ฉบับที่ 253 ปักษ์หลัง 16-30 เมษายน 2548

[01] ยึดดีก็มีปัญหาได้
[02] "การอธิษฐานจิต (๒)"
[03] ชมร.หน้าสันติฯ ใจถึง! ออกแบบสอบถามให้ลูกค้าติ แม่ครัว-ฝ่ายการเงิน ได้ขุมทรัพย์ทั่วหน้า:
[04] เหตุเกิดที่ร้านค้า ชุมชนชาวอโศก.
[05] กสิกรรมธรรมชาติ พีระ แก้วสุขสี แกนนำหัวดีบ้านนาสาร
[06] สกู๊ปพิเศษ: ข้อคิดจากงานปลุกเสกฯ พ่อท่านได้เน้นอะไรบ้าง
[07] ปีนี้ประหยัดน้ำในการให้ศีลให้พร ผู้ใหญ่ใช้วิธีแตะน้ำแล้วลูบศีรษะลูกหลาน
[08] :วิธีปรับร่างกายให้สมดุล (๑)
[09] กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน ปฐมอโศก - อินทร์บุรี
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] วัยรุ่นยังซึ้ง ชีวิต...เฒ่าทระนง แห่จดข้อคิดจากชีวิตปู่เย็น:
[12] อ้วน-เครียด-เมา-ไม่อบอุ่น คนไทยวันนี้ ! จน-ว่างงานลดลง 'แต่ ไร้สุข'
[13] นางงามรายปักษ์ ชื่อ นางนันทา สุวรรณ
[14] ปฏิทินงานอโศก

อ่านข่าวอโศก ฉบับย้อนหลัง



ยึดดีก็มีปัญหาได้

ในช่วงเดือน เม.ย.'๔๘ ชาวเราจะได้รับรู้ข่าว การจัดงานวิสาขบูชาโลก ที่พุทธมณฑล ซึ่งมีบุคคลบางกลุ่มในหมู่ที่อ้างตนว่า เป็นชาวพุทธขนานแท้ ไม่เห็นด้วยที่จะเชิญสันติอโศกเข้าร่วมงานนี้

นี่ก็เป็นข้อคิดให้กับชาวเราว่า เรื่องของทิฏฐิในศาสนาพุทธ หากใช้อำนาจทางโลกมาดำเนินการ ย่อมทำให้เกิดความแตกแยก ทางความเชื่ออย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้น

ทิฏฐิ ที่ว่านี้ คือ ความเห็นหรือความเชื่อที่ปักมั่นอย่างรุนแรงจนเป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่จะพาให้คนเราหลงทำลายทำร้าย จนถึงขั้น ฆ่าแกงกันได้ ดังเช่น บางลัทธิหรือบางศาสนา ที่มีบางคนบางกลุ่ม มีความเชื่อว่า ถ้าฆ่าคนที่จะมาทำลายลัทธิ หรือศาสนา ที่ตนนับถือเป็นบุญกุศล!

เพียงแค่ทิฏฐิหรือความเห็นทางศาสนาที่เราหลงยึดปักมั่นว่าเราถูกต้อง ก็จะเกิดการดูถูกดูแคลนและฆ่าแกงกันได้ในที่สุด

เป็นความโชคดีที่เรานับถือศาสนาพุทธ ที่พ่อท่านนำมาถ่ายทอดให้ลูกๆ ได้เรียนรู้ตัวอัตตาที่หลงยึดว่า เราทำดี ทำถูก หรือ แม้กระทั่งเห็นถูก เห็นดี แล้วสลายตัวหลงยึดที่เป็นอัตตาดังกล่าวได้ ความสงบสุขก็จะเกิดขึ้นทั้งแก่ตนและคนรอบข้าง.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



การอธิษฐานจิต (๒)

ในงานปลุกเสกฯครั้งที่ ๒๙ ธรรมะพ่อท่านฉบับนี้ ขอนำคำกล่าวในช่วงอธิษฐานของพ่อท่าน ระหว่างวันที่ ๔-๙ เม.ย. สำหรับฉบับนี้ จะเป็นช่วงวันที่ ๗-๙ เม.ย.

*** ๗ เม.ย.
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคน เป็นผู้ได้ศึกษาความเป็นคน พยายามที่จะค้นคว้าพิสูจน์ชาติแล้วชาติเล่า แสนชาติ ล้านชาติ หลายๆล้านชาติจนกระทั่งตรัสรู้สูงสุด ชัดเจนว่าความเป็นคนนั้นเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาจะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด อย่างไร เมื่อท่านทราบสุดในความสุดแห่งความเป็นคนแล้วจึงได้นำความรู้นั้นๆมาประกาศ มานำพาให้คนเช่นเดียวกัน ในมหาจักรวาลนี้ ที่จะพึงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป ให้มารับรู้ว่าความเป็นคนนั้น ต้องเป็นคนชนิดนี้ ชนิดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้แล้ว โดยชอบนี้ มีวิธีการ มีแนวทางที่จะปฏิบัติประพฤติตนไปสู่ ความเป็นคนประเสริฐ ที่เรียกว่า อาริยะ และเป็นคน ที่หลุดพ้นจาก ความเป็นคนที่ ไม่ใช่อาริยะ และจะพึงหมุนเวียนอยู่ในโลกแม้จะเป็นคนดี ดีแสนดีอย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่บริสุทธิ์ ยังไม่ประเสริฐสุด

ส่วนคนที่ยังเป็นอาริยะ เข้ามาสู่ภูมิโลกุตระได้นั้น เป็นคนที่สูงสุด บริสุทธิ์ที่สุด มั่นคงที่สุด เป็นผู้ที่มีประโยชน์ที่สุด ตนเอง ก็หมด ความทุกข์เป็นที่สุด ช่วยผู้อื่นให้หมดความทุกข์อย่างบริสุทธิ์ใจที่สุดด้วย คนชนิดนี้มีจริง เป็นไปได้จริง แม้แต่กาละนี้ ก็สามารถที่จะพิสูจน์ ทฤษฎีเอกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้แล้ว เอามาให้เราปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ ทุกคนที่เป็นพุทธ เมื่อได้เป็นพุทธแล้ว ก็อย่าละเลย อย่าประมาท ชีวิตนี้ก็คือ คน เมื่อเรานับถือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นคนที่ได้พิสูจน์คน จนชัดเจน ออกปานนี้ เราจะช้าอยู่ไย ชีวิตถึงอย่างไรสุดแห่งที่สุด ก็เท่าที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะประกาศให้เราทราบนั่นแหละ ไม่มีมนุษย์ไหนที่จะประเสริฐสุด ที่จะดีประเสริฐที่สุด ได้ดีเท่าคนชนิดนี้ ชนิดเดียวเท่านั้น ทุกคนจงเร่ง ปฏิบัติเถิด และจงกระทำ ให้บรรลุถึงที่สุด ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้พากเพียรบอกแก่เราแล้วนั้น และขอให้ทุกคนจงประสบ ความเป็นมนุษย์ ประเสริฐนั้น ทุกคนเทอญ

*** ๘ เม.ย.
ขณะใดก็ตามที่จิตของเราทนไม่ได้ ไม่อยากจะทน อยากจะหนี ต่อสภาพที่ตัวเราไม่เห็นดี ไม่เห็นด้วย ไม่เอาด้วย ไม่เห็นด้วย ไม่อยากจะร่วมด้วย หรือต่อสภาพที่ไม่ได้ดังใจ ไม่สมใจต่อสิ่งที่ต้องพบ ต้องเจอ ต้องประสบต่อกับความที่เราไม่ชอบใจ เกลียด เบื่อ เรากลัว ต่อสภาพที่เราต้องพลัดพราก สูญเสีย เสียหาย ต่อตัวเราเอง ต่องานของเรา ต่อคนที่เรารัก ชอบ ขณะนั้นแล คือมานะ คืออัตตา คือกิเลส ของเรา กำลังมีบทบาท มีชีวิตชีวา มีการเกิดอยู่ในตัวเราแท้ๆ มีอาการรู้สึกเป็นก้อนๆภายในบ้าง ขุ่นใจบ้าง ไม่โล่งใจบ้าง ไม่ใสบ้าง มัวๆหมองๆบ้าง เคืองใจบ้าง อัตตามานะเหล่านี้ เราจะต้องเรียนรู้ให้ชัด มันจะเกิดจาก คนที่ยังมีอัตตามานะทุกๆคน แม้ที่สุด ถึงขั้น อนาคามีภูมิ เพราะฉะนั้นผู้ไม่ได้ศึกษาเรื่องอัตตามานะ ผู้นั้นก็ย่อมมีตัวมีตน พยายามที่จะต้องเอาชนะ พยายามที่จะต้องแข่งขัน พยายาม ที่จะต้องเป็นหนึ่ง ความเป็นหนึ่งในการที่ยึดได้ถือได้ ชนะได้ดังนี้ เป็นความชนะ ของคน แต่เป็นความแพ้อย่างราบคาบของพระอาริยะ

*** ๙ เม.ย.
ลูกๆทั้งหลายเอ๋ย พ่อนี้อายุยาว อายุมากขึ้นแล้ว ชีวิตของเราเกิดมาแต่ละคน ช่วงชีวิตหนึ่งได้พบพระพุทธศาสนา ได้พบธรรมะ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทานก็ดี ศีลก็ดี ภาวนาก็ดี เป็นหลักที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประทานเอาไว้ให้ ให้เราได้เรียนรู้ ศึกษาปฏิบัติ เพื่อพัฒนาตนเองให้สู่จุดที่สูงที่สุด ประเสริฐที่สุดในความเป็นคน ทุกคนเดินทางไปสู่ที่สุดคือตาย ที่ยังไม่ตาย ก็ดีนักหนาแล้ว แต่ไม่แน่ การตายเรารู้ไม่ได้ล่วงหน้า อย่าช้าอยู่เลยทุกคน ทานก็ดี ศีลก็ดี ภาวนาก็ดีนั้น เราได้ทำ เราได้เรียน เราได้ปฏิบัติประพฤติถึงที่สุดแห่งทาน ถึงที่สุดแห่งศีล ถึงที่สุดแห่งภาวนาแล้วหรือ

ถ้าเผื่อเป็นไปได้ทุกคนควรเร่งรัดพัฒนาตนเอง ควรจะต้องทำให้ตนเองเดินทางเข้าสู่จุดสุดจุดสูงให้ได้เร็ว ให้ได้สัมบูรณ์ถ้วน ทุกคนเทอญ.

- เด็กวัด -

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



ชมร.หน้าสันติฯ ใจถึง! ออกแบบสอบถามให้ลูกค้าติ
แม่ครัว-ฝ่ายการเงิน ได้ขุมทรัพย์ทั่วหน้า

เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๔๘ ที่ผ่านมา ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย สาขาหน้าสันติอโศก ออกแบบสอบถามและขอข้อ แนะนำ ปรับปรุงจากผู้มาใช้บริการ เพื่อนำมาปรับปรุงการทำงานภายในร้าน

ผู้กรอกแบบสอบถามแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ที่ไม่เป็นญาติธรรม ๒๘๒ คน กลุ่มญาติธรรม ๑๕๕ คน กลุ่มไม่เปิดเผย สถานภาพ ๙๔ คน เป็นเพศชาย ๑๒๑ คน, เพศหญิง ๑๔๐ คน, ไม่ระบุ ๒๑ คน อายุต่ำกว่า ๒๐ ปีน้อยที่สุด กลุ่มอายุ ๓๑-๔๐ ปีมากที่สุด รับประทาน เป็นประจำ ๑๕๕ คน, รับประทานไม่ประจำ ๑๐๑ คน, รับประทานเป็นครั้งแรก ๒๓ คน และไม่ระบุ ๓ คน

เหตุผลที่มาใช้บริการที่ร้านชมร. สาขาหน้าสันติอโศก คือ ใกล้บ้านเดินทางสะดวก, ความหลากหลายของอาหาร, รสชาติดี อร่อย สะอาด, มีญาติธรรมคอยสนทนาด้วย, พนักงานสุภาพ, ความซื่อสัตย์, ราคาถูก เหมาะสม, มีคุณค่าอาหารสูง, ใช้ผัก ไร้สารพิษ เชื่อถือได้ ปลอดภัย, สถานที่เป็นกันเอง

สำหรับข้อแนะนำที่ต้องปรับปรุงแก้ไข
- สถานที่
พื้นที่นั่งรับประทานอาหารลาดเอียงทำให้นั่งไม่ถนัด, ควรแบ่งที่วางขายอาหารออกเป็นหมวดหมู่ของประเภทอาหาร, จัดไม้ดอก ไม้ประดับ ตกแต่งร้าน ให้ดูมีบรรยากาศ ร่มรื่น, ปรับปรุงช่องทางเดินตักอาหารให้กว้างขึ้น, ติดพัดลมที่นั่งด้านนอก เพราะร้อนมาก

- ที่จอดรถ
ที่จอดรถหน้าร้านควรขอยกเว้นระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๔.๐๐ น. น่าจะมีร่มไม้ร่มเงา เช่น หาต้นไม้หรือฟางคลุม (คล้าย กทม. ทำหรือปลูกไม้เลื้อยบนโครง)

- การล้างภาชนะ
ผู้มาใช้บริการควรล้างจานเอง, น้ำล้างแก้วล้างจานควรเปลี่ยนบ่อยๆ หรือเพิ่มน้ำสะอาดอีก ๑-๒ กะละมัง, บางคนล้าง แบบลวกๆ และไม่สะอาด ทางร้านจะทำหรือแก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างไร?, การล้างจาน อาจมีปัญหาเรื่องมาตรฐาน ความสะอาด ของผู้ล้าง ทางชมร.ฯ ล้างให้ น่าจะเหมาะกว่า

- ความสะอาด
ควรเช็ดพัดลมเพดาน, ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำอาหารน่าจะมีผ้าปิดปาก, ควรมีแผ่นปกปิดป้องกันการไอ/จามของลูกค้า ขณะตักอาหาร (คล้ายการจัดสลัดบาร์ในร้าน พิซซ่า), หม้อข้าวควรจัดรูปแบบ ให้ปลอดภัยต่อการแพร่เชื้อโรค ระหว่าง ลูกค้าใช้บริการ, สลัดผัก มีแมลงวันมาก ควรหาฝาชีปิดป้องกันแมลง, ควรปรับปรุง เรื่องความสะอาดในครัว, พืช ผัก ผลไม้ ก่อนปรุงอาหาร ควรล้างให้สะอาด เพื่อไม่ให้สูญเสีย สิ่งมีประโยชน์ในอาหาร, ผ้าเช็ดจานเมื่อมีสภาพมัน ควรเปลี่ยนผืนใหม่

- ราคาอาหาร
ราคาอาหารควรปรับลง ๑๐ บาทเท่าเดิม, ราคาถูกเกินไป, การคิดเงินที่ไม่คงที่ในราคาอาหาร, ทางเลือกสำหรับคนทานน้อย ต้องมีอาหารถ้วยเล็ก ๑๐ บาท, อาหารใส่ถุงกลับบ้านควรจะมีใส่ถุง ๑๐ บาท โดยปริมาณอาหารน้อยลง, สลัดผักควรขาย ๑๐ บาท (ไม่ได้ตักเอง) ปริมาณที่ขายมากเกินไป, กรณีตักใส่ถุงราคาแพง

- รสชาติอาหาร
มีน้ำมันในการทำอาหารเกือบทุกชนิด, บางอย่างรสจัดจ้าน-หวาน-มัน-เค็มเกินไป, รสชาติอาหารไม่คงที่, เต้าส่วนแป้งข้นเกินไป, การหุงข้าวต้องร้อนและอย่าแฉะ, มีน้ำสลัดจากมะขาม, ก๋วยเตี๋ยวควรทำรสชาติเหมือนร้านอาซ้อ, น้ำก๋วยเตี๋ยวบางวันดี บางวันรสจืดๆ, สลัดผักไม่ควรใส่มะม่วงเปรี้ยว ควรเป็นผักรสชาติกลางๆ, ประเภทผัก ควรปรุงพอสุก อย่าต้มนานเกินไป

- เมนูอาหาร
มีอาหารแมคโครไบโอติกส์หรือเจสด, แกงจืดไม่ควรใส่พริกไทยมากเพราะเด็กๆทานไม่ได้, ผัดต่างๆควรใส่โปรตีนเกษตร หรือเต้าหู้ทอด, แกงเขียวหวาน ขอชมว่าอร่อย อย่าเปลี่ยนแม่ครัวนะ, ควรมีรายการอาหารใหม่ๆ, มีซุปต่างๆใส่หม้ออุ่นร้อนๆ ตลอดเวลา และให้ตัก กันเอาเอง ตามชอบใจ, น่าจะทำข้าวซอย ปอเปียะสด/ทอด ข้าวขาหมู, ควรมีน้ำสมุนไพร ไอศกรีม, จัดให้มีอาหารพิเศษ เช่น แพนเค้ก โรตี ขายเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์, อาหารอย่าซ้ำบ่อยๆ, น้ำพริกกะปิ, ผัดใบกะเพรา, ยำมะเขือยาว, ยำหัวปลี ผัดกระเจี๊ยบ (ต้องใส่ทั้งลูก) มีบ่อยได้, มีอาหารตามสั่งด้วย, ผักสดต้องมีประจำ, ข้าวต้มต้องร้อน อยู่เสมอ กับข้าวของข้าวต้มควรมีผัดผักร้อนๆ ยำๆบ้าง, ข้าวมัน ข้าวต้องไม่แฉะ และมีน้ำซุปต่างหากให้ลูกค้าตักใส่ถ้วยเล็กๆ ได้, น้ำจิ้มต่างๆ ควรมีสมุนไพรเด่นๆ เช่นขิง กระเทียม หัวหอม, อยากให้มี อาหารหลาก หลายเหมือนมังสวิรัติจตุจักร, ทำกับข้าวแปลกๆบ้าง , ควรทำข้าวต้มเครื่อง, บางครั้ง ๓-๔ วัน อาหารชนิดเดียวกันเลย, ขนมจีนน้ำยา-น้ำพริกควรให้ร้อน อยู่ตลอดเวลา, ขอเพิ่มน้ำยาขนมจีนแกงป่า และน้ำคั้นผลไม้แยกกากสดๆ, ควรมีผลไม้ ตามฤดูกาล เต้าทึง น้ำผลไม้ น้ำแข็งใส, มีชุดอาหารแบบธัญพืชรวม, อย่าราดกะทิในขนมหวาน

- ภาชนะใส่อาหาร
ควรใช้จานกระเบื้องสำหรับอาหารที่ร้อนจัด ไม่ควรใช้พลาสติก, ให้ผู้ซื้อนำปิ่นโตมาซื้อ เพราะใส่ถุงเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม, ที่วางหลอดกาแฟ, ไม้จิ้มฟัน น่าจะวางรวมเป็นประเภทเดียวกันกับช้อน/ส้อม, ควรมีผ้าหรือกระดาษทิชชูให้ด้วย

- สื่อในร้าน
ให้เปิดช่องข่าว ๙.๐๐-๙.๓๐ น. จนกว่าข่าวจะหมดไป, ควรเปิดคำสอนของท่านโพธิรักษ์หรือบทเพลงธรรมะ, เปิดเทป หรือ พุทธโอวาท หรือเรื่องเล่าสอนใจ หรือประวัติพระอรหันต์, เปิดเทปด้านอาหารเพื่อสุขภาพบ้าง มิใช่เปิดแต่เทปเพลง, ควรมีหลักธรรม ให้ผู้มารับบริการได้รับทราบบ้าง, เสนอให้ใช้เนื้อที่ข้างกำแพงและป้ายห้อยจากเพดาน ติดคติธรรมคำสอน ของพ่อท่าน ที่สั้นๆ, เปิด VCD ของสันติอโศก, มีธรรมะให้ดูหรือสารคดีธรรมะต่างแดน

- การประชาสัมพันธ์
หากปิดบริการเป็นเวลานาน ควรเขียนป้ายประกาศด้วย, ให้มีการประชาสัมพันธ์บ่อยขึ้นหรือมากขึ้นในเรื่องที่หยุดบริการ, ติดป้ายร้านอาหารมังสวิรัติ เพราะคนส่วนมากไม่รู้จักที่นี่, เขียนข้อความให้ผู้บริโภคทราบว่า ส่วนประกอบของอาหาร แต่ละ ชนิด มีประโยชน์อย่างไรบ้าง, ควรขยายเครือข่ายร้านมังสวิรัติไปในที่อื่นๆ

- เวลาบริการ
อยากให้เปิดบริการถึง ๑๘.๐๐ น.,๒ ทุ่ม, ไม่ต้องมีวันหยุด, อย่าหยุดนานๆหลายวัน, ประมาณ ๑๐ โมงเช้าอาหารจะหมด และมื้อกลางวัน ไม่มีอะไรทาน ขอให้มีอาหารในช่วงเวลาเหล่านี้, ไม่ควรปิดร้านติดต่อกันนานๆ, ขอให้เปิดขายทุกวัน

- การบริการ
เมื่ออาหารใกล้หมดถาด ไม่ควรรีบตักใส่ถุง เพื่อที่สมาชิกที่มารับประทานในร้าน จะได้มีโอกาสตักใส่จาน รับประทานในร้าน ตามสมควร, อยากให้กระเพาะเจ-ข้าวต้มอุ่นอยู่ตลอดเวลา, ลาบเต้าหู้ไม่ควรใส่น้ำพริก เผา, ควรมีผักหลายๆอย่าง ลวกจิ้ม น้ำพริก, มีผักสดหลายๆชนิดวางบริการให้มากๆ, การล้างจานควรเก็บเงินเพิ่ม เหมือนเข้าห้องน้ำ อาจเก็บ ๑ บาทหรือ ๒ บาท ก็ได้ เพราะล้างเองไม่สะดวก, อยากให้ทำพริก-ซีอิ๊ว ไว้บริการ, ทำอาหารเพิ่มเติมในตอนหลังเที่ยง ด้วย เช่น สลัดผัก, ขอให้ปรับปรุง ความสะอาด, หั่นผักให้สั้นลงกว่านี้สัก ๑-๒ ซม. จะทำให้รับประทานง่ายขึ้น, น้ำเต้าหู้จืด/หวาน น้ำสมุนไพร มีน้อยเกินไป (ไม่เพียงพอ), จานน่าจะมีขนาดใหญ่กว่านี้, ความสะอาดที่ล้างภาชนะด้านหน้าไม่ดีเลย, หากมีปริมาณลูกค้ามาก ควรเปลี่ยนน้ำ มากขึ้น, ควรให้อาหารอยู่ในสภาพอุ่น-ร้อน, ที่นั่งเวลาลูกค้ามี ไม่เพียงพอ, หลายครั้งที่เห็นว่าพนักงาน ไม่ล้างแก้ว นำไปคว่ำเลย, การแจกอาหารฟรี ควรจะตักให้สมน้ำสมเนื้อ

- ที่จอดรถ
ที่จอดรถมีน้อยเกินไป, ควรมีที่จอดจักรยานเอาไว้หน้าร้าน, หน้าร้านขายผักปากซอย ๔๔ มักจะมีรถจอดอยู่ซึ่งผิดกฎหมาย ควรทำราวกั้นไปวางไว้

- ข้อแนะนำด้านอาสาสมัคร
อาสาสมัครขายอาหาร เวลาถามเรื่องอาหารถามคำตอบคำ หน้าตาไม่ค่อยยิ้มแย้ม ยิ่งคนแก่ผู้หญิงตอบเสียงดังโวยวาย, เคยเห็น อาสาสมัครตวาดลูกค้า ซึ่งเป็นคนแก่

อาสาสมัครฝ่ายคิดเงิน อยากได้ผู้หญิง ที่อายุน้อยกว่านี้ และหน้าตายิ้มแย้มกว่านี้ ถ้าพูดคำว่า ขอบคุณครับ/ค่ะ ฟังแล้ว ดูอบอุ่นดี, บ่อยครั้งพูดห้วนๆ ทอนสตางค์ก็หยิบวางส่งให้แบบรีบๆลวกๆ คล้ายๆโยนส่ง บ่อยครั้งได้ยินเสียงเหรียญที่ทอน กระทบถาดดังมาก เสียความรู้สึก, การเงินดุเกินไป

ขอฝากเรื่องผักร้านกู้ดินฟ้า อยากให้ทางวัดซื้อกิโลชั่งอัตโนมัติ เพราะเวลาไปซื้อผักทีไร คนขายคิดเงินเกินทุกอย่าง ขนาดเกินมา ๑ มิลก็คิด ส่วนแม่ค้าข้างนอก ไม่คิด ผักไม่ถึงขีด ก็คิดเต็มขีดเป็นประจำ

ควรฝึกอบรมอาสาสมัครที่ช่วยขายอาหารเป็นระยะ

ควรมีแม่ครัวได้มาตรฐานแน่นอนประจำ

พนักงานบริการหยิบจับอาหารควรสวมถุงมือพลาสติกทุกคน สวมหมวกหรือใช้ผ้าคลุมผมทุกคน โดยเฉพาะ คนขายผักสลัด ขนมจีน

พนักงานบริการต่าง ๆ ควรทำด้วยใจ

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



เหตุเกิดที่ร้านค้า ชุมชนชาวอโศก
- ต.อ.ร้านค้า -

ระวัง!เทคนิคลูกค้า

ห้องบัญชี
ลูกค้า... "เมื่อวานนี้ซื้อถั่วเขียวไป ๕ ถุง นี่ไงบิล แต่ ๓ ถุงนี้มีตัวมอดเพียบเลย และดูถั่วเก่าๆ จึงมาขอเปลี่ยน"

ผู้บริหาร... (พิจารณาบิลและถั่วเขียว) "ก็จริงของคุณนะ สภาพถั่วเขียวทำไมเป็นอย่างนี้ และดูจากบิลสินค้าก็เพิ่งซื้อไป เมื่อวานจริงๆ หรืออาจเก่ามาจากผู้บรรจุก็เป็นได้ ตกลงทางเรายินยอมเปลี่ยนสินค้าให้"

พนักงานประจำชั้นพืชไร่ (หยิบถั่วถุงใหม่เปลี่ยนให้ลูกค้า ๓ ถุง พร้อมตั้งข้อสังเกต)... "ผมเพิ่งจัดถั่วเขียวขึ้นชั้นเมื่อวาน เป็นถั่วเขียว ใหม่ทั้งหมดนี่นา ถั่วที่ลูกค้าคืนมันดูเป็นถั่วเก่ามาก จนขึ้นมอด ไม่น่าเป็นไปได้ๆๆๆ งง งง งง งง"

ผู้บริหาร... "แต่เขามีบิลมาแสดงการซื้อถั่วเขียวไปจริงๆ ๕ ถุง เมื่อวานนี้"

พนักงาน (ทีท่าพลันคิดได้)... "เป็นไปได้ไหมว่า ลูกค้าซื้อถั่วเขียวเราไปจริงๆ ๕ ถุงเมื่อวานนี้ตามบิลที่แสดงให้เราดู แต่เอาถั่วเขียว ถุงเก่า ที่คงเคยซื้อจากเรานานแล้ว จนถั่วเขียวมอดขึ้นมาแลกเปลี่ยน โดยใช้บิลใหม่ มาอ้าง และเราก็คิดตรงนี้ไม่ออก เพราะดูแค่บิลเป็นหลักฐาน"

ผู้บริหาร... "เอ๊! เป็นไปได้อย่างยิ่งในข้อนี้ เดี๋ยวนะ! ขอตามลูกค้ามาคุยหน่อย อ้าว! ไม่อยู่ซะแล้ว ถ้าข้อสมมุติฐานนี้เป็นไปได้ ก็แสดงว่า เราโดนลูกค้าใช้เทคนิคหลอกซะแล้ว ดังนั้นต่อไป การตรวจดูบิล ดูสินค้าแค่นั้นไม่พอเพียง พวกเราควรต้อง พิจารณา ไตร่ตรองกัน ให้สุขุมคัมภีรภาพ ยิ่งกว่านี้."

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



พีระ แก้วสุขสี
แกนนำหัวดีบ้านนาสาร

ผลการประเมินทิศทางสินค้าเกษตรของ พีระ แก้วสุขสี หมอดินอาสาประจำ จ.สุราษฎร์ธานี พบมูลเหตุ สำคัญที่ทำให้ชาวสวน ในท้องถิ่นตกอยู่ ในสภาพยากจน คือ เกษตรกรต้องต่อสู้กับแรงกดดันสารพัดรูปแบบ ทั้งผลผลิตขาดคุณภาพ เนื่องจากปัญหา โรคและแมลงศัตรูพืชรบกวน ต้นทุนการผลิตสูง พ่อค้าคนกลางกดราคา รับซื้อ

ด้วยเหตุนี้ พีระ จึงมีแนวคิดที่จะหาทางออก เพื่อให้เกษตรกรพอลืมตาอ้าปากได้ โดยนำภูมิปัญญาท้องถิ่นผสมผสานกับ ความรู้วิชาการจากกรมพัฒนาที่ดิน ตั้งกลุ่มผสมปุ๋ยทำแปลงสาธิตจุดเรียนรู้งานพัฒนาที่ดิน ที่ ต.ควนสุบรรณ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมทั้งดำเนินการปรับสวนไม้ผลให้เป็นห้องเรียนธรรมชาติบนเนื้อที่ ๕ ไร่ แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ปลูกมังคุด ๒ ไร่ และที่เหลืออีก ๓ ไร่ ปลูก เงาะ

เน้นผลิตแบบปลอดสารพิษเพื่อให้ผลผลิตถึงมือผู้บริโภคอย่างปลอดภัย โดยยึดหลักชีวภาพ กล่าวคือ ใช้ปุ๋ยพืชสด และทำปุ๋ย ชีวภาพในการบำรุงดินและต้นพืช ใช้ศัตรูทางธรรมชาติอย่าง แตนเบียน ตัวห้ำ กำจัดแมลง รวมทั้งปลูกหญ้าแฝก รอบโคน ต้นมังคุดป้องกันปัญาเนื้อแก้ว และยางไหล

"การปลูกไม้ผลด้วยวิธีดังกล่าว ช่วยลดต้นทุนจากเดิมกว่า ๑๐,๐๐๐ บาทต่อไร่ ให้เหลือเพียงไร่ละ ๑,๒๐๐ บาทเท่านั้น เมื่อไม่นานมานี้ ผลผลิต มังคุดในแปลงสาธิตชุดแรกของผมออกสู่ตลาดรวมกว่า ๗๐๐ กก. มี พ่อค้าคนกลาง มารับซื้อ ถึงหน้าสวน และให้ราคาสูงถึง กก.ละ ๕๒ บาท นับเป็นความสำเร็จที่น่าพอใจมาก"

พีระ กล่าวทิ้งท้าย.

(จาก นสพ.คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ ๑๔ ก.พ.๔๘)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



สัมภาษณ์สมณะเดินดิน ติกขวีโร

ข้อคิดจากงานปลุกเสกฯ พ่อท่านได้เน้นอะไรบ้าง สมณะเดินดิน ติกขวีโร ได้ให้ข้อคิดเรียนรู้การทำงานของมานะอัตตา ที่ควรระวัง ?

# อยากทราบว่างานปลุกเสกฯ ที่ผ่านมาท่านได้ข้อคิดอะไรบ้าง?

๑. ตอนนี้ชาวอโศกเราต้องถือว่าเป็นองค์กรใหญ่ ดังนั้นการจะตัดสินใจทำอะไรลงไป จะมีผลว่าเราจะมีงานเคลื่อนตัวออกไป สัมพันธ์กับองค์กรภายนอกมากขึ้น ดังนั้นจุดสำคัญอย่างยิ่งในการตัดสินใจใดๆ ลงไป จึงควรที่จะได้นำมาปรึกษา หารือ หมู่คณะ กันก่อนเป็นสำคัญ เพื่อป้องกันความแตกแยกและทำความเห็นให้สอดคล้องกัน เหมือนตอนที่เราไปช่วยงานภัย สึนามิทางภาคใต้ ซึ่งเราก็มีทีมงานที่ลงไปหาข้อมูลในพื้นที่ก่อน แต่ปัญหาที่ติดตามมาก็คือว่าฝ่ายหาข้อมูลในพื้นที่เนี่ย ไปตัดสินใจว่า จะอยู่ตรงนั้น ตรงนี้ก่อนที่หน่วยกลางจะไป ทำให้ต้องมาแก้ปัญหากับคนภายนอก ที่มองว่าพวกเรา เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา จึงจะต้องพยายาม ที่จะปรึกษาหารือกันอย่างสำคัญยิ่งทีเดียว

๒. ในงานนี้ก็เหมือนเทวดาส่งโจทย์ เรื่องเสื้อขาวมาทดสอบพวกเรา ที่จะให้ทุกๆ ฝ่ายได้ฝึกยอมกันมากขึ้น การยอมได้ เป็นบุญ มากกว่าการไม่ยอม แม้จะดูเหมือนว่าการที่เราไปยอมใส่เสื้อสีขาว อาจจะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ทางของพุทธเท่าไหร่ แต่ถ้าเรายอมได้ เราได้ลดอัตตามานะ ที่เป็นบุญที่ได้เข้าหาปรมัตถ์โดยตรง เหมือนพวกเราบางคนที่มักจะมีปัญหาที่ว่า ต้องไปดูแลแม่ ที่ยังกิน เนื้อสัตว์อยู่ และพวกเราก็มักจะติดใจว่าต้องไปซื้ออาหารเนื้อสัตว์มาให้แม่กินเนี่ยมันจะบาปไหม? จริงๆ แล้วเนี่ย แม้จะต้อง ไปมีส่วนร่วม ในวงจรบาปนี้อยู่บ้าง แต่ดูเหมือนว่าพวกเราจะวิตกกังวลตรงนี้มากเกินไป แต่จิตที่ถือสาแม่ โมโหแม่ หรือบางที ก็พูดจาหยาบคายกับแม่ ด่าว่าแม่ด้วยซ้ำ บาปสุดๆ ตรงนี้เราไม่ค่อยจะคิดถึงเรื่องที่จะกลัวบาปเท่าไหร่ ไประวัง จุดละเอียด เล็กๆ น้อยๆ แต่มันได้สมใจเราได้ดั่งใจเรา

ในงานนี้พ่อท่านถึงให้พวกเราระมัดระวังที่บางครั้งเราอาจได้ชัยชนะแต่มันเป็นชัยชนะของคน แต่เป็นความพ่ายแพ้ของอาริยะ พ่อท่านเน้นพวกเราว่า คนที่ยังมีอัตตามานะอยู่ (อนาคามีภูมิก็ยังมีอัตตามานะ) จะทนไม่ได้ยอมไม่ได้กับสภาพที่ตนเห็นว่า นั่นดี นั่นถูกต้อง แล้วก็เกิดความอึดอัดขัดเคืองใจ นั่นก็คือการทำงานของอัตตามานะทั้งสิ้น

และคนที่ไม่ได้ศึกษาเรียนรู้การทำงานของอัตตามานะ กิเลสก็จะไม่ยอม และจะต้องหาทางเอาชนะคะคานให้ได้ เมื่อใดที่เขา สามารถเอาชนะได้ เมื่อนั้นก็คือชัยชนะของคน เป็นชัยชนะของเจ้ากิเลสอัตตามานะโดยแท้ แต่เป็นความพ่ายแพ้ ของอาริยชน โดยจริง!

# ในรอบปีที่ผ่านมาทีมคณะวิจัยของ ดร.บัญชร แก้วส่อง ได้ติดตามประเมินผลงานอบรมของชาวอโศกในรอบ ๑ ปีที่ผ่านมามีข้อสรุปที่สำคัญอะไรบ้าง?

จากผลงานการวิจัยที่ทีมวิจัยได้ลงพื้นที่ไปตามศูนย์อบรมต่างๆ ของชาวอโศกทั่วประเทศ และลงพื้นที่ไปตามเครือแหชุมชน ต้นแบบ ที่ชาวอโศกได้อบรมเกษตรกรในหมู่บ้านต่างๆ ไป จุดเด่นของเราที่ ดร.บัญชร นำเสนอก็คือ เราสามารถที่จะทำให้ เกษตรกร มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตภาพได้ชัดเจน เราสามารถทำให้วิถีธรรมและวิถีชีวิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ใช่ว่าวิถีธรรม ก็คือต้องไปวัด พอไปวิถีชีวิตก็ไปทำมาหากินโดยไม่เอาศีลธรรมมาเกี่ยวข้องด้วย

ทีมงานวิจัยมองว่ากิจกรรม ที่เราทำ ก่อให้เกิดการพัฒนา ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมของการพัฒนา

สุขภาวะแบบองค์รวมโดยใช้ศีลธรรมเป็นแกนกลาง ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลง ในระดับผู้นำทางด้านจิตภาพผู้นำ ที่ได้รับ การอบรมไป สามารถที่จะเป็นต้นแบบในการลด ละ เลิกอบายมุข มีศีล ๕ และเป็นตัวอย่างการเสียสละได้ ส่วนด้านกายภาพ สามารถเป็นต้นแบบ ในการผลิตพืชผักไร้สารพิษและมีชีวิตที่พึ่งตนเองได้ ส่วนในการอบรมเยาวชนคนสร้างชาติ เยาวชน เหล่านั้น มีการเปลี่ยนแปลง ทางด้านจิตภาพ ชีวิตมีการถือศีล ๕ มากขึ้น มีการเสียสละได้มากขึ้น มีการช่วยงาน ช่วยการ ของครอบครัว และตระหนักถึงพิษภัย ยาเสพติดได้ชัดเจน ส่วนด้านกายภาพนั้นเยาวชนที่ได้รับการอบรมไป สามารถที่จะ รวมกลุ่มทำกิจกรรม เพื่อสังคม แก้ปัญหาของโรงเรียน และไปช่วยกันทำกสิกรรมไร้สารพิษได้ ซึ่งทีมงานวิจัยตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งเหล่านี้น่าจะนำเป็นข้อมูล ที่จะเอาไปใช้ ในการปฏิรูปการศึกษา ที่สามารถทำให้คนและเยาวชนสามารถเปลี่ยนแปลง ทั้งจิตภาพ และกายภาพ โดยสามารถที่จะพึ่งตนจนเป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้ น่าจะศึกษากันต่อไป

ส่วนจุดอ่อนที่ทีมงานทางการวิจัยเห็นว่าเราควรได้ปรับปรุงก็คือ
๑. การอบรมเกษตรกรโดยส่วนใหญ่ เราเปลี่ยนแปลงผู้เข้าอบรมได้แค่วิถีชีวิต คือเขาอาจเลิกใช้ปุ๋ยเคมี ทำน้ำยาซักผ้า พยายาม ที่หันมาอยู่บนเส้นทางพึ่งตนเอง ได้แค่วิถีชีวิตแต่วิถีธรรมยังไม่ชัดเจน

๒. สื่อของเรายังไม่มีระบบและขาดการ เน้นเรื่องจิตภาพ เพราะบางครั้งเราก็ไปเน้นปุ๋ยสูตรวิเศษ จุลินทรีย์สูตรเจ๋ง ทำนา จะได้ข้าวไร่ละ ๑ ตัน แต่ลืมเน้นไปว่าหัวใจที่สำคัญของความสำเร็จทั้งหลายทั้งปวง อยู่ที่จิตใจที่มีคุณธรรม ที่มีความเสียสละ เป็นสำคัญ จึงจะทำให้สิ่งที่ดีงามทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นได้

๓. ทีมงานวิจัยให้เราระมัดระวังเรื่องเงินหรือผลประโยชน์ บางครั้งในศูนย์เล็กๆ ก็ยังไม่ชัดเจนในสิ่งเหล่านี้ หรือยิ่งชุมชนต้นแบบ ที่เราจะสร้างขึ้นไปด้วยแล้ว บางครั้งมีเงินมีชื่อเสียงเข้าไป อาจจะทำให้ชุมชนที่พึ่งตั้งต้นกันใหม่ๆ เกิดแตกแยกเกิดทะเลาะ เบาะแว้งกัน ด้วยผลประโยชน์ที่มีเข้าไปได้

# ทุกวันนี้เรามีการงานมากมาย จะทำงานอย่างไรถึงจะไม่ให้อัตตาเอาไปกิน ?

ปกติของคนที่ไม่ได้ศึกษาเรียนรู้ธรรมะ ชีวิตของชาวโลกีย์ทั่วๆ ไป เขาก็จะอาศัยเสพ ในทางเสพกามก็ดี ทำงานทุกวันๆ ก็เพื่อได้เสพกาม หรือไม่งั้นก็ได้เสพอัตตา อัตตาได้สมใจได้บำเรอใจของตัวเอง และก็ได้อาศัย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ได้บำรุง บำเรอชีวิต ชีวิตเหล่านั้นก็จะถูกกามกับอัตตาบงการชีวิตของเขาให้เป็นไปต่างๆ นานา แต่ในนักปฏิบัติธรรมนั้น เรื่องกาม พวกเราพอเห็นได้ว่า มันเป็นเรื่องหยาบที่เราก็ระมัดระวังกันอยู่ แต่เรื่องอัตตาการให้ได้ดั่งใจ การที่จะเอาแต่ใจ ตรงนี้มัน แยกออกยาก เพราะว่ามันจะแฝงมากับการงาน ให้การงานของเราสำเร็จ ให้การงานของเราได้ตามที่เราต้องการ อัตตา มันจะแฝงมา ในการงานอย่างแยกไม่ออก หากเราแยกไม่ออกอย่างนี้ ยิ่งเราลุยงานเข้าไปมากเท่าใด ก็จะถูกอัตตา ตามลุยเรา ไปด้วยมากเท่านั้น และยิ่งอัตตาของเราเติบโตมากเท่าใด เราเองก็ย่อมได้ชื่อว่าอยู่ในอาณาจักรของเทวนิยม เป็นวิญญาณใหญ่ (ปรมะ+อัตตา) เป็น อาตมันหรือปรมาตมัน เป็นเทวนิยมอยู่ในอาณาจักรของเทวนิยมดีๆ นั่นเอง

เครื่องเช็คว่าเราทำงานไปอัตตาของเราเติบโตตามขึ้นไปด้วยหรือไม่ดูได้จาก
๑. ปฏิบัติธรรมแล้วดูอบอุ่นขึ้นหรือ ไปที่ไหนๆ ก็มีแต่อบอ้าว ยิ่งทำงานๆ ไปก็รู้สึกว่าศัตรูอยู่รอบตัวไปหมด อันนี้ก็แสดงว่า เรามุ่งแต่งาน จนลืมคิดถึงคนรอบข้าง จนไม่มีใครเอาด้วยกับเรา ก็คงจะต้องปรับเปลี่ยนทิศทางการทำงานใหม่ ที่จะให้ ความสำคัญ กับจิตวิญญาณ คนรอบข้างมากกว่าที่จะเอาแต่งานให้ได้ดั่งใจของเรา

๒. ทำงานไปมีศรัทธามากขึ้น หรือศรัทธาลดน้อยถอยลง เรากำลังอยู่วัดสิ้นศรัทธาธรรมหรือวัดสร้างศรัทธาธรรม ถ้าไปอยู่ วัดไหน ก็หาสมณะที่ถูกใจไม่ได้สักที่ ขนาดผู้ที่มีศีลมากกว่า เรายังมองความดีไม่ออก งั้นคนที่มีศีลเท่าเรา หรือมีศีล น้อยกว่าเรา เราก็จะยอมเขาได้ยาก

๓. เราทำงานไปให้ความสำคัญกับหมู่มากขึ้น หรือให้ความสำคัญกับตูมากขึ้น ทางภาคอีสานเขาจะมีสำนวนว่า แล้วแต่หมู่ แล้วแต่หมู่ คือพยายามลดความสำคัญของตัวเองให้น้อยลงไป แต่ให้เอาหมู่เป็นใหญ่ เอาระบบเป็นใหญ่ ยิ่งทำงาน ไปทำงานไป ตัวตนของเรา ก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ก็แสดงว่าอัตตาของเราลดน้อยลงไป ยิ่งทำงานไปทำงานไป ยิ่งเอาอัตตา เอาระบบ ของตนเองเป็นใหญ่ ระบบของหมู่ความสำคัญของหมู่แทบจะไม่มีความหมายอะไร อันนี้ก็เป็นเครื่องชี้ได้ว่า เรายิ่ง ทำงานไป อัตตายิ่งเอาเราไปกิน มากเท่านั้น

๔. เราใช้ญาณข้อที่ ๕ ของพระโสดาบันผิดฝาผิดตัวหรือเปล่า พระพุทธเจ้าท่านให้เราเพ่งเล็งกล้าในอธิศีล อธิจิต และ อธิปัญญา ของเรา และก็ช่วยขวน ขวายในกิจใหญ่น้อยของเพื่อนพรหมจรรย์ แต่บางคนทำงานไป ทำงานไปเนี่ยจะมีแต่ เพ่งเล็งกล้า ในงานที่เราชอบ ส่วนอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาของตนแทบจะไม่ได้หันมามองเลย แทบจะไม่รู้ด้วยว่า เราจะเพิ่ม ในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาของตนอย่างไร หรือบางคนโชคร้ายยิ่งไปกว่านั้น ก็คือไปเพ่งเล็งกล้าแต่ข้อบกพร่องข้อไม่ดี ของผู้อื่น ก็ยิ่งเป็นเครื่องชี้ได้ชัดว่า อัตตาของเราโตขึ้น จนไม่สามารถเข้ามาทะลุทะลวง สักกายทิฐิ อัตตานุทิฐิของตัวเองได้ ดังนั้นในข้อนี้ ก็เป็นข้อที่สำคัญ ที่เราต้องใช้ญาณของโสดาบันให้ถูกต้องด้วย โดยการเพ่งมองตัวเอง พยายามที่จะเพ่งเล็งกล้าในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ของตัวเอง ให้ได้อยู่ตลอดเวลา.

- ทีมข่าวพิเศษ -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



ปีนี้ประหยัดน้ำในการให้ศีลให้พร
ผู้ใหญ่ใช้วิธีแตะน้ำแล้วลูบศีรษะลูกหลาน

เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๖ เม.ย. ๒๕๔๘ ชุมชนสันติอโศกจัดงานวันกตัญญูผู้อายุยาว มีพิธีรดน้ำขอพรจากผู้อายุยาว มีผู้อายุยาว ทั้งชายหญิง มาร่วมงาน ๒๘ คน

เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๖ เม.ย. เวลา ๑๕.๐๐ น. สันติอโศกจัดงานวันกตัญญูผู้อายุยาวขึ้นที่บริเวณลานทรายพระวิหารฯ โดยพ่อท่าน ได้แสดงธรรม แก่ผู้อายุยาว หลังจากนั้นตัวแทนผู้อายุยาวกล่าวอวยพรให้แก่ลูกหลานๆ

 

แล้วพิธีรดน้ำขอพรจากผู้ใหญ่ก็เริ่มขึ้น โดยให้ผู้อายุยาวนั่งบนเก้าอี้ ๒ แถว หันหน้าเข้าหากัน แล้วลูกหลานทยอยคลานเข่า เข้ามาหา ผู้อายุยาว พร้อมกับกล่าวขอพรจากผู้ใหญ่ ปีนี้ไม่ได้ใช้น้ำรดมือผู้อายุยาวแต่เปลี่ยนมานำน้ำอบลอยดอกไม้ ยื่นให้ ผู้อายุยาว แล้วผู้อายุยาวเอามือจุ่มน้ำในขันลูบหน้าลูบตาตัวเองแล้วเอามาลูบศีรษะลูกหลานและกล่าวให้ศีลให้พร บรรยากาศ ซาบซึ้ง ประทับใจ เรียบง่ายแต่ได้จิตวิญญาณ มีชาวชุมชนสันติอโศกและนักเรียนดูตัวสัมมาสิกขามาร่วมพิธีคับคั่ง หลังจาก เสร็จพิธีแล้ว ลูกๆหลานๆก็นำน้ำมารดกันเองอย่างสุภาพ เป็นงานสงกรานต์แบบเรียบง่ายแต่มีความหมายยิ่งนัก นอกจากนี้ ยังได้ความเป็นพี่ เป็นน้องอีกด้วย.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



วิธีปรับร่างกายให้สมดุล (๑)

ความไม่สมดุลแบบร้อนเกินของร่างกาย ( ไฟกำเริบหรือหยาง ) ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูร้อนอากาศร้อนอบอ้าว มีโอกาสที่ไฟ ในร่างกาย จะกำเริบได้ง่าย พอดีมีโอกาสได้ความรู้จากหมอเขียวเกี่ยวกับไฟกำเริบ ก็เลยเก็บมาฝาก

ก่อนอื่นเราควรทราบว่าความเจ็บป่วยของเรานั้นเกิดขึ้นเนื่องจากความไม่สมดุลของร่างกาย ในที่นี้จะขอกล่าวถึง ความไม่สมดุล ของภาวะ ร้อนเกิน และเย็นเกินของร่างกาย เนื่องจากขณะนี้ก็หน้าร้อนพอดีจะขอคุยเรื่องความร้อนเกินของร่างกายก่อน นะคะ

อาการร้อนเกินในร่างกายเป็นอย่างไร ?
เราลองมาเรียนรู้ตรงนี้กันก่อนที่จะมาทราบว่าถ้าเกิดอาการนี้แล้วเราจะแก้ไขอย่างไรดี อาการร้อนเกิน หรือไฟกำเริบ ในร่างกายของเรา มีดังนี้คะ หน้าแดงกว่าปกติ, มีตุ่มในช่องปากด้านล่าง, ตาแดงตาแห้งแสบตา, ปากแห้งคอแห้ง, ปวดหัว, ริมฝีปาก และขอบตาคล้ำ, เหนื่อยล้าอ่อนเพลีย, เจ็บคอเสียงแหบ, ผิวหนังเหี่ยวย่น, เจ็บหน้าอกด้านซ้าย และหายใจไม่อิ่ม, ขี้ร้อน เท้าร้อนกว่าปกติ, มีผื่นหรือตุ่มคัน ตกกระสีน้ำตาลหรือสีดำ, เป็นฝี เริม งูสวัด, ส้นเท้าแตก ถ้ามีอาการเหล่านี้ มากกว่า ปกติ ที่เป็นอยู่แสดงว่า มีความร้อนเกินภายในร่างกาย ความจริงหมอเขียว ได้กำหนดอาการไว้เป็น ระดับที่ ๐, ๑, ๒, ๓ คือ ไม่พบอาการ, พบน้อย, พบปานกลาง และพบมาก ตามลำดับคะแนน โดยให้เราสำรวจตัวเอง ภายใน ๑ สัปดาห์ ที่ผ่านมา ว่ามีอาการอย่างนี้หรือเปล่า ถ้ามีอาการมากคะแนนก็มาก เรียกว่าเกิดอาการไฟกำเริบ ในร่างกายมากเกินไป ซึ่งก็อาจจะทำให้เรา เกิดอาการไม่สบายได้ เพราะว่าอะไรก็ตาม ถ้ามากหรือน้อยเกินไป ก็ไม่เป็นผลดีทั้งนั้น ความสมดุลหรือทางสายกลาง เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ทั้งร่างกาย และจิตใจ

ถ้าเราเป็นคนใจร้อนเกินไปก็จะเผาตัวเราก่อนแล้วก็ลุกลามไปเผาคนข้างเคียงให้ร้อนไปด้วย ซึ่งคงต้องดับร้อนแบบนี้ ด้วยพระธรรม จึงจะดับได้ ส่วนเรื่องความร้อนเกินในร่างกายหมอเขียวก็มีคำแนะนำในการปรับให้เข้าจุดสมดุลไว้ เหมือนกันคะ แต่คงต้อง ติดตาม ตอนต่อไปในฉบับหน้านะคะว่าหมอเขียว จะแนะนำไว้อย่างไร คิดว่าจะคลายร้อน ให้รู้สึกสบายได้ ไม่น้อยเลยคะ อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะคะ.

- กิ่งธรรม -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน ปฐมอโศก - อินทร์บุร

สิ่งที่ชาวชมรมเพื่อนช่วยเพื่อนภูมิใจมากที่สุดก็คือ ผลงานเกี่ยวกับชีวภาพที่ช่วยในเรื่องของสุขภาพ และเรื่องการเกษตร เรื่องสิ่งแวดล้อม นอกจากเราจะได้พิสูจน์ทดลองเผยแพร่มาเป็นระยะเวลายาวนาน จนทุกวันนี้เป็นที่นิยม และรู้จักกัน อย่างแพร่หลาย มีหลายหน่วยงานขอทำวิจัย สื่อทางทีวี หนังสือพิมพ์ต่างๆก็ขอสัมภาษณ์มากมาย ใครมาขอศึกษาดูงาน ก็ยินดี ถ่ายทอดความรู้ให้ อย่างไม่ปิดบัง จนมีลูกศิษย์ลูกหาไปทั่วประเทศ

ล่าสุดเมื่อเร็วๆนี้ ชาวบางบัวทองก็มาขอศึกษาดูงาน พอดีในวันนั้นก็มีเกษตรกรปลูกมะขามเทศ ได้นำมะขามเทศฝักโต มาให้ดู ถุงใหญ่ เขาเล่าว่า ตั้งแต่เอาปุ๋ยหมักและน้ำชีวภาพ ของชมรมเพื่อนช่วยเพื่อนไปใช้ มะขามเทศของเขาดกมาก ฝักก็ใหญ่ รสชาติหวาน มันกว่าเดิม เจ้าของสวนชื่อ คุณศรีนวล เฉื่อยราษฎร์ และ คุณธวุฒิ เผือกยอด สองสามีภรรยา มีสวนมะขามเทศ อยู่ใกล้ๆชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน ที่อินทร์บุรี มาพบด้วยความดีใจ เราเลยเอาขึ้นเวที เล่าประสบการณ์ ให้ชาวบางบัวทองได้ฟัง และให้ชิม มะขามเทศด้วย ฝักใหญ่ชั่งได้ ๑๘ ฝัก ต่อ ๑ กก. แต่ก่อน ๒๐ กว่าฝักจึงจะได้ ๑ กก. มะขามเทศของเขา ไร้สารเคมี ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่ฉีดยาเคมีใดๆ ซึ่งแต่ก่อนใช้เคมี ผลผลิตก็ไม่ดี พอเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยหมัก และน้ำชีวภาพ ผลผลิตดีกว่าเก่ามาก รสชาติก็ดี ใครกินก็ติดใจ ทำให้ได้ราคาดี คนไปซื้อถึงที่ จนไม่พอขาย สนใจดูได้จาก วีซีดี ติดต่อ ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน ตู้ ปณ ๖๗ ปทจ. นครปฐม ๗๓๐๐๐ หรือ โทร. ๐-๑๘๓๕-๖๑๐๘

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

 

เจริญธรรม สำนึกดี พบกันอีกวาระกับ นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๕๓ (๒๗๕) ปักษ์หลัง ๑๖-๓๐ เม.ย. ๔๘

สำหรับความเคลื่อนไหวของชาวเราในรอบปักษ์ที่ผ่านมา มีดังนี้

ทดสอบ...ช่วงงานปลุกเสกฯ ชาวเราก็มีการทดสอบในเรื่องมานทิฏฐิ ที่จะได้เข้าร่วมงานวิสาขบูชาโลก ที่พุทธมณฑล ว่า จะใส่เสื้อสีขาว หรือสีน้ำเงิน เพื่อความเหมาะสม

พอหลังงานปลุกเสกฯ ก็ได้อ่านใจตัวเอง ที่มีคนบางกลุ่มต่อต้านพ่อท่านและชาวอโศก ไม่ให้เข้าร่วมงานวิสาขบูชา ที่พุทธมณฑล แม้ท่าทีทางอาณาจักรจะเปิดไฟเขียว แต่ทางศาสนจักรไม่ยินยอม

พ่อท่านก็ไม่ดึงดัน ไม่ใช้อำนาจทางโลกมาเป็นพวก แต่เห็นว่าชาวพุทธเราจะเกิดความขัดแย้งจนนำไปสู่การทะเลาะวิวาท เป็นที่น่าละอาย ต่อสายตาศาสนิกชนทั่วโลกที่รับรู้ข่าวนี้ จึงขอถอนตัว เพื่อความสบายใจ ของหลายๆฝ่าย

ก็เป็นตัวอย่างให้ชาวเราได้เรียนรู้ตัวจิตที่รู้จักยอม ไม่ยึดมั่นถือมั่น จนเป็นโอฬาริก อัตตา

ถ้าเรามีตัวยอมจริง เราก็จะเกิดความเข้าใจ เห็นใจผู้อื่น

ในสมัยพุทธกาล ก็มีพระยึดหลักการจนทะเลาะวิวาทกันเพียงแค่เรื่องถูกหรือผิดเกี่ยวกับน้ำติดก้นกะลา พระพุทธเจ้า ต้องเดินทาง ไปโปรดพระแต่ละฝ่าย ให้คลายทิฏฐิ ไม่ให้พระฝ่ายหนึ่งเอาผิดจนเกินไป แล้วไปสอนพระอีกฝ่าย ให้ยอมผิด ตามเขาว่า จะได้สมานสังวาสกันได้ แต่ก็ไม่เป็นผล แม้พระพุทธเจ้าจะยกตัวอย่างของทีฆาวุกุมาร ที่ให้อภัย คนที่จับพ่อแม่ ตัวเอง ไปฆ่าตัดคอ เสียบประจานอยู่บนกำแพงเมือง ให้พระทั้ง ๒ ฝ่ายฟังว่า ขนาดเขาถูกกระทำผิดอย่างรุนแรง คนทางโลก เขายังให้อภัย ไม่ถือโทษกันได้ นี่ก็แค่เรื่องทิฏฐิถูก-ผิด เพียงเรื่องน้ำติดก้นกะลาแค่นี้ ทำไมจึงไม่ให้อภัยกัน แล้วยิ่งไม่มีรูปธรรม ที่จะแสดงความถูก-ผิด เป็นเพียงทิฏฐิในเรื่องหลักการศาสนา ถ้าถือกัน ก็ยิ่งหลงทางชนิดคุยกันไม่เข้าใจง่ายๆ... เวลาเขาว่า สมณะเรา ประดุจดังเมียน้อย ทั้งๆที่เราไม่ยอมให้ข่มขืน จนต้องหนีออกจากบ้านคนบ้าอำนาจ แล้วเราถูกประจานว่า เราเป็น เมียน้อย เราจะวางใจได้ไหม?...เขาด่า ว่าเราเป็นคนนอกศาสนา กล่าวหาว่าเราสอนให้คนไม่เคารพกราบไหว้พระพุทธรูป เราถูกคน ใส่ไข่ ใส่ร้าย เราจะวางใจได้ไหม จะไม่โกรธคนที่กล่าวหาเราผิดๆไหม... นี่แหละเราจะได้แผ่เมตตาแบบให้ถึงจิต มิใช่แค่สวด เป็นภาษาไปยังงั้นๆ เพียงให้คนได้ยิน แล้วเข้าใจว่า เรามีเมตตา แต่การกระทำกลับตรงข้าม กาย-วาจา ไม่เป็น ดั่งที่สวด ทั้งหมดนี่จิ้งหรีดได้บอกสอนตัวเอง ไม่เกี่ยวกับใครนะฮะ เพราะไม่อยากให้โจทย์ชนิดนี้ผ่านไป โดยเราไม่สามารถ เก็บเกี่ยวประโยชน์ได้

อย่าลืมว่า ขนาดพระพุทธเจ้ายังถูกว่าร้ายอย่างผิดๆ แถมยังถูกปองร้ายจะให้ถึงแก่ชีวิตในหลายๆวิธี แล้วประสาอะไรกับ ชาวเรา จริงไหม? ข้อสำคัญอย่าคิดและทำแบบนั้น จะเจริญเมตตาเช่น พระพุทธองค์ตลอดเวลา ไม่คิดร้ายกับใครนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ...

ยุวพุทธฯ'๔๘...ปีนี้ครูตุ๊กต้องเข้ามาเป็นแม่งานเต็มตัวในงานยุวพุทธฯที่สันติอโศก ขนาดวันรวมญาติก็ต้องสละไม่ไป
จนญาติ หลายคนถามถึง ครูแดง (ชัยมงคล) ก็กลับจากรวมญาติที่ จ.ระนอง ก็มาช่วยงานเป็นขวัญใจเด็กๆ ศิษย์เก่า พุทธธรรม นักเรียน สัมมาสิกขาหลายคนก็มาช่วยงานดูน่าอบอุ่นใจ

แนน(ลูกสาวคุณจันดี) ตอนนี้ก็โตขึ้นมากมาร่วมงานยุวพุทธฯ ได้ข่าวว่าเรียน ได้ที่ ๑ ของห้อง สมณะก็บอกว่า มีไอคิวดี แต่อย่าลืม เพิ่มอีคิว จะได้ไม่ขี้เบื่อ ขี้เซ็ง ขี้เกียจ กี้(ลูกหลานคนชุมชนสันติฯ) เจอมรสุมชีวิตภายในครอบครัว ท่านโพธิสิทธิ์ คุณสวยใส ก็เอาใจใส่คอยเป็นเพื่อนให้แง่คิด ให้กำลังใจ...ครูหญิงที่มาจากกลุ่มผู้ปกครอง นักเรียนพุทธธรรม ปีนี้ก็ส่งลูก (น้องเอ็นดู) เข้าเรียน ม.๑ สส.สอ. นี่ก็เข้าวัดตั้งแต่เด็กอนุบาล ก็หวังว่าคงสอบผ่านเข้าเป็นนักเรียน สส.สอ.ได้นะฮะ...

จิ้งหรีดเดินไปดูงานเล่นรอบกองไฟ ของยุวพุทธฯ ก็เห็น ดำ ซึ่งเป็นศิษย์เก่า สส.สอ.มาช่วยตีกลองสร้างความบันเทิงให้ กับน้องๆ ก็รู้สึกประทับใจที่มาช่วยงาน... หนูดี(อภิรดี) ก็มาช่วยงานกับคุณแม่ในฐานะครูพุทธธรรม ก็ต้องคอยดูแลเด็ก มิให้ก่อการ ทะเลาะวิวาท ตูน ก็มากับแม่ ใบลำเนาช่วยรวบรวมรายชื่อเด็กที่มาเข้าค่ายพร้อมที่อยู่ ซึ่งตูนก็บอกกับจิ้งหรีดว่า ได้ประสบการณ์ดี...

งานนี้ลูกคุณสมยศชื่อพร้าว ก็มาร่วมงานยุวพุทธฯ ได้ข่าวว่า จะสมัครเข้าสัมมาสิกขาเหมือนกัน...พี่ดาวศศิธร จเร หรือ อาดาว ตอนนี้ ก็ยังสละเวลามาช่วยงานยุวพุทธฯ ก็ถือว่าเป็นพันธุ์แท้ของพุทธธรรมคนหนึ่ง ในปีการศึกษาหน้า ก็จะกลับมาช่วยสอน นร.สัมมาสิกขาสันติอโศกอีกเช่นเคย เดี๋ยวนี้จิ้งหรีดได้ข่าวว่า จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปค้างบ้านราชฯ แล้ว ช่วงงานปลุกเสกฯ ที่ผ่านมา จิ้งหรีดก็เห็นพ่อแม่พี่ดาวเดินชมรอบๆบริเวณชุมชนศีรษะอโศก...

เด็กยุวพุทธฯ'๔๘ ท่านปพโล และคณะครูพุทธธรรม ต่างลงความเห็นว่า ปีนี้ลงตัวกว่าปีที่แล้ว ปัญหาปีที่แล้วคือ มีเด็กวัยรุ่น มาร่วมอบรมกับเด็ก ทำให้ดูแลได้ยาก สมณะยังเทศน์ยากเลย เพราะภพของเด็กเล็กกับเด็กวัยรุ่นย่อมต่างกันมาก เป็นธรรมดา นี่ก็คงเป็นหลักการ ให้เป็นแนวทางในการจัดงานในปีต่อๆ ไป...

พี่อ๋อย หรือ อาอ๋อยของเด็กๆ พุทธธรรมในปัจจุบัน ก็เป็นรุ่นแรกของงานยุวพุทธฯ ก็สละเวลามาช่วยงานอบรมน้องๆ พุทธธรรม ที่มาสมัครอบรมในงานนี้ด้วย... หลานคุณคำแดง จาก จ.เชียงราย ก็มาร่วมการอบรม จิ้งหรีดเห็นเด็กๆหลายคนตั้งแต่ตัวเล็กๆ ๒-๓ ขวบ นี่ก็โตมารับการอบรมคุณธรรมได้แล้ว แสดงว่าจิ้งหรีดก็อายุยาวขึ้นแล้วซีฮะ ก็ต้องพัฒนาตนให้ยิ่งๆขึ้นไป... อากรัก ตรงธรรม ก็กำลังฝึกฟังเด็กๆ เรียนรู้ภพของเด็กๆ เผื่อจะได้แบ่งเบางานชุมชนเกี่ยวกับเด็กๆได้บ้าง ก็เรียนรู้ได้เข้าใจขึ้น หลายอย่าง ใครสงสัยว่า รู้อะไร ก็ไปถามกันเองนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ...

รุ่นเก๋า...หลังจากนาคธาตุบุญ (ไพรัช ข่าทิพย์พาที) ไปฝึกตัวเองอยู่ที่บ้านราชฯ เมืองเรือ เมื่อวันที่ ๒๒ เม.ย.๔๘
คุณนรินทร บำรุง ก็สมัครเป็นปะอีกคน จิ้งหรีดได้เห็นปะรุ่นหลัง ก็รู้สึกว่า เป็นคนรุ่นเก๋า (คือยิ่งว่า เก่า) ก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่า ยังมีเรี่ยวแรง มาสมัครเตรียมตัวบวชกับเขาได้ ก็น่าทึ่งนะฮะ ถ้าผ่านการขัดเกลาขึ้นมาได้เพราะผู้อายุมาก พระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า ทิฏฐิสูง แต่ทั้ง ๒ คนก็คงฝึกลดอัตตามานาน จึงได้ตัดสินใจมาสมัครเป็นปะได้ ต้องมาเป็นผู้อยู่ในการดูแล ของสมณะ อายุรุ่นน้อง รุ่นหลัง รุ่นลูกและรุ่นหลาน นี่แหละฮะ คือ ความอัศจรรย์ของพระธรรมวินัยนี้... จี๊ดๆๆๆ...

ขนเรือยักษ์...อีกครั้งที่หลวงตาพรหมฯ พาคณะไปขนเรือยักษ์จากแม่น้ำเจ้าพระยาสู่ราชธานีอโศก ซึ่งกลายเป็น บ้านราชฯ เมืองเรือ ซะแล้ว จิ้งหรีดรับรองว่า ในภาคอีสาน ไม่มีจังหวัดไหน ที่จะมีเรือยักษ์ มากมาย เท่าที่บ้านราชฯ ซึ่งกลายเป็นเมืองเรือ สมชื่อ

ปีนี้มีสมณะไปช่วยน้อย และทุกปีที่ผ่านมาก็จะมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ยังไงๆ ก็ระมัดระวังกันด้วยนะฮะ จิ้งหรีดเป็นห่วง ฮะ...จี๊ดๆๆๆ...

ประทับใจ...บ้านราชฯเมืองเรือยามนี้ก็ยังคงมีกิจกรรมมากมายให้ทุกคนได้ขวนขวายสะสมบุญ เริ่มกันตั้งแต่หลังงานปลุกเสกฯ วันที่ ๑๗-๒๑ เม.ย.๔๘ ก็มีงานอบรมเจ้าหน้าที่ดูแลคนตาบอดรุ่น ๑ วันที่ ๒๑-๒๕ เม.ย. งานยุวพุทธฯและ นร.เตรียม สัมมาสิกขา ม.๑,วันที่ ๒๕-๒๙ เม.ย. อบรม จนท.ดูแลคนตาบอด รุ่น ๒ โดยหากผู้เข้าอบรมเป็นผู้ใหญ่ก็จะให้ ผู้ใหญ่ เป็นพี่เลี้ยง แต่ถ้าเป็นเด็กเข้าอบรม ก็จะให้ นร.สส.ธ.เป็นพี่เลี้ยงดูแล และแม้งานอบรมจะติดๆกันขนาดนี้ แต่กิจวัตร ของชาวบ้านราชฯ เมืองเรือก็ยังมีต่อเนื่อง จะมีก็แต่การทำวัตรเย็นเท่านั้น ที่จะถูกเปลี่ยนเป็นการประชุมแทน

สำหรับอาหารในช่วงอบรมก็ต้องมีการเพิ่มสีสันและรสชาติมากขึ้นหน่อย เพื่อเอื้อให้ผู้มาฝึก เผื่อจะเป็นแรงจูงใจ ให้หันมากิน มังสวิรัติได้บ้าง แถมก่อนกลับชาวเราก็ยังเชียร์มังสวิรัติกันแบบสุดๆ โดยแจกข้าวห่อพร้อมผักสดจากไร่บ้านราชฯ ให้กินกัน ระหว่างทาง บวกด้วยเจลว่านหางจระเข้ที่กำลังฮิตติดตลาดอีกคนละหลอด แหม! อย่างนี้ใครๆที่มาบ้านราชฯ จะไม่ ติดใจ และ ประทับใจ ได้อย่างไร จิ้งหรีดก็ขออนุโมทนาสาธุด้วยนะฮะ...ได้ยินเสียงลอยลมมาเข้าหูจิ้งหรีด ว่าไปบ้านราชฯ แล้วประทับใจ สม. กล้าข้ามฝัน อโศกตระกูล จริงๆ เพราะแม้ท่านจะเป็นหญิง แต่ก็มุ่งมั่นทำงาน ทั้งบริหาร ทั้งลงลุย ชนิดพลีชีพเพื่อศาสนา จริงๆ อย่างตอนนี้ชาวบ้านราชฯ ต้องแบ่งกำลังไปช่วยขนเรือที่ปทุมธานี กำลังพลรวมกับญาติธรรม อีกหลายที่เกือบร้อยชีวิต ทำให้คนในพื้นที่เหลือน้อย ประจวบกับงานอบรมที่มีติดต่อกันเป็นช่วงๆ แต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะสิกขมาตุ สามารถผันแปร กำลังคนที่มีอยู่ให้เหมาะสมกับงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ งานจึงลุล่วงไปด้วยดี สาธุ... จี๊ดๆๆๆ...

มรณัสสติ
ยายสุบิน คำชนะ อายุ ๗๘ ปี (แม่ของคุณบัวแก้ว คำชนะ ยายของคุณป่าฝนคำชนะ) เสียชีวิตเมื่อ พฤ.๒๑ เม.ย.๒๕๔๘ ที่บ้านหนองโนทอง (๑๔๘ ม.๒) ต.เสาเล้า อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์

นางกุหลาบ ธนะโชค อายุ ๗๔ ปี (แม่ของคุณจับใจ และคุณดินดอน) ฌาปนกิจเมื่อ ๒๔ เม.ย.๒๕๔๘ เวลา บ่ายโมง ที่วัดเขาพระ อ.เดิมบางนางบวช ต.เขาพระ จ.สุพรรณบุรี

คติธรรม-คำสอนท้ายฉบับ
การไม่อยากเด่น ไม่อยากดัง
ไม่อยากอวดนั้นดีแล้ว
แต่ถ้าไม่ทำ ไม่แสดง ไม่รับภาระช่วยกัน
ก็เลวได้เหมือนกัน.
(สารอโศก ฉบับ เม.ย.๒๙)
(จากหนังสือโศลกธรรม สมณะโพธิรักษ์ หน้า ๑๐๐)

พบกันใหม่ฉบับหน้า
- จิ้งหรีด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


วัยรุ่นยังซึ้ง ชีวิต...เฒ่าทระนง
แห่จดข้อคิดจากชีวิตปู่เย็น

ฮิตฮ็อตจริงๆ สำหรับเรื่องราวชีวิตของปู่เย็น เฒ่าทระนงซึ่งหลังจากที่มีการนำเรื่องราวชีวิตของปู่เย็นมาออกอากาศในรายการ คนค้นคน ปรากฏว่า คนทุกกลุ่มต่างก็พูดถึงปู่เย็นกันเป็นแถว ไม่เฉพาะผู้ใหญ่วัยทำงานนะ บรรดาคนรุ่นใหม่ ก็แห่เป็นแฟน พันธุ์แท้ของปู่เย็น กันเป็นทิวแถว การันตีได้จากไม่ว่าจะเข้าไปเม้าธ์ที่กลุ่มไหน ในกลุ่มนั้นต้องมีใครสักคน หยิบเรื่องปู่เย็น มาพูดคุยกัน

"ฉันชอบปู่เย็นยัง แกสุดยอดเลย" นางสาวกนกพร วรรณกิจจา อายุ ๑๘ ปี เปรย

เธอให้สัมภาษณ์เป็นฉากๆ เลยว่าชอบปู่เย็นตรงไหน อย่างไร

"ดูปู่เย็นตั้งแต่ตอนแรก ได้หลายอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่ายุคนี้ยังมีคนแบบปู่เย็นอยู่ ที่จำได้คือชอบคำพูดที่แกบอกว่า

หอยมันไม่มีมือ มีเท้า มันยังหากินของมันได้ มันยังไม่อดตาย แล้วคนเรามีมือมีเท้า จะอดตายได้ยังไง สุดยอดเลย ชีวิตของ ปู่เย็น สอนเราได้มากกว่าการอ่านหนังสือเสียอีก เพื่อนๆในกลุ่มต่างก็นับถือปู่เย็นมากๆ"

ทางด้าน นายประถม วงศ์วรจักร อายุ ๑๗ ปี เป็นอีกหนึ่งวัยรุ่นที่ซึมซับข้อคิดดีๆ จากชีวิตปู่เย็น กล่าวว่า นับถือปู่เย็นมาก เป็นสุดยอด ของคน เท่าที่ดูรู้สึกว่าปู่เย็นเป็นคนที่เกรงใจผู้อื่นมากๆ อีกทั้งแต่ละประโยคที่ปู่เย็นพูดออกมา มันสะท้อน ให้เห็นเลยว่า ชายชราคนนี้ไม่ธรรมดา ปู่เย็นมีชีวิตที่สมถะมาก น่าชื่นชม

"ชีวิตของเราก็เหมือนการขึ้นสะพาน ช่วงกลางๆของสะพานมันจะแข็งแรง แต่พอปลายๆมันก็เริ่มอ่อนลง แล้วสุดท้าย ทุกคน ก็ลงสะพาน ปู่เย็นเปรียบเทียบกับความตาย ผมชอบมาก สุดยอด คำพูดคมมากๆ น่านับถือนะ จะหาคนดีดี แบบปู่ได้ที่ไหนอีก อยากให้โลกเรา มีคนแบบปู่เยอะๆ โลกคงจะมีแต่คนดี"

นางสาวจิราภรณ์ สังกะกิต อายุ ๑๖ ปี ให้สัมภาษณ์ว่า ชอบรอยยิ้มปู่เย็นมากๆ เพราะเป็นรอยยิ้มที่สดใส

ปู่เป็นยอดคน จริงๆ มีคนมาขอต้นไม้ปู่ก็ให้หมดเลย เหลือไว้แค่ต้นเดียว ประทับใจที่ปู่ว่า ปู่ไม่เคยกลัวอะไรเลยในชีวิตนี้ ความตาย ก็ไม่กลัว

"ชีวิตนี้ปู่เย็นไม่เคยเอาเปรียบใครเลยถึงแม้ว่าปู่จะเหนื่อย แต่ปู่ก็ยิ้มได้ตลอดเวลา ปู่เย็นอยู่บนเรือ แล้วก็มีวิถีชีวิตแบบคนไทย แท้ๆ คำพูดที่ปู่พูดแต่ละคำนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้หมด คำพูดที่ติดปากว่า 'ฉันเกรงใจเขา'

เป็นคำพูดติดปาก ที่ปู่จะพูดอยู่เสมอ ตอนหนึ่งที่พิธีกรเขาถามว่า กลัวอดมั้ย ปู่บอกว่า ไม่กลัว ถึงจะไม่มีกินก็จะไม่ขอใคร เพราะไม่อยาก เป็นหนี้บุญคุณคน ถ้ามีกินก็กิน ไม่มีก็อด ไม่ขอใคร เกรงใจคนอื่นเขา"

ส่วน นายพงศ์เทพ สารินันท์ อายุ ๑๙ ปี จำประโยคเด็ดของปู่เย็นที่ว่า คนเราก็ ๑๐ คน ๑๐ ใจ เราไม่รู้หรอกเขาคิดยังไง สู้ทำเองเลยดีกว่า มันเป็นประโยคสอนใจที่ดีจริงๆ ซึ่งตอนแรกตนไม่ได้ตั้งใจดู แต่แม่เรียกให้ดู พอได้ดูแล้วชอบมากๆ

ปู่เป็นคนไม่โลภ ขี้เกรงใจ ไม่เอาเปรียบใคร อยู่แบบพอเพียง อยากให้พวกเด็กยุคนี้ที่ชอบใช้ชีวิตไร้สาระ หวังแต่สบาย ได้ดูกันเยอะๆ เพราะสมัยนี้พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาอบรมสั่งสอนลูก มัวแต่หาเงิน คิดถึงที่ปู่เย็นพูดว่า เงินน่ะตายไป ก็เอาไปไม่ได้ การดำเนินชีวิตของปู่เย็น มีข้อคิดดีๆ แฝงอยู่เยอะมากๆ

"ถ้าเด็กไทยมีความคิดเหมือน 'ปู่เย็น' คงจะดี อยากบอกเด็กวัยรุ่นแถวๆ ที่ปู่เย็นอยู่ว่าอย่าไปปาก้อนหินใส่แกเลย แกน่าสงสาร จะไปแกล้งแกทำไม แกก็อยู่ของแกไปเฉยๆ ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับใคร ปู่เย็นเป็นคนแก่ที่ไม่งอมืองอตีน ไม่ขอใครทำอะไร ก็ทำด้วย ตัวเองตลอด ชอบคนแก่แบบนี้ ผมจะเอาชีวิตของปู่เย็นเป็นแบบอย่างในด้านความเป็นอยู่แบบสมถะ รู้จักพอ และรู้จัก ประมาณตน ขอบคุณปู่เย็นที่ทำให้คนไทยได้รู้จักอะไรมากขึ้น"

นี่เป็นเพียงบทสัมภาษณ์ของวัยรุ่นบางส่วนเท่านั้น แต่จากการเดินสุ่มไปในกลุ่มวัยรุ่นแทบร้อยทั้งร้อยรู้จักปู่เย็น และแทบทุกคน ต่างอยากจะเล่าข้อคิด อยากจะบอกประโยคเด็ดที่ได้จากชีวิตปู่เย็น ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากจะสะท้อนให้เห็นว่า วัยรุ่น ยุคนี้ ยังมีอีกเยอะ ที่ไม่ได้ปล่อยชีวิตให้ไร้สาระไปวันๆ พวกเขาพร้อมที่จะเสพในสิ่ง ดีๆให้กับชีวิต ที่สำคัญหนนี้ มันยังสะท้อน อีกว่า วัยรุ่นพร้อมที่จะนำคำสอนดีๆ จากผู้ใหญ่ไปใช้ในการดำเนินชีวิต เพียงแต่ว่าผู้ใหญ่จะสอนแบบไหน สอนด้วยปาก หรือ สอนด้วยการกระทำ ชีวิตของปู่เย็น คงเป็นคำตอบได้ดี สำหรับผู้ใหญ่ยุคนี้อีกเช่นกัน.

เรือพระราชทาน
นายเย็น แก้วมณี เฒ่าทระนงวัย ๑๐๕ ปี กำลังพายเรือพระราชทาน หลังจากนายประสงค์ พิทูรกิจจา ผู้ว่าราชการจังหวัด เพชรบุรี ร่วมกับผู้เกี่ยวข้อง ทำพิธีมอบให้ต่อหน้า พระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๘

(จาก นสพ.มติชน วันจันทร์ที่ ๒๘ มี.ค.๔๘ )

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


อ้วน-เครียด-เมา-ไม่อบอุ่น
คนไทยวันนี้ ! จน-ว่างงานลดลง 'แต่ ไร้สุข'
สภาพัฒน์ สรุปภาวะสังคม

สภาพัฒน์สรุปภาวะสังคมไทยปี'๔๘ พบคนจนลดลง ว่างงานน้อยลง คุณภาพชีวิตดีขึ้นแต่ภาวะสังคมเสื่อมทรุด สุขภาพคน แย่ลง โรคอ้วน-เครียดรุมเเร้า ครอบครัวไม่อบอุ่น หย่าร้างพุ่ง ๕๐% ทำแท้ง ๓ แสนรายต่อปี 'สมคิด' ดึง 'สรรพากร' ข่มเจ้าหนี้ นอกระบบ

เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ที่สำนักพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ (สคช.) นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช เลขาธิการ สคช. และนายบุญยงค์ เวชมณีศรี พร้อมคณะ ได้แถลงข่าวเรื่อง "รายงาน ภาวะสังคม" ผลการศึกษาวิจัยพบว่า คุณภาพชีวิตของคนไทยโดยทั่วไปดีขึ้นจากการที่คนจนลง มีการศึกษาสูงขึ้น อัตรา การว่างงานลดลง และคดียาเสพติดลดลง อย่างไรก็ตาม ในด้านภาวะสุขภาพนั้น คนไทยป่วยเป็นโรคอ้วน และโรคเครียด มากขึ้น อัตราการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น สัดส่วนด้านความอบอุ่นในครอบครัวลดลง จากการหย่าร้างที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับ เรียกร้อง ให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาสำคัญที่น่าเป็นห่วงคือ อุบัติเหตุ จราจรทางบก และวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ ก่อนวัยอันควร

นายบุญยงค์รายงานตัวเลขจากการสำรวจ พบว่าในประเด็นคุณภาพชีวิตดีขึ้น ได้แก่
๑.สัดส่วนคนจนลดลง จากร้อยละ ๑๓.๑ ในปี ๒๕๔๔ เหลือร้อยละ ๙.๘ ในปี ๒๕๔๕

๒.อัตราการมีงานทำสูงขึ้น จากร้อยละ ๙๔.๘ ในปี ๒๕๔๔ เพิ่มเป็นร้อยละ ๙๖.๔ ในปี ๒๕๔๕ และร้อยละ ๙๗.๒ ในปี ๒๕๔๖ เนื่องมาจากเศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง

๓.ประชากรอายุ ๑๕ ปีขึ้นไปมีจำนวนการศึกษาเพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยปี ๒๕๔๔ - ๒๕๔๖ คิดเป็น ๗.๕ ปี และ ๗.๖ ปี และ ๗.๘ ปี ตามลำดับ

๔.สัดส่วนคดียาเสพติดต่อประชากรลดลง จาก ๐.๓๓ เป็น ๐.๒๙ และ ๐.๑๒ คดี ต่อจำนวนประชากร ในปี ๒๕๔๔ -๒๕๔๖ ตามลำดับ นอกจากนี้ลำดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้นเล็กน้อยจากปี ๒๕๔๑ อยู่ลำดับที่ ๗๖ จาก ๑๗๔ ประเทศ มาเป็น ลำดับที่ ๗๔ ในปี ๒๕๔๖

นายบุญยงค์กล่าวถึงภาวะทางสังคมที่เป็นปัญหามากขึ้น ประกอบด้วย
๑.ปัญหาด้านสุขภาพจากโรคอ้วนก็เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มอายุ ซึ่งจากการสำรวจในรอบ ๑๐ ปี (พ.ศ.๒๕๒๙ และ ๒๕๓๘ ) พบว่า กลุ่มอายุ ๔๐-๔๙ ปี มีอัตราเพิ่มขึ้นสูงสุดจากร้อยละ ๑๙.๑ เป็นร้อยละ ๔๐.๒ รองลงมาคือกลุ่มอายุ ๒๐-๒๙ ปี เพิ่มขึ้น จากร้อยละ ๓ เป็นร้อยละ ๒๐ และกลุ่มอายุ ๐-๕ ปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๑.๗ เป็นร้อยละ ๕.๔ นอกจากนี้ คนไทยยังเป็น โรคเครียด เพิ่มขึ้น จากร้อยละ ๖๒.๖๒ ในปี ๒๕๔๔ เป็นร้อยละ ๖๖.๒๑ ในปี ๒๕๔๖

๒.การดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นจาก ๑,๖๐๔.๔ ล้านลิตรในปี ๒๕๔๐ เป็น ๑,๙๒๖.๑ ล้านลิตรในปี ๒๕๔๔ โดยในวัยทำงาน (๒๕-๒๙ ปี) ชอบดื่มมากที่สุด รองลงมาคือกลุ่มเยาวชน นอกจากนี้กลุ่มเยาวชนยัง สูบบุหรี่เพิ่มขึ้น จากร้อยละ ๒๔.๖ ในปี ๒๕๔๒ เป็นร้อยละ ๒๖.๙ ในปี ๒๕๔๔

๓.ความอบอุ่นในครอบครัวมีแนวโน้มลดลง โดยดัชนีสัมพันธภาพลดลงจากร้อยละ ๗๓.๕ ในปี ๒๕๔๔ เป็นร้อยละ ๗๐.๘ ในปี ๒๕๔๕ โดยมีสาเหตุมาจากการหย่าร้างเพิ่มขึ้น จาก ๓๖,๐๐๐ ราย ในปี ๒๕๔๕ เป็น ๗๐,๐๐๐ รายในปี ๒๕๔๖ หรือ เพิ่ม ร้อยละ ๔๐ ทั้งยังเกิดจากการจดทะเบียนสมรสลดลง และสมาชิกในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าน้อยลง

นายจักรมณฑ์ กล่าวสรุปว่า ปัญหาสำคัญที่จะเสนอต่อรัฐบาลให้ทำการแก้ไขต่อไปคือ
๑.อัตราการตายด้วยอุบัติเหตุการจราจรทางบก ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก ๒๐.๕ ในปี ๒๕๔๔ เป็น ๒๑.๓ (ต่อแสนคน) ในปี ๒๕๔๕ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจในรอบปีเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๗ จาก ๑,๒๔๐.๘๐ ล้านบาท ในปี ๒๕๔๔ เป็น ๑,๔๙๔.๙๔ ล้านบาท ในปี ๒๕๔๔ โดยเป็นทรัพย์สินที่สูญเสียโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม

๒.วัยรุ่นที่อยู่ในวัยเรียนมีแนวโน้มที่จะมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรมากขึ้น จากการสำรวจของสวนดุสิตโพล และสถาบัน ไทยวิจัย และการศึกษาเพื่อการพัฒนา ระหว่าง มกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ ยังชี้ตัวเลขที่น่าเป็นห่วง และรายงานเครือข่าย ผู้หญิงกับสุขภาพ

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชื่อ นางนันทา สุวรรณ
เกิด ๑๙ ม.ค.๒๔๗๗ อายุ ๗๑ ปี
ภูมิลำเนา เชียงใหม่
สถานภาพ ม่าย บุตร ๖ คน
น้ำหนัก ๖๐ กก.
ส่วนสูง ๑๔๕ ซ.ม.

คุณป้านันทา ผู้อายุยาวของลานนาอโศก เป็นผู้ที่มีสุขภาพดี แม้จะเคยผ่าเส้นเลือดหัวใจตีบ มาก็ตาม เป็นอาสาสมัคร ช่วยงาน อยู่ที่ ชมร. เชียงใหม่ และเป็นโยมแม่ของสมณะมือมั่น ปูรณกโร สมณะของชาวอโศก

* เป็นลูกครึ่ง
ยายมีพี่น้อง ๔ คน อยู่ในเมืองไทย ๒ คน อยู่ในเวียดนาม ๒ คน พ่อเป็นคนเวียดนาม แม่เป็นคนเชียงใหม่ อายุ ๘ ขวบ พ่อแม่เสียชีวิต ต้องไปอยู่กับญาติ ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ก็ไปซื้อหนังสือมาเรียนเอง จนเขียนได้ อ่านได้ เคยสอบอภิธรรมที่วัด เมิงมาง ได้ที่ ๑

แต่งงานตอนอายุ ๒๐ ปี พ่อบ้านแก่กว่า ๖ ปี เป็นคนเวียดนาม อาชีพเย็บเสื้อผ้า พ่อบ้านสอนให้เขียนภาษาเวียดนาม เลยเขียน ได้บ้าง และส่งให้ยายเรียนเย็บเสื้อผ้า กำลังสร้างฐานะ ก็ทำทุกอย่าง ออกจากบ้าน ตั้งแต่ตี ๕ กลับเข้าบ้าน ก็ประมาณทุ่ม ลูกอยู่กับพี่เลี้ยง โชคดีที่ลูกดีทุกคน

* เกาะชายผ้าเหลือง
มีลูก ๖ คน ชาย ๕ คน หญิง ๑ คน มาบวชกับชาวอโศก ๑ คน คือสมณะมือมั่น ปูรณกโร ภูมิใจมาก เพราะท่านเรียนจบแล้ว ไม่ไปทำงานหาเงิน แต่มาทำงานเสียสละในวัด ยายกินมังสวิรัติเมื่อไปเยี่ยมท่าน สมัยเป็นนักศึกษา รามคำแหง ท่านแนะนำว่า กินเนื้อสัตว์ จะไม่แข็งแรง เห็นท่านหุงข้าวใส่ผักบุ้ง บอกว่ากินอย่างนี้ดี ไม่เปลืองเงิน ยายเชื่อ เพราะสิ่งไหนดี ลูกบอก เราก็ทำตาม ตอนนั้นอายุ ๕๘ ปี ยายก็ทำแบบง่ายๆ เอาผักมาลวกหรือผัด เอาเต้าหู้มาต้มเค็ม ก็กินมาได้สิบกว่าปี

* อาหารสุขภาพ
ผักบุ้งลวกเป็นอาหารหลักของคนเวียดนาม คนไหนรวยก็มีเต้าหู้ต้มเค็ม คนจนก็มีผักดอง น้ำลวกผักบุ้ง ก็เอามาทำน้ำซุป บีบน้ำมะนาว หรือใส่มะเขือเทศ เกลือนิดหน่อย ทุกบ้านก็กินคล้ายๆกัน ลุงโฮจิมินห์ ก็กินแบบนี้ กินข้าวเยอะ กินกับไม่มาก กินกับเยอะ เปลืองตังค์ และไม่แข็งแรง

* ชีวิตประหยัด
การประหยัดของคนเวียดนาม น้ำล้างเท้าเขาเก็บไว้ ตอนเย็นกลับจากทำงานก็เอามารดผัก ไฟก็ประหยัด เมื่อก่อน ๕ โมงเย็น เขาจะปิดไฟ ๑ ชั่วโมง คนอโศก ไม่ใส่รองเท้า คนเวียดนามที่ทำสวนทำนาก็ไม่ใส่รองเท้า มีแต่คนในเมือง ที่ใส่รองเท้า เมื่อก่อน บ้านสร้างด้วยดิน กลางคืนก็เอาฟางมาปูเป็นที่นอน

ข้าราชการที่เวียดนาม ได้ค่าแรงน้อย ขนาดครูใหญ่ทำงานมา ๔๕ กว่าปี ได้เงินเดือน ๔,๐๐๐ บาท เมื่อก่อนรัฐบาล ให้แต่ละ ครอบครัว ซื้อเนื้อหมูได้เดือนละ หนึ่งกิโลเท่านั้น แต่ข้าวซื้อจากรัฐบาล จะราคาถูก

กรรมกรได้เงินเดือนมากกว่าหมอ เพราะกรรมกรเหนื่อย แต่หมอนั่งอยู่กับโต๊ะงานสบายกว่า เงินเดือนเลยน้อยกว่า หมอเวียดนาม ขี่มอเตอร์ไซค์ แต่หมอเมืองไทยขี่รถเก๋ง กรรมกรเมื่อปลดเกษียณแล้ว ได้เงินบำนาญเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท คนงานที่ไม่มีบ้าน รัฐบาลก็ให้บ้าน กว้าง ๔ เมตร ยาว ๒๐ เมตร ก่อด้วยอิฐกับดินบล็อก เพราะรัฐไม่สนับสนุน ให้สร้างด้วยไม้

* กำไรชีวิต
ทุกวันนี้ตื่นตี ๕ ไปช่วยชมร.ช.ม.วันจันทร์-ศุกร์ ขับรถไปเอง ทำเปาะเปี๊ยะทอด หรือเปาะเปี๊ยะสด ไปขายที่ ชมร. ลงทุน เองทั้งหมด ผักก็ล้างที่บ้าน เงินที่ขายได้ ก็เข้าชมร. บางวันเจอผักไร้สารพิษ ก็ซื้อเข้าร้าน ส่วนวันเสาร์ ไปประชุมที่ลานนาอโศก

ที่มาช่วยชมร.เพราะเมื่อก่อนเรายังหนุ่มยังแน่น มัวแต่ทำงานเลี้ยงลูก แก่มาก็ต้องหากำไรเข้าตัว การทำบุญ คือกำไรชีวิต ที่จะติดตัวเราไป

* ฝากสุดท้าย
สามีเสียชีวิต ก็ไม่ร้องไห้ เพราะน้ำตาช่วยอะไรไม่ได้ การที่ต้องทำทุกอย่าง ทำให้เราไม่อ่อนแอ ความขยันและความประหยัด ต้องคู่กันไป แก่มาจะได้สบาย

ยายบอกว่าบุญคือกำไรชีวิตที่จะติดตัวเราไป แต่หลายคนกลับคิดว่า เงินทองที่หามาได้ นำมาบำเรอตัวเอง คือกำไรชีวิต แล้วท่านล่ะ คิดว่าอะไรคือกำไรชีวิต?.

- บุญนำพา รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ปฏิทินงานอโศก
งานคืนสู่เหย้าฯ ครั้งที่ ๓ ณ พุทธสถานราชธานีอโศก พฤหัสฯที่ ๑๒ -เสาร์ที่ ๑๔ พ.ค.๔๘
ตลาดไร้สารพิษฯ ครั้งที่ ๑๒ ณ พุทธสถานราชธานีอโศก จันทร์ที่ ๑๖ - พุธที่ ๑๘ พ.ค.๔๘

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
67/1 ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. 10240 โทร.02-3745230 ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ 1,500 ฉบับ

[อ่านข่าวอโศก ฉบับย้อนหลัง]