็มีความคิดความเชื่อ ที่ค่อนข้าง ที่จะเข้มแข็ง ก็จึงเป็นเรื่องที่แปลกนะ ในสังคม ถูกล้อมไว้ด้วย แนวความคิดของทุนนิยม ของการบริโภคโดย สื่อต่างๆ ก็ยังมีกลุ่มๆหนึ่ง ที่เขาสามารถที่จะต่อสู้ได้ บอกว่าก็เป็นกลุ่มหนึ่ง ในกระแสรองๆไป ถ้าเป็นศาสนาอื่น เขาก็มีกลุ่ม ของเขา เช่น คริสเตียน โปแตสแตนท์ มุสลิมเขาเคร่งๆก็มี เขาก็ต่อสู้เหมือนอย่างกลุ่มนี้

แล้วก็พูดแบบไม่เข้าข้างเลยว่า เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างที่เป็นเรื่องของสารัตถะในเรื่องเนื้อหา ในการดำรงชีวิต อย่างมาก แต่ก็ท้าทาย ในโลกปัจจุบัน มากทีเดียว ผู้นำเข้าถึงโลก เข้าใจ ทันโลก"

อาจารย์สมาน ศรีงาม พิธีกร "สันติอโศกมีลักษณะพิเศษซึ่งไม่เหมือนสังคมทั่วไป คือได้นำเอาด้าน จิตวิญญาณ หรือ ด้านจิตใจ มาเป็นส่วนนำ สูงสุดของสังคม ระบบสังคมซึ่งประกอบด้วยการเมือง เศรษฐกิจ และ ก็วัฒนธรรม เรานำด้วยทางด้าน จิตวิญญาณ ที่มีหลักพระพุทธศาสนา เป็นหลักสำคัญ แล้วก็มีการจัดระบบของสังคม ในสันติอโศก เป็นการจัดระบบ แบบจำลอง เป็นต้นแบบขึ้นมา เช่น ในทางเศรษฐกิจ ก็มีการจัดหน่วยผลิต ทางการผลิต ให้สัมพันธ์ขึ้น ต่อทางด้านจิตใจ คือให้สอดคล้องกับการปฏิบัติธรรม ลดละกิเลส เป็นสำคัญ ไม่ใช่ทำการผลิต ทางเศรษฐกิจ เพื่อจะไป ค้าขาย ได้กำไร หรือไปเสริมการเมือง ให้ใครมีอำนาจอะไร ไม่เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ ในระบบทุนนิยมโลกนะครับ

แล้วก็ทางด้านการเมือง สันติอโศกก็ถือว่าเป็นส่วนประกอบของการปฏิบัติธรรม เช่น การทำมาตลอดของพรรค เพื่อฟ้าดิน และก็ สะท้อนว่า คนที่จะไปทำงานการเมือง ในรูปธรรมของพรรคเพื่อฟ้าดิน จะต้องปฏิบัติธรรมเป็นขั้นนั้นขั้นนี้ เป็นลำดับ ถึงจะสามารถ ที่จะเข้าไปทำงาน การเมืองได้ อันนี้ถือว่าเป็นมิติใหม่ ของการเมืองโลก หรือพรรคการเมืองที่มีมา ให้เอาด้าน จิตใจเป็นด้านนำ แล้วก็เอาด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจอื่นๆ เป็นด้านรองลงไป อันนี้ก็จะเห็นรูปธรรม ที่ได้ ๒ แบบ

อีกประการหนึ่งก็คือว่า การเกิดของสันติอโศก เป็นการเกิดท่ามกลางบริบทหรือเงื่อนไขของสังคมที่เป็นเผด็จการ โครงการของ ประเทศไทย เป็นเผด็จการ โดยเฉพาะอำนาจทางการเมือง เป็นเผด็จการ เช่น ก.ม.พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ปี ๒๕๐๕ เกิดในสมัย จอมพลสฤษฏ์ กฎหมายอันนี้ เกิดในสถานการณ์ เพื่อจะสู้กับคอมมิวนิสต์ ก็เลยไปทำลาย ไปกดขี่ เสรีภาพมาก โดยเฉพาะเสรีภาพ ทางด้านความคิด และจิตวิญญาณ

เสรีภาพทางด้านความคิด ใครจะคิดอะไรก็ได้ในสังคมประชาธิปไตย เขาไม่ได้ห้าม ใครจะนับถืออะไรก็ได้ เสรีภาพทาง จิตวิญญาณ เช่น พระ พระสามารถที่จะปฏิบัติ นับถือศาสนกิจได้หมด จะแต่งตัวยังไง จะไปทำยังไงได้หมด นี่ประชาธิปไตย แต่กฎหมายอันนี้ เป็นลักษณะของ กฎหมายเผด็จการ ที่ครอบอยู่ ไม่ใช่เฉพาะสันติอโศก แต่ครอบอยู่ ทั้งประเทศ

แต่สันติอโศกได้สู้ สู้ให้เป็นแบบอย่าง พระทั่วไปเขาก็ไม่ค่อยสู้ เมื่อไม่ค่อยสู้ ก็อาจจะอยู่ได้ แต่อยู่แบบที่ ศาสนจักร อยู่ใต้ อาณาจักร ซึ่งก็คือ ไปอยู่ใต้นักการเมือง ซึ่งมีกิเลส เพราะฉะนั้นมันจัดระบบสังคมผิดจากสังคมพุทธะ จึงเกิดปัญหา มากมาย ที่เป็นอยู่ขณะนี้

เพราะฉะนั้น การเกิดสันติอโศก ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างจงใจ แต่เป็นการเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยของสังคม ที่มันจะต้อง เกิด ไม่ใช่ท่าน โพธิรักษ์ อยากจะดัง หรือว่าไปสู้กับใคร ก็เปล่า มันรู้สึกขึ้นมาเอง เออ...มันไม่ถูก เมื่อมันไม่ถูกก็สู้ ท่านก็ไม่รู้ เลยครับ เงื่อนไข การเมืองเป็นยังไง เศรษฐกิจเป็นยังไง ท่านยังไม่ทราบด้วยซ้ำครับ แต่เห็นว่าไม่ถูกก็ต้องสู้ ท่านยึด พระธรรม ไว้เป็นหลัก ก็เลยสู้มาเรื่อยๆ แล้วมันก็จัดรูป ทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ทางวัฒนธรรม ทางสังคม อย่างเป็นไปเอง

ท่านบอกว่า ท่านไม่มีแผน ผมรู้จักท่านมานานแล้ว ตั้งแต่ไปปะทะกันที่ลานอโศก ตอนสมัย อาจารย์ไสว อาจารย์ปุ่น ใครต่อใคร นะครับ ท่านโต้กันมา อย่างดุเดือดแล้ว แล้วเห็นท่านพัฒนาสันติอโศก ออกเป็นชุมชนได้สำเร็จ

เศรษฐกิจพอเพียง ถ้าไม่มีจิตใจที่เพียงพอแล้วทำไม่ได้ สันติอโศกได้ปฏิบัติทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงเป็น ผลสำเร็จ ที่เป็น ข้อเท็จจริงแล้ว เป็นรูปธรรม อันนี้เห็นได้ชัดแล้ว

ดังนั้นเวลารัฐบาลเอาไปทำ ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ทำไม่สำเร็จหรอกเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ถ้าอยู่ภายใต้โครงสร้าง ที่จิตใจ ยังไม่ได้ เป็นส่วนนำ ทำไม่สำเร็จ และถ้าไม่พาคนไปลดละเลิก ซึ่งเป็นอุดมการณ์สูงสุดของชีวิตของคน คือนิพพาน คือ การละกิเลส ตัณหา ถ้าไม่มีคน ที่มีจุดยืน จิตใจแบบนี้นะ ก็จะไม่สามารถไปปฏิบัติ เศรษฐกิจพอเพียง หรือว่า ทำสังคม เป็นประชาธิปไตย ที่แท้จริงได้สำเร็จ อันนี้ก็เห็นเป็น ปรากฏการณ์อย่างนี้ครับ

รายการแพร่ภาพวันศุกร์ เวลา ๑๖.๓๐-๑๗.๐๐ น. ออกหลายตอน เดี๋ยวยังมาต่ออีกเยอะ เพราะมีแง่มุมมาก".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ระวัง! ไข้เลือดออก

แม้ช่วงนี้จะปลายฤดูฝนแล้วก็ตาม แต่โอกาสที่เราจะถูกยุงลายพาหะของโรคไข้เลือดออกนั้นมีได้เสมอ ซึ่งแม้กระทั่ง หน่วยงาน ภาครัฐเอง ยังต้อง ประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนระมัดระวัง เรื่องไข้เลือดออก ตามหน้า หนังสือพิมพ์ หลายต่อหลาย ฉบับทีเดียว

ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท ฉบับนี้จะขอ นำข้อมูลเหล่านี้มาฝากท่านญาติธรรม ด้วย เผื่อได้พบเห็นใครป่วย ด้วยอาการ เข้าข่ายเหล่านี้ จะได้แก้ไขได้อย่างทันท่วงที

โดยปกติคนที่โดนยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะสำคัญของโรคที่มีเชื้อไข้เลือดออกกัดครั้งแรก อย่างมากจะเกิดเป็นไข้เดงกี่ (Dengue Fever) ซึ่งอาการ ไม่รุนแรง ไม่มีช็อก แต่ถ้าในปีถัดๆมาโดนยุงที่มีเชื้อกัดอีก อาจจะทำให้เกิดปฏิกิริยา เป็นไข้เลือดออกได้ เพราะฉะนั้น เด็กเล็กๆ โดยเฉพาะ ที่ต่ำกว่าขวบ จึงไม่ค่อยเป็นไข้เลือดออก ที่พบมากคือ เด็กวัยเรียน อายุ ๕-๑๔ ปี ผู้ใหญ่ ก็พบได้ และมีแนวโน้มมากขึ้น แต่ก็ยังน้อยกว่าเด็ก

อาการไข้เลือดออก จะเริ่มด้วยไข้สูง มากๆ ประมาณ ๓-๔ วัน อาจจะมีตาแดง ท้องอืด (มักมีอาการปวดท้อง อาเจียน ร่วมด้วย เกือบทุกคน) ไข้จะสูง กินยาไม่ค่อยลดง่ายๆ อาจมีไข้ได้ ๒-๗ วัน บางคนจะมีจุดเลือดออก ตามตัวให้เห็น หรือ มีเลือด กำเดาออก อาเจียนเป็นเลือด สีกาแฟดำ (มักเป็นตอนวันท้ายๆ ที่อาการมากแล้ว) ไข้จะสูงอยู่สี่วัน แล้วเข้าสู่ ระยะไข้ลด ระยะนี้ เป็นช่วง ที่น่ากลัว ความดันฯจะต่ำลง อย่างรวดเร็ว ท้องอืด ช็อก ถ้าไม่ได้รับ การรักษาให้ทัน อาจจะเสียชีวิตได้ ดังนั้นถ้าเด็กๆ (หรือแม้แต่ผู้ใหญ่) ถ้ามีไข้สูง กินยาลดไข้แล้ว ไข้ก็ไม่ค่อยลด บางคน ถ้ามีไข้หลายวัน ดูตาม แขนขา อาจจะพบจุด เลือดออกเล็กๆ ใต้ผิวหนัง ก็อย่าลืมนึกถึง ไข้เลือดออกด้วย

การรักษา
๑. ให้ยาลดไข้,เช็ดตัวลดไข้ ยาลดไข้ควรใช้ พาราเซตามอล (Paracetamol) ไม่ควรใช้ยาจำพวก แอสไพริน เนื่องจาก จะทำให้ เกร็ดเลือด ผิดปกติ และระคาย กระเพาะอาหาร ยิ่งจะทำให้เลือดออกได้มากขึ้น

๒. ให้สารน้ำชดเชย เนื่องจากผู้ป่วยมักมีภาวะขาดน้ำ เนื่องจากไข้สูง เบื่ออาหารและอาเจียน ในรายที่พอทานได้ ให้ดื่มน้ำ เกลือแร่บ่อยๆ ในรายที่ขาดน้ำมาก หรือ มีภาวะเลือดออก เช่น อาเจียน หรือ ถ่ายเป็นเลือดต้องนอน โรงพยาบาล เพื่อให้ สารน้ำ ทางเส้นเลือด

๓. ติดตามดูอาการใกล้ชิด ถ้ามี อาการปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลง กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น โดยเฉพาะ ในช่วง ไข้ลด ต้องรีบนำส่ง โรงพยาบาลทันที

๔. ตรวจนับจำนวนเกร็ดเลือดและความเข้มข้นของเลือดเป็นระยะเพื่อใช้พิจารณาปริมาณการให้สารน้ำ ชดเชย

นี่ก็เป็นข้อมูลคร่าวๆ ที่เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ เพราะฤดูฝนก็เวียนมาทุกปี ยุงลายก็ยังมีอยู่มากมาย เด็กๆ ของเรา ก็ยังมีความเสี่ยง ต่อโรคไข้เลือดออก ข้อมูลเหล่านี้คงมีประโยชน์ให้ชาวเราไม่มากก็น้อย ช่วยกันสอดส่อง ดูแล สุขภาพ ของกันและกัน เพราะสังคมชาวเราเป็นสังคมที่พึ่งเกิด พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้

ด้วยความห่วงใยนะคะ ฉบับหน้าพบกันใหม่

- บุญนำมา รายงาน -

(ข้อมูลเรื่อง"ไข้เลือดออกมีอาการอย่างไร" ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



คกร. ร่วมงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ'๔๗
เน้นมากเรื่องพึ่งตนและลดความร่ำรวยลง

งานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ปี ๒๕๔๗ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๘-๙ ก.ย.ที่ผ่านมา ณ อาคารอิมแพ็ค คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ศูนย์นิทรรศการ และการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี นนทบุรี

งานนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ ๓ แล้ว ด้วยความร่วมมือจากองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ กระทรวง สาธารณสุข กระทรวง มหาดไทย สำนักงานกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืน และองค์กรภาคีอื่นๆ เป็นต้น

โดยงานในครั้งนี้เน้นการปฏิรูประบบสุขภาพ มีการสัมมนาจากเครือข่ายและประชาคมสุขภาพต่างๆ นักเรียน นักศึกษา และ ประชาชนทั่วไป ร่วมกันเสนอ ความคิดเห็น เพื่อพัฒนาและผลักดัน กติกาสังคมไทย

หลังจากลงทะเบียนแล้ว พิธีเปิดได้เริ่มขึ้นด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน และเปิดการประชุมโดย ฯพณฯ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ว่าด้วยเรื่อง "อาหารและเกษตรเพื่อสุขภาพ" มีการประชุมทั้งภาคเช้าและบ่าย แบ่งการประชุมย่อย จำนวน ๔ ห้อง คือ

-มาตรการควบคุมการตลาดสารเคมีอย่างมีส่วนร่วม
-การควบคุมสารเคมีอย่างโปร่งใส มีส่วนร่วม
-การคุ้มครองและเฝ้าระวังอาหารปลอดภัยจากสารพิษอย่างมีส่วนร่วม
-การส่งเสริมระบบเกษตรยั่งยืน

ซึ่งในแต่ละห้องย่อยจะมีทีมนักวิชาการนำเสนอผลการเสนอที่ได้มาจากการทำงานวิชาการและการจัดเวที ระดมความคิด ล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ เข้าร่วมสมัชชาฯ ได้พิจารณาและให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม และสรุปเป็นข้อเสนอ เชิงนโยบาย เข้าสู่เวที สมัชชา สุขภาพแห่งชาติ ภาคบ่าย เป็นการนำเสนอ เชิงนโยบายและยุทธศาสตร์ ให้ที่ประชุมร่วมพิจารณา รวมทั้ง มีการประกาศ เจตนารมณ์ ร่วมกัน

บรรยากาศผู้คนมาพอสมควร การแสดงนิทรรศการน่าสนใจเป็นพิเศษ ส่วนวันที่ ๙ ก.ย. ได้แบ่งการประชุม ออกเป็น ห้องย่อย ๑๐ ห้อง เช่น พลังครอบครัว ร่วมเรียนรู้กับลูกหลาน ผลกระทบต่อสุขภาพจากนโยบายการค้าเสรี ฯลฯ โดยเชิญ วิทยากร และ ปราชญ์ชาวบ้าน มาให้ความรู้ กับผู้เข้าร่วมประชุม ทำอย่างไรถึงจะให้สุขภาพแข็งแรง หรือชีวิต มีความสุข เนื้อหาส่วนใหญ่ เกี่ยวข้องกับภาคเกษตร และการสาธารณสุข รวมไปถึง การพึ่งตนเอง และกระบวนการร่วมมือ และการจัดการ ในชุมชน โดยนำหลักศาสนา เข้ามาใช้ในการดำเนินชีวิต พิเศษสุด มีการเน้นให้ทำบัญชี รายรับ-รายจ่าย ของครอบครัว ยิ่งประเด็น ที่เกี่ยวกับชุมชน จะเน้นมาก ในการพึ่งพาตนเอง ลดความร่ำรวยลง

สำหรับด้านการเกษตรจะเน้นการพัฒนาองค์ความรู้เรื่องผลกระทบจากสารเคมีและนำร่องไปสู่กระบวนการ ยกเลิก นำเข้า จำหน่าย และใช้ เช่น สารเคมีเอ็นโดซัลแฟน( ยกเว้นชนิดไมโครแคปซูล) อีพีเอ็น และ เมททิวพาราไธออน ซึ่งคณะกรรมการ วัตถุอันตราย กำลังดำเนินการยกเลิก การนำเข้าในปี ๒๕๔๗ อย่างไรก็ตาม ประเด็นหลักของ "อาหารและเกษตร เพื่อสุขภาพ" ถูกกล่าวถึงทั้งระดับจังหวัด และภาค คือ ภัยคุกคาม จากสารเคมี ควบคู่ไปกับ การหนุนเสริม ทางระบบความคิด และ วิธีการ ของเกษตรยั่งยืน โดยการร่วมมือ ในการวางแผน และดำเนินงาน จากหน่วยงาน ราชการ สถาบันวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน และเครือข่ายประชาชน ภายใต้กรอบ แนวคิดวงจร อริยสัจ ๔

จากนั้นยังเปิดตลาดนัดเรียนรู้สุขภาวะ เพื่อการเรียนรู้ของผู้เข้าร่วมประชุมและประชาชนผู้สนใจ โดยนำเสนอ นวัตกรรม การสร้างสุขภาพ ในมิติต่างๆ จากทั่วทุกภาคของประเทศ จากภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพกว่า ๖๐ เครือข่าย ในพื้นที่ ๗,๕๐๐ ต.ร.ม. ทั้งสาธิต และนำเสนอ กิจกรรมเชิงลึกต่างๆ ตลอดทั้งสองวันตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐-๑๙.๐๐ น. อาทิ เครือข่าย กสิกรรม ไร้สารพิษ แห่งประเทศไทย (คกร.) มีการสาธิต การเพาะถั่วงอก ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจค่อนข้างมาก, ธ.ก.ส. มีการสาธิต เครื่องบีบน้ำมันพืช แบบไฮโดรลิค การทำสบู่ถ่าน การตรวจหา สารเคมี จากเมล็ดข้าวเปลือก ที่น่าสนใจ เป็นพิเศษ คือ เตาถ่านอิวาเดะ ซึ่งใช้ถังน้ำมันที่ไม่ใช้แล้ว มาทำเป็นเตาเผา โดยใช้อิฐบล็อค ปิดปากถัง และนำไม้ เข้าไปเผา แม้กระทั่งไม้ไผ่ ก็สามารถเผาทำถ่านได้ และยังนำถ่านมาผสมผลิตเป็นยาเม็ดแคปซูล แก้อาการท้องผูก ได้อีกด้วย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ ได้แอบกระซิบว่า ได้ไอเดียนี้มาจาก "พ่อสะอาด" จากราชธานีอโศก นอกจากนี้ ยังมีเรื่องน่าสนใจ จากเครือข่าย ภาคีอื่นๆ อีกมากมาย

ในเวลา ๑๓.๓๐-๑๔.๓๐ น. ของวันที่ ๙ ก.ย.สรุปงานโดยผู้แทนเครือข่ายสมัชชาฯ รับมอบข้อเสนอโดยรอง ประธาน คปรส. และพิธีปิด สมัชชา"ร่วมกัน ทำให้ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติเป็นจริง"

อย่างไรก็ตามเจตนารมณ์ ยุทธศาสตร์ หรือนโยบายต่างๆที่ได้ร่วมกันคิดในงานนี้ จะเป็นจริงขึ้นมาได้ ก็ต่อเมื่อ ทุกองค์กรภาคี และประชาชน ต้องร่วมมือกันผลักดัน ต่อต้านสารเคมี ด้วยการบริโภค ผักไร้สารพิษ หรือแม้แต่ ช่วยกันปลูก ผักสวนครัว บริโภคเอง ซึ่งไม่ใช่แค่ สุขภาพกายเท่านั้น แต่ต้องยังเชื่อมโยงไปถึง สุขภาวะ ทางจิตวิญญาณ ชุมชน สังคม และกระบวนการ สร้างชุมชนเป็นสุขด้วย.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

หน้าปัดชาวหินฟ้า

เจริญธรรม สำนึกดี นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๓๙(๒๖๑) ปักษ์หลัง ๑๖-๓๐ ก.ย.๔๗ เวียนมานำเสนอสารพันข่าว ในแวดวง ชาวอโศกอีกครั้ง

ไม่เหงาแล้ว...ต่อไปนี้ นร.พุทธรรมสันติอโศกจะไม่เงียบเหงาอีกต่อไป เพราะมีพี่ๆ สัมมาสิกขา นำทีมโดย น้องปูลม (แพรยอดหญ้า) น้องแป้ง (แก้วบัวเกื้อ) น้องฝน (แก้วสายธาร) มานำเด็กๆรวมกลุ่มทำกิจกรรมสนุกๆ ก่อนพบ สมณะ ผู้ปกครองเด็กๆ พุทธธรรมหลายท่าน แอบมองอย่างชื่นชม ทำให้ครูดาว เบาแรงไปอีก เยอะ แถมหลานจิ้งหรีด ยังบอกว่า เดี๋ยวนี้ที่ ร.ร.สนุกมาก มีกิจกรรมดีๆให้ทำ ถึงขนาดมีเด็กข้างบ้าน ขอคุณแม่มาร่วมเรียนด้วยอีกคน ก็ต้องขอ อนุโมทนา สาธุ ที่ช่วยกันคิดช่วยกันหา กุศโลบาย พาน้องๆเข้าใกล้วัด ...จี๊ดๆๆๆ...

ควันหลงวันแม่...หลังละครงานวันแม่เรื่อง "เทวดากับช่างทำรองเท้า" ของกลุ่มผู้ปกครอง นร.พุทธธรรมที่สันติฯ มีดารา แจ้งเกิด หลายคน เพราะไปไหนมาไหน ตอนนี้มีแต่เด็กๆเรียก"เทวดา"บ้าง"ช่างทำรองเท้า"บ้าง แหม!ก็ ฝีไม้ลายมือ ของท่านผู้ปกครอง อินบท ซะขนาดนั้น เลยกลายเป็น ขวัญใจเด็กๆ ไปซะแล้ว ก็ขอกระซิบบอก ถ้าคราวหน้า มีละครอีก จิ้งหรีดขอจองบท นางฟ้า ใจดีบ้างนะฮะ จะได้มีแต่คนเรียก "นางฟ้าใจดี" ไงฮะ...จี๊ดๆๆๆ...

แฟนพันธุ์แท้ที่สุด...งานค่ายที่สันติฯ เพิ่งผ่านไป ถึงแม้จะจัดเพียงเดือนละครั้ง แต่เราก็ได้บุคลากร ที่มีคุณภาพมา หลายต่อ หลายคน อาทิ คุณสุจินต์ ที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ชาวค่ายตัวจริงเสียงจริง เพราะเข้าค่ายมาตั้งแต่ครั้งแรก จนปัจจุบัน ก็ยังเข้าอยู่ดี (ในฐานะ พี่เลี้ยง) ตอนนี้ ช่วยประจำอยู่ ชมร.หน้าสันติอโศก แถมเลื่อนขั้นเป็นอาคันตุกะจรแล้ว ก็ขอปรบปีก เชียร์ให้ดังๆ แล้วก็ฝากเลยไปถึง คุณนารี ที่ตอนนี้ช่วยอยู่ พุทธรักษา น้องใหม่ไฟแรงอีกคน ก็ขอแรงรุ่นพี่ ช่วยดูแล ให้กำลังใจ (แต่อย่าอบอุ่น จนอ้าว) ด้วยนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ...

ต้องปรบมือ...ตอนนี้ญาติธรรมท่านใดได้ไปเยือนสันติอโศกยามนี้ ต้องแปลกใจในดีกรีของความสะอาด ที่เพิ่มขึ้น อย่าง แปลกตา เพราะใบไม้แห้ง ซักใบก็ยังไม่มี ถูกต้องนะฮะ...ก็สันติฯเพิ่งจะจัดงานกินข้าวห้องของ นร.พุทธธรรม ไปหมาดๆ อิ่มอุ่นกันถ้วนหน้า ที่ว่า"อิ่ม" นั้นอิ่มจริงๆ เด็กๆ และผู้ปกครอง มาออกร้านกันมากมาย ขนาดจิ้งหรีด ตามชิม ยังไม่ครบ ทุกร้านเลย ... เกิดอิ่มเสียก่อน ไม่ได้อิ่มอย่างเดียวนะ ขอบอกว่า รสชาติเยี่ยมด้วย ส่วนที่ว่า"อุ่น" ก็คือ งานออกร้านนี้ เหมือนวันครอบครัว ไม่มีผิด ภาพที่ลูกหั่นผัก พ่อกับแม่ช่วยกันปรุง ดูแล้วใช้คำอื่น ไม่ได้จริงๆ นอกจาก "อิ่มอุ่น"ไง

และต้องขอปรบมือให้กับรางวัลสะอาดและสามัคคีอันดับที่ ๑ และ ๒ ที่ท่านผู้ปกครองของเรากวาดเรียบ ส่วน รางวัลที่ ๓ เป็นของกลุ่ม นร.พุทธธรรม (กลุ่มน้ำใจเด็กดี) มีคุณครูตูนและ อ.สุวรรณา เป็นผู้ดูแล ขออนุโมทนาสาธุ นะฮะ...จี๊ดๆๆๆ...

แนวคิดบุญนิยม...ที่บ้านราชฯเมืองเรือ น้ำจะท่วมทุกปี บางปีท่วมมาก บางปีท่วมน้อย ทำให้คนที่นั่น ต้องปรับตัว เป็นชาวน้ำ โดยปริยายว่า อยู่กับน้ำอย่างไร จึงไม่ทุกข์ ส่วนคนที่ชอบน้ำมากๆ ก็หนีไม่พ้นเด็กๆ เพราะชอบเล่นน้ำ กันมาก (แต่ตอนนี้น้ำลดแล้ว) แต่ปีนี้ช่วงน้ำขึ้น จนรถวิ่งไม่ได้ ก็เริ่มใช้เรือเดินทาง ออกมาข้างนอก ตั้งแต่วันที่ ๗ ส.ค. ส่วนภายใน ชุมชนเอง ก็ต้องนั่งเรือเล็ก ออกจากบ้านไปศาลา หรือไปทำกิจต่างๆ ก็อยู่กันประมาณ ๓๐๐ คน เรือจึงไม่พอใช้ ทางผู้บริหาร จึงให้หาเรือมาเพิ่ม โดยให้ชาวบ้านแถบนั้นทำ เขาก็คิดราคาเรือลำละ ๒,๓๐๐ บาท งวดแรก ได้มาก่อน ๒๐ ลำ งวดที่สอง จะตามมา ๑๐ ลำ พวกเราบางคนคิดจะไปต่อราคาให้เขาลดให้อีกสักลำละร้อยบาท พอพ่อท่านทราบ และ มาเห็นเรือ ที่ได้มา ๑๐ ลำแรก ซึ่งแต่ละลำต้องใช้เวลาหลายวัน ค่าไม้ก็ยิ่งแพงอยู่ พ่อท่านก็เลยบอกว่า เรือ ๑๐ ลำแรกนั้น ผ่านมาแล้ว ก็ให้แล้วไป ส่วน ๑๐ ลำต่อไปให้ขึ้นให้เขาเป็นลำละ ๒,๖๐๐ บาท และอีก ๑๐ ลำต่อๆไปให้เขา ๓,๐๐๐ บาทเลย และให้เขาทำกระดูกเรือ ให้ด้วย "เราอย่าไปเอาเปรียบเขา อย่าเห็นแก่ได้ มันบาป" พวกเราฟังแล้ว ต่างซาบซึ้ง ในน้ำใจของพ่อท่าน ที่สอนให้พวกเรา เสียสละ ไม่เอาเปรียบคนอื่น ทำเอาคนที่คิดจะไปต่อราคา ต้องหมุนสมอง ให้ทันสมัย จะได้สมกับเป็นคน บุญนิยมไงฮะ ...จี๊ดๆๆๆ...

แบ่งเบา...ช่วงเข้าพรรษาปีนี้ ที่อุทยานบุญนิยมบ้านราชฯ เปิดบริการขายอาหารมังสวิรัติทุกวัน โดยวันหยุด คือ วันจันทร์ เด็ก นร.สส.ธ. จะไปขาย แทนผู้ใหญ่ นำทีมโดยคุรุ ถือเป็นการเรียนการสอนภาคปฏิบัติ ทุกคนได้ลงมือ ปฏิบัติจริง จิ้งหรีดเห็นแล้ว รู้สึกซาบซึ้ง ประทับใจ ที่เด็กๆ เหล่านี้โชคดี ได้มีโอกาสแสดงฝีมือเต็มที่ เรียกว่า หากเรียนจบ ม.๖ ก็สามารถไปเปิดร้าน ขายอาหาร ได้เลยทีเดียว

ส่วนผู้ใหญ่ก็ไม่น้อยหน้า ทุกวันอาทิตย์ ก็จะเป็นเวทีของนิสิตสัมมาสิกขาลัยวังชีวิต หลากหลายวัย หลายอาชีพ มีทั้งคน ทำสวน ปลูกผัก ทำขยะ ฯลฯ ต่างก็วางงานที่รับผิดชอบ ไปเป็นพ่อค้าแม่ค้าบุญนิยม ร่วมกัน เป็นการแบ่งเบา คนที่ทำ ประจำอยู่แล้ว ซึ่งบรรยากาศก็คึกคัก อบอุ่นเป็นกันเองดี "ความสามัคคีมีน้ำใจ คือ พลังอันยิ่งใหญ่" จริงๆ...จี๊ดๆๆๆ...

เร่งมือหน่อย...เหลือเวลาอีกไม่นานก็จะออกพรรษา พร้อมเจอกันในงานมหาปวารณา๔๗ ที่ปฐมอโศก กันอีกคราว ก็ไม่รู้ว่า ๑๑ เครือข่าย ที่ไปเรียนเรื่อง สื่อบุญนิยมด้วยกัน ป่านฉะนี้ทำการบ้านที่ครูให้เสร็จหรือยัง (จิ้งหรีดแอบรู้มาว่า บางแห่งยังไม่ได้ ทำเลย ไม่เชื่อ ลองถามทีม บ้านราชฯเมืองเรือ) ยังไงๆก็เร่งมือกันหน่อยนะฮะ เดี๋ยวจะไม่ทันส่ง หรือพอใกล้วัน อาจต้องทำงาน ตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน็อต นะฮะ จิ้งหรีด ขี้เกียจช่วยแกะเกลียว...จี๊ดๆๆๆ...

วิถีชีวิตวันนี้ที่บ้านราชฯ.... ณ เฮือนเพิงกัน ยามเช้าตรู่เป็นที่รวมตัวของเด็กนักเรียน ตอนสายเป็นศาลาฉัน ช่วงน้ำท่วม ไม่มีใคร ตกศาลา เพราะอาหารสูตรเด็ด ผักพื้นบ้านฝีมือทีมแม่ลูกอ่อน (ถ้าไม่มีลูกน้อยเดินร้องไห้ตามหลังไม่ใช่ของแท้) แล้วยังมี หนังดีๆ ให้ติดตาม ทุกคนเลย พร้อมเพรียงกัน ออกจากศาลา ถ้าไม่หมดเวลาเราไม่ไป...

ใกล้ค่ำ เป็นภัตตาคารของคนกินมื้อเย็น มาทานข้าวพร้อมทั้งดูวิดีโอจนถึง ๑๘.๑๕ น. หมดเวลาบันเทิง กลับเป็นศาลาวัด อีกครั้ง ทำวัตรเย็น ในช่วงเข้าพรรษา (ทุกวันจันทร์, อังคาร, พฤหัสบดี, เสาร์, นิสิตเข้าชั้นวันอาทิตย์, เตวิชโชวันจันทร์, ประชุม คณะกรรมการชุมชน วันศุกร์, หยุดวันพุธ) ที่น่าประทับใจ มีจำนวนฝ่ายชาย เท่ากับฝ่ายหญิง...จี๊ดๆๆๆ...

ทีมงานโฉมใหม่....ทีมงานกสิกรรมบ้านราชฯ หลังทำวัตรเย็นจะพร้อมเพรียงกันประชุม ปรึกษาหารือ มีระบบครบข้อมูล ช่วงน้ำท่วม ได้ไปทำปุ๋ย และปลูกผักไปหลายพันต้น จนเต็มพื้นที่ พอน้ำลดก็เนรมิตแปลงผักรวดเร็วราวกามนิตหนุ่ม ผู้รับใช้คือ คุณเถาว์ สยะรักษ์ และคุณเปี๊ยก ตายแน่ ส่วนเคล็ด(ไม่)ลับ ก็คือ แต่ละคน ลดความเอาแต่ใจตัวเอง

หลังน้ำลด แม่ค้าตลาดไร้สารพิษจากสี่หมู่บ้าน ร่วมใจกันมาโฮมแฮงทำ ๕ ส. ในบ้านราชฯ เป็นอานิสงส์ของทีมงาน ประเมินผล ที่ออกไปช่วย ชาวบ้านดำนาหรือเปล่าน้อ .... จี๊ดๆๆๆ...

สร้างสันติภาพทุกวันพระ...เดิมเป็นกิจกรรมนักเรียนสัมมาสิกขาฯไปขายอาหารมังสวิรัติที่ตลาดสามแห่งในอุบลฯ ตอนนี้ ผู้ใหญ่ ในชุมชน ขอร่วมด้วย ที่โรงพยาบาลสรรพสิทธ์และโรงเรียนอีกสองแห่ง...

ทีมงานขนหินได้ไปจัดโรงบุญที่หมู่บ้านซึ่งเป็นบ่อหินในวันที่ ๑๙ ก.ย.ที่ผ่านมา นำทีมโดยป้าดาวนาและสมาชิกหรรษา

อุทยานบุญนิยมจัดกิจกรรมทุกวันอาทิตย์ ทั้งอาหารกายและอาหารใจ มีเยาวชนคนรุ่นใหม่ ไปฟังธรรม ตั้งแต่กลุ่ม ฮักแพงแปงอุบลฯ มาจัดเวทีสาธารณะ ต่อมาทุกเดือน จึงมีเวทีสาธารณะเดือนละครั้ง เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เปิดเวทีเสวนา เรื่อง จีเอ็มโอ ช่วงเข้าพรรษา พ่อท่านไปแสดงธรรม ทุกวันอาทิตย์ อาทิตย์ ๑๙ ก.ย. ที่ผ่านมา พ่อท่านฯออกจากสนามบินปั๊บ ก็ไปแสดงธรรมที่อุทยานต่อ ... นี่คือ ความเมตตากรุณา ของพระโพธิสัตว์...จี๊ดๆๆๆ...

๑๐ ปีถึงเป็นที่รู้จัก... น.ส.พ. ผู้จัดการรายวัน ฉบับ ๙ ก.ย. ๒๕๔๗ หน้า ๑๖ ลงข่าวคอลัมน์เล็กๆ พร้อมภาพหน้าปกของ "เราคิดอะไร" ว่า...."เราคิดอะไร"เล่มใหม่ - ออกมาแล้ว "เราคิดอะไร"ฉบับล่าสุด ประจำเดือนกันยายน ๒๕๔๗ หนังสือพิมพ์ รายเดือน ของสำนัก สันติอโศก จากที่เมื่อเดือนก่อน พาดปกว่า "คนจนที่ดี ขยัน แต่ไม่โลภ มีคุณค่าต่อสังคมกว่าคนรวยที่ดี ขยัน แต่โลภ" ที่สร้างความฮือฮาไปทั่ว เพราะสอดคล้อง กับการวิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในระหว่างการหาเสียงให้ ดร.มานะ มหาสุวีระชัยของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง

มาเดือนใหม่นี้พาดปกว่า "คนเก่งที่ดี แต่ใฝ่รวย คือคนไม่ช่วยสังคม - คนเก่งที่ดี แต่ใฝ่จน คือคนช่วยสังคม" แต่ครั้งนี้ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง เขียนในคอลัมน์ "คนบ้านนอกบอกกล่าว" ที่เป็นเสมือน "บทนำ" ค่อนข้างระวังตัว เพราะไม่ต้องการให้สื่อมวลชน นำไปตีความ ขยายความ มากเกินไป ใครสนใจอยากอ่านติดต่อสอบถามไปที่ สำนักพิมพ์กลั่นแก่น โทรศัพท์ ๐-๒๗๓๓-๖๒๔๕ เองได้.... ปรากฏว่า มีผู้สนใจ โทรศัพท์เข้ามาติดต่อ ขอใบสมัครเป็นสมาชิกประมาณ ๑๐ ราย และถามหาซื้อได้ที่ไหนบ้าง ฮะ... หนังสือดีๆอย่างนี้ ไม่มีวางขาย บนแผงทั่วไปหรอกฮะ นอกจากร้านเครือข่ายของชาวอโศก และร้านอาหารมังสวิรัติ ของชมรม มังสวิรัติแห่งประเทศไทย สาขาต่างๆ เท่านั้น เผยแพร่มาถึง ๑๐ ปี เพิ่งจะเป็นที่รู้จัก และถามหาเป็นสมาชิก ป่านนี้ทั้ง ๑๐ ราย ที่เพิ่งมาสมัครคงบ่นเสียดาย แทบแย่ ที่เพิ่งได้อ่านหนังสือดีๆ เอาเมื่อ ๑๐ ปีผ่านไปแล้ว ....จี๊ดๆๆๆ...

ย้ายอีกครั้ง...ตลาดนัดพืชผักไร้สารพิษวันอาทิตย์ที่สันติฯ ที่ย้ายจากหลัง บจ.พลังบุญ มาบริเวณซอยกลางหน้าสันติฯ ล่าสุด ย้ายไปขาย ที่บริเวณลานจอดรถ บจ.ฟ้าอภัย ตั้งแต่ วันอาทิตย์ที่ ๑๒ ก.ย. ๒๕๔๗ เป็นต้นไป ลูกค้าโปรดทราบ ... จี๊ดๆๆๆ...

ขอปรับราคา....ชมร.สาขาหน้าสันติอโศก ขอแจ้งข่าวปรับราคาอาหารที่ร้านบางแผนก เช่น ร้านข้าวราดแกง, ขนมจีน, สลัดผัก และก๋วยเตี๋ยว จะทานที่ร้าน หรือใส่ถุงกลับบ้านก็ราคา ๑๕ บาท สำหรับข้าวราดแกงจะตักกับกี่อย่างก็ราคา ๑๕ บาท ส่วนแผนกอื่นๆ ราคาคงเดิม โดยจะเริ่มปรับใช้ ตั้งแต่วันอังคารที่ ๑๔ ก.ย. ๒๕๔๗ เป็นต้นไป นอกจาก ที่ร้าน จะใช้พืชผัก ไร้สารพิษ ปรุงอาหาร เป็นปกติแล้ว ยังเปลี่ยนมาใช้ น้ำมันงา ในการปรุงอาหารด้วย ฮะ... เรานำหน้า ในเรื่องของ อาหาร มังสวิรัติ จนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ต่อมาเราก็นำหน้า ในการนำผักไร้สารพิษเท่านั้น มาปรุงอาหาร และล่าสุด เราหันมาใช้น้ำมันงา ในการปรุงอาหาร เราพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ โดยคำนึงถึงสุขภาพ ของผู้บริโภคเป็นหลัก ...จี๊ดๆๆๆ...

มรณัสสติ
นางชิด ปั้นลี้ อายุ ๘๕ ปี เสียชีวิตด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ ๑๙ ก.ย.๔๗ ฌาปนกิจศพวันที่ ๒๗ ก.ย.๔๗ ที่วัด ชลประทานฯ นนทบุรี
นางเจียม ที่เคยอยู่สันติฯ แล้วภายหลังไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่ศาลีฯ ได้เสียชีวิตแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๗ กย.๔๗

คติธรรม-คำสอนของพ่อท่านประจำฉบับ
ผู้จะบรรลุธรรมได้นั้น มีหลักสำคัญอยู่ว่า "ต้องเอาจริง!" (๓ พ.ย.๑๙)
(จากหนังสือโศลกธรรม สมณะโพธิรักษ์ หน้า ๑๑)

พบกันใหม่ฉบับหน้า
- จิ้งหรีด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน อินทร์บุรี

เมื่อวันที่ ๒-๓ ก.ย.๔๗ สมณะเสียงศีล ชาตวโร ได้รับนิมนต์ไปเป็นวิทยากรร่วมอภิปราย ในหัวข้อ "ภูมิปัญญา ท่าจีน-แม่กลอง กับการส่งเสริมสุขภาพ" ที่ห้องประชุม ณัฐ ภมรประวัติ สถาบันพัฒนาการสาธารณสุขอาเซียน มหาวิทยาลัย มหิดล เวลา ๑๕.๐๐-๑๗.๐๐ น. มีผู้ร่วมอภิปราย คือ สมณะเสียงศีล ชาตวโร ประธานวิทยุชุมชนบุญนิยม ปฐมอโศก, นายอำเภอ อ.พุทธมณฑล (มาแทน ผวจ.นครปฐม), ป้าหมอบุญรัตน์ ปุณสิริ ภาคประชาชน ได้รางวัล "แม่สิ่งแวดล้อม ดีเด่น", อาจารย์ ชูวิทย์ ลิ่มไพบูลย์ รองคณบดี ม.ราชภัฎนครปฐม, รศ.ดร.วีระพงศ์ ปรัชญาสิทธิกุล รองอธิการบดี ฝ่ายนโยบายและแผน ม.มหิดล โดยมีผู้ดำเนินรายการสองท่าน คือ ผศ.ดร.ฉัตรเฉลิม อิศรางกูร ณ อยุธยา คณะเทคนิคการแพทย์ ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์ สถาบัน พัฒนาการ สาธารณสุขอาเซียน

สำหรับประเด็นการอภิปรายคือ
๑. ทบทวนเรื่องน่าเป็นห่วงเกี่ยวกับสุขภาพและเรื่องสำคัญของพื้นที่ (Local Agenda) ความเป็นมาและพัฒนาการในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
๒. บทบาทของสถาบันทางการศึกษา มหาวิทยาลัย ภาควิชาการและการศึกษาวิจัย
๓. บทบาททางการเมือง หน่วยงานรัฐในท้องถิ่น อบต.และการเมืองท้องถิ่น
๔. บทบาทสื่อการเรียนรู้ สื่อสาธารณะ เพื่อพลังการเปลี่ยนแปลงของท้องถิ่น...ฯลฯ

ซึ่งงานนี้ สมณะเสียงศีล ชาตวโร ได้รับนิมนต์ไปในฐานะเป็นครูปัญญาไทย จาก สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษา แห่งชาติ ด้านการจัดการทรัพยากรทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และจัดทำสื่อทางวิทยุกระจายเสียง มากว่าสิบปี เติบโต มาจากลุ่ม แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของประเทศ ในงานนี้ได้พบและสนทนากับ ผู้หลักผู้ใหญ่ หลายท่าน เช่น ศจ.ดร.ระพี สาคริก คุณเดชา ศิริภัทร และปราชญ์ชาวบ้าน อีกหลายท่าน ได้ถ่ายทำเป็น วีซีดีไว้ด้วย ซึ่งถ้าหาก ท่านผู้ใด สนใจ สามารถติดต่อ สมณะเสียงศีล ชาตวโร พุทธสถาน ปฐมอโศก ได้.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


รายการเพื่อนหญิง พลังหญิง
ช่วงอาหารต้อนรับเทศกาลเจ
มาถ่ายทำที่สันติอโศก

วันที่ ๒๓ ก.ย. ๒๕๔๗ THAI ENTERTAINMENT NEWS CO.,LTD. ผู้ผลิตรายการ"เพื่อนหญิง พลังหญิง" มาถ่ายทำ การปรุง อาหาร มังสวิรัติ และอาหารเจ ๒ สูตร คือแกงเลียงมังสวิรัติและขนมกวางตุ้ง (ใช้ผักกวางตุ้งแทนผักกุ๊ยช่าย) ของชมรม มังสวิรัติ แห่งประเทศไทย สาขาหน้าสันติอโศก และเปลี่ยนบรรยากาศ จากการปรุงอาหารในครัว เป็นบริเวณน้ำตก พระวิหารฯ

โดยจะเผยแพร่สูตรแกงเลียงมังสวิรัติเป็นอันดับแรก และก่อนเทศกาลเจ (๑๔-๒๒ ต.ค.)จะเป็นขนมกวางตุ้ง การถ่ายทำ ครั้งนี้ พิธีกร ก็จะถามว่า เป็นเมนูอะไร มีประโยชน์อย่างไรต่อสุขภาพ มีส่วนผสมอะไรบ้าง ขั้นตอน วิธีการปรุง เป็นอย่างไรบ้าง เป็นต้น

คุณปัญญา วิสัยบุญ พิธีกรรายการได้ให้สัมภาษณ์ว่า "ผมเดินเข้ามา ชอบมาก เลยบรรยากาศ โอ๋..รู้สึกร่มรื่น ถึงเลือก ที่จะมา ปรุงตรงนี้ เดือนหนึ่ง จะมี ๒ ครั้ง ในเมนูเพื่อสุขภาพ เอามังสวิรัติ ๑ สูตร และเจ ๑ สูตร โดยไปปรุง ด้านใน เพราะบรรยากาศ ดีมาก แบบไปปรุงในสวน ใช้หม้อดิน จะออกช่วง เทศกาลอาหารเจ เลยมาที่นี่เลย รู้อยู่ว่า สันติอโศก ต้องเป็น อาหารมังสวิรัติ จบ ๒ ครั้งก็พอดี ต้นเดือนกับกลางเดือน ช่วงเทศกาล พอดี

ผมผ่านบ่อยเพราะอยู่แถวรามอินทรา แต่ไม่ได้เข้ามา แต่รู้ว่าเป็นสถานที่พักผ่อนเป็นสมาธิ ดูแล้วก็ดีร่มรื่น ต้นไม้ปลอม ผมนึกว่า ต้นไม้จริง โอ้โห... เหมือนจริงมาก หลอกได้เนี้ยบเลย ผมยังนึกเลย ไปเอาต้นไม้ใหญ่ มาจากไหน โอ้โห...

รายการเพื่อนหญิง พลังหญิง จะมีหลายช่วง ช่วงนั่งคุยที่โต๊ะ ช่วงบุคคลสำคัญ บุคคลในเหตุการณ์ การดูแล สังคม พ่อแม่ เลี้ยงลูกยังไง เกี่ยวกับหมอ เกี่ยวกับสุขภาพ แล้วก็จะมีช่วงอาหาร และช่วงข่าวทั่วไปเกี่ยวกับสังคม

ช่วงอาหารก็จะตามสถานการณ์ เช่นจะเข้าเทศกาลเจ ก็จะถ่ายทำเกี่ยวกับอาหารเจ ให้ทันเหตุการณ์ ถ้ามีรายการ เกี่ยวกับ ผู้หญิงๆ กลุ่มผู้หญิง รวมตัวบำเพ็ญประโยชน์ ก็แฟ็กซ์ข้อมูลไปได้นะครับ"

นายคเชนทร์ ชื่นอารมณ์ ช่างภาพ"ร่มรื่นดี ไม่เคยเข้ามา ครั้งแรก ชอบสวน ดูร่มรื่นดี คืนสู่ธรรมชาติไม่น่าเชื่อว่า ในกรุงเทพฯ ก็มีอย่างนี้".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ข่าวจากเครือข่ายสื่อบุญนิยม

ขอส่งข่าวถึง ๑๑ เครือข่ายที่ไปร่วมเรียนเรื่อง"สื่อ บุญนิยม" กำหนดการนำเสนอผลงานแนะนำชุมชน ๑๕ นาที,โฆษณา ๓ เรื่อง เรื่องละ ๓๐ วินาที ในวันที่ ๓ พ.ย.๔๗ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ ห้องประชุมชาวบ้าน ชุมชนชาวอโศก โดย อ.สุทธิพร จะประเมิน ผลงาน ในวันดังกล่าว

"ความพร้อมเพรียง ย่อมยังประโยชน์ให้สำเร็จ"

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


พรรคเพื่อฟ้าดิน

ความคืบหน้าของการส่งผู้สมัคร พรรคเพื่อฟ้าดิน เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อฟ้าดิน ได้ให้ สัมภาษณ์ถึง ความคืบหน้า กรณีจะต้อง ส่งผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคเพื่อฟ้าดินหรือไม่"จากการไปประชุม ร่วมกับ คณะกรรมการ การเลือกตั้ง พร้อมกับ พรรคการเมืองอื่นๆ ก็ได้ข้อยุติ เพราะว่าสอบถามกันมาแล้วว่า การเขียน โครงการ ต้องเขียนครบทั้ง ๕ โครงการ นี้เป็นระเบียบ ที่คณะกองทุนออกมา เพื่อบังคับ ทุกพรรคการเมือง โครงการที่ ๔ จะต้องส่ง ผู้สมัคร รับเลือกตั้ง ให้ทุกพรรค เขียนโครงการส่ง

ก็เลยถามว่า ถ้าไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง จะมีความผิดแค่ไหน อย่างไรทางกกต.ก็ได้แจ้ง ถ้าไม่ส่งก็จะมีความผิด ไม่มาก ก็เพียง แต่ตัดเงิน ที่จะอุดหนุนพรรค ในโครงการนั้นออกไป เรื่องนี้พรรคเพื่อฟ้าดินถือว่าเบาลงมา เยอะ

ส่วนจะส่งหรือไม่ส่งผู้สมัคร ส.ส.หรือไม่นั้นจะขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริหารพรรค จะประชุมใหญ่กันอีกครั้ง ในวันที่ ๗ เดือน พฤศจิกายน ๒๕๔๗ ณ พุทธสถานปฐมอโศก จ.นครปฐม ซึ่งยังทันอยู่ ซึ่งทางเรา จะไปตัดสินกันตรงนั้น"

สำหรับความคืบหน้าของพรรคเพื่อฟ้าดิน ในการที่จะส่งผู้สมัคร ส.ส.ในครั้งหน้า ข่าวอโศกจะนำเสนอ ในครั้งต่อไป.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชื่อ นายชูศักดิ์ แก้วทอง
เกิด ๖ ธ.ค. ๒๔๗๒ อายุ ๗๕ ปี
ภูมิลำเนา จ.พระนครศรีอยุธยา
การศึกษา ป.๔
สถานภาพ ม่าย บุตรหญิง ๑ คน
ส่วนสูง ๑๖๕ ซม.
น้ำหนัก ๔๘ ก.ก.

คุณลุงชูศักดิ์ วัวงานอีกท่านหนึ่งของอโศก มีข้อวัตรปฏิบัติส่วนตัวที่เคร่งครัดเป็นระบบ มีสุขภาพที่แข็งแรง น่าศึกษา ทีเดียว ไปคุยกับคุณลุงกันค่ะ

*** ลูกชาวนา
มีพี่น้อง ๑๐ คน ผมเป็นคนที่ ๖ พ่อแม่มีอาชีพทำนา จบ ป.๔ แล้วออกมาทำนา ที่บ้านทำนาร้อยกว่าไร่ พอหน้าแล้ง ก็ทำไร่แตงโม แตงไทย ข้าวโพด ไม่ต้องใช้ปุ๋ย เพราะเป็นน้ำไหลทรายมูล บ้านอยู่ริมคลอง หน้าน้ำ น้ำก็ท่วม พอน้ำลด มีตะกอนตกอยู่ ปลูกอะไร ก็งามไปหมด

*** บวชตามประเพณี
อายุ ๒๐ ปีก็บวชตามประเพณีที่วัดกอไผ่ อ.บางดาน ซึ่งอยู่ที่บ้าน กะว่าจะบวชแค่ ๒ พรรษา แต่เมื่อครบแล้ว คิดว่า ถ้าสึกไป ก็ต้องกลับไป ทำนาอย่างเก่า อยากศึกษาหาความรู้ ก็เลยบวชต่อ สอบได้นักธรรมตรี-โท เคยไปปฏิบัติ ที่วัดน้ำเต้า ซึ่งเคร่งครัดมาก ก็ได้เชื้อมา จากวัดนี้แหละ พอมาเจออโศก ก็เลยติดใจ

ได้เปรียญ ๔ ประโยค, เป็นครูสอนปริยัติ ๒ ปี, สอบครูมูลได้(ครู พ.ม.), สวดปาติโมกข์ ได้ที่ ๑ ตั้งใจว่า จะเรียน ให้จบ มหาวิทยาลัยสงฆ์ แต่เรียนได้ ๓ ปี โยมก็นิมนต์ให้ไปเป็นสมภารที่วัดบ้านเกิด ก็ไปจัดระเบียบ การปฏิบัติในวัด การเงิน ทำให้ เป็นระบบ อบายมุขเหล้า-การพนัน ไม่ให้มีในวัด แก้ปัญหาทะเลาะวิวาท ในวัด เอานักเลงมารักษาความสงบ เน้นย้ำ ข้อปฏิบัติ ประชุมกันบ่อยๆ เป็นได้ ๒ ปีผมก็ลาสึก

*** ไม่มีมรรคผล
เพราะเขาจะให้ผมเป็นเจ้าคณะอำเภอ คิดว่าเป็นเครื่องผูกมัด รู้ตัวดีว่าบวชมา ๑๗ พรรษาไม่มีมรรคผล หากบวชต่อก็กลัวบาป จึงคิดว่า ...สึกดีกว่า...

เข้าใจตั้งแต่บวชว่า เงินเป็นศัตรูของพรหมจรรย์ จึงไม่มีเงินเก็บ ไม่ทำไสยศาสตร์ ลาสึกก็เรียนต่อที่ ร.ร. สารพัดช่าง แผนกช่าง เครื่องยนต์ และแต่งงาน แม่บ้านเป็นคนบางขุนเทียน แก่กว่า ๔ ปี มีลูกสาว ๑ คน แม่บ้านเสียชีวิต เมื่อปี ๒๕๒๔

*** เจออโศก
สมัยทำงานได้มาอบรมที่ กทม. อาจารย์ที่อบรมปฏิบัติธรรมชาวอโศก พามาที่สันติฯ ผมเลื่อมใส มั่นใจว่าที่นี่ ปฏิบัติ ถูกต้อง คงจะมีมรรคผล ผมอ่านหนังสือ ทุกหน้าของอโศก แสงสูญ สารอโศก ดอกหญ้า แน่ชัดว่า จุดมุ่งหมายของที่นี่ เพื่อมรรคผล นิพพาน ซึ่งผมแสวงหามานาน ตั้งเป้าว่า เกษียณแล้ว จะไปอยู่ที่สันติอโศก ปี ๒๕๒๙ เริ่มเจเขี่ย วันเกิดปี ๒๕๓๒ ผมมาทาน มังสวิรัติตลอดชีพ ปี ๒๕๓๓ เกษียณก็เข้าวัด

*** ชีวิตหลังเกษียณ
ไปช่วยล้างจานที่ ชมร.จตุจักร และธรรมทัศน์ฯ ช่วยงานท่านลั่นผา (ปัจจุบันสมณะลั่นผา สุชาติโก) จนท่าน ไปบวช ผมก็ทำงาน สืบต่อจากท่านมา จนถึงทุกวันนี้

ที่นี่ปฏิบัติดีมาก มีมรรคผล ผมปฏิบัติได้ตามกำลัง ไม่ซัดส่าย ผมแน่ใจว่ามีทางนี้ทางเดียว ที่นี่ถูกต้องแล้ว

ขั้นตอนการปฏิบัติ ผมเข้าใจ เพราะเรียนปริยัติมาเยอะ มันมีขั้นมีตอนที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้งมาก ไม่ใช่จะได้ มรรคผล กันง่ายๆ หรอก โพธิปักขิยธรรม ๓๗ นี้เป็นหลักปฏิบัติเลย แต่ที่อื่นๆเขาไม่เข้าใจ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย เขาคิดว่า เป็นของง่ายๆ สติปัฏฐาน ๔ สัมมปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ นี้เป็นเบื้องต้น ของการปฏิบัติ แล้วสั่งสม มาเป็นอินทรีย์ ๕ พละ ๕ โดยลำดับ อย่างนี้ จึงจะเข้าโพชฌงค์ ๗ แล้วจึงจะเป็นมรรค ๘ ซึ่งเป็น ผลสรุปแล้ว ซึ่งที่อโศกนี้ครบหมดเลย

ผมไม่ได้คิดจะบวช ทุกวันนี้ไม่ห่วงอะไร ไม่กลัวตาย เพราะเราก็ทำเต็มที่แล้ว

*** เน้นกิจวัตร
ผมถือว่ากิจวัตรเป็นข้อปฏิบัติหลักที่ทำให้เรามั่นคงอยู่ได้ ทำให้รู้หน้าตาของกิเลสได้มากขึ้น ผมตื่น ๒.๔๕ น. ทำธุระ ส่วนตัว แล้วผมจะขัด ห้องน้ำทุกวัน จนติดเป็นนิสัย หลังจากนั้น ก็ไปทำวัตร เสร็จแล้วก็ไปช่วยชมร. แล้วไปช่วย ธรรมทัศน์ ซ้ำซาก อย่างนี้ทุกวัน ไม่เบื่อ

ผมคิดว่าพ่อท่านเห็นของจริง พาปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ ถูกต้อง แล้วที่ไหนๆก็ไม่มี หรือมีก็ไม่ครบ ส่วนมาก เขาไปติดอยู่ที่ สติปัฏฐาน ๔ ของที่อโศก มาตลอดสาย แม้บวชมา ๑๗ พรรษาผมก็ไม่รู้ มาเข้าใจ ที่อโศกนี่แหละ

ผมว่าตอนนี้ผมดีกว่าตอนเป็นพระ รู้อะไรลึกซึ้งกว่า ปฏิบัติเคร่งกว่า ทุกวันนี้กินข้าว มื้อเดียว กินมาได้ ๑๐ ปีแล้ว แข็งแรงขึ้น สุขภาพดีขึ้น กินมื้อเดียว ตัดกังวลดีด้วย อาหารก็ไม่ต้องไปสรรหาอะไรนักหรอก

สักกายะของผม ยังยินดีใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ติดอยู่ข้างในลึกๆ คิดว่าเป็นเพราะอุปาทาน ที่เราไป สั่งสมมา นับชาติ ไม่ถ้วน ซึ่งผมก็ทำได้เยอะแล้ว เรื่องอาหารนี่แหละสำคัญมาก ยังมีรายละเอียดอีก แม้มื้อเดียว

*** ฝากว่า
แต่ละคนพยายามเข้าใจตัวเองให้มากที่สุด ทำนาของตัวเองให้สมบูรณ์ที่สุด อย่าไปยุ่งนาของคนอื่นเขา

ชีวิตที่มีเป้าหมายของคุณลุงชูศักดิ์ กับข้อวัตรที่ปฏิบัติจริงก็จะเกิดมรรคผลจริง แล้วทุกวันนี้ เป้าหมายชีวิต ของเรา มุ่งสู่โลกุตระ หรือ โลกียะ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า ชีวิตนี้น้อยนัก ชีวิตนี้สั้นนัก ผู้หยุดอยู่ใน กุศลธรรม คือ...ผู้ตายแล้ว...

- บุญนำพา รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ผักพื้นบ้าน อาหารพื้นเมือง
- แม่ครัวจำเป็น -

ต้มยำหัวปลี
เครื่องปรุง
หัวปลี ๑ หัว น้ำ ๓ ถ้วย หอมแดง ๓ หัว พริกแห้งเผา ๒ เม็ด ซีอิ๊วขาว ๓ ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว ๓ ช้อนโต๊ะ ใบมะกรูด ๓ ใบ

วิธีปรุง
๑. ลอกกาบหัวปลีเหลือกาบชมพูปนขาว นำไปทำ ให้สุกโดยต้มหรือเผาให้นุ่ม ผ่าครึ่งตามยาว ฉีกเป็นชิ้น
ยาว ๒ นิ้ว กว้าง ๑ นิ้ว ดึงดอกแก่ ๆ ทิ้ง
๒. ต้มน้ำให้เดือด ใส่ใบมะกรูดฉีก หัวหอมหั่นชิ้นใหญ่ ๆ ใส่หัวปลีพอเดือดใส่ซีอิ๊วขาว ยกลง ปรุงรสด้วย มะนาว ชิมรส เปรี้ยว เค็ม ฉีกพริกแห้งใส่ขณะร้อนจะหอม เสิร์ฟขณะร้อน

แกงเลียงหัวปลี
เครื่องปรุง
หัวปลี ๑ หัว พริกแห้ง (พริกไทยดำ ๒๐ เม็ด) ๑ เม็ด ปลาร้าเจ ๑ ช้อนโต๊ะ กะปิเจ ๑/๒ ช้อนชา
เนื้อเทียม ป่นละเอียด ๑ ขีด หัวหอม ๔ หัว กระเทียม ๑ หัว ตะไคร้ ๑/๒ ต้น ชะอม (ใบแมงลัก, ข้าวโพดอ่อน) ๑ กำ มะเขือเทศ สีดา ๕-๖ ลูก ซีอิ๊ว

วิธีปรุง
๑. พริกแห้ง, หัวหอม, กระเทียม, ตะไคร้ หั่นฝอย โขลกละเอียด ใส่ปลาร้าเจโขลกรวมกับเนื้อเทียมป่น นำทั้งหมดละลายน้ำ ใส่หม้อ ตั้งให้เดือด
๒. หัวปลีทุบทั้งหัว เอากาบแก่ออกถึงเนื้อขาว ตัดหางและผ่าซีกหั่นฝอย ใส่หม้อที่กำลังเดือดทันที ต้มสักครู่ เติมซีอิ๊ว มะเขือเทศ จวนสุกใส่ชะอม คนให้ทั่ว ยกลง รับประทานร้อน ๆ

หมายเหตุ หากไม่มีชะอมใช้ชะพลู ๕-๖ ใบ หั่นฝอย ใส่ก่อนยกลง ส่วนที่ทำนี้รับประทานได้ ๕ คน

(อ่านต่อฉบับหน้า)

สืบสานวัฒนธรรมการกินผักพื้นบ้าน ทำไม?
เพราะ... ผักพื้นบ้านกำลังจะถูกลืม
เพราะ... ช่วยกันอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
เพราะ... ผักพื้นบ้านราคาถูก และปลอดภัย
เพราะ... คนจนมีมาก ช่วยให้คนไทยพึ่งตนเองได้
เพราะ... ผักพื้นบ้านต้านโรค

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
67/1 ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. 10240 โทร.02-3745230 ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ 1,300 ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]