ฉบับที่ 241 ปักษ์หลัง16-31 ตุลาคม 2547

[01] บทนำข่าวอโศก ไม้ผลกับมรรคผล
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "วิญญาณพระอินทร์มีจริงหรือ?"
[03] อุทยานบุญนิยมเปิดศาลาทรงไทย ดร.เจิมศักดิ์นำทีมสัมภาษณ์พ่อท่าน
[04] ชาวอโศกร่วมเทศกาลกินเจ อุทยานบุญนิยมมีเวทีชาวบ้าน
[05] รายงานความเป็นไป ของกสิกรรมไร้สารพิษ (ตอน ๒)
[06] สกู๊ปพิเศษ: พ่อท่านเน้นการปฏิบัติที่สำคัญอะไรบ้าง
[07] ประกวดอาหารเจใน กทม. เด็กอโศกได้รางวัลที่ ๑ รับโล่ห์ของนายกรัฐมนตรี
[08] แสงแดดอ่อนมีคุณอนันต์
[09] 'ถุงพลาสติก' เมื่อไหร่จะเลิกใช้?
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน อินทร์บุรี
[12] นางงามรายปักษ์ นางคำปัน ขันธรรม
[13] ข่าวสั้นทันอโศก:



ไม้ผล กับ มรรคผล

แต่ก่อน เราเคยมีนโยบายไม่ปลูกไม้ที่ให้ผลภายในวัด เพราะเกรงจะมีปัญหาคนมาเก็บ ทำให้วัดไม่สงบ และ ทำให้คนเกิดความโลภ ทั้งการเก็บไปกินและเก็บไปขาย จะเกิดการแก่งแย่งกัน

ต่อมาเรามีชุมชน ก็มีการแบ่งพื้นที่ให้ปลูกไม้ผล เพื่อการพึ่งตน จนเป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้

ดังนั้นชุมชนใดที่มีไม้ผล ก็ขอให้ระวังความขัดแย้งแก่งแย่งจนเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน โดยเฉพาะคำพูด

ยังไงๆก็อย่าให้ไม้ผล มาทำให้เราทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เห็นแก่ความเป็นพี่เป็นน้องกัน หรือเห็นแก่กิน เห็นแก่ขาย จนไม่เห็นใจ ไม่เข้าใจกัน ซัดกันไปซัดกันมา เพราะมองต่างมุม ยึดความถูกผิด จนเกิดความแตกร้าว แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่ประสานสามัคคีกัน

ฉะนั้น การพูดจาก็ควรฝึกให้เป็นสัมมาวาจา ที่มีเมตตาต่อทุกฝ่าย ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ได้ เราก็จะต้องตั้งจิตให้มุ่งมรรคผลมากกว่าไม้ผล.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


วิญญาณพระอินทร์มีจริงหรือ?

กรณีแม่ น้า ป้า และยาย ร่วมกันฆ่าเด็ก ดังที่เป็นข่าวเกรียวกราวนั้น ในช่วงของการแสดงธรรมก่อนฉัน เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๗ ต.ค. ๒๕๔๗ ณ พุทธสถานสันติอโศก พ่อท่านได้อธิบาย ว่า

"...จะว่าจิตใจเขาอำมหิตก็ไม่เชิง จะว่ารักก็ไม่ใช่ แต่งมงายร้อยเปอร์เซนต์อย่างเดียว ไม่ใช่รัก ไม่ใช่โกรธ ไม่ใช่แค้น ไม่ใช่พยาบาท แต่เทิดทูนพระอินทร์ จะต้องเอาวิญญาณนี้ไปส่งให้พระอินทร์

จิตมันงมงาย จิตมันแปรปรวนไปมาก ยึดติด ถือ เชื่อ แล้วก็เห็นอย่างนั้นจริงๆเลย เขาไม่แกล้งหรอก เพราะจิตของเขาทำงาน อย่างนั้นจริงๆ มันมีอวิชชา มันมีความหลงผิด ไปเชื่อดำเป็นขาว ไปเชื่อกงจักรเป็นดอกบัว ไปเชื่อชั่วว่าดี ไปเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ...สิ่งเหล่านี้ไม่หายไปจากคนง่ายๆ ถ้าตราบใด ไม่มาศึกษาจนพ้นอวิชชา จนได้วิชชาของ พระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงแล้วจะไม่คลาย

...พระอินทร์นี้เขาสมมุติว่าวิญญาณ พระอินทร์ก็เป็นสมมุติเทพ เทพมี ๓ อย่าง สมมุติเทพ อุบัติเทพ และวิสุทธิเทพ

สมมุติเทพ ก็คือเทวดาตามโลก เป็นสมมุติสัจจะ สมมุติก็คือยกอ้างขึ้นมาแล้วก็ยอมรับกันไป เมื่อยกอ้างขึ้นมาแล้วยอมรับกันไป ยิ่งยอมรับกันมากก็กลายเป็นสมมุติสัจจะ เป็นจริงมากเท่านั้นๆ ก็เหมือนกับอาตมาบอกว่า คนโกหกมีจริงมั้ย ถ้ามีคนโกหก โกหกมากขึ้นๆ มันก็มีมากขึ้นๆเท่านั้นแหละ แต่คำโกหกคือคำไม่จริง ฉันเดียวกัน

เพราะฉะนั้นถ้าสมมุติอะไรไปก็สมมุติไปได้มากมาย สมมุติเป็นพระอินทร์ สมมุติเป็นพระนารายณ์ สมมุติเป็นโดเรม่อน คุณไปถามเด็กว่า จริงมั้ย โอ้โห...เด็กนับถือบูชา โดเรม่อน โดเรม่อนให้ความสุขแก่เขา ให้อะไรมากมาย มันก็จริง นานเข้านิทานเรื่องโดเรม่อนมันก็จะนาน เหมือนนิทาน รามเกียรติ์ หนุมานจริงมั้ย

แต่ทุกวันนี้มีศาลเจ้าหนุมาน มีเข้าทรงหนุมาน วิญญาณหนุมานก็มีจริงแหละ ฉันเดียวกัน วิญญาณพระอินทร์ก็มีจริงได้ ฉันนั้น ต่อไปอีกไม่นานนัก วิญญาณโดเรม่อนก็จะมีวิญญาณเห้งเจียเห็นมั้ย วิญญาณโดเรม่อน วิญญาณหนุมาน

วิญญาณ พระอินทร์ วิญญาณอะไรก็แล้วแต่ แล้วก็ไปติดไปยึด แล้วก็เหมือนมีจริง เป็นเรื่องพลังงาน ทางจิตวิญญาณ ละเอียดลึกซึ้ง ถ้าไม่ศึกษา จนรู้ปรมัตถสัจจะ ของพระพุทธเจ้า จนเข้าใจเลยว่ามันเป็นได้ มันเป็นได้มั้ย เป็นไงเล่า เป็น เป็นสัจจะ อย่างหนึ่ง เป็นสมมุติสัจจะ ไม่ใช่อุบัติเทพ ไม่ใช่วิสุทธิเทพ เป็นสมมุติเทพ เทพจะยิ่งใหญ่ ขนาดไหน ถ้าสามารถรวบรวมพลังนั้นได้ ไปให้มันยิ่งใหญ่ได้ขนาดนั้น มันก็ทำได้ แต่ใครล่ะจะสามารถ

ความจริงพระพุทธเจ้าตรัสรู้ไปอีกว่า ที่ว่ามีพลังงานพิเศษที่ยิ่งใหญ่เหมือนดวงอาทิตย์อยู่ต่างหาก เป็นพระเจ้า ยิ่งใหญ่ แล้วจะมาแสดง ไอ้โน่นไอ้นี่ อันนั้นเป็นแต่เพียงการคาดคะเน ไม่ได้เป็นเรื่องพิสูจน์ที่แท้จริง แต่พลังงาน อันนั้นเกิดจริงมั้ย ไม่เลย พลังงานอันนั้น แฝงอยู่กับมนุษย์... อาตมาก็เคยมี สมัยเล่นอยู่โน้น เคยใช้บ้าง สามารถที่จะมาทำฤทธิ์ทำแรง ทำอะไรต่ออะไร...อาตมาเคยเสก กระดูกคนป่วย ยุบคาตาเลยนะ ก็เคยทำ ซึ่งไม่อยากพูด พูดแล้วประเดี๋ยวพวกเราก็ติดใจแล้วไม่เข้าท่า อาตมาไม่อยากพูดเท่าไหร่ หลายๆอย่าง อาตมาเคยทำ อะไรต่ออะไรมา พวกเล่น มันไม่เข้าทีอะไรหรอก มันได้ มันเป็น พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ไม่ปฏิเสธ ฤาษีคันธารี ท่านไม่ปฏิเสธฤาษีมันนีกา ที่เขาสอนกันอยู่ แต่ท่านหรายามิ ท่านอัตยามิ ชิคุจฉามิ ท่านบอกว่า ท่านเบื่อ ระอา ท่านชัง ท่านไม่เอา ท่านเองท่านก็มี แล้วท่านก็ห้ามพระสาวก แม้มีก็อย่าไปแสดง แสดงเอา อาบัตินะ ปรับอาบัติ เพราะมันเป็นโทษภัยมากกว่า คุณ ช่วยได้ประเดี๋ยว ประด๋าว เล็กๆน้อยๆ ให้เหนียว ตีหัวก็ไม่แตก แต่มันเจ็บนะ อาตมาหนังเหนียว รถยนต์ชน ขาข้างในแหลกหมดเลย แต่ข้างนอก ผิวหนัง ไม่มีแผลเลย ไปหาหมอ หมอก็ตรวจไม่เป็นไร เอ็กซเรย์กระดูกไม่เป็นไร เพราะไม่เห็นเนื้อ แต่เนื้อมันแหลก ให้กลับบ้าน แต่เรามารักษา อีกหลายเดือน ต้องใช้ไม้เท้า ยังเป็นแผล เป็นรอยบุ๋ม หนังเหนียว แต่ซวยเรา หมอไม่รู้เรื่อง แต่ข้างในมันเสียหาย ในแนวลึกมันจะเสียหาย

วิญญาณพระอินทร์มีมั้ย ก็สมมุติน่ะมันเป็น แต่ไม่ใช่เป็นของใคร ไม่มีพระอินทร์จริงๆหรอก แต่...แต่ละคน นี่แหละ มีพระอินทร์ ก็เข้าทรงพระอินทร์ อยู่ทุกคืน เชื่อมั้ย ไม่รู้พระอินทร์ ต้องไปเข้าทรงกี่คนก็ไม่รู้ ขณะนี้ วิญญาณที่เขานิยมกันตอนนี้คือ วิญญาณ ร.๕ คืนๆทรงวิญญาณ ร.๕ กันกี่เจ้าในประเทศไทย คนทรงวิญญาณ ร.๕ ไม่รู้กี่องค์ ต่อกี่องค์ ล้วนแล้วไม่ใช่องค์หรอก เอ็ง..ทั้งนั้นแหละ วิญญาณ ร.๕ เอ็งนั่นแหละ มันเป็นอย่างนั้น จริงๆ แล้วก็มีจริงๆ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ต่างคนต่างเชื่อ ถ้าเขาไม่เชื่อเสียอย่าง เข้าใจดีแล้ว มันทรงไม่เข้า ถ้าเขาเข้าใจจริงๆ เชื่อจริงๆ เห็นแล้ว ทรงไม่เข้าแล้ว มันจะหายทันที แต่ทีนี้มันไม่หาย เพราะเขายังยึดอยู่ เขายังไม่เชื่อ เขายังไม่มีปัญญา มีปัญญาแจ้งแล้ว สิ่งนี้ก็ไม่เอา

ที่ว่าเข้าทรงเจ้าองค์โน้นองค์นี้ตามสำนักต่างๆนั้น ที่แท้เป็นองค์เอ็งของร่างทรงทั้งนั้นเลย.

- เด็กวัด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


อุทยานบุญนิยมเปิดศาลาทรงไทย
ดร.เจิมศักดิ์นำทีมสัมภาษณ์พ่อท่าน พ่อท่านชี้เหตุแม่หลงพระอินทร์ฆ่าลูก

เมื่อวันอังคารที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เวลา ๑๔.๓๐ - ๑๗.๐๐ น. มีการถ่ายทำรายการเวทีชาวบ้าน ทางโทรทัศน์ ช่อง ๑๑ ณ ศาลาทรงไทย "ถ่าหมู่แน" อุทยานบุญนิยม จ.อุบลราชธานี ไขข้อสงสัยเรื่อง ผีสาง นางไม้ เทพเจ้า การ เข้าทรง พระอินทร์ พระพรหม ยมบาล ฯลฯ โดย ดร.เจิมศักด์ ปิ่นทอง เปิดประเด็นเรื่อง "ทำไมแม่ จึงฆ่าลูก ของตัวเอง เพื่ออุทิศให้พระอินทร์ และสุริยะเทพ" ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย

สมณะโพธิรักษ์ ผู้ศึกษาค้นคว้าเรื่อง "จิต" และมีประสบการณ์ค้นคว้าทดลองทั้งด้านไสยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และ พระพุทธศาสตร์ จนฟ้าแจ้งจางปาง ดร.สุริยา สมุทรคุปต์ ผู้ทำวิจัย ค้นคว้า เรื่องเทพเจ้า การเข้าทรง มาโดยตรง นพ.นิรันทร์ นาควัชระ ส.ว.อุบลราชธานี คุณประพจน์ ภู่ทองคำ ดำเนินรายการ

การเสวนาจัดแบบเรียบง่าย โดยผู้ร่วมเสวนานั่งล้อมวงคุยกันบนพื้นไม้กระดาน มีผู้ฟังนั่งล้อมรอบ บรรยากาศ เป็นกันเอง พ่อท่านได้ไข ปริศนาซึ่งผู้คนในสังคมอาจ จะนึกไม่ถึง ได้แจ่มแจ้ง ในขณะถ่ายทำรายการ ได้ถ่ายทอดสด ทางวิทยุชุมชนบัวกลางมูล FM 93.5 MHz และบันทึกเสียง เพื่อนำไปออกอากาศ ที่วิทยุชุมชน ประชาสัมพันธ์ FM 103.5 MHz ต่อไป รายการนี้มีผู้สนใจฟังทั้งบนศาลาทรงไทย และนั่งเก้าอี้ด้านล่างประมาณ ๑๕๐ คน

หลังเสร็จรายการ ผู้ร่วมรายการรับของที่ระลึกจากพ่อท่าน และร่วมบรรยากาศมหกรรมงานเจ โดยตักอาหาร มานั่งทาน ที่ศาลาทรงไทย "ถ่าหมู่แน" และเดินทางกลับประมาณ ๑๘.๓๐ น.

ผู้ร่วมรายการได้ให้สัมภาษณ์ดังต่อไปนี้

นายแพทย์นิรันทร์ นาควัชระ ส.ว. อุบลราชธานี "การที่เรามาเปิดประเด็นทำไมแม่จึงฆ่าลูกของตัวเองได้ เพื่ออุทิศ ให้พระอินทร์ และสุริยะเทพ ที่นี่เหมาะ ที่จะแสดงให้เห็น สภาพของสังคม ที่มีการเปลี่ยนแปลง ในทางที่ ไม่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว เพราะเรามองว่าอุทยานบุญนิยม เป็นอุทยานที่คนมีสติ และมีหลัก ในเรื่องของ การที่จะทำ ให้สังคม มั่นคงและเข้มแข็งได้ คือหลักธรรมะที่จะทำให้คนละกิเลส มีศีล สมาธิ ปัญญา ก็คิดว่า ตรงนี้ จะเป็นคำตอบ ที่เป็นปัญหาสังคมในขณะนี้

ถ้าคนได้ติดตามก็จะรู้ว่าสังคมที่ไม่มีสติ และมีแต่กิเลสมากจะต้องหันกลับมายึดมั่น ในเรื่องของความเป็น ธรรมะ และธรรมะเท่านั้น จะทำให้สังคมเรากลับคืนสู่สันติสุขได้ ดีใจที่ได้มาฟังสิ่งที่ดีๆจากพ่อท่าน มาเห็น ชุมชน ที่มีความสุขและยึดมั่นในศีล สมาธิ ปัญญา และเป็นสังคม ที่มีความเข้มแข็ง ในตัวเองอยู่สมบูรณ์"

คุณประพจน์ ภู่ทองคำ ผู้ดำเนินรายการ "มาทำรายการที่นี่อบอุ่นเหมือนอยู่ที่บ้าน เวลามาทำรายการ ที่ชุมชน อโศก จะรู้สึกอบอุ่น ได้รับการต้อนรับที่ดี การที่มาเปิด ประเด็นนี้จริงๆ เป็นปัญหาสังคมที่มันมีอยู่ ก็ได้ทราบว่า พ่อท่านอยู่ที่ราชธานีอโศกแล้วบังเอิญเรามาถ่ายทำรายการที่ อุบลราชธานี และเห็นว่าที่นี่ น่าจะมีเวทีสำหรับ ชาวบ้าน ที่อยู่ต่างจังหวัดด้วย รายการทีวีส่วนใหญ่จะยึดกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลาง ก็อยากฟัง ความคิดเห็น ของชาวบ้าน ต่างจังหวัดด้วย คิดว่าสังคม จะได้สัมมาทิฐิ จากคำเทศน์ของพ่อท่าน เผยแพร่ ในวงกว้าง ขยายมากขึ้นด้วย สิ่งพ่อท่านทำอยู่ ก็พยายามเตือนสติของสังคม แต่สิ่งที่เขาจะไป ปรับเปลี่ยน หรือไม่ เราคงคาดหวังลำบาก"

คุณสุริยา สมุทรคุปต์ ผู้ร่วมเสวนา "ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มาที่นี่ แต่ก็คุ้นเคยกับร้านอาหารมังสวิรัติที่เชียงใหม่ ไปเป็นลูกค้าที่นั่น บางโอกาส ก็ประทับใจ และเคยไปที่โคราช ก็ประทับใจชอบมาก ชื่นชมที่สร้างสถาบัน ครอบครัวและชุมชน ตอนนี้ก็เห็นผลก็ชื่นชม แต่ตัวเองยังมีกิเลสเยอะ อย่างพ่อท่านว่า จึงทำหน้าที่วิชาชีพ ตามที่บอกไว้ ผู้คนในสังคม มีความพร้อมน้อยมาก ที่จะมาทำเช่นนี้ กิเลสยังหนามาก ผมคิดว่าทางเลือก ทางออกของสังคม น่าจะมีเพื่อบริการเขา ก่อนที่เขาจะมาถึงจุดนี้ พวกเราที่มาถึงขั้นที่ปฏิบัติ ลดละตัดกิเลสได้ น่าสรรเสริญ น่าเห็นใจสังคม เพราะปัญหาต่างๆ เหมือนเส้นผมบังภูเขา อะไรเข้าตาตัวเอง ก็ล้างไม่ออก คิดว่าสมาชิก ที่ติดตามรายการของ ดร.เจิมศักดิ์ มีเยอะพอสมควร และผู้ที่ติดตามพ่อท่าน ก็มีเยอะมาก คงได้รับข่าวสาร แต่ครั้งเดียว คงไม่พอ แต่ที่พวกคุณ ทำเป็นตัวอย่าง แบบนี้เป็นพลัง พวกคุณหน้าใส ยิ้มแย้ม แจ่มใสเอื้ออาทร ซึ่งกันและกัน ทั้งลูกเล็กเด็กแดง ทำงานพอกินพออยู่ปลูก และเอามาขาย ไม่หวังกำไร ผมคิดว่า อันนี้ คงจะช่วยเป็นประชาสัมพันธ์ กับคนทั่วไปได้มากขึ้น"

ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง "มาทำรายการและถามพ่อท่านทั้งหมด ได้ความรู้ ได้แนวคิด ได้ปรัชญา และจะต้อง เก็บไปคิด อีกเยอะ สิ่งที่ได้มากๆ ก็คือสมอง ประเด็นแม่ฆ่าลูก เป็นเรื่อง น่าเป็นห่วง ปกติแม่เขาจะรักลูก แต่ว่าถ้าคนระดับแม่ฆ่าลูกได้ มันต้องฝืนธรรมชาติอย่างมาก ที่มาที่นี่เป็นโอกาสอันเหมาะ ที่พ่อท่านอยู่นี่ และรถถ่ายทำ ก็มาถ่ายที่อุบลฯ พอดีทุกอย่าง มันก็ประจวบเหมาะกัน ตั้งใจจะมาสัมภาษณ์พ่อท่าน เพราะพ่อท่าน เป็นคนที่เคยทรง ผมก็สืบรู้มาก่อน แล้วก็เมื่อเข้าถึงพระพุทธศาสนา ก็คงจะมีคำอธิบายอะไร ที่ให้สติ เพราะคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาว มีประสบการณ์จริง และพูดมีน้ำหนัก หนักแน่นมากกว่าคนที่คิดเอา เดาเอา เมื่อท่านมีประสบการณ์จริง ก็น่าจะให้ประชาชนทั้งประเทศ ได้เรียนรู้ ผมก็ทำหน้าที่ผม ผมคาดหวังว่า จะได้ความรู้และความจริง ที่ตรงไปตรงมา และก็ได้อย่างมาก และก็สนุกมากกว่าที่ผม คาดหวัง เพราะว่ามีสีสัน มีการพูดคุย อย่างเป็นกันเอง ไม่เกร็งและก็ได้แนวความคิด ไม่ผิดหวัง สำหรับผู้ที่ชมรายการ ก็ให้เขาใช้ สติปัญญา อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้เชื่อ เพราะคนนั้นเป็นอาจารย์ คนนี้เป็นคนดี คนนี้เป็น คนรวย คนนี้เป็นคนจน แต่พระพุทธเจ้าให้เชื่อ เพราะว่าคนนั้นเชื่อ เพราะปัญญา ไตร่ตรอง ถึงเหตุผล ไม่ใช่ให้เชื่อ เพราะเป็นบุคคล ก็อยากจะให้ทุกคนไตร่ตรอง และใช้ปัญญาใช้สติ คนที่นี่คงไม่มีปัญหา ฟังแล้วหลายคน ก็เคยมีปัญหา และกลับมาเป็นตัวอย่างที่ดี ผมก็คิดว่า เท่าที่เห็นตัวอย่างแล้วว่า มันมีการ ลองผิด ลองถูก การทรงเจ้าเข้าทรงทั้งหลาย มันเป็นอวิชชา ไตร่ตรองให้ดีอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ ผมพอจะเข้าใจว่า มีปัญหามันมีทุกคน หนทางของการแก้ปัญหา มันไม่ได้มีทางเดียว เพราะฉะนั้นอย่าได้เชื่อง่ายๆ ว่า เจ้าก็ดี สิ่งที่มีอิทธิฤทธิ์ก็ดี จะช่วยเราได้ ผมคิดว่าต้องช่วยตัวเอง ด้วยสติปัญญา ผมว่าหนทางนี้ น่าจะดีที่สุด"

สมณะผืนฟ้า อนุตตโร พุทธสถานศีรษะอโศก "เป็นนิมิตหมายที่ดีทำให้ผู้คนตื่นตัวจากไสยศาสตร์มาเป็นพุทธศาสตร์ รายการนี้ ออกทั่วประเทศ ก็คงจะได้รับรู้ โดยเฉพาะพ่อท่าน ก็ผ่านการเข้าทรงมาแล้ว ก็คงจะเป็นกุญแจไข ให้กระจ่างชัดขึ้นว่า ไสยศาสตร์กับ พุทธศาสตร์ ต่างกันอย่างไร"

คุณศีลเพชร มังสา นิสิตวิชชาเขตศีรษะอโศก "มีพี่น้องจากศีรษะอโศกมาประมาณ ๒๘ คนรวมทั้งสมณะและ ฆราวาส รู้สึกดีใจแทน พี่น้องชาวพุทธ ทั่วประเทศ ที่มีท่านผู้รู้ ได้มาฉีกมุม อีกมุมหนึ่งให้เลือก ไม่ได้บังคับว่า ต้องเชื่ออย่างไร แต่ให้เลือก ความคิดความเชื่อเก่า ที่ทำให้คนหลงผิด จนเกิดการทำลายกัน เป็นเรื่องที่น่า สลดหดหู่ใจ พอได้ฉีกมุมนี้ ก็ทำให้เชื่อคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากขึ้น เชื่อกฎแห่งกรรม เชื่อสิ่งที่ พิสูจน์ได้ และสิ่งที่พาให้เราไปสู่ สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ และทุกข์หนัก ไม่มีทางออก แบบสังคม ที่ล่มสลาย ที่ไม่เอา ศีลธรรมนำหน้า ดีใจที่ศีลธรรมมีโอกาสผ่านหูพี่น้องอีกครั้ง ศีลห้าไม่กลับคืนมา โลกาจะวุ่นวาย"

คุณแม่สา ขันยา "โชคดีที่ได้มาฟัง ไม่เคยได้ยินสักครั้ง มีคนทางกรุงเทพฯมาจัดรายการ งานนี้จัดดีมาก อาหารก็เยอะ และอร่อย"

คุณอารี ธรรมคุณ "ประทับใจที่ได้ยินแนวคิดอีกมุมหนึ่ง ได้ชัดเจนในความงมงายความหลงผิดเป็นอย่างไร พ่อท่านพูด ได้ชัดเจน บรรยากาศของงาน ไม่น่าเชื่อว่า จะมีแบบนี้ ดูอบอุ่นต้อนรับดี"

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชาวอโศกร่วมเทศกาลกินเจ
อุทยานบุญนิยมมีเวทีชาวบ้าน
หลายแห่งทำเจด้วยพืชผักไร้สารพิษ

เน้นเพื่อสุขภาพของผู้บริโภค
ชมร.ช.ม.เปิดถึง ๒ ทุ่มเป็นครั้งแรก
นิสิต ม.วช.ใช้เป็นหน่วยวิชาเรียน

เทศกาลเจปีนี้อยู่ในช่วงรำลึกถึงเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาฯพอดี ตามประวัติที่ทำให้เกิดประเพณีกินเจ ขึ้นมานี้ ก็เพื่อเป็นการ รำลึกถึง บรรพบุรุษชาวจีน ๙ คนผู้เสียสละ ต่อสู้กับชาวแมนจู ที่เข้ามายึดครองประเทศจีน อยู่ในขณะนั้น แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกประหารชีวิตโดยการตัดคอ และโยนลงสู่แม่น้ำ หลังจากนั้น ก็มีเจ้ามารับ วิญญาณทั้ง 9 ไป ชาวจีนจึงยกย่อง ให้ชายทั้ง 9 เป็นเจ้าแห่งเทศกาลกินเจ เมื่อถึงเทศกาลกินเจ ก็คือการ ไว้ทุกข์ ให้บุคคลทั้ง 9 คน ซึ่ง เราเรียกกันว่า เจ้า วันกินเจวันแรก ก็จะตรงกับวันสุดท้าย ของเดือนที่แปด นับจากปฏิทินจีน ถ้าดูจากปฏิทินจีน เทศกาลกินเจ ก็จะตรงกันทุกปี ดังนั้นการกินเจของเราปีนี้ บางคนอาจ จะถือโอกาส เป็นการรำลึกถึง ผู้เสียสละ ในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาฯ หรือ พฤษภาฯด้วยก็ได้

เทศกาลกินเจปีนี้ อยู่ระหว่างวันที่ ๑๔-๒๒ ตุลาคม ๒๕๔๗ ในกทม.ได้จัดต้อนรับเทศกาลเจหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การต้มพะโล้ หม้อยักษ์ ผัดหมี่กะทะยักษ์ ที่เยาวราช หรือข้าวต้ม ๑๘ อรหันต์หม้อยักษ์ที่ทำเนียบ รัฐบาล ล้วนประชาสัมพันธ์ให้ผู้คนได้รับรู้ ถึงความยิ่งใหญ่ ของเทศกาลเจ และหันมาลอง รับประทานอาหารเจ นับเป็นการส่งเสริม วัฒนธรรมการบริโภคอาหาร ที่ปลอดจากเนื้อสัตว์ เป็นอย่างดี

อาหารเจนับเป็นบุญญาวุธหมายเลข ๑ ของชาวอโศก ซึ่งในปีนี้ได้ร่วมแรงร่วมใจบริการอาหารเจกันอย่าง คึกคัก ซึ่งทุกแห่งเปิดขาย ไม่มีวันหยุด บ้างก็เพิ่มเวลาขาย เพื่อให้พี่น้อง ที่ตั้งใจสมาทานอาหารเจ ตลอด ๑๐ วัน ได้รับประทาน อย่างต่อเนื่อง สำหรับบรรยากาศ ของแต่ละแห่ง มีดังนี้

*** ชุมชนราชธานีอโศก จ.อุบลราชธานี
หมู่บ้านราชธานีอโศกชูธงเมตตาธรรมในรูปแบบของการเข้าค่ายพาณิชย์บุญนิยม ในงานมหกรรมอาหารเจ ปี ๒๕๔๗ เป็น การศึกษาเรียนรู้ เพื่อพัฒนาตนร่วมกันทั้ง ชุมชน ของทุกฐานะ ที่อุทยานบุญนิยม และสหกรณ์ บุญนิยม อ.วารินชำราบ จ.อุบลฯ

เป้าหมายของการเข้าค่ายครั้งนี้มีสามประการคือ ๕ ส. ๗ อ. และสาราณียธรรม ๖ โดยมีทีมสมณะ-สิกขมาตุ ให้สัมมาทิฐิ ก่อนเข้าสนามสอบ มีแบบประเมินตนเอง เพื่อเรียนรู้และพัฒนาตน ในการทำงานด้วย

พื้นที่ของอุทยานฯ ถูกจัดสรรเป็นแผนกต่างๆ และเป็นที่พัก มีการปรับปรุงพื้นที่หลายจุด เช่น สร้างอาคาร หลังใหม่ เป็นที่ทำขนมปัง บริเวณข้างโกดัง เทพื้นคอนกรีต และสร้างเตาหุงข้าว บริเวณติดกำแพง ข้างห้องน้ำ หญิงหลังเก่า ในช่วงบ่าย ของวันที่ ๑๒ มีการติดหน้าบรรณ ศาลาทรงไทย ซึ่งพ่อท่านไปดูแล การติดหน้าบรรณ ด้วยตนเอง

เปิดบริการตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐-๑๙.๓๐ น. ตั้งแต่วันที่ ๑๒-๒๒ ต.ค. ใช้ระบบบุฟเฟ่ต์ ในราคาบุญนิยม ข้าวราดกับ ๑ อย่าง ๑๐ บาท ราดกับข้าว ๒ อย่างขึ้นไป ๑๕ บาท อาหารพิเศษ ๑๕ บาท กับข้าวถุงละ ๑๒ บาท ส่วนอาหารพิเศษใส่ถุง ๑๕ บาท

ใช้น้ำมันงาซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชนและผักไร้สารพิษมาปรุงอาหาร ซึ่งส่วนมากเป็นผักพื้นบ้าน มาจากสวน ในบ้านราชฯ, สวนไวพลัง และจากเครือข่ายฯ มีเมนูอาหารพื้นบ้าน มากมาย เช่น ลาบสายบัว, ลาบผักก้านจอง, ซุบผักเม็ก, ซุปขนุน, ซุบหน่อไม้, แกงหยวกกล้วย, แกงส้มผักพื้นบ้านรวม, ราดหน้ายอดผักปลัง ส่วนเมนูอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ผัดเส้นต่างๆ ข้าวผัด ข้าวซอย ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ ก๋วยเตี๋ยวหลอด ขนมจีน สลัดผักมีทั้งสลัดแขก และสลัดครีม และอาหารทอด ซึ่งอันตรายต่อสุขภาพ แต่ก็ยังเป็นที่นิยม สำหรับผู้รักสุขภาพมี น้ำนมข้าวกล้องแดง , น้ำนมเม็ดบัวใส่ใบเตย, น้ำนมลูกเดือย, น้ำนมงางอก และน้ำนมถั่วเหลือง และ เมล็ดถั่ว ต่างๆ

มีผู้สนใจมารับประทานตลอดทั้งวัน จะไม่มีช่วงร้านว่าง และแขกผู้มีเกียรติมารับประทานหลายท่าน เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด คุณจีระศักดิ์ เกษณียบุตร และคณะ, คณะดูงาน จากปากเซ ประเทศลาว และทีมถ่ายทำ รายการ เวทีชาวบ้านของ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

ช่วงค่ำผู้คนนิยมมาพักผ่อนทานอาหาร และฟังเพลงจากเวทีข้างน้ำตก แม้จะมีแต่นักร้องสมัครเล่น แต่ก็สามารถ สร้างบรรยากาศ ของความเบิกบาน สนุกสนาน บรรยากาศโดยรอบ ตกแต่งด้วยไฟ ดูเหมือน สวนอาหาร

บรรยากาศเหมือนงานบุญ มีผู้มาช่วยงานมากหน้าหลายตา ทั้งชาวชุมชนคน บ้านราชฯ สวนส่างฝัน พี่น้อง เครือข่ายฯ จากหมู่บ้านต่างๆ รวมทั้ง ญาติธรรมชาวอุบลอโศก มีคนทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กทารก จนถึงผู้ อายุยาว และทีมทำงานแต่ละแผนกจะมีทั้งนิสิต ชาวชุมชนและนักเรียน ทั้งระดับมัธยมฯ และประถมศึกษา สำหรับที่สหกรณ์ฯ อ.วารินฯ มีผู้ไปใช้บริการ มากมายเช่นกัน ทำให้เห็นว่า คนอุบลฯ นิยมกินเจในช่วงนี้ เป็นจำนวนมาก



ความรู้สึกของผู้มาร่วมบรรยากาศมหกรรมอาหารเจ

คุณผุสดี ตังธโณบล อายุ ๓๗ ปี อาชีพค้าขาย "ประทับใจที่ผักไม่มีสารพิษ อาจจะกินไม่ได้ทุกวัน แต่ในปีหนึ่ง ขอกินให้บริสุทธิ์สิบวัน ก็ยังดีใจ ตั้งใจมารับประทาน ที่นี่ทุกวัน ในช่วงเทศกาลเจ ชอบอาหารพื้นบ้าน รสชาติ กลางๆ และชอบน้ำเสาวรส การจัดงานที่นี่ดูดีสบายๆ มีที่นั่งรับประทาน ทั้งข้างบนข้างล่างให้เลือก วันไหน ไม่รีบร้อน จะไปนั่งที่เรือนไทย ดูดนตรี ทุกอย่างจัดได้ดีค่ะ"

คุณนันท์ อุมากร อายุ ๓๐ ปี อาชีพพยาบาล "มาทานเป็นบางวัน อาหารหลากหลายและรสดี ปีนี้มีดนตรีให้ฟัง และชอบผักพื้นบ้าน ที่นำมาทำอาหาร ปกติชอบกินแบบนี้ การตักอาหารสะดวก และอิสระในการตักดี"

คุณสิทธิชัย บุญวิพากษ์ อายุ ๓๕ ปี อาชีพทำงานธนาคาร "งานนี้ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ผมมารับประทาน ทุกวันเสาร์อาทิตย์ ช่วงเทศกาลเจตั้งใจ รับประทานตลอด ระบบบุฟเฟ่ต์ดี สามารถเลือกได้ ตักเองได้ แล้วมา จ่ายเงิน แต่เจ้าหน้าที่คิดเงินมีน้อย และคิดช้า ในวันที่มีคนมาเยอะๆ ต้องรอนาน"

คุณบัณฑิต จูมพะบุตร อายุ ๔๗ ปี อาชีพทำธุรกิจ "มากินตั้งแต่วันแรก ปีนี้ทีมงานมีความพร้อม มีระบบ ในการจัดการ ชอบเรื่องพืชผัก ไร้สารพิษ ผมมารับประทานสามเวลา ตอนเช้า บรรยากาศดี ตอนเย็น พาครอบครัว มานั่งบนเรือนไทย และมาดูกิจกรรมเวที ถ้าเป็นไปได้อยากให้จัดกิจกรรมแบบนี้ อาจจะเป็น วันเสาร์- อาทิตย์ คงจะดีไม่น้อย ผู้คนจะได้มาพักผ่อน"

คุณบุญเลิศ สุมาพันธ์ อายุ ๔๗ ปี อาชีพเสริมสวย "ได้หยิบเอง ตักเอง ชอบมากตักมาก ชอบน้อยตักน้อย บางที เราก็รับประทาน ไม่มาก อาหารไม่เหลือทิ้ง ราคาพอดี ไม่แพงไม่ถูก ชอบมากินที่นี่ตอนเช้า และตอนเย็น ส่วนกลางวัน ซื้อไว้ตั้งแต่เช้า กินแล้วระบบขับถ่ายดี"

คุณวันชัย เจียรกุล อายุ ๔๗ อาชีพค้าขาย "ทานแล้วสบายตัวเบาตัว และจิตใจสงบดีไม่เครียด ผมมากิน สามเวลา ระบบการจัดการดี ทำให้เรารู้ว่า มีหน้าที่ทำอะไรบ้าง ตักเองเลือกเอง กินเสร็จแล้วก็เก็บถ้วยจานเอง ผมได้สอนลูกไปด้วย ตอนแรกเขาจะลุกไปเลย บอกเขาเขาก็ทำ ผมจะพาครอบครัวมากิน ในวันเสาร์อาทิตย์ คนคิดเงิน มีอัธยาศัยดี เอื้ออาทร เราเข้าไปแล้วใจเรานิ่ง เขาคุยกับเราเป็นกันเอง มีความเป็นพี่เป็นน้อง ไม่ซีเรียส สัมผัสได้ว่าไม่เอาเงินเป็นใหญ่ ไม่ใช่แบบแม่ค้าทั่วไป ถ้าไปกินที่อื่น จะไม่มีคุณสมบัติแบบนี้"

พันตำรวจโททิพย์พงษ์ ทิพยเกสร อายุ ๕๐ ปี รองผู้กำกับฯ สปต. เปือยใหญ่ จ.ศรีสะเกษ "ประทับใจ สื่อให้เห็น หลายอย่าง ชอบการแสดงบนเวที มีบุคลากร ที่มีความรู้ ความสามารถ และคนที่ทำงานตามร้านต่างๆ ได้แสดง ออก เป็นธรรมชาติดี กลมกลืนกับบรรยากาศ บทเพลงก็สื่อดี อาหารก็อร่อยแถมราคาถูก"

คุณปานรุ้ง สุขเกษม อายุ ๔๑ ปี ผู้รับใช้อุทยานบุญนิยม "เป็นปีแรกที่เราจัดแบบระบบตักเอง และเป็นการ เข้าค่าย ของทั้งชุมชน และใช้ผักไร้สารพิษ ก็ถือว่าผักพอเพียง ปีนี้ได้เข้าไปพัก ในบ้านราชฯ เพราะน้ำไม่ท่วม เหมือนปีก่อนๆ ยอดคนที่มารู้สึกว่า จะลดลงนิดหนึ่ง การทำงาน ไม่มุ่งเน้นที่ยอดมาก จะมุ่งเน้นที่รายละเอียด การอ่านจิตใจ ความสัมพันธ์กับหมู่กลุ่ม

ปีนี้ลงตัวขึ้น เราแบ่งกำลังเป็นสามส่วน มีทั้งสหกรณ์อยู่ฝั่งวารินฯ ร้านอุทยานฯ และยังมีส่วนหนึ่ง ที่เตรียมงาน ในบ้านราชฯ คือทีม กสิกรรม ปีก่อนๆ ทุ่มกำลังมาที่นี่เยอะ หลังงานเจ ร้านเราก็ไม่ปิด เพราะต้องการให้คน มากินเจ อย่างต่อเนื่อง ยอดขาย ปีนี้เกาะกลุ่มไม่ลดวูบเหมือนปีที่แล้ว ถือว่าคนกินสม่ำเสมอ และฝั่งวารินฯ ก็ขายดีขึ้น"

คุณแสวง บุญชู อายุ ๖๐ ปี ญาติธรรมกลุ่มอุบลอโศก "ผมมาช่วยทุกวันถึงบ่ายโมงกว่าก็กลับ ตรงจุดขายข้าว ปีนี้ ข้าวขายดี นุ่มดี ผมว่าคนใหม่ๆ มากินเยอะ คงปากต่อปาก ว่าที่นี่ขายถูก และไร้สารพิษ รู้สึกว่าตัวเอง ได้มาทำบุญ ก็เต็มใจมาช่วย"

คุณรินบุญ อโศกตระกูล อายุ ๔๒ ปี ชาวชุมชน แม่ครัวแผนกแกงและน้ำพริก "ในแต่ละวัน ทำแกงออกไป ประมาณ ๓๐ - ๔๐ หม้อ การใช้ผักพื้นบ้าน ทำอาหารยากพอสมควร ต้องดัดแปลง ใช้ฝีมือมากๆ เพราะแล้วแต่ วัตถุดิบ มีลูกฐาน ๔ คน เริ่มทำงานตั้งแต่ ตี ๔ ครึ่ง งานนี้ทำให้ออกจากภพ เคยอยู่ร้านอาหารมานาน มันเบื่อ คิดว่า จะไม่ทำงานนี้อีก การมีลูกเล็กๆมาด้วย ก็ไม่เป็นอุปสรรค เพราะลูกอยู่กับทุกคนได้ มีกลุ่มเพื่อนวัย ใกล้เคียงกัน ในงานนี้ได้รับประโยชน์ คือต้องควบคุม อารมณ์ตนเอง ใจเย็น ไม่ใช้อารมณ์กับลูกฐาน แม้บางครั้ง เขาจะทำอะไร ที่ไม่ถูกใจ ได้เอาภาระทั้งลูกตนเอง และลูกฐาน"

คุณหนู นามภักดี อายุ ๓๖ ปี เกษตรกรเครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษ บ้านนาเยีย "ปลูกถั่วฝักยาวมาส่งอุทยานฯ วันละ ประมาณ ๔๐ กิโลกรัม ได้เตรียมการ ก่อนงานเจ ประมาณ สองเดือน วางแผนปลูกผักเตรียมงานเจ และ งานปีใหม่ ต่อกันไปเลย มาช่วยงานที่นี้คือวันที่เอาผักมาส่ง ก็อยู่ช่วยงานหั่น เตรียมก่อนบ้าง ล้างผักบ้าง ประโยชน์ ที่ตนเองได้ คือกินเจและอยู่กับคนที่นี่ มีศีลธรรม ซึ่งจะได้ข้อคิดเรื่องธรรมะ บางทีมีปัญหาจากบ้าน พอได้คุย กับคนนั้นคนนี้ ทุกข์ก็เบาลง"

นิสิตดาวพร ชาวหินฟ้า อายุ ๔๑ ปี ประธานเครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษราชธานีอโศก "ประชุมกับทีม ผู้ผลิตผัก ไร้สารพิษ ประมาณสองอาทิตย์ มี ๔ กลุ่มหมู่บ้านคือหนองหว้า สำโรง นาเยียและน้ำขุ่น จัดเวรผลัดเปลี่ยน กันมาส่งผัก และมาช่วยในงาน แต่พอถึงงาน เขาจะต้องส่งทุกวัน เพราะผักจะแก่ก่อน

ปีนี้ไม่คาดคิดว่าเครือข่ายจะผลิตได้เยอะเกินโควต้า เป็นปีแรกที่ร้านใช้ผักไร้สารพิษร้อยเปอร์เซ็นต์ ฟักทอง ฟักและข้าวโพด ได้ติดต่อจาก เครือข่ายศีรษะอโศก ไว้ตั้งแต่ปีกลาย การที่เราซื้อผักจากเครือข่าย จะกำหนด เมนูไม่ได้ จึงต้องมาเปลี่ยนค่านิยม ของผู้บริโภค และต้องใช้วิธีการดัดแปลง เช่น เราเปลี่ยนจากแครอท เป็น มะละกอห่าม ใช้ตกแต่งอาหาร ให้มีสีสัน และการทำอาหารประเภท ซุปผักพื้นบ้าน และลาบ ซึ่งก็ได้รับ ความนิยม จากผู้บริโภค เป็นอย่างดี

คิดว่าในปีหน้าจะต้องวางแผนให้ดีกว่านี้ และรักษามาตรฐานคุณภาพของสินค้า ได้พัฒนาทั้งคนปลูกคนกินไป พร้อมๆกัน ทางเครือข่าย นอกจากจะมาขายผัก ก็ยังมาช่วยงาน เหมือนพี่เหมือนน้องกัน ได้เอื้อเฟื้อเหมือนมา งานบุญ ระบบบุฟเฟ่ต์คือ ระบบพี่ระบบน้อง ตักเองเก็บเอง บริการตนเอง คิดว่างานนี้ ได้บุญทั้งผู้ซื้อผู้ขาย

สำหรับสิ่งที่ตนเองฝึกฝนในงานนี้คือ ทำอย่างไรจะทำงานโดยไม่ใช้อารมณ์ในการทำงาน ทำอย่างไร จะยอม รับฟัง คำติเตียน หรือข้อคิดเห็นของผู้อื่น ที่ไม่ตรงกับเรา และ จะบริการผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ในส่วนที่เราทำได้ มีความสุขในการทำงานกับคนจริงๆ เป็นสิ่งที่ได้เรื่องจิตวิญญาณ บางครั้งก็เห็นกิเลสของตนเอง เวลาลูกค้า ตักเยอะ ก็เห็น จิตตระหนี่ของตน งานนี้ได้บำเพ็ญทานบารมี และเมตตาบารมี จะพยายามพัฒนาเรื่องนี้ ให้มากขึ้น"

นิสิตดินเย็น ชาวหินฟ้า อายุ ๔๙ ปี แผนกล้างผัก "แผนกล้างผักเน้นหลักว่าจะบริการผักที่ประณีต สะอาด ลูกค้า ที่มากินอาหาร เขาไว้วางใจเรื่อง ความสะอาด เราก็ต้องเต็มใจ ที่จะทำให้เขาได้รับในส่วนนี้ การบริหาร จัดการ มีการวางแผนว่า จะวางผักอย่างไร ให้ผู้มารับบริการสะดวก หยิบง่าย และน่าหยิบ มีทีมทำงานสองคน ครั้งนี้เป็นการเตรียมความพร้อม ในช่วงงานปีใหม่ ปีนี้ลงตัว ไม่เหนื่อย และผักเสียหายน้อยลง การเข้าค่าย พาณิชย์บุญนิยมครั้งนี้ ทั้งการ ทำงานและสภาวะจิตใจดีมาก ในช่วงนี้ บำเพ็ญเรื่องระวังอารมณ์ก่อนงาน และทำได้ประมาณ ๙๕% การทำงานร่วมกับผู้อื่นก็ดี ลดภาวะการเอาแต่ใจตัวเองลง เรื่องกินอยู่ หลับนอน ก็ทำได้ดี อาจจะนอนดึก ตื่นเช้าบ้าง แต่ก็กินหนึ่งมื้อได้"

คุณเถาว์ สยะรักษ์ ผู้รับใช้ฐานกสิกรรม "ในการเข้าค่ายพาณิชย์บุญนิยมครั้งนี้ ได้แบ่งงานกัน ทีมกสิกรรม ได้จัดทีม ไปช่วย ที่แผนกล้างจาน และเก็บขยะ รวมทั้ง เก็บผักไปส่ง การเก็บผัก จะมีสองทีม คือทีมเก็บ ในบ้านราชฯ และเก็บที่สวนไวพลัง เราวางแผนงานเพื่องานในชุมชน จะไม่ชะงัก ได้จัดตัวบุคคลลงพื้นที่ไว้ เพื่อให้เกิด การทำงาน ต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันจะเน้นประสิทธิภาพสูงสุด เท่าที่เราจะทำได้ จัดบุคคล ลงพื้นที่ไม่มาก ๔-๕ คน แต่มีความก้าวหน้าไปมาก เป็นการช่วยสนับสนุน ทางด้านร้านเจ เป็นอย่างมาก ในช่วงนี้เราเพาะต้นผัก เป็นหมื่นต้น พวกกะหล่ำปลี มะเขือเทศ มะเขือพันธุ์ต่างๆ และพริก ขณะนี้เราลง ถั่วฝักยาว กวางตุ้ง คะน้า ที่ตลาดอาริยะ เพราะจะได้ผล ก่อนที่เราจะจัดงานปีใหม่ เพื่อที่จะมีผักไว้รองรับ และส่งไปที่อุทยานด้วย ช่วงนี้ทีมกสิกรรมไฟแรง เพราะได้ระบบงาน ที่ค่อนข้าง จะก้าวหน้า มีการใช้เทคโนโลยี เข้ามาช่วย มีความพร้อมของเครื่องมือ และตัวบุคคล จึงใช้แรงคนและใช้เวลาน้อย ในการทำงาน"

นายเจษฎา อ่อนสันเทียะ อายุ ๑๕ ปี สสธ.ชั้น ม.๓ "รับผิดชอบในทีมทำเต้าหู้ มีทีมงานเจ็ดคนมีชั้น ม.๓ สองคน และชั้น ม.๑ ห้าคน พ่อฐานคือ นิสิตกล้าตรง ตื่นมาทำ ตั้งแต่ตีสอง นอนสามทุ่มครึ่ง แต่ถ้ามีเต้าหู้อยู่ก็ตื่นตีสี่ การทำงาน ช่วยกันดี ถ้าใครเหนื่อย ก็สลับกันพัก ทีมงานมีประสบการณ์ ในการทำอยู่แล้ว จึงจัดสรร ทำงาน เป็นระบบได้ดี ในการทำงาน ผมจะต้องควบคุมตัวเอง เรื่องโมโห เวลาทำเต้าหู้ มันจะหงุดหงิด ถ้ารู้สึกหงุดหงิด จะไปทำงานอื่นก่อน ประโยชน์ที่ได้ จากการทำงานนี้คือ ได้ฝึกการเป็นผู้นำ การประมาณคำนวณว่า จะต้องทำ เต้าหู้เท่าไร จึงจะพอดี และฝึกการอยู่ร่วมกันกับคนอื่น เรียนรู้นิสัยและจริต ที่แตกต่างกัน ทำอย่างไร จึงจะทำงานด้วยกันด้วยดี"

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน อโศกตระกูล "ปีนี้เราทำงานเจแบบการเข้าค่าย ทั้งชุมชน ทุกฐานะ การเข้าค่ายครั้งนี้ ใช้หลัก สาราณียธรรม ๖ ๗ อ. จะมีเรื่องของ ธรรมะและสุขภาพ การใช้อิริยาบท การหายใจ การใช้อารมณ์กับ การงานที่ดี และเรื่องของ ๕ ส แต่ละฐานงาน จะต้องเน้นเรื่องเตรียมภาชนะ เก็บภาชนะล้างเอง และปัดกวาด ให้สะอาด การเข้าค่ายครั้งนี้ จะทำแบบสนุกสนาน แบบพี่แบบน้อง ไม่ซีเรียสกับงาน ไม่จริงจังต้องเอาเป็น เอาตาย กับงาน แต่จะทำงานไป พลางฝึกฝนตนเอง กับการงาน ชำเลืองดูจิตใจ ชำเลืองดูการงาน แล้วปรับใจ ไปเรื่อยๆ ได้พบภาพที่คนทุกฐานะ ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้ เป็นอย่างดี ดิฉันให้คะแนน ๘๕ คะแนน เพราะสามารถ กินอาหารดี ไม่ล้มป่วยกลางงาน การเข้าค่ายครั้งนี้ถือว่า ประสบผลสำเร็จ รู้สึกว่าเป็นงาน ที่เน้นทั้ง อุดมการณ์ เราใช้ผักไร้สารพิษ เน้นการบริการตนเอง การปรุงอาหาร ด้วยน้ำมันงา และการทำงาน อย่างเชื่อมร้อย มีเครือข่ายเอาผักไร้สารพิษมาส่ง และช่วยทำงานตลอดทั้งวัน ฉะนั้นงานนี้ จึงมีทั้งคนทำงานฟรี อาหารไร้สารพิษ ความเป็นมิตร เป็นพี่เป็นน้อง ได้เป็นอย่างดี เป็นภาพที่หาดูได้ยาก ตอนเย็นจะมี ร้องเพลงกัน อย่างร่าเริง เบิกบาน สนุกกว่าทุกปี"



*** สีมาอโศก จ.นครราชสีมา
ปีนี้สีมาอโศกเปิดบริการอาหารเจเพียงแห่งเดียวโดยพิจารณาตามกำลังของตนที่มีอยู่ นักเรียนก็แบ่งครึ่งหนึ่ง อยู่วัด ครึ่งหนึ่งไปร้าน พวกที่ร้านอ่อนล้า หรือมีปัญหา ก็ให้กลับวัด เปลี่ยนคนอยู่วัดออกไป ทั้งผู้ใหญ่ก็เช่นกัน เมื่อเลิกงานแล้วในตอนเย็น ก็จะมีการสรุปงานด้วย โดยมีสมณะและสิกขมาตุ ไปเป็นประธาน สลับกัน วันเว้นวัน ระหว่างร้านอาหารฯ กับที่วัด

กำหนดเป้าหมาย
ในการไปทำงานครั้งนี้ที่ประชุมเตรียมงานได้กำหนดเป้าหมายร่วมกันไว้ดังนี้
๑. เพื่อปฏิบัติธรรมเป็นทีม ทำงานเป็นทีม
๒. เพื่อศึกษาแบบบูรณาการที่เข้มข้น
๓. เพื่อเพิ่มทักษะ
๔. เพื่อศึกษาโลกวิทู
๕. เพื่อส่งเสริมการกินอาหารมังสวิรัติ และ อาหารเจ

ขยายเวลา
ปกติเริ่มขายตั้งแต่ ๖.๐๐ - ๑๔.๐๐ น. เราก็เพิ่มเวลาให้ไปเลิก ๑๖.๐๐ น. เช่นเดียวกับปีก่อนๆ

เน้นเพื่อสุขภาพผู้บริโภค
จะมีการประชาสัมพันธ์เป็นระยะๆ เป็นการแนะนำหรือส่งเสริมให้คนเราหันมาบริโภคผักไร้สารพิษ กันมากขึ้น เพื่อสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ทางคุรุสัมมาสิกขา ก็อาศัยวิชา เรียนศิลปะ ให้นักเรียนเราทำโปสเตอร์ รณรงค์ เรื่องนี้ มาติดทั่วร้านเลย

ตลาดนัดผักไร้สารพิษ
วันศุกร์ที่ ๑๕ และ ๒๒ ต.ค.เริ่มเปิดตลาดนัดผักสดไร้สารพิษ โดยความร่วมมือจากเกษตรกรของเครือข่าย "วังสีเมฆ" ( คือวังน้ำเขียว, สีมาอโศก และเมฆาอโศก) นำผลิตผลต่างๆมาเปิดบริการขายเอง เป็นครั้งแรก ซึ่งจัดไว้อยู่ที่ชั้นบน ของร้าน มี ลูกค้าขึ้นไปอุดหนุน พอสมควร เกษตรกรผู้ขาย บอกว่า ดีใจมาก ที่ได้มาเปิด ตลาดที่นี่ มาแล้วไม่ผิดหวัง เพราะได้มาพบพี่ๆน้องๆ ผักก็ขายได้ แถมได้ทานอาหารเจ ฟรีอีก ถ้าผักเหลือ ก็ไม่ต้องกลัว เพราะนโยบายที่ร้าน และที่วัดจะรับซื้อหมด อยู่แล้ว จึงเป็นบรรยากาศ ที่อบอุ่นสบายๆ ไม่วุ่นวาย ไม่เหมือนตลาดสดทั่วไป

ลองไปดูผู้ที่ไปทำงานกันบ้าง

ข้าวหอม (ก้อย) นักเรียนม.๖ "สำหรับปีนี้ก็ค่อนข้างดีกว่าทุกปีค่ะ เพราะจัดสถานที่ขายอยู่จุดเดียว คือ มรส. มีผู้ สนใจอาหารเจ กันเยอะ มีลูกค้าเก่าอยู่แล้ว คนใหม่ก็มีพอสมควรค่ะ ทำให้พวกเราผู้ทำงาน ต้องกระตือรือร้น ขวนขวายมากขึ้น เมื่อลูกค้ามากันเต็มร้าน จนไม่มีที่พอ จะนั่งทาน ก็ต้องจัดโต๊ะ เก้าอี้เสริม ส่วนผู้ที่ขายอาหาร ก็แทบจะไม่ได้กินข้าวเลยค่ะ

สำหรับตัวก้อยเอง ได้มีโอกาสมาร่วมขายอาหารก็รู้สึกตื่นเต้นตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายค่ะ ยืนตลอด นี่ดีนะคะ ที่บริการเขา แบบบุพเฟ่ต์ หนูเพียงแค่ยืนตักอาหารใส่ถุง ยังยืน จนขาบวม.. ไม่รู้ว่า จะบวมทั้งตัว ด้วยรึเปล่า เพราะตัวเอง ก็ชิมอาหารมากด้วยค่ะ"

น.ส.เกร็ดนวลหิน (หญิง) นักเรียน ม.๓ "หนูรับขายส้มตำค่ะ ก็แทบไม่ได้นั่งเหมือนกัน คนมาเยอะมากช่วง ๕ โมงเช้า ถึงบ่ายโมง ตำส้ม ติดต่อกันหลายๆครก จนบางครั้ง ก็งง..จำไม่ได้ว่า ใครสั่งอะไร ตำไทยหรือตำลาว บางทีเขาสั่งอย่าง เราก็ไปทำอีกอย่าง แฮ่..!! แต่เขาก็ชมนะคะว่าอร่อย บางคนสั่งทานครั้งหนึ่ง เสร็จแล้วติดใจ สั่งใส่ถุง กลับไปบ้านอีก ๒ ถุงก็มี นานๆจึงจะได้นั่งซักที ก็รู้สึก ...เฮ้อ..โล่งอกค่ะ!"

นิสิตรอนแสง ม.วช.ปี๓ "ปีนี้เหนื่อยมากเพราะต้องขับรถรับ-ส่ง และอยู่แผนกจัดหาวัตถุดิบทำอาหารด้วย ส่วนมาก เราใช้ผัก ไร้สารพิษ จากเครือข่ายถึง ๙๕% ที่ซื้อจากตลาด เพียง ๕% เท่านั้น ผักที่นำมาก็เป็น ผักพื้นบ้าน เช่น ตำลึง , ผักบุ้ง, ผักปลัง,หัวปลี ส่วนพวกผักสลัด,ผักกาด, แตงกวา,แครอท, บีทรูท จะได้จาก วังน้ำเขียว และวังม่วง"

นิสิตส่องฟ้า ม.วช.ปี๓ "ทำหน้าที่ดูแลร้านใบหญ้า (ขายของแห้ง) และประชาสัมพันธ์ ประทับใจ พลังรวม ของพวกเรา ซึ่งปีนี้ เรารวมกัน อยู่ร้านเดียว และเน้นเป้าหมาย ไม่มุ่งทำงาน เพื่อหาเงินซื้อรถ ซื้อของอะไร เช่นอย่างปีก่อนๆ ปัญหาคือ บริหารจัดการได้ไม่ดีนัก คนไม่เหมาะสมกับงาน จึงทำให้ต้องพูดมาก บอกสอนมาก ก็เหนื่อยค่ะ เหนื่อยกับ อัตตาตัวเอง ไม่อยากบอก ไม่กล้าบอกเขา เพราะกลัวเขาสวนกลับ หรือไม่ก็ทำหน้าบึ้ง ก็อาศัย บอกให้ที่ประชุมช่วย หรือรายงานสมณะ, สิกขมาตุ ถือเป็นโอกาส ระบาย อีกทางหนึ่ง ก็ให้ท่าน ช่วยด้วย งานนี้ได้ปฏิบัติธรรม ต่อสู้กับอาหารใหม่ๆที่มีมาหลายชนิด ทำให้กำหนดมื้อ ไม่ค่อยได้ เพราะใจ ที่อยาก จะลองชิม แต่สิ่งที่คิดว่าเจริญขึ้น ก็คือได้เข้าใจ และวางใจกันกับเพื่อนร่วมงานมากขึ้น เนื่องจาก ทำงานเป็นทีม ร่วมทำ ร่วมแก้ปัญหาร่วมทุกข์ด้วยกัน"



*** ชมรมมังสวิรัติปฐมอโศก จ.นครปฐม
ช่วงเทศกาลเจ กลับมาใช้ระบบคูปอง เนื่องจากไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง และตักอาหารให้ลูกค้า ในราคากับข้าว ๒ อย่าง ๑๐ บาท ซึ่งทำให้บริการ ได้รวดเร็วขึ้น เปิดขายตั้งแต่ ๐๕.๐๐-๑๓.๐๐ น. หลังจากนั้นนำอาหาร ใส่ถุง มาวางขายด้านหน้าร้าน มีผู้มาใช้บริการปกติ

ผักที่นำมาปรุงอาหารเป็นผักไร้สารพิษ เพียง ๔๐% จากกลุ่มเพื่อนบุญ, แม่บ้านรอบชุมชนปฐมอโศก และจาก พุทธสถาน ยังคงใช้ผัก จากตลาด ในการปรุงอาหาร

บริหารงานด้วยทีมนิสิตสัมมาสิกขาลัย วังชีวิตทั้งหมด ส่วนมากจะเป็นนิสิตผู้อายุยาว เนื่องจากนิสิตหนุ่มๆ สาวๆ กำลังอยู่ในช่วงสอบ ของมหาวิทยาลัยข้างนอก

มีแผนกอาหารของ นร.สัมมาสิกขาระดับชั้น ม.๑-ม.๖ คละกันไป ร่วมบริหารจัดการ หัดเรียน หัดขาย โดยทำ โครงงาน รายรับ -รายจ่าย และ บูรณาการเป็นวิชาต่างๆ ถึง ๑๑ วิชา เช่น วิทย์, คณิตฯ, ภาษาอังกฤษ, ไทย ฯลฯ เป็นการฝึกหัด ให้เด็กแก้ปัญหา มีการสรุปงาน ๒ วันต่อครั้ง

ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการเตรียมงานขลุกขลัก เนื่องจากเด็กอยู่ในช่วงปิดเทอม

ในวันที่ ๑๖ ต.ค. นร.สัมมาสิกขาปฐมอโศก ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ กลุ่มเทียนหยด ด.ญ. ไพรพรพรหม สหะชาติมานพ อายุ ๑๑ ปี ชนะเลิศรางวัลที่ ๑ การแข่งขัน ประกวดจอมยุทธ์ ตะหลิวน้อย (การทำอาหารเจ) ที่ศูนย์การค้า แฟชั่นไอส์แลนด์ มีนบุรี จากผู้เข้าแข่งขัน ๒๔ คน ด้วยเมนูข้าวห่อสาหร่ายและเมี่ยงคุณนาย รับเงินรางวัล เงินสด ๑๐,๐๐๐ บาท (หักภาษี ๕๐๐ บาท) ถ้วยเกียรติยศของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และของรางวัลจาก ผู้สนับสนุนรายการ โดยมีคุรุขวัญรัก นาวาบุญนิยม เป็นผู้ฝึกสอน



*** ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทยสาขาจังหวัดเชียงใหม่
ที่เชียงใหม่มีร้านอาหารเจเปิดมากมาย ถึง ๔๐ ร้าน สำหรับร้าน ชมร.ช.ม. เปิดบริการตั้งแต่ ๐๖.๐๐-๒๐.๐๐ น. ใช้ผัก ไร้สารพิษ ๑๐๐% จากกลุ่ม ฮอมบุญ ต.แม่หล่าน จ.แพร่ และผักป่า-ผักพื้นบ้าน จากดอยแพงค่า ในการ ปรุงอาหาร มีเห็ดหอมสด และเห็ดนางฟ้า จากบ้านเห็ด นำมาปรุงอาหาร มีผักพื้นบ้านเหลือเฟือ ในการนำมา ปรุงอาหาร หลังจากที่หวั่นใจว่า จะไม่มีผักไร้สารพิษปรุงอาหาร

ใช้ระบบบุฟเฟ่ต์ กับข้าว ๑ อย่าง ๘ บาท ๒ อย่าง ๑๐ บาท ๓ อย่างขึ้นไป ๑๕ บาท ลูกค้าล้างจานเอง แจกน้ำ สมุนไพร ฟรี เช่น น้ำหญ้าถอดปล้อง, น้ำตะไคร้, น้ำใบเตย

เปิดซุ้มร้านค้าชุมชน จำหน่ายอาหารแปรรูป ข้าวห่อสาหร่าย แยม น้ำข้าวกล้อง ซุปงา น้ำสมุนไพร มีแผนก อาหาร ตามสั่ง จานละ ๑๐ บาท พิเศษ ๑๕ บาท อาหารตามสั่ง เป็นที่นิยม เช่น ผัดผักป่า ผัดเห็ดหอม ผัดผักพื้นบ้าน ผัดผักปลังไฟแดง

พิเศษร้านกู้ดินฟ้า มีผลไม้ไร้สารพิษ ลองกองจากธรรมชาติอโศก จ.ชุมพร และส้มโอ จากสมาชิก คกร. จ.เชียงราย จำหน่าย

ชาวชุมชน คนวัด นร.สัมมาสิกขาภูผาฟ้าน้ำ และญาติธรรม มาช่วยงานกันอย่างคับคั่ง มีการนำขวดน้ำ พลาสติกมา รีไซเคิล เป็นรูปนก และไดโนเสาร์ สร้างสีสรร ให้กับร้านยิ่งขึ้น



*** ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย สาขาหน้าสันติอโศก
ใช้ผักไร้สารพิษและน้ำมันงาในการปรุง อาหาร เปิดบริการตั้งแต่ ๐๖.๐๐-๑๔.๐๐ น. ใช้ระบบบุฟเฟ่ต์ ในราคา บุญนิยม ระดับที่ ๓ ต่ำกว่าทุน อิ่มเอง อิ่มละ ๒๐ บาท สามารถ ทานได้ทุกอย่างในร้าน จะตักอาหารกี่รอบก็ได้ จนกว่าจะอิ่ม โดยมีเป้าหมายให้ผู้ที่ต้องการจะทานเจในช่วงนี้ ได้ทดลองทานอาหารเจ หลายๆอย่าง สวนกระแส กับร้านค้า ข้างนอก ที่ขึ้นราคา ในช่วงเทศกาลกินเจ ลูกค้า ๙๕% ช่วยกันล้างจาน และประทับใจ ในบริการ ปรากฏว่า เศษอาหารเหลือน้อยลง จนเห็นได้ชัด สำหรับอาหารใส่ถุง ราคาถุงละ ๑๕ บาท ข้าวเปล่าถุงละ ๓ บาท ส่วนหลังเทศกาลอาหารเจ ชมร.ฯเปิดบริการบุฟเฟ่ต์ ในราคาจานละ ๑๕ บาท.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


รายงานความเป็นไป ของกสิกรรมไร้สารพิษ (ตอน ๒)

กลับมาที่เรื่องของป้านิด ปรากฏว่าเมื่อไปตรวจสอบถึงที่มาของแตงโมประมาณ ๓-๔ แหล่งที่ป้านิดแจ้งมา จากการเดินลงแปลง และพูดคุยกับ ผู้ผลิตตัวจริง ทำให้ทราบ โดยไม่ยากว่า ทุกแปลงที่ลงพื้นที่ ใช้ทั้งสารเคมี รองก้นหลุม ที่เรียกกันว่า "ฟูราดาน" ปุ๋ยเคมีก็ใช้จำพวกสูตรปุ๋ยหวาน ฉีดยาไล่แมลงก็ฉีด ที่ร้ายสุด ยาฆ่าหญ้า บางแปลงก็ยังใช้อยู่ เพียงก้าวแรก เมื่อเริ่มการตรวจสอบอย่างจริงจัง ก็ได้ความจริง จึงงดการรับผลผลิต จากป้านิดทันที ต่อจากนั้น เช่นเดียวกันกับ ลุงโต (นามสมมุติ) ซึ่งได้รับ ความไว้วางใจกัน ในกลุ่มกสิกร ทุกกลุ่ม ที่ส่งผลผลิต ให้กับร้านกู้ดินฟ้า ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานกลุ่ม กสิกรรมไร้สารพิษ ซึ่งลุงโตไม่ได้ทำ กสิกรรมเอง แต่ไปรับผลผลิต จากกสิกรทั่วไป มาส่งกับทางร้านเช่นกัน โดยแสดงความเชื่อมั่นอยู่ตลอดเวลาว่า ผลผลิตที่นำมาส่ง ไร้สารพิษ และแล้วทางทีมงาน ก็ขอนัดเวลา ไปตรวจดูแหล่งผลิต ที่ทางลุงโตรับส้มโอมาส่ง กับทางร้าน ทีมงานได้เดินทางไปถึง สมุทรสงคราม ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของ ส้มโอไร้สารพิษ ตามที่ลุงโตรับมา และได้เข้าเยี่ยมชม สวนส้มโอ ตามที่ทางลุงโตเตรียมกำหนดการไว้ ประมาณ ๓ สวน ผลปรากฏว่า ไม่เป็นผลไม้ ไร้สารพิษ ตามกระบวนการผลิตสักราย หลังจากนั้นไม่นาน ลุงโตก็นำแก้วมังกร มาส่งกับทางร้าน ซึ่งทาง ทีมงาน ก็ขอไปตรวจสอบแหล่งที่มา ที่ทางลุงโตไปรับมา แต่ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยง ขอเลื่อนวันเวลาออกไป ทำให้ทีมงาน เร่งดำเนินการ ไปถึงแหล่งที่มา ที่คลอง ๑๓ ปทุมธานีโดยไม่บอกล่วงหน้า ก็พบกับความจริง คือผู้ผลิตยังใช้ปุ๋ยเคมี เกือบจะ ๑๐๐ % ก็ว่าได้ (มีการบันทึก ภาพวิดีโอ ไว้เป็นหลักฐาน)

จากเรื่องผลไม้...เข้าสู่เรื่องผัก จากเหตุการณ์ทั้งสองกรณีนี้ ทำให้เกิดการประชุมถึงเรื่อง วิกฤตการณ์ของร้าน กู้ดินฟ้า และตลาดนัด ไร้สารพิษ หลังร้านพลังบุญ เรื่องราวถูกยก เข้าสู่ที่ประชุม สถาบันบุญนิยม และถูก ยกเรื่อง เข้าเรียนถามพ่อท่าน ซึ่งได้คำตอบว่า "เราต้องเป็นพ่อค้าปลากะพง..." คือมีผักไร้สารพิษ จึงขาย ถ้าไม่ไร้สารพิษไม่ขาย มีเท่าไหร่ขายเท่าที่มี จึงเป็นที่มาของการปิดร้านกู้ดินฟ้า ๑ เมื่อประมาณปลายเดือน มิถุนายน ๒๕๔๗ โดยงดรับผัก จากทุกแหล่งผลิตตลอด ๑ สัปดาห์ในเบื้องต้น ตลอดสัปดาห์ที่ร้านปิดลง ทางทีมงานก็เร่งตระเวนดู ทุกๆสวนที่เคยส่งผัก กับกู้ดินฟ้า และทุกๆสวนที่ญาติธรรมแนะนำ การเรียนรู้ การตลาด พืชผักไร้สารพิษ เกิดภายในร้านกู้ดินฟ้า ส่วนการเรียนรู้กระบวนการผลิต พืชผักไร้สารพิษ เกิดขึ้น จาก การติดตามดูกสิกร ทุกๆแหล่ง ที่ทีมงานเราออกไปพบ เพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ ที่ทีมงานเราเดินทาง เป้าหมาย หาได้กำหนดไว้สูงนัก เพียงแค่มีผักให้กับร้าน ชมร.หน้าสันติอโศกและในโรงครัว ของชุมชน ในเบื้องต้น เราสามารถ บรรลุเป้าหมาย ได้ไม่ลำบากนัก เพราะมีสองแหล่งผลิต ที่ทำกสิกรรมไร้สารพิษ ในเครือข่าย ชาวอโศก อยู่ก่อนแล้ว คือที่หนองปรือ กาญจนบุรี ที่ผลิตผัก ไร้สารพิษ ส่งร้านบ้านสวนไผ่ ที่ลุงจำลอง ศรีเมือง ให้การสนับสนุนอยู่ และ กลุ่มกสิกรรมไร้สารพิษ ในเขตปฏิรูปที่ดิน ที่อำเภอวังน้ำเขียว นครราชสีมา ซึ่งทาง ทีมงาน ได้กำหนดแผนระยะสั้น กับทั้งสองกลุ่ม ในการส่งผักไร้สารพิษเข้าชุมชน สันติอโศกให้เพียงพอ ต่อความต้องการขั้นพื้นฐาน เท่าที่จำเป็น และเท่าที่มีจริง ของทั้งสองแหล่งผลิต

จากนั้นก็รวบรวมข้อมูลที่ผ่านมาว่าโดยปกติร้านกู้ดินฟ้า ๑ เคยขายผลผลิตแต่ละชนิดได้ในปริมาณ เดือนละ เท่าไร โดยย้อนหลังไป ประมาณ ๑ ปี เก็บตัวเลขมาหาค่าเฉลี่ย เป็นตัวเลข ที่นำไปกำหนดเป็นแผน การดำเนิน การผลิต โดยการพบปะกับกลุ่มกสิกรทุกราย ที่ทางทีมงานเรา เดินทางไปพบ.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร

ข่าวอโศกฉบับนี้ ถึงเวลาออกพรรษาพอดี ในพรรษาที่ผ่านมา พ่อท่านเน้นการปฏิบัติ และเน้นนโยบาย ที่สำคัญ มีอะไรบ้าง พร้อมของฝาก จากสมณะเดินดิน ติกขวีโร เหมือนเช่นเคย

* ปีนี้พ่อท่านจำพรรษาที่ราชธานีอโศก พ่อท่านเน้นการปฏิบัติที่สำคัญอะไรบ้างคะ?

- พ่อท่านได้ให้โอวาท เกี่ยวกับการตรวจสอบที่สำคัญอยู่ ๒ ประการ คือ

๑. ให้พวกเราตรวจสอบสภาพที่เราได้ปฏิบัติมา อดีตกับปัจจุบันมันต่างกัน เรามีความเจริญทางธรรมอะไรบ้าง ลดโลภ โกรธ หลง สละได้ ลดได้ สร้างสรรค์ได้ ขยันขึ้น อะไรก็แล้วแต่ นี่มันเป็นคุณธรรมทั้งนั้นจากความจริง ตัวเราเองต้องรู้ตัวเราเองว่า ตัวเราเองแต่ก่อนนี้อย่างไร เดียวนี้อย่างไร เราตรวจของตัวเอง เราหวงแหน เราขี้เหนียว เรายังมีนั่น มีนี่อะไรก็แล้วแต่ เราก็ต้องรู้กุศล-อกุศลของเราอ่านให้ชัดเจน

๒. อารมณ์ แต่ก่อนนี้เราซับซาบอารมณ์แบบโลกีย์ เป็นสุข อร่อย สมใจในสิ่งที่ปรารถนา แต่เมื่อมาปฏิบัติ โลกุตระ แล้ว ก็ต้องตรวจสอบว่า อารมณ์ที่เป็นโลกียะ เป็นสุข อร่อย อะไรต่างๆนานา มันลดจริงไหม ลดไปแล้วเป็น วูปสโมสุข เป็นความสงบ เป็นความไม่มี ไม่มีแบบโลกๆ หรือว่าเหลือน้อย เราโหยหา ต้องการ กลับคืนมา ยินดีในโลกุตระ ยินดีในความสงบ ยินดีในผลทางโลกุตรธรรมหรือไม่ ถ้ามีสภาพธรรมพวกนั้น แล้วเราก็จะได้ตรวจตัวเองว่า เอ้อ... เรานี้ยินดี ในโลกุตระ ยินดีในทางไปหานิพพาน เพราะมันสงบ เราไม่โหยหา เราไม่ได้เห็น เป็นความด้อย ความต่ำต้อย เป็นความขาด แต่เห็นว่าเป็นความเจริญ เห็นเป็นความงอกงามเจริญ ทางธรรม

ถ้าแต่ละคนตรวจสอบพวกนี้ชัดเจน ก็จะรู้ว่าเราเองเจริญในธรรม เรามาถูกทาง เข้าใจโลกุตระให้ชัด มันละ โลกียะ ละสิ่งที่เราติด เรายึด เป็นโอฬาริกอัตตาอย่างไร ทรัพย์สิน เงินทองข้าวของ แม้แต่ตัวบุคคล ผู้คนต่างๆ ที่เราผูกพัน ที่เราติดเรายึด ตอนนี้เราวาง ปล่อยได้ ไม่ดูดไม่ดึง ไม่รัด แต่ไม่ใช่ว่าไปชัง ไม่ใช่ไปชัง แต่เพราะว่า เราปล่อยวาง ต้องตรวจให้ดีๆ ความละเอียดลออ หรือว่าความคล้าย

เช่น อุเบกขา อุเบกขาโลกียะ มันวางเฉยเหมือนกันแต่มันไม่เหมือนกัน มันต่างกันอย่างไร รสสงบแบบสมถะ กับรสสงบ แบบวางกิเลส มันว่างแล้วไม่ต้องไปนั่งหยุด ไปนั่งในภพ ในอะไร เราก็เห็นรู้ให้ทุกอย่าง แต่มันสงบ สงบตัวนี้ไม่ต้องไปทำอะไรมันเลย มันวางแล้ว มันว่างแล้ว สิ่งนี้เราไม่ติดไปยึดจริงๆแล้ว มันก็เห็น ก็รู้ มันก็เงียบ ของมัน มันก็สงบของมัน มันไม่เดือดร้อนอะไร เช่น เพชร พลอย แต่ก่อนนี้แม้เราเจอแม้วูบวาบ วูบวาบ แต่จิต ของเราสงบแล้ว เพชรพลอย ก็วูบวาบอยู่อย่างนั้นแหละ แต่จิตของเรา สงบนิ่งไม่มีอะไร จะเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ เขาจะคุยโม้ โอ่ อวด เขาจะยั่วยุอะไร ก็นิ่งสงบอยู่ ถ้าเป็นโลกุตระ จะอยู่เหนือ จะสงบ

เพราะฉะนั้นเรารู้ของโลก รู้ของโลกีย์ โลกีย์มีอยู่ แต่เราก็อยู่กับโลกีย์อย่างโลกุตระ อยู่อย่างสงบ อยู่อย่างสบาย แล้วก็เข้าใจว่า เราอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ เราสร้างสรรไป เราก็รู้ชีวิตของเรา มีคุณค่า ชีวิตของเรามีประโยชน์ ทำโน่น ทำนี่ สร้างโน่นสร้างนี่ มีอะไรให้ไปต่างๆนานา เราก็จะเห็นว่า ความเป็นมนุษย์ เนี่ยโอ้โฮ้ มันมีคุณค่ามันยิ่งใหญ่ มันประเสริฐ อย่างนี้เอง จะเข้าใจว่าชีวิตนี้ แต่ก่อนนี้มันโง่ มันไม่รู้ มันไปทำอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งไม่มีคุณค่า สุขเรา ก็ได้สุข สุขอย่างวิเศษด้วย สุขอย่างวูปสโมสุข สุขอย่างสงบ สุขอย่าง ไม่ต้องไปนั่งบำเรอ อยากได้นี่ มาได้สมใจ บำเรอ มันเป็นสุขสงบสุข สบาย เจริญ คนอื่นเขาไม่รู้ก็ช่างเถอะ คนไหนเขารู้ เขาก็ยอมรับนับถือ ว่าเรามีอาริยคุณ มีธรรมะ


* พ่อท่านมีนโยบายสำคัญในช่วงเข้าพรรษานี้ เป็นเรื่องอะไรคะ?

- เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๗ พ่อท่านไปบรรยายที่ศีรษะอโศก มีพวกเราเสนอว่าน่าจะตั้งชื่อ การบรรยาย ครั้งนี้ว่า "ลางบรรลัย" ซึ่งพ่อท่าน ได้เตือนให้พวกเรา ระมัดระวังกันว่า ทุกวันนี้เรายิ่งได้การยอมรับ เรายิ่งจะต้อง ไม่เหลิง และยิ่งจะต้องเร่งสร้างเนื้อหาสาระให้มากขึ้น ซึ่ง พ่อท่านเตือนพวกเราชาวอโศก ทุกวันนี้เรายังโตกัน ไม่เท่าไหร่ โตยังไม่ถึง ๕๐ % หรือแม้แต่ ๒๕ % พ่อท่านถามพวกเราว่า คนที่เป็นโสดาฯจริงๆถึง ๒๕ %ไหม แล้วถ้าโสดาฯไม่ถึง ๒๕ แล้ว สกิทาฯ จะมีเท่าไหร่ แล้วอนาคา มีจะเหลือเท่าไหร่ เมื่อเรายังไม่ถึงไหน เรายิ่ง จะต้องเจียมเนื้อ เจียมตัว ไม่ไปหลงอ้าขาผวาปีก ไม่ไปหลงความใหญ่ความโต

พ่อท่านบอกว่า พ่อท่านซาบซึ้งใจมาก ซึ่งแม้จะพูดแล้วพูดอีกก็ตาม ท่านซาบซึ้งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "ธรรมใด วินัยใด เป็นไปเพื่อ ความอยากใหญ่ ธรรมนั้นวินัยนั้น ไม่ใช่ของเรา ตถาคต" ซึ่งพ่อท่านคงต้องพูดแล้วพูดอีก อยู่ตลอดไป พ่อท่านพูดว่าเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่น ได้พูดถึงอจินไตย เห็นเพื่อนๆ ที่เป็นโพธิสัตว์ด้วยกัน ต้องลาออก ต้อง retry เพราะไปทำงานใหญ่ๆโตๆ แล้วไปไม่รอด เกิดความผิดพลาดขึ้นมา ซึ่งตรงนี้พวกเราเอง ก็คงจะต้อง มาระมัดระวัง พิจารณาถึงตัวเราเอง มากขึ้น เพราะขนาด พระโพธิสัตว์ ก็ยังถูก retry เพราะทำงานแล้ว ใหญ่เกินไป พวกเรายิ่งจะต้องพิจารณา ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ไม่หลงใหญ่ ไม่ไปทำงานใหญ่ ยิ่งขึ้นไปอีก

ทุกวันนี้พวกเราทำงานนอกโดยต้องออกไปช่วยชาวบ้านกันค่อนข้างมาก คิดแต่จะไปช่วยทำนาให้ชาวบ้าน เลยไม่มีเวลา ที่จะทำนา ให้กับตัวเอง พระพุทธเจ้า ท่านเปรียบไว้ว่า "ต้องรีบๆทำนาให้ตัวเองก่อน อย่ามัวแต่ ไปทำนาของผู้อื่น" เราพยายามที่จะไปส่งเสริม ให้ชาวบ้านมีคุณธรรม จนตัวเอง ไม่มีเวลามาวัด ไม่มีเวลามา ฟังธรรม เรากำลังไปช่วย รณรงค์ให้ชาวบ้าน ปลูกผักกันได้งาม จนเราไม่มีเวลาปลูกผัก สำหรับตัวเราเอง เรากำลังไปช่วยชุมชนข้างนอก ให้เขาเข้มแข็งน่าอยู่ แต่ชุมชนของเรา ต่างคนต่างไป จนแทบไม่มีใครอยู่ เพราะคนไหนอยู่ได้ ก็เหมือนคนนั้น จะต้องรับเวรรับกรรม รับภาระหนัก สู้คนไปข้างนอก ไม่ต้องแบกรับอะไร สบายกว่ากันเยอะเลย

เราคงจะได้รับฟังโศลกใหม่ในงานมหาปวารณา ซึ่งพ่อท่านบอกว่า จะใช้ไปให้จนถึงปีใหม่นั่นแหละ และคง จะต้องใช้กัน จนตลอดชีวิตนั่นแหละ เนื้อหาก็คือ ทุกวันนี้ คนเราหลงใหญ่ หลงโต หลงกว้าง แต่ไม่มีทางที่จะกู้ ประเทศชาติได้ ถ้าไม่มุ่งลดละกิเลสของเราโดยตรง ถ้าอย่างนั้น ชาวอโศก คงจะต้องเน้น สร้างเนื้อหาของเรา ให้เกิดจริงๆ เรายังไม่เป็นโสดาฯ ก็ทำให้เป็นโสดาฯ ยังไม่เป็นสกิทาฯ ก็ทำให้เป็นสกิทาฯ ถ้าเราไม่มาทำเนื้อหา สาระ ให้เข้มแข็งกันขึ้นมาจริงๆ พ่อท่านก็บอกให้ฟังว่า มันจะบรรลัย หรือ มันจะเป็นช่วงขาลง อย่างรวดเร็ว ถ้าเรามีแต่ขยายงาน บานปลายกันออกไปเรื่อยๆ


* ฝากอะไรถึงญาติธรรมบ้างคะ?

- ในช่วงเทศกาลเจที่ผ่านมา ก็ได้เห็นความอัศจรรย์ของความสามัคคี ซึ่งน่าประทับใจยิ่งกว่าที่เขาเอา เหล็กแหลม ไปแทงแก้ม หรือร่างทรง ทำท่าทาง พิสดารต่างๆ พลังสามัคคี ทำให้พวกเราทำงานกันแบบ สุดแรงเกิด ไม่แพ้กับร่างทรงที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ต่างคนต่างทำกันสุดแรง คนขายหน้าร้าน ก็ยืนขายกัน จนเมื่อย คนนับสตังค์ ก็นับกันจนไม่สามารถ เงยหน้าขึ้นมาดูลูกค้า คนล้างจาน ก็ล้างกันแบบเครื่องจักร ที่เดินหน้าตลอด

แม้ทุกคนจะทำงานหนัก ไม่ว่าทั้งเด็กหรือผู้ใหญ่ แต่ทุกคนก็เบิกบานเหมือนที่ มีคำคมบอกไว้ว่า "งานหนัก คือ ดอกไม้บานของชีวิต" งานหนัก ทำให้เราได้เข้าถึงภาวะของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่า เราทำงานที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อ แสวงหากาม และ แสวงหาภพ ทุกๆคนต่างเก็บภพ ออกมาพบกัน เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน นั่นก็คือการเข้าถึงพุทธะ อันเกิดจากการเราได้ช่วยกัน "ทำ" ช่วยกันรับผิดชอบ เพราะธรรมใดๆ ก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ

พ่อท่านเคยให้โศลกไว้ว่า คนที่อยู่ว่างๆ เพราะจิตไม่ว่าง ส่วนคนที่จิตว่าง จะไม่อยู่ว่าง จะยิ่งทำงานได้มาก เพราะคนที่ มีอัตตา มีตัวตนน้อย ก็จะสามารถ ทำประโยชน์ ให้กับคนอื่นได้มาก จะยิ่งมีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ต่อผู้อื่นอยู่เสมอ และการที่เราทำงานมาก จะรู้ว่าเราได้ผล เป็นโลกุตระหรือไม่ ก็ต้องดูที่ว่า เราเข้าถึง พระสงฆ์ไหม ผู้เข้าถึงพระสงฆ์นั้น ก็ย่อมเป็นผู้ที่มีภราดรภาพที่ดี มีความเป็นพี่เป็นน้อง กับผู้อื่นได้สูง ไม่ใช่ทำงานได้มากมาย แต่กลายเป็นศิลปินเดี่ยว หรือหัวเดียว กระเทียมลีบ

สรุปแล้วเมื่อเราทำงาน ก็ควรจะทำงาน ให้เกิดพุทธะ หรือเข้าถึงพุทธะ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ควรเข้าถึงธรรมะ มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม และ เข้าถึงสังฆะ หรือเกิดสังฆะ มีความเป็นพี่เป็นน้อง ยิ่งกว่าพี่น้องใดๆในโลก และก็ต้องระวังว่า ทำงานแล้วแทนที่ จะเข้าถึงพุทธะ แต่กลับเข้าถึง ภูตผีปีศาจ พระธรรม ก็กลายเป็น โมโหกายธรรม โกธาวจีธรรม พยาบาทมโนธรรม ส่วนพระสงฆ์ก็กลายเป็นอริเยอะ ยิ่งทำงานไป ทำงานไป ก็กลายเป็นไปว่า มีศัตรูอยู่เต็มไปหมด ซึ่ง ตรงนี้ก็เป็น เครื่องเช็คได้ว่า การทำงาน ของเรา เข้าสู่มรรค ๘ หรือกลาย เป็นมักมาก มักใหญ่ มักโต ออกนอก สัมมาปฏิปทาไป


พ่อค้าแม่ค้าจะตรวจนับกำไร-ขาดทุนในแต่ละวัน เพื่อปรับกลยุทธ์ในการค้าขายได้ทัน เราเองก็เช่นกัน ปฏิบัติธรรม อยู่ทุกเมื่อ เชื่อวัน ได้มีการตรวจสอบตนเองหรือไม่ว่า กุศล-อกุศล ลดลงหรือเพิ่มขึ้น มิฉะนั้น เราก็จะ เป็นได้แค่นักปฏิบัติธรรม ที่ไม่พ้นสีลพตปรามาส หรือนักปฏิบัติธรรมตรายาง เท่านั้นเอง แล้วอย่าพลาด ... ไปร่วมฟังธรรม ในงานมหาปวารณา ที่ปฐมอโศก ร่วมกันนะคะ.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ประกวดอาหารเจใน กทม.
เด็กอโศกได้รางวัลที่ ๑ รับโล่ห์ของนายกรัฐมนตรี

ในงานมหกรรมอาหารเจและอาหารสุขภาพ ครั้งที่ ๗ ณ ห้างสรรพสินค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ มีนบุรี มีการแข่งขัน ประกวดการทำอาหารเจ "จอมยุทธ์ตะหลิวน้อย" ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๕-๖ อายุระหว่าง ๑๑-๑๒ ปี ชิงรางวัลเงินสด ๑๐,๐๐๐ บาท, ถ้วยเกียรติยศของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และของรางวัล จากผู้ สนับสนุน โดยกำหนด ๕ เมนู ให้เลือก คือเมี่ยงคุณนาย, ข้าวห่อสาหร่าย, เห็ดหอมทรงเครื่อง, ยากิโซบะ และ สามใบเถา ซึ่งหากผ่านเข้ารอบแรก ในรอบชิงชนะเลิศ เมนูจะต้องไม่ซ้ำ กับรอบแรก

สำหรับ ๑๐๐ คะแนน แบ่งเป็น รสชาติอาหาร ๔๐ คะแนน, ความสะอาด ๒๐ คะแนน, ความคิดสร้างสรรค์ ๓๐ คะแนน และบุคลิกท่าทาง ๑๐ คะแนน

มี นร. เข้าแข่งขันทั้งหมด ๒๔ คน ในรอบแรกคัดเลือกเหลือ ๖ คน ผลปรากฏว่า หมายเลข ๖ ด.ญ.ไพรพรพรหม สหะชาติมานพ (กุ๊กไก่) นร.ชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๕ อายุ ๑๑ ปี จากโรงเรียน สัมมาสิกขาปฐมอโศก (กลุ่มเทียนหยด) ชนะเลิศได้คะแนนอันดับ ๑ คือ ๔๔๗ คะแนน ด้วยเมนูข้าวห่อสาหร่าย

และทั้ง ๖ คนเข้าแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศที่ ๑-๓ และรางวัลชมเชยอีก ๓ คน ผลการแข่งขัน ปรากฏว่า ด.ญ.ไพรพรพรหม สหะชาติมานพ ชนะเลิศรางวัลที่ ๑ ด้วยเมนูอาหาร เมี่ยงคุณนาย โดยมีคุรุขวัญรัก นาวาบุญนิยม เป็นผู้ฝึกสอน

ของรางวัลที่ได้รับ คือถ้วยเกียรติยศจาก พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร, เงินรางวัล ๑๐,๐๐๐ บาท (หักภาษี ๕๐๐ บาท) และของ รางวัลจากผู้สนับสนุน ในตอนค่ำ ด.ญ.ไพรพรพรหม ได้นำเงินและถ้วยรางวัล ไปถวายพ่อท่าน เพื่อกิจการสาธารณกุศลต่อไป

สำหรับคณะกรรมการตัดสินได้ให้สัมภาษณ์ ดังนี้

เชฟจำนงค์ นิรันดร์สรรค์ นายกสมาคมพ่อครัวไทย กรรมการ "ที่เขาชนะเลิศ เพราะบุคลิกที่เขาทำงาน ทำงาน เรียบร้อย และที่สำคัญคือ รสชาติของอาหาร การที่เขาละเอียด การที่เขา create งานขึ้นมาใหม่ ไม่ทำเหมือน ในรูปตัวอย่างที่ให้ไป

การจัดงานครั้งนี้ ผมรู้สึกดีฮะ เพราะในสภาวะตรงนี้ ถ้าเด็กๆมีความมุ่งมั่น ถ้าเขามาจับอาชีพตรงนี้ อนาคต เลี้ยงตัวเองได้นะ เพราะสมัยนี้ เงินเดือน อาชีพพ่อครัว กุ๊ก นี่เปิดกว้าง ทำงานได้ระยะหนึ่ง มีประสบการณ์ ๑๐ ปี ขึ้นไป สามารถที่จะเดินทางรอบโลกได้ ถ้าเขามีใจรัก และฝึกภาษา ก็ไปต่างประเทศได้ เขาจะไปได้ไกล"

คุณสันติ เศวตวิมล หรือ"แม่ช้อย นางรำ" กรรมการ "เด็กคนนี้มีพลัง มีอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น อันแรกคือ ความนิ่ง ตัวนิ่งคือ การที่มีสมาธิ บางที ความสามารถมันไล่เลี่ยกัน แต่มันต่างกัน ตรงที่วาสนา คนบางคน ที่เก่งกว่าคนอื่น เพราะวาสนา ซึ่งมาจากบุญกุศล และบาปที่เราทำไว้ มันก่อขึ้นมาเป็นเรา

เด็กคนนี้เขาสบายๆ คือมีสมาธิ แม้ตอนประกาศรับรางวัล พิธีกรถามว่ารู้สึกยังไง เขาบอกว่าได้ที่เท่าไหร่ก็ได้ ผมถึงบอกไงว่า เด็กเขามีพลัง ผมมองครั้งแรกผมก็รู้ ที่พูดไปนี้ ถ้าใครไม่เคยฝึกจิต ก็จะไม่เข้าใจ

แล้วผมก็รู้ด้วยว่าเด็กคนนี้สายธรรมะ เพราะจะนิ่ง อันนี้สำคัญมาก เด็กทุกวันนี้ไม่นิ่ง จิตทุรนทุราย จิตกระหาย อยาก แล้วจิตพวกนี้ ไม่มีพลัง ทำอะไร ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เด็กคนนี้จิตนิ่ง หยิบมีดมา หยิบของมา ผมก็ยืน พิจารณา ในการที่เขามัด ข้าวห่อสาหร่าย

อันที่ ๒ โหงวเฮ้งของเขา เด็กคนนี้มีบุญ ผมไม่รู้จักเด็กคนนี้ ผมว่าเด็กคนนี้มาดีแล้ว เขาก็จะไปดี อยู่ที่เรานำส่ง
พระรัก รักพงษ์ ผมรู้จักท่านมาตั้งแต่ผมเป็นเด็ก ผมชอบเพลง ผมรู้จักท่าน ก่อนที่ท่านจะมารู้จักกับผม ผมเคย เข้าแข่งขันรายการ ที่ท่านเป็นพิธีกร รายการคนเก่งรุ่นจิ๋ว ทางช่อง ๔ บางขุนพรหม ตอบสารพันปัญหา ผมได้ที่ ๑ รู้จักท่านที่ท่านแต่งเพลง ผู้แพ้ ตอนนั้น ผมอายุประมาณ ๗ ขวบมั้ง ก็ชอบเพลงนี้ ตอนหลัง พอผมโตขึ้น เพลงของท่าน อยู่ในหนังเรื่องโทน ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เป็นเพลงดีนะ เป็นเพลงที่อมตะ ก็รักท่าน ในแนวความคิด ของท่าน ในความเป็นศิลปิน แล้วท่านไม่รู้ตัวว่า สิ่งที่เป็นธรรมะของท่าน มันแฝงอยู่ในผลงานของท่าน ตั้งแต่ เพลงผู้แพ้ ก็ผู้แพ้คือผู้ชนะ แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร ก็ไม่แปลกใจ ที่ตอนหลัง ท่านก็มาบวช

ทุกวันนี้ผมก็มีท่านอยู่ในหัวใจผมเสมอ แต่ผมเป็นคนที่ไม่มีเวลาเข้าวัด ฝากระลึกถึงท่าน ด้วยความเคารพ เพราะท่านเป็นคนที่อยู่ในหัวใจ ตั้งแต่ผม อายุ ๗ ขวบ

เมื่อวันก่อนผมดูรายการไททีวี ช่องพระพุทธศาสนา เห็นท่าน ท่านแข็งแรงนะ ปีนี้หน้าตา วรรณะ รังสีท่าน เปล่งปลั่ง สมัยก่อน ที่ท่านถูกหาว่า เป็นจิ้งเหลือง ห่มผ้าสีกรัก ไม่เหมือนพระทั่วไป ตอนนั้นท่านหมอง ผมรู้ว่า ท่านถูกโจมตี ถูกใส่ร้าย แต่ว่ากาลเวลาพิสูจน์เอง คนที่ว่าท่าน ก็มีอันเป็นไปทั้งสิ้น

ผมไม่เชื่อว่าท่านยุ่งกับการเมือง แต่ท่านยุ่งกับลูกศิษย์ท่านมหาจำลองมากกว่า ไม่รู้นะ ท่านเป็นพระ ท่านก็ ไม่ควรมายุ่ง พระพุทธเจ้า ก็ถูกการเมือง เข้ามายุ่ง แต่ท่าน ไม่ไปยุ่งการเมือง เพราะนักการเมืองมาหาท่าน ในพุทธประวัติ ถึงท่านไม่ยุ่ง เรารู้น่ะ กรรมส่อเจตนา ผมว่าท่านไม่ยุ่งหรอก มีแต่ลูกศิษย์ท่านไปยุ่ง ลูกศิษย์ ก็ลูกศิษย์ เกี่ยวอะไรกับอาจารย์ล่ะ ใช่ไหม ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าหลายคน เป็นนักการเมือง

การแข่งขันวันนี้ มาตรฐานนะ เด็กเก่งนะ คือเด็กคนนี้เหนือกว่าเด็กคนอื่นตรงที่ว่ามีสมาธิ นิ่ง ผมอยากฝึก ให้คนไทย เรานิ่ง คนไทยอะไรก็เคลื่อนตาม กลัวไม่ทันสมัย ความจริง ไม่ต้องวิ่ง ร้องแรกแหกกระเชอ เราก็อยู่ แบบเรา แบบในหลวงท่านว่า อยู่อย่างพอเพียงก็อยู่ได้ อย่างพวกคุณ ผมเห็นพวกคุณแล้ว ผมแฮปปี้ แต่ผม ไม่อยากให้ตึงเกินไป เช่น ถอดรองเท้าเดิน คุณต้องคิดดูว่า สมัยพุทธกาล โลกมันไม่ร้อนอย่างนี้ ต้นหมากรากไม้ เต็มไปหมด ท่านก็ถอดรองเท้าเดินได้ ผมไปที่รัฐที่ท่านเคยอยู่มา ตอนนี้เป็นทะเลทราย ลองพระพุทธเจ้า มาถอดรองเท้าเดินสมัยนี้ กระโดดโหยงเลย เดินตรงหน้าแฟชั่นไอซ์แลนด์ คุณอย่าไปทรมานเด็ก ไม่เอาๆ มันตึงไป แล้วคุณก็บอกให้เขา ใส่รองเท้าที่สมถะ คือรองเท้านี้ ป้องกันได้หลายอย่าง ๑.ความร้อน ๒.หนาม เพราะบางครั้ง กลายเป็นตัวประหลาดในสังคม คุณนุ่งผ้าถุง โอ.เค. ใส่เสื้อม่อฮ่อม โอ.เค. แต่คุณเดินเท้าเปล่า ภาษาธรรมะ เขาเรียกสุดโต่งไป ทำให้เด็กบริสุทธิ์ คิดอะไรผิดๆ อันนี้ต้องระวัง ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป อันนี้ขอติ ผมชมด้วยและติด้วย ไม่พูดอะไรเยินยอ สอพลอกันแล้ว เห็นอะไรไม่ชัด ผมขอติเรื่องหนังสือ เราคิดอะไร นิดหนึ่ง เครียดไป หนักไป ธรรมะต้องง่ายๆ"

คุณฉัฐพร โยเหลา บรรณาธิการอำนวยการ Thailand Restaurant News กรรมการ "จริงๆแล้ว อยากจะให้มีความ ต่อเนื่อง เด็กๆนี่เหมือนกับว่า เราเปิดเวที ให้เขามีความคิดอิสระ ได้มีการโชว์ ความสามารถนี้ เป็นส่วนที่สำคัญ มาก เรามีการแข่งขันประเภทต่างๆ มากมาย แต่ในเรื่องของอาหาร เราควรให้น้ำหนัก เพราะเป็นเรื่องของ ภูมิปัญญาไทย สิ่งเหล่านี้ เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กใช้ eat and art เรื่องของอาหารการกิน เป็นเรื่องของศิลปะ อยากจะให้งานนี้ ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ นะคะ

ส่วนใหญ่คะแนนจะเกาะกลุ่มกัน แต่น้องเขาจะได้ในแง่ของความคิดสร้างสรรค์ และในแง่ของบุคลิกภาพ น้องเขาก็ได้ด้วย นี้ก็เป็นส่วนประกอบ ที่สำคัญ องค์ประกอบ ทั้งหมด ต้องประกอบกันใน ๔ ประเภทด้วยกัน

การแข่งขัน น้องๆเยาวชนเขาจะตกใจ สมาธิไม่ค่อยอยู่ เพราะฉะนั้น ในการที่น้องเขาสามารถนิ่งได้ระดับหนึ่ง อันนี้ในแง่ของ คณะกรรมการเอง เราก็เห็นตรงกันนะคะว่า น้องเขาจะนิ่ง แล้วก็คุมอารมณ์ได้ ก็พอหลังจาก การจบการแข่งขัน ก็กลับมาคุยกับอาจารย์ที่ฝึกสอนว่า น้องเขานั่งสมาธิด้วย คิดว่าอันนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญ คิดว่าจริงๆแล้ว เยาวชนควรจะต้อง balance คือจะต้องมีวิธีการที่ดูแล อารมณ์ emotional หรือ EQ. นอกเหนือจาก IQ. แล้วต้องมี EQ. ด้วย อันนี้เป็นส่วนที่สำคัญมากๆเลย เพราะน้องเขา จะไม่ตกใจ ไม่ตื่นเต้น ซึ่งน้องๆบางคน ฝึกซ้อมมาดี แต่พอถึงเวทีแข่งขัน คุมอารมณ์ไม่อยู่ เครียดมั้ง เกร็งมั้ง แล้วยิ่งพอใกล้ๆเวลา ก็จะตกใจ บางอย่าง ก็ลืม บางอย่างมีอะไรใกล้มือ ก็ใส่เข้าไป ความสะอาดก็ลืมกวาด

โดยภาพรวมระดับประถม ๕ ประถม ๖ ที่มีโอกาสได้เข้าแข่งขัน คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีของเยาวชน เพราะจะเป็น เวทีหนึ่ง ที่ทำให้เขารู้สึกว่า ได้โชว์ความสามารถ ค่อยๆ ปลูกฝังเขานะคะ"

ด.ญ.ไพรพรพรหม สหะชาติมานพ "ได้ที่ ๑ ไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะถึงเราได้รางวัลหรือไม่ได้รางวัล ก็ไม่เป็นไร อยู่แล้วค่ะ เพราะว่ายังไง เราก็ได้ประสบการณ์ และได้ความรู้ เรื่องการทำอาหารค่ะ

หนูชอบทำอาหาร ก็ฝึกซ้อม ๓ วัน ป้าภัทรเป็นคนฝึกซ้อมให้ ก็ตั้งใจทำค่ะ ถ้าฝึกกับคนอื่น ต้องใช้เวลานานกว่านี้ แต่ฝึกกับป้าภัทร ถ้าเกิดว่า ถ้าทำไม่ดี ก็ไม่ให้เลิกฝึก ก็เลย ต้องทำให้ดีๆ ฝึกทั้ง ๓ วันค่ะ

โตขึ้นอยากเป็นแม่ครัวเก่งๆ อยากทำอาหารเป็น ชอบทำอาหารเพราะมันเกี่ยวเนื่องกับฟัน เพราะว่าเราต้อง ใช้ฟัน เคี้ยวอาหาร แล้วหนูก็ชอบ ทั้งฟันและชอบทั้งอาหาร มันก็ต่อเนื่องกัน ก็ตอบแบบไม่ค่อยมีเหตุผล นิดหน่อยน่ะค่ะ

คิดว่าจะตก ตั้งแต่รอบแรก หรือถ้าเข้าไปชิงชนะเลิศ ก็อาจจะได้รางวัลชมเชย หรือว่าที่ ๓

เมี่ยงคุณนาย ง่ายกว่าข้าวห่อสาหร่าย เพราะว่าเราจะใส่แต่ของสด"

คุรุขวัญรัก นาวาบุญนิยม "ทางบริษัทเชิญมา จึงกลับไปถามเด็ก เมื่อเด็กตกลง ก็ฝึกซ้อมกัน ๓ วัน ๒ เมนู เด็กตั้งใจ ฝึกซ้อมดี ก็ไม่ได้คาดหวังว่า จะได้รางวัล คิดว่า ให้เด็กได้ประสบการณ์ก็พอ".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


แสงแดดอ่อนมีคุณอนันต์

แสงแดดนั้น รู้กันอยู่ว่าให้ประโยชน์มากมายทั้งต่อสุขภาพ และการดำรงชีวิตของทั้งคนและสัตว์ สำหรับ ชาวเมืองหนาว หลายต่อหลายประเทศ นั้นแย่หน่อย เพราะบางวัน ของบางฤดู หาแดดแทบไม่เจอ ดังนั้น พอแดด ออกมาได้สักหน่อย ก็จะเห็นผู้คนมานั่ง หรือนอนอาบแดด ประหนึ่งสิ่งมีค่า ไม่เว้นแม้ตาม สนามหญ้า เล็กๆ ริมถนน ที่รถราผ่านไปมา และเพราะความขาดแคลนนี้เอง จึงมีการคิดค้นผลิตวิตามินดีสังเคราะห์ มาขายเป็นขวดๆ เพื่อกินป้องกัน การขาดวิตามินดี แต่ประเทศเราโชคดี ที่ไม่ขาดแคลน แสงแดด เหมือนพวกเขา จึงไม่ต้องเสียสตุ้งสตางค์ให้สิ้นเปลือง

แล้ววิตามินดี จากธรรมชาตินั้น เราจะเลือกรับอย่างไร จึงจะมีประโยชน์ ฉบับนี้มีคำตอบ ด้วยบทความ เรื่อง "การสังเคราะห์แสง ในร่างกายมนุษย์ เพื่อผลิตวิตามิน" ของโครงการ เผยแพร่ความรู้ และผลงานทางวิชาการ ผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งลงพิมพ์ใน นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ ๒๐ ต.ค. ๔๗ มาฝากกัน ดังนี้

การสังเคราะห์แสงในร่างกายมนุษย์เพื่อผลิตวิตามิน

"เราเคยได้ยินว่า พืชสามารถสังเคราะห์แสงได้เช่นกัน โดยในสภาวะที่ร่างกายเป็นปกติ มนุษย์สามารถ สังเคราะห์ วิตามิน ดี ได้จาก แสงอาทิตย์ ในหนึ่งวัน ร่างกายควรได้รับ วิตามินดี ๔๐๐-๗๐๐ หน่วยสากล การให้แสงแดด อ่อนๆ สัมผัสกับร่างกายบริเวณมือ แขน ใบหน้าครั้งละ ๑๐-๑๕ นาที สัปดาห์ละ ๓-๔ ครั้ง ก็เพียงพอที่จะสร้างวิตามิน ดี ในปริมาณ ที่ร่างกายต้องการได้ แต่สำหรับคนสูงอายุ หรือ ผู้ที่อยู่ในร่ม เป็นส่วนใหญ่ หรือผู้มีภาวะการขาดวิตามิน ดี มีโอกาสที่จะเกิดภาวะโรคกระดูกพรุนได้ง่าย เนื่องจาก วิตามิน ดี มีหน้าที่ช่วยให้ลำไส้ มีการดูดซึมแคลเซียม เพื่อใช้ในการสร้างเซลล์กระดูก นอกจากนี้พบว่า การทาครีมกันแดด มีโอกาสในการลดการสร้าง วิตามินดี ได้"

อ่านแล้วก็อยากจะย้ำกันสักนิดว่า แสงแดดอ่อนๆนะคะ ใครที่ตื่นสายคงต้องพยายามตื่นให้เช้าขึ้น เพราะแดด บ้านเรา ถ้าเผลอหน่อย ก็ร้อนเปรี้ยงๆ ซะแล้ว เดี๋ยวจะเลยเวลา สังเคราะห์แสง เก็บวิตามินดี นะจะบอกให้.

- บุญนำมา รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เก็บมาฝาก โดยเศษเหล็ก

'ถุงพลาสติก' เมื่อไหร่จะเลิกใช้?

ข่าวชิ้นเล็กๆ แต่เป็นข่าวดีนี้ได้มาจากช่วงรายการข่าวทางวิทยุเอฟเอ็มของ อ.ส.ม.ท. มีรายละเอียดอยู่ว่า เมือง ฮัสคิสสัน ในออสเตรเลีย ร่วมลงนาม ร่วมต้าน การใช้ถุงพลาสติก เพื่อปกป้อง สภาพสิ่งแวดล้อม และดึงดูด นักท่องเที่ยว ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวชายทะเล ที่มีนักท่องเที่ยว หลั่งไหลเข้ามาเที่ยว นับล้านคน

เมืองฮัสคิสสัน เมืองเล็กๆ ที่มีประชากรเพียง ๗๕๐ คน อยู่ห่างจากทางตอนใต้ของนครซิดนีย์ไป ๑๘๐ ก.ม. เป็นอีกเมืองหนึ่ง ในออสเตรเลีย ที่ไม่ใช้ถุงพลาสติก เช่นเดียวกับอีกหลายๆ เมือง เพื่อช่วยลดจำนวนการใช้ ถุงพลาสติก ในออสเตรเลีย ที่มียอดพุ่งสูงถึง ๗,๐๐๐ ล้านใบต่อปี

นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมระบุว่า ทุกปีผู้คนจับจ่ายซื้อของทั่วโลกใช้ถุงพลาสติด ๑๐,๐๐๐ ล้านใบต่อปี ซึ่งจะต้อง ใช้เวลา ย่อยสลาย นานกว่า ๑,๐๐๐ ปี นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบ ต่อชีวิตสัตว์หลายชนิด ที่เข้าใจผิด กินถุง

ล่าสุดรัฐบาลออสเตรเลียประกาศแล้วว่า ภายในปีหน้า จะลดจำนวนการใช้ถุงพลาสติกลง ให้ได้ครึ่งหนึ่ง


เว็บไซต์ที่มีชื่อว่า www.cleanup.com.au พบว่า รัฐบาลออสเตรเลียรณรงค์เรื่องนี้กันจริงจังหนักหน่วง มีการเปิดกว้าง ให้เอกชน เข้าไปมีส่วนร่วม ในการจัดเก็บ แปรรูป หรือทำลายขยะ ชนิดนี้อย่างแพร่หลาย ให้ความรู้เรื่องถุงพลาสติกอย่างละเอียดว่า ทำมาจากอะไร อันตรายกับสิ่งแวดล้อมแค่ไหน

มีคำแนะนำสำหรับร้านค้าที่ประสงค์จะเข้าร่วมรณรงค์ไม่ใช้ถุงพลาสติก ชักชวนให้ผู้บริโภคหันไปใช้ถุงผ้า ถุงกระดาษ หรือถุงอื่นๆ ที่ไม่ใช่ทำมาจาก พลาสติก และข้อมูล เกี่ยวกับถุงพลาสติกทั่วโลก

ในเว็บไซต์ที่ว่าได้ศึกษาปัญหาของถุงพลาสติกครอบคลุมในทุกด้าน ยกตัวอย่างให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม อย่างเช่น ถุงพลาสติกชนิด เอชดีพีอี หรือ ไฮเดนสิตี้ โพลีเอธีลีน (HDPE) ทำจากโพรเพน และบิวเธน ซึ่งสกัด ออกมาจากก๊าซเหลว น้ำมันดิบ และถ่านหิน อันเป็นทรัพยากรธรรมชาติ

พลังงานที่นำมาผลิตถุงพลาสติก ๘.๗ ใบมาแปลงกลับเป็นพลังงานเชื้อเพลิงเติมใส่รถยนต์วิ่งได้ ๑ กิโลเมตร แต่ละปี จะมีถุงพลาสติก ทิ้งขว้างตามแหล่ง สาธารณะ มีผลกกระทบต่อ สภาพแวดล้อมราว ๕๐-๘๐ ล้านใบ หากนำมาวางเรียง ครอบคลุม พื้นที่ถึง ๑๖ ตารางกิโลเมตร

รัฐบาล หน่วยงานเอกชน ชุมชนต่างๆ ทั่วออสเตรเลียต้องใช้เงินงบประมาณเพื่อกวาดล้างทำลายถุงพลาสติกปีละ ๔ ล้านเหรียญ ออสเตรเลีย ส่วนถุง พลาสติก ๔๖,๐๐๐ ใบถูกทิ้งลงใน ๑ ตารางไมล์ทะเล ถุงพลาสติกเหล่านั้น เป็นตัวการฆ่า นกทะเล ไปแล้ว ๑ ล้านตัว สัตว์ทะเลอีก ๑๐๐,๐๐๐ ตัว

เมื่อเอาถุงพลาสติกไปเผาทำลาย จะเกิดก๊าชพิษมีผลกระทบกับชั้นบรรยากาศโลก เกิดสารก่อมะเร็ง "ไดออกซิน และโลหะหนัก

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรออสเตรเลีย เห็นผลร้ายจากถุงพลาสติก พยายามผลักดันให้รัฐสภา ออกกฎหมาย ลดปริมาณการใช้ลง ในเว็บไซต์ของ รัฐสภานิวเซาธ์เวลส์ จัดทำข้อมูล เปรียบเทียบผลดีผลเสีย ของการใช้ถุง พลาสติก ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังสรุปภาพรวม การรณรงค์เลิกใช้ ถุงพลาสติกในประเทศต่างๆ

ในรายงานอ้างว่า บังกลาเทศห้ามผลิตและใช้ถุงพลาสติก ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี ๒๕๔๕ หลังจากพบว่า ถุงพลาสติก ที่ทิ้งขว้าง เกลื่อนกลาดนั้น ลงไปอุดท่อระบายน้ำ ทำให้เกิดน้ำท่วม อย่างหนักหน่วง

แคนาดา ประสบความสำเร็จในการรณรงค์ลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติก เช่นเดียวกับรัฐบาลเดนมาร์ก ใช้มาตรการภาษี ที่เรียกว่า "กรีนแท็กซ์" ล่อใจให้คน เลี่ยงใช้ถุงพลาสติก ตั้งแต่มกราคม ๒๕๓๗ ได้ผลผู้บริโภค ลดปริมาณการใช้ลง ได้กว่า ๖๖ เปอร์เซ็นต์

ที่ฮ่องกงนั้น ห้ามร้านค้าปลีกแจกถุงพลาสติกที่รัฐบาลฮ่องกง กำหนดขนาดไว้แจกให้กับลูกค้าฟรีๆ สำหรับ เมือง บอมเบย์ ในอินเดีย ห้ามผลิต และใช้ถุงพลาสติก กันตั้งแต่เดือน สิงหาคม ๒๕๔๓

ส่วนประเทศไอร์แลนด์ ดูจะก้าวหน้ากว่าใคร รัฐบาลออกกฎหมายจัดเก็บภาษีการใช้ถุงพลาสติก ในทุกประเภท ๐.๑๕ ยูโรต่อใบ

แต่ถ้าเป็นถังพลาสติกหรือบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใส่ของสดสามารถนำมารีไซเคิลหรือกลับมาใช้ใหม่ รัฐบาล จะจ่ายภาษีคืน ๐.๗๐ ยูโร

ไอร์แลนด์นำภาษีที่จัดเก็บได้นี้มาใช้ในกองทุนสิ่งแวดล้อมเพื่อจัดการของเสียและการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม อื่นๆ

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายประเทศ ทั้งแอฟริกาใต้ สหภาพยุโรป ที่เดินหน้ากำจัดถุงพลาสติก ไม่ให้เกิดผลกระทบ กับชุมชน และสภาพแวดล้อม


สำหรับบ้านเราเดินสวนทางกับโลกปริมาณการใช้ถุงพลาสติกในแต่ละวันสูงมาก สังเกตดูจากผู้คน ที่ไปจับจ่าย ใช้สอย ซื้อสินค้า ตามห้างสรรพสินค้า หรือบรรดา ซูเปอร์มาร์เก็ต แทบร้อยทั้งร้อย หิ้วถุงพลาสติก บางคนนั้น กลัวถุงขาด เอาถุงอีกใบใส่ซ้อน

ทางพนักงานร้านค้าก็แสนใจดี จัดถุงพลาสติกให้ไม่อั้น บางทีของชิ้นเล็กๆ ที่ไม่ควรจะหยิบใส่ในถุงพลาสติก ให้สิ้นเปลือง เอาไปใส่รวม กับถุงอื่นก็ได้ ดูแล้วขัดตา

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะรัฐบาลและองค์กรที่ดูแลด้านสิ่งแวดล้อมไม่ได้มองเห็นว่า "ถุงพลาสติก" คือปัญหา สิ่งแวดล้อมนั่นเอง.

(จากหนังสือ มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ ๒๐-๒๖ ส.ค.๔๗ ปีที่ ๒๔ ฉบับที่ ๑๒๕๓)

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

หน้าปัดชาวหินฟ้า

เจริญธรรม สำนึกดี พบกับ นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๔๑ (๒๖๓) ปักษ์หลัง ๑๖-๓๑ ต.ค.๔๗ พบกับข่าว ในแวดวง ชาวเราเช่นเคย

เจอขุมทรัพย์...จิ้งหรีดที่ศีรษะอโศกรายงานมาว่า ในพรรษานี้ถ้าตรวจสอบว่าใครทำมาค้าขึ้นในเรื่องบุญ หรือ ใครได้เจอ ขุมทรัพย์มหาศาล ร่ำรวยที่สุด ในแวดวงชาวเรา จิ้งหรีด ก็ขอเสนอว่า น่าจะเป็น อาปอ ที่ศีรษะอโศก เพราะพระโพธิสัตว์ เป็นผู้ให้ ซึ่งมิใช่ง่าย สำหรับตัวกระจิบกระจอก แบบจิ้งหรีด

จิ้งหรีดมีโอกาสได้คุยกับอาปอ ที่พาลูกหลานศีรษะฯไปฝึกงานที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ก็เห็นอาปอ ยังขยัน เหมือนเดิม

ที่น่าประทับใจก็คือ อาปอสามารถรับขุมทรัพย์จากพระโพธิสัตว์ได้ และ เข้าใจตัวเองว่า มีจุดอ่อนอะไร ที่ควรแก้ไข

จิ้งหรีดก็ขอให้กำลังใจอาปอและ นักรบแห่งกองทัพธรรมอื่นๆ ที่จะได้อาริยทรัพย์ จากการทำงานหนัก ในโอกาสต่อๆไป นะฮะ จิ้งหรีดก็จะขอจดจำไว้ เป็นแบบอย่าง ...จี๊ดๆๆๆ...

ทักษิณอโศก...จิ้งหรีดที่ จ.ตรัง รายงานมาว่า ทักษิณอโศกดีขึ้นมาก มีการพัฒนาขึ้นมาก มีการเช็คศีล เรียน พระไตรปิฎก โดยมีสมณะ หมุนเวียนกันมาสอน มีการทำคอร์ส พัฒนาจิตวิญญาณ บุคคลภายใน

ในช่วงเข้าพรรษานี้ คุณสายพุทธ ตั้งตบะถือศีล ๘ ทานมื้อเดียว มีล้มบ้างบางครั้ง แต่ก็พยายามที่จะไม่ให้ ล้มอีก จิตใจก็ลงตัวดี ก็อาจเป็นเพราะ มีสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย สาธุ... ที่รู้จักรักษาสุขภาพกาย และจิตใจ ควบคู่กันไปนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ...

สีมาอโศก...ในพรรษานี้ ถ้าใครเห็นท่านธาตุดิน รู้สึกเฉื่อยๆเนือยๆก็ไม่ต้องสงสัย เพราะสุขภาพไม่ค่อยดี แต่ก็ฝืน น่าชื่นชม ที่ท่านพยายามทำ ทั้งกิจวัตร และกิจกรรมไม่ให้ขาด ก็อาจเป็นส่วนให้การสัมพันธ์ชุมชน น้อยกว่า ปีก่อน

ส่วนบรรยากาศโดยทั่วไป เช่น ปัญหาของนักเรียนก็น้อยกว่าปีก่อน อาจเป็นเพราะไม่ได้รับนักเรียนใหม่ นักเรียน ที่มีปัญหา ถูกคัดออกไป ออกไปเองบ้าง ทำผิดถูก ให้ออกไปบ้าง สำหรับนักเรียน ที่ไปฝึกที่ภูผาฯ ก็ปรับตัว เข้าใจธรรมะมากขึ้น จิ้งหรีดได้อ่าน จ.ม.ที่แต่ละคน ได้เขียนรายงานไปทาง สีมาฯ ก็อ่านให้เพื่อนนักเรียนฟังบ้าง สรุปให้ฟังบ้าง ก็ทำให้นักเรียนบางส่วน อยากทำดีพัฒนาตนเองขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะการทำงานของนักเรียน ที่ไปฝึกตัวเอง ต้องทำงานยาวนานกว่า ก็ช่วยกระตุ้น จิตสำนึกได้

ทางด้าน ม.วช. นั้น ท่านพอจริง แม้จะสุขภาพไม่ค่อยสมบูรณ์ ก็สละเวลาสอนนิสิต ม.วช. โดยวางระบบต่างๆ อย่างรับผิดชอบ ไม่ทอดทิ้ง เวลาประชุม ท่านก็มีส่วน ช่วยกระตุ้นให้ญาติโยม ใช้ความคิด และพยายามเสนอ ความคิดแย้ง ให้เกิดความเห็นต่าง ทำให้เกิดการสังเคราะห์ หรือใช้ความคิดกัน มากขึ้นกว่าเดิม แต่แบบพยายาม เข้าใจกัน ไม่มีถกเถียงกัน แบบโลกีย์หรอกนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ...

ดงขมิ้น...ตุ๊ไพร (อดีต ผรช.ช.ม.) และอดีต ครช.กสิกรรมไร้สารพิษของกลุ่มภูผาฟ้าน้ำ ฝากบอกจิ้งหรีดมาว่า ขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์ ๒ ที่ได้นำสมณะ เณร และญาติธรรม มาเยี่ยม และขออนุโมทนา กับคุณงานช่าง ที่รับเอากล้าไม้ (ผัก) ไปจัดการ ท่านเจริญพร มาว่า ขอให้ประสบความสำเร็จ ในอุดมการณ์ "ไร้สารพิษ"

ท่านได้ดูข่าวจากทีวีมีข่าวว่า มีคนไปซื้อแหนมมากินแล้วก็พบชิ้นส่วนของนิ้วมือคน ก็ดูน่ากลัวจริง ไม่รู้เป็นไป ได้ไง จิ้งหรีด ก็เห็นด้วย กับตุ๊ไพรฮะ... จี๊ดๆๆๆ...

อุบาสก...จิ้งหรีดที่พัทลุงรายงานข่าวมาจากภาคใต้ว่า เมื่อราวเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เห็นท่านเลื่อนฟ้า มากิจนิมนต์ งานศพ ตายก่อนตาย ของโยมแม่ (คือไม่ทำบุญหลังตาย แต่รีบ ทำบุญก่อนตาย) มีผู้คน มาร่วมงาน ราว ๑๐๐ คน (๑๗-๑๘ ก.ค.๔๗)

ก่อนหน้านั้นท่านเลื่อนฟ้าก็ไปจำวัดที่วัดโต๊ร แล้วแวะโปรดคุณอำนวย เอกทักษิณ เมื่อวันที่ ๑๖ ก.ค. โดยมี ญาติธรรม จากดอยรายปลายฟ้า จำนวน ๑๐ คน ติดตาม มาร่วมงานทำบุญ (ตายก่อนตาย) นี้ด้วย

คุณอำนวยเล่าให้จิ้งหรีดฟังว่า ช่วง เดือน ก.ค.-ส.ค.ได้เจอะเจอคุณจินตนา คนเดียว ได้ขับรถไปสังฆสถาน ทักษิณอโศก ๒ ครั้ง โดยพาภรรยา และลูก ๒ คนไปด้วย และได้เยี่ยมเยียนสมณะ ตามหน้าที่ของอุบาสก เพื่อความไม่เสื่อม

นอกจากนี้คุณอำนวยยังได้หาสมาชิกให้ นสพ. "เราคิดอะไร" โดยได้ปรึกษากับพี่สาวว่า อยากจะให้น้องๆ เป็น สมาชิก นสพ. "เราคิดอะไร" ก็ได้ถ่ายสำเนา "ชาดกทันยุค" ตอน จัมเปยยชาดก ให้พี่น้องได้อ่าน พี่สาว ก็ตกลง โอนเงิน ๑,๐๐๐ บาทไปที่คุณศีลสนิท พร้อมกับส่งที่อยู่ให้น้องๆ ๔ แห่งไปแล้ว ก็ทันได้ต้อนรับ ฉบับพิเศษ ของ นสพ. "เราคิดอะไร" ครบรอบ ๑๐ ปีจิ้งหรีดได้มีโอกาส พูดคุยกับคุณศีลสนิท ถึงเรื่องค่าสมาชิก ของหนังสือ ฉบับนี้ว่า จะพอค่าใช้จ่ายของ สำนักพิมพ์กลั่นแก่นหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบ จากคุณศีลสนิทว่า ยังไม่พอ จึงต้องทำ หนังสือพิเศษเพิ่ม ก็พอดำเนินกิจการไปได้

และในปีนี้ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนม พรรษา ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ มีพระชนมายุครบ ๖ รอบ (๗๒ พรรษา) รัฐบาลก็จัดงาน เฉลิมฉลอง วันแม่แห่งชาติ ตลอดปี

ทางด้านคุณอำนวยก็เล่าให้ฟังเรื่องคุณแม่ของตัวเองว่า ตัวคุณอำนวยเองโชคดีที่เติบโตมาจวบจนทุกวันนี้ ได้อยู่ใกล้ชิด แม่ตลอด และโชคดี ชั้นที่ ๒ ที่ได้พบธรรมะ จากชาวอโศก ได้น้อมนำมาปฏิบัติได้ ตัวคุณอำนวย จึงเหมือนองครักษ์ ที่จะบอกแม่ว่า อะไรบุญ/อะไรบาป อะไรควรทำ /อะไรอย่าทำดีกว่า จนคุณแม่ รับประทาน มังสวิรัติ เลิกเล่นแชร์ และใส่บาตรทุกวัน แต่ ๓ ปีกว่าแล้ว ที่แม่ล้มป่วย จึงได้ฝากเงินประจำ ให้คนที่เขา ใส่บาตรทุกวัน ซึ่งที่สุดก่อนแม่จะล้มป่วย แม่มีเงินอยู่จำนวนหนึ่ง แม่แบ่ง ให้ลูก ๘ คนเท่าๆกัน แม่จึงไม่เหลือ เงินส่วนตัวเลย

คุณอำนวย เล่าคุณสมบัติประจำตัวของแม่ให้ฟังว่า ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องนอน ต้องสะอาด แม่ไม่เคยทะเลาะ กับเพื่อนบ้าน หรือญาติพี่น้อง และโชคชั้นที่ ๓ ของคุณอำนวย ก็คือ มีภรรยาที่ทำหน้าที่ของลูกสะใภ้กับแม่ผัว ได้อย่างดีเยี่ยม จนเกิดความรู้สึกว่า

"นรก กับ สวรรค์ ห่างไกลกันแค่พลิกฝ่ามือ
ปรนนิบัติดูแลท่าน ณ ยามนี้
เดียดฉันท์ หรือ เต็มใจ หัวใจดวงน้อยของคุณตอบได้
แดนนิพพาน ก็อยู่ ณ ที่นี้ ตรงนี้
ฤาอยากให้ บ้านนี้ บ้านนี้ มีวันแม่ทุกวัน"

ชาวอโศกเราพึงทำหน้าที่ที่ดี กตัญญูพ่อแม่และผู้มีพระคุณให้ทุกๆวันนะฮะ...จะได้เป็นอุบาสกที่ดีแบบคุณอำนวยไงฮะ...จี๊ดๆๆๆ...

พบกันเพื่อจาก...อดีต นร.สัมมาสิกขาภูผาฟ้าน้ำ ชื่อ ปอนด์ เป็นเด็กหญิงวัย ๑๖ ปี ลาออกจากนักเรียน ไปทำงานที่ร้านเอเดน เพื่อหาเงิน เลี้ยงตายาย ได้ถูกรถชน ขณะข้ามถนนกลับหอพัก เมื่อคืนวันเสาร์ที่ ๑๖ ต.ค.๔๗ แล้วเสียชีวิต ตอนเย็นของวันจันทร์ที่ ๑๘ ต.ค. ศพตั้งที่บ้าน ณ หมู่บ้านป่าไม้ ต.แม่หอพระ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ กระทั่ง วันเสาร์ที่ ๒๓ ต.ค.๔๗ ได้ทำการฌาปนกิจศพแล้ว เพื่อนก็แต่งเพลงให้ ชมร.ช.ม. ก็เป็น เจ้าภาพ จัดงานศพให้ นี่แหละชีวิตเราพบกันเพื่อจาก เราจึงมิควรประมาท พึงเร่งสะสมบุญ เป็นทุนของชีวิต ให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง...จี๊ดๆๆๆ...

หมูร้องให้สติ...คุณปะน้ำใจ นอนอยู่ดูแลสิกขมาตุที่เจ็บป่วยที่ปฐมอโศก เกือบครึ่งเดือน ก็ได้ฟังเสียง หมูถูกฆ่า ซึ่งร้องลั่นทุกวัน คืนละ ๒ ตัว ๓ ตัว ๔ ตัวบ้าง เสียงร้องดังสนั่นหวั่นไหว เพราะอยู่ห่างกันไม่มาก คุณปะก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงพยายามตั้งจิตแผ่เมตตา ทั้งหมูทั้งคนฆ่า ตามกำลังน้อยๆของตัวเอง ที่จะทำได้

ก็ได้สติเกิดแง่คิดให้จิตวางปล่อยจากผัสสะที่มากระทบว่า ข้อหาที่ตัวเองถูกชี้ซ้ำๆซากๆ ก็เป็นเพียงหอกปาก ไม่ใช่มีดหอกที่รุกรานถึงชีวิต อย่างที่หมูได้รับอยู่ ซึ่งต้องถูกสั่งประหาร แบบไม่ยุติธรรม มากกว่าตัวเอง เพื่อสังเวย เข้าปากคน ตัวแล้วตัวเล่า

นี่แหละฮะ ถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรม ก็สามารถแปรผัสสะต่างๆมาเป็นธรรมะได้...จี๊ดๆๆๆ...

คติธรรม-คำสอนของพ่อท่านประจำฉบับ คือ
จงให้ถึง "นักเป็น" อย่าเพียงได้เช่น "นักปราชญ์"
(มีคำขยายว่า)
ถ้าถึงขั้น "ความจริงถูกต้อง" ก็ได ้ชื่อว่า "นักปราชญ์"
ถ้าถึงขนาด "ถูกต้องตามจริง" ก็ได้ชื่อว่า "นักเป็น".
(งานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๑๕/๒๕๓๔)

(จากหนังสือ โศลกธรรม สมณะโพธิรักษ์ หน้า ๙๓)

พบกันใหม่ฉบับหน้า
- จิ้งหรีด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน อินทร์บุรี

นิตยสารแพรว ลงเรื่องราว "ปฐมอโศก : ดินแดนแห่งเกษตรอินทรีย์"

โดยเมื่อวันที่ ๒๒ ส.ค.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวจากนิตยสารแพรว ได้มาขอสัมภาษณ์ สมณะเสียงศีล ชาตวโร ที่พุทธสถาน ปฐมอโศก เกี่ยวกับการทำการเกษตรอินทรีย์และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวชุมชนปฐมอโศก พร้อมกับ ถ่ายภาพแปลงผัก ของชุมชน ปฐมอโศกด้วย

สำหรับเรื่องราวดังกล่าวได้ลงตีพิมพ์ในนิตยสารรายปักษ์ แพรว ปีที่ ๒๖ ฉบับที่ ๖๐๒ วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๗.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

ชื่อ นางคำปัน ขันธรรม
ชื่อใหม่ เหิรฟ้า
เกิด ๑๙ ก.พ. ๒๔๗๒ อายุ ๗๕ ปี
ภูมิลำเนา อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่
การศึกษา ป.๔
สถานภาพ ม่าย ไม่มีบุตร
ส่วนสูง ๑๕๐ ซ.ม.
น้ำหนัก ๔๕ กก.

คุณยายคำปัน ญาติธรรมผู้อายุยาวของชาวอโศก เป็นคนขยัน ทำงานโน่นนี่อยู่ตลอดเวลา งานเจที่ ชมร. สาขา หน้าสันติฯ ยายก็มาช่วยงาน สะสมบุญ ร่วมกับลูกๆหลานๆ ไปคุยกับยายกันนะคะ

*** คนขยัน
มีพี่น้อง ๑๐ คน ยายเป็นคนที่ ๓ ตอนนี้เสียชีวิตไปหลายคนแล้ว เหลือยายกับพี่สาว ๒ คนเท่านั้น จบ ป.๔ แล้ว ก็ช่วยงาน ทางบ้านทุกอย่าง เช่น วันพระ หาบของไปขาย บนดอย ใช้เวลาเดิน ๑ วัน วันธรรมดาก็ไปเก็บ ใบเมี่ยง แข่งกับเพื่อนๆ ถ้าวันไหนไม่หยุดพักกินข้าวกลางวัน จะเก็บได้ ๑๖ กก. แต่ถ้าหยุดพัก จะได้ ๑๒ กก. หรือไม่ก็รับจ้าง หาบน้ำบ่อ ขึ้นชั้น ๒ ได้หาบละ ๒ สตางค์ เวลามีขี้ควายในทุ่งนาก็ไปขุดแมงกุ๊ดจี่ไปให้พ่อแกง ใส่ผักชะอม หรือถ้ากินข้าวเสร็จแล้ว ก็หาบกระบุง เดินไปตามหมู่บ้าน ประมาณ ๑ กิโล ร้องถามเขาว่า ข้าวมีมั้ย ขอตำสักหาบสองหาบ เราก็จะได้แกลบเป็นค่าตอบแทน เอากลับมาเลี้ยงหมูที่บ้าน จะตื่นก่อนแม่ พอแม่ตื่น ขึ้นมา จะเห็นหม้อขาววับเลย ชีวิตตอนเล็กๆ ลำบากมาก ส่วนพี่ๆน้องๆที่เป็นผู้ชาย เขาก็พากันไปบวชที่วัด

*** ชีวิตรักสาวเครือฟ้า
เขาเห็นว่าเราขยัน มีจีนฮ่อ, เถ้าแก่ โรงน้ำแข็ง, ตำรวจ มาขอหมั้น สุดท้ายก็แต่งกับพ่อบ้าน เขาเป็นลูกค้าประจำ ของแม่ อายุแก่กว่ายาย ๑๗ ปี แต่งงานแล้วไม่มีลูก ช่วยกัน ค้าขาย เริ่มจากค้าขายเร่ด้วยเงินทุน ๔ พันบาท ทำหลายอาชีพ ก็พอมีฐานะ สุดท้ายเป็นเอเย่นต์ขายเหล้า-บุหรี่ ลูกค้าส่วนมาก ซื้อเงินเชื่อ เก็บเงินได้ไม่กี่ราย แล้วไปมีเรื่อง ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ถูกโกงบ้าง พ่อบ้านเอาไปปรนเปรอ เมียน้อยบ้าง ก็เหลือไม่เท่าไหร่ พ่อบ้าน เสียชีวิต ตอนยายอายุ ๓๘ ปี

*** มาเจออโศก
เคยขับรถผ่านเห็นสิกขมาตุ ๓ รูป เดินจาริกอยู่ที่เชียงใหม่ แต่ไม่ได้เข้าไปคุย ตอนอายุ ๕๐ ปี ญาติธรรม ชวนไปร่วมงาน ปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๒ บอกว่าถ้าไปแล้วจะรวย ไปแล้วประทับใจ เราอยู่ ๗ วัน เขาไม่เอาเงินเรา สักบาท หลังจากนั้น ก็เทียวมาที่สันติอโศก งานที่สวนลุมพินี ก็มาประจำ ฝนตก น้ำท่วมที่นอน ก็ไปร่วมฟังธรรม กองทัพธรรม ยกไปที่ไหนๆ ยายก็ไปตลอด

*** กับผัสสะ
เมื่อก่อนอาหารคนอื่นทำจะไม่กิน เพราะไม่อร่อย แต่ตอนนี้ใครทำก็กินได้ มีอะไรก็คลุกกับข้าวก็กินได้แล้ว สบาย รสชาติ ไม่ต้องสนใจ ลดละไปเรื่อยๆ เวลากระทบผัสสะ ก็คิดว่า ภูมิเขาเท่านั้น บารมีเขาเท่านั้น เราจะไปบังคับ เขาไม่ได้ ก็ปล่อยวาง เดี๋ยวเราก็ตายจากกันแล้ว ไม่คิดอะไรมาก บอกได้ก็บอก บอกไม่ได้ก็วางใจ เราก็ทำดีไว้

เมื่อก่อนเจอผัสสะก็อยากจะถอยเหมือนกัน เจอหอกปากทิ่มแทงเรา แต่จิตลึกๆก็บอกว่าทางนี้แหละ ดีที่สุด สู้กันต่อไป

*** ทุกวันนี้
ไม่ห่วงอะไร ห่วงแต่ว่าอยากจะทำดียิ่งๆขึ้นไป ไม่กลัวตาย มีความสุขอยู่กับงาน ทุกวันนี้ต้องการทำบุญ ทำงาน ก็พอแล้ว

ขอให้พวกเราให้มีความมานะมากๆ ตั้งใจลดละกิเลสให้หมดในชาตินี้ ชาติหน้าจะได้สบาย

ยายเคยมีคนรับใช้ มีทรัพย์สินเงินทอง แต่ยายลดทุกสิ่งทุกอย่างลงมาเป็นคนติดดิน ยายบอกว่าเงินทอง มันไม่ได้อยู่ในหัวใจ สร้างบุญไว้ดีกว่า ใช่แล้ว! เพราะบุญ ที่เราสะสมนี้แหละ จะติดตัวเราไปทุกภพทุกชาติ.

- บุญนำพา รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ ต.ค. ๒๕๔๗ สถาบันบุญนิยมและตัวแทนเครือข่ายชาวอโศก ร่วมประชุมเชิง ปฏิบัติการ องค์กรแกนนำเครือข่าย และผู้นำ ภาคประชาชน เพื่อกำหนด ยุทธศาสตร์ร่วม ในการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ณ โรงแรมโรสกาเด้น เอไพรมรีสอร์ท สวนสามพราน จ.นครปฐม เป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการ ร่วมกับตัวแทน มูลนิธิต่างๆ พุทธ -คริสต์ -อิสลาม รวม ๑๑๖ คน


ขอเชิญศิษย์เก่าพุทธธรรมสันติอโศก ทุกท่านร่วมงาน "คืนสู่เหย้าชาวพุทธธรรม" วันที่ ๑๓ - ๑๔ พ.ย.๔๗
ณ พุทธสถาน สันติอโศก

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
67/1 ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. 10240 โทร.02-3745230 ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ 1,700 ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]