580211_สรรค่าสร้างคน(๒๗)
เรื่อง อาริยะคืออะไร ตอน ๒

พ่อครูว่า...วันนี้แรม ๘ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะเมีย เป็นวันพุธ ที่ ๑๑ ก.พ. ๕๘ วันเวลาผ่านไป คนเราหากเสียเวลากับ สิ่งไร้สาระ อาตมากล้าพูดว่า คนเรา ที่ไปหลงแย่งได้ลาภ เงินทอง ข้าวของมีอำนาจ ที่เขายกย่อง ชมเชยทางโลก เชิดชูอบายมุข ได้เงินเยอะด้วยนะ แต่ว่าเป็นบาปมหาศาล แต่เรามาใช้ชีวิต อย่างคนจนนี่ แสนสบาย ไม่ต้องไปจ่ายพลังงานแบบนั้น เรามาใช้ชีวิต แบบพระพุทธเจ้านี่ แสนสบาย

ถ้าคิดทางเศรษฐศาสตร์ เรื่องธรรมะนี่มี demand (อุปสงค์) สูงมาก ดังนั้นค่าของ supply (อุปทาน) ที่จะทำขึ้นมา จะแพงมากเลยนะ ราคาหรือค่าของมัน คนจะไปวัดค่า วัดราคาพวกนี้ ว่ามีราคาความจริง ของมันอยู่ เรื่องจริง อาตมาทำงาน ให้พวกคุณมา ขนาดนี้ อาตมาว่า อาตมารวยกว่า บิลเกตต์อีกนะ ไม่ได้ริสยา คนเหล่านั้น ไม่ได้เห็นว่า คนเหล่านั้น เลิศเลออะไร

อาตมาให้คน มามีจิตโลกุตระ แค่ไก่กระดิกลิ้น ช้างกระดิกหู งูกระดิกหางได้นี่ มันค่าสูง มากกว่ามาก เป็นเรื่องจริง ยิ่งทุกวันนี้ ยิ่งเป็นอุปสงค์ ที่เป็นความต้องการ สูงมากเลย อาตมาเลยไม่มี ความท้อเลย

อาตมาได้ความประเสริฐ ๓ ลักษณะ ที่ใช้คำว่า อารยะ อริยะ และอาริยะ มาขยาย

อารยะ นั้นขยายอยู่ ว่า คือความเก่งของคน ที่เอาเปรียบคนได้เก่ง แม้ไม่ผิดศีลธรรม จริยธรรมสากล ก็ตาม ใช้ความรู้ สามารถ ให้คนหลงนับถือบูชา นับถือว่าร่ำรวย มีคุณงามความดี มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ให้ตนได้เปรียบ โดยคนจำนนว่าสุจริต เป็นผู้ดี หรือแม้จะไม่สุจริต แต่ด้วยความเก่ง ทำให้คนเห็นตามได้ โดยเก่ง ที่จะเอากิเลส มาเป็นตัวประยุค เหตุปัจจัยที่ตนทำ เขาเก่งฉลาดปั้นเรื่อง องค์ประกอบศิลป์ ให้คนหลงเชื่อ เห็นดีตาม โดยเอาลาภ ยศ สรรเสริญสุข ที่เป็นความชอบ ของคนสามัญ เอามาปรุงแต่ง ไม่ให้คนจับได้ ทำได้เก่งเนียน เขาทำได้ จนคนยอมสยบ มีฝีมือ แน่นอนว่า ไม่ใช่เรื่องโลกุตรธรรม เขาเก่งฉิบหายเลย อาตมายอมแพ้

คนที่ต้องการได้สิ่งเหล่านี้อยู่ ก็ตกเป็นเหยื่อ เขาก็เลยยิ่งได้ มากขึ้นๆ คนโง่ทำไม่ได้นะ มันซับซ้อน คนบางคน ไม่กล้าทำ แต่นี่เขากล้าทำ คนไม่กล้าทำ ไม่ได้มี ยศศักดิ์ฐานะ สูงเท่าเขานะ แล้วใครฉลาด หรือโง่กว่ากันนะ เขากล้า เปิดเผยด้วยนะ ในโลกนี้ ก็อย่างนั้นแหละ ยิ่งเห็นว่า เป็นความยากของเรา ยิ่งคนติดทางโน้น มากเท่าไหร่ เราก็ยากเท่านั้น เลยทำให้ตัวเรา ต้องพากเพียร ขยันมากขึ้นอีก ขอบคุณพวกเรา ที่ยังมาเป็นหลักฐานให้บ้าง

คนที่หลอกคนให้หลงได้นี่ ต้องเอาโลกธรรม มาปรุงแต่งล้วนๆ จะไปเอาโลกุตระ มาไม่ได้เลย บางสำนัก ปรุงแต่งอย่างเยิ้มเลย ที่ต้องพูดตำหนิ ก็ด้วยเมตตา ไม่ได้มีจิตเกลียดชังเลย ไม่ได้มีจิตจองเวร จองกรรมกับใคร ขนาดคนมาทำอาตมา ก็ยังไม่จองเวรเลย

คนที่หมดกิเลสแล้ว ทำแต่กุศล ก็จะทำกุศลได้มากได้เร็ว ให้อกุศลวิบาก เข้าใกล้ได้ยากขึ้น เป็นตัวต้านกั้นอกุศลไว้ ศาสนาพุทธนี่ บาปกับบุญ มีการชำระ แต่ว่ากุศลอกุศลนั้น ล้างไม่ได้

ผู้จะอาศัยบุญได้ ต้องเข้าใจเรื่องบุญ ถ้าไม่เข้าใจ ก็จะได้บาปเพิ่มขึ้น อาจได้กุศล ปนไปด้วย อย่างคนทำทาน เขาได้กุศล แต่กิเลสเขาตะกละมากขึ้น ก็จะได้บาป และกุศล ส่วนผู้สัมมาทิฏฐิ จะได้ทั้งลดบาปและได้กุศลด้วย เป็นอุภยัตถะ (ประโยชน์สองส่วน)

อารยบุคคล เขาได้ผลทาง subjective แต่เขาไม่ได้ผลทาง Psychology ไม่ยอมจน พยายามได้สมบัติวัตถุ มาให้มาก เป็นแต่เพียง เขาพยายามให้ได้ อย่างสังคม ว่าไม่ได้ เอาเปรียบคนได้ อย่างที่คนอื่นไม่รู้  แล้วติดยึด ไม่มีทางละล้าง ไม่กล้าจน ไม่กล้ามีชีวิต มักน้อยสันโดษ เอาทฤษฎี เศรษฐกิจพอเพียง ที่ในหลวงพระราชทาน ให้นักธุรกิจ นักการเมือง ที่ได้บัลลังก์แล้ว มันจึงไม่เกิดผลเลย เพราะจิตเขา ไม่สันโดษ ไม่ใจพอ ในหลวงท่านใช้คำนี้สวยเลย เศรษฐกิจพอเพียง ใจเขาไม่พอ ในกามคุณ อัตตา โลกธรรม ไม่มีพอเลย จิตที่ไม่มีสันตุฏฐีธรรม ไม่มีใจพอ เป็นเรื่องไม่มีหยุด

สันตุฏฐีธรรม ไม่ได้เกิดที่ใจเขาเลย เขาก็จะชอบอกชอบใจ ดีใจ จะได้มาทางใด ทุจริตสุจริต ไม่สนใจเลย การจะปฏิบัติธรรม มีหลายชั้น ชั้นทุจริต ไม่ทำแล้ว และแม้ทำได้สุจริต แต่ได้มาก เราก็จะมีปัญญารู้ว่า ไม่ควรกักตุนไว้ คนอื่น เขาไม่สามารถเท่าเรา เราไม่ควรเอาเปรียบ เอารัดเขา ใจเรามันพอ ก็จะทำให้คนนี้ ไม่โลภเพิ่ม ไม่ตะกละ แล้วจะมีภูมิปัญญาว่า ต้องสะพัดให้คนอื่น จึงทำสิ่งที่ควรทำ ไม่ได้เป็นเรื่องอยากอวดอ้าง แต่เป็นญาณปัญญา ที่รู้ความจริง ตามความเป็นจริงแล้ว รู้สิ่งควรทำ ถ้าไม่มีกิเลส ก็ไม่ฝืนสบาย แม้เสียสละไปแล้ว ให้ไปแล้ว พระพุทธเจ้า ยังไม่ให้ฟูใจ ยินดีกับสิ่งที่ เราทำไปแล้วอีก ไม่ให้ไปติดอีก ในปีตินั้น ถ้าสะสมมาก มันก็ต้องเรียกร้องอีก ว่าอยากได้ แบบนั้นอีก

เราเห็นคนที่เขาหลงมีมาก ไปรวยมากๆ แล้วอย่าให้จิต มีอาการลบหลู่ อย่าให้ใจเป็นเช่นนั้น เพราะว่าทำแล้ว ไม่ดีกับเราเอง สั่งสมสิ่งไม่ดีกับเรา เราเห็นแล้ว ก็ให้มีจิตเมตตา ไม่ใช่เรื่องดูแคลนเขา คนที่อยู่ไกลเรา ก็ไม่เท่าไหร่ แต่คนสนิทชิดเชื้อ ที่มีอะไรต่ออะไร ปฏิกิริยากันนี่แหละ ที่ต้องทำใจ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี นี่แหละคือ ทั้งหมดทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์ คนใกล้กัน มีเรื่องมีปฏิกิริยากันนี่แหละ มีผลสูงให้เราได้ปฏิบัติ แต่คนไกลไม่เท่าไหร่ มิตรดีนี่คือ สัลเลขธรรม ขาดไม่ได้ แล้วต้องไม่หนีจากหมู่ ศาสนาพุทธ เป็นศาสนา สังฆสาวก ไม่ใช่ศาสนาปลีกเดี่ยว สงฆ์คือหมู่ สังฆะ เมื่อไหร่ก็หมู่ ไม่ใช่ศาสนา ปลีกเดี่ยวเลย

ถ้าเราปฏิบัติตน เป็นคนใจพอได้ ถึงขีดขนาด ที่จะก้าวหน้าให้ใจพอ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กินวันละหลายมื้อ ก็มากิน วันละ ๓ มื้อ แล้วเหลือ ๒ มื้อ จนเหลือ มื้อเดียวต่อวัน ก็มีให้พัฒนาตนเองไป ทุกวันนี้ อาตมาไม่เคยรู้ว่า หิวข้าวเลย ถึงเวลากินก็กิน มีเหมือนกัน ที่สรีระ มันไม่ต้องการ บางครั้งเราไม่สบาย ก็กินไม่ลง กินไม่ได้ ฝืนยาก แต่ว่าก็ฝืนได้ ในยามที่สรีระปกติ พยายามกินให้ได้ ตามที่ควรเป็น อาตมาทุกวันนี้ กินมากนะ

รสอัสสาทะ นั้นหมดได้ จิตมันอุเบกขา กลางๆ ไม่ดูดไม่ผลัก ฐานนิพพานแล้ว นี่คือนิโรธ การดับโลก ดับสมุทัย ของโลก ตรงนี้แหละโลกนิโรธ ดับได้ เราก็รู้อยู่เห็นอยู่ มีปกติสัมผัส เกี่ยวข้องด้วย ดีไม่ดี เขาปรุงแต่งมา หลากหลาย ก็ไม่มีอาการขึ้นมา การเจริญของอุเบกขา จึงมีการพัฒนา มีขีดขั้นของ การทนได้มากขึ้น การเฉยต่อสังขาร คือสังขารโลก ปรุงมาอย่างไร เราก็ทนได้ โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก จิตบริสุทธิ์เช่นเดิม จิตรู้เร็ว จิตดับปรับได้ มีประสิทธิภาพ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา มีคุณสมบัติ นิจจัง ธุวัง สัสสตัง สมบูรณ์แบบ มากขึ้น รู้เร็ว แล้วทำได้ปรับได้เร็ว จิตหัวอ่อน มุทุภูตธาตุ มีสังขารุเปกขาญาณ มีคุณสมบัติอุเบกขา ๕ ที่มีอะไรกระทบ ก็อุเบกขา และอีกอย่าง เราจะปรุงแต่งเองก็ทำได้ อนุโลมได้มากขึ้น จึงทำสัจจานุโลมมิกญาณ ช่วยโลก ได้แข็งแรงขึ้น นี่คือสิ่งจริง ที่อาตมามี เอามาขยาย

อารยประเทศ และอารยบุคคล ไม่มีวันที่จะใจพอได้ ไม่มีภูมิที่จะน้อยลงมาได้ ไม่มีวันหมดเนื้อหมดตัวได้ เขาเจริญอารยะด้วยโลกธรรม ที่จะเอาเปรียบคนอื่น ได้ซับซ้อน จนคนอื่นรู้ไม่ทัน หรือรู้ทันก็ต้องจำนนกับเขา พวกอารยประเทศ เป็นเช่นนี้ ทั้งนั้น ส่วนพวกอริยะ ก็เป็นพวกจิตนิยม เป็นอีกอย่างหนึ่งเลย

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น
_เราต้องตีกรอบปริเฉทของเราไหม? ในการออกนอกเขต ที่เราจะสู้ได้ สิ่งที่มากระทบ หรือเราปรุงเองขนาดไหน ที่เราจะสู้ไหว? แล้วตัดกรอบเท่าไหร่ จึงพอถึงที่สุด

ตอบ... ก็ต้องทำ ต้องกำหนดศีลของตน ให้พอเหมาะ ถ้าได้แล้ว เราก็ต้องอธิศีล ลงไปอีก จนกว่า จะสูญ ก็ถึงจะพอ

_เรามาอยู่ที่บ้านราชฯแต่เพื่อนๆที่สีมาบอกว่า ให้ไปช่วยกันที่สีมาฯ เราจะตัดสินอย่างไร?

ตอบ... อย่าพร่าประโยชน์ตน เพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก

_หนึ่งแก่น...นายซิกมันด์ ฟรอยด์ บิดาจิตวิทยา ค้นพบพลัง เซ็กซ์และการทำลาย สองด้าน ไม่รู้ด้านโมหะ ดังนั้นของพุทธ น่าจะลึกซึ้งกว่า

ตอบ... ลึกซึ้งกว่า และดับได้ อย่างสมถะ และวิปัสสนาเลยก็มี ของพระพุทธเจ้า รู้ได้มากกว่า ไกลและลึกซึ้งกว่ามาก

_พระศรีอาริยเมตตรัย คือ ชื่อตำแหน่ง แต่พระศรีอาริยเมตตรัย องค์ที่มีตัวตน ไม่มีหรอก เช่น นายกฯเป็นชื่อตำแหน่ง แต่คนชื่อนายกฯไม่มีหรอก คนใหม่ ที่มาเป็นพระพุทธเจ้า องค์ต่อไปนี่แหละ คือ พระศรีอาริยเมตตรัย ที่บอกว่า ที่นี่คือเมือง พระศรีอาริย์ เพราะมีคุณธรรม โลกุตรธรรม ของพระพุทธเจ้า เริ่มต้นคือ โสดาบัน สกิทาคามี ...จนถึงพระโพธิสัตว์ แดนนั้นคือ แดนพระศรีอาริย์ 

_วานนี้ ชาวบ้านได้ร้องเรียนให้ จนท.ที่ดิน จนท.โรงปุ๋ย จนท.อุตสาหกรรมจังหวัด ให้มาตรวจ ที่บ้านราชฯ ว่าถูกกฎหมายหรือไม่? ในหลายด้าน... ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เราจะได้ ให้เจ้าหน้าที่ ได้มาพิสูจน์ ว่าเราได้ทำถูกต้อง หรือไม่อย่างไร มีความจริง อย่างไรบ้าง...

สิ่งที่เราได้ศึกษาแล้ว ก็หยิบเอามาอ่าน วิเคราะห์วิจัย นี่แหละคือ ปรากฏการณ์จริง ซึ่ง เมื่อเกิดปฏิกิริยา ในปัจจุบัน แล้วเราก็หยิบมาปฏิบัติ นี่แหละ คือของจริง กายสักขี คือของที่เจออยู่กับปัจจุบัน อยู่โทนโท่นี่แหละ ผู้ใดไม่ได้ปฏิบัติธรรม ให้มีสัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย ในขณะปัจจุบัน สำเร็จอิริยาบถอยู่ เป็นกายสักขี พพจ.ถึงยอมรับว่า หมดอาสวะ คำว่ากายคำนี้ จึงเป็นคำที่ ยิ่งใหญ่มาก  ต้องมีองค์ประชุม นามรูป มายืนยัน คนปฏิบัตินั่งหลับตากัน หลายๆสำนัก สุญโญ ทั้งนั้น ไม่มีทางได้ปฏิบัติ ลดละ ได้จริงหรอก มีแต่สมถะทั้งสิ้น อาตมาตำหนิ ไม่ใช่เพราะโกรธ แต่ตำหนิเพราะมันผิด เปล่าประโยชน์ ไม่ได้ปฏิบัติ แบบลาดลุ่ม เหมือนฝั่งทะเล ที่ไล่กันไป อย่างละเอียด การปฏิบัติแบบหลับตา ไม่มีเบื้องต้นเลย สักกายะก็ไม่รู้ พูดเหมือนดูถูก ข่มเขาว่าเขานะ แต่ก็อยากให้ทำ ให้ถูกจริงๆ อยากให้ได้ นิพพาน แต่ถ้าผิดเสียแล้ว ก็สูญเปล่า โมฆะไปทั้งชาติ  ...

เจริญธรรม