580218_เทศน์ก่อนฉันศีรษะอโศก
เรื่อง วันปราบมารโลก
-มารธรรม

วันนี้เมื่อ ๑๘ ก.พ. ๒๕๕๗ จำได้ไหม มาถึงวันนี้ ๑๘ ก.พ. ๒๕๕๘ ก็เวียนมาครบ รอบปีพอดี จำได้ไหม ปีที่แล้ว เราไปทำงานช่วยประเทศชาติ อยู่บนถนน ราชดำเนิน สะพานผ่านฟ้า

ก็มีเหตุการณ์ ที่ถือว่ายิ่งใหญ่ สำหรับชาวอโศก เป็นภาพจริง ที่เกิดในปี ๒๕๕๗ ก็เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น อาตมาก็พยายาม ใช้ความสงบ สยบความรุนแรงจริงๆ เราไม่มี เครื่องมืออื่นเลย นอกจาก ความสงบอย่างเดียว น่าคิดนะว่า ทำไม ระเบิดไปชนเสาเต็นท์ แล้วไปโดนตำรวจ บาดเจ็บ พวกเราก็ช่วยกัน เอาเตียงสนาม วิ่งไปรับตำรวจ ที่บาดเจ็บ เอามาให้รถพยาบาล อาตมาจำได้ว่า ไพรเมือง โดดขึ้นมารายงาน บนเวที พอดีอาตมาเห็นตูมๆ บนเวที ก็เลยบอกไพรเมือง ให้ไปเอาเตียงสนาม ไปรับตำรวจมา ไพรเมืองกระโดด ลงจากเวที ไปรับตำรวจเลย เอาไปเอามา สุดท้าย ตำรวจล่าถอยออกไป

นี่คือความสงบ สยบความรุนแรงได้อย่างเรื่องจริง ไม่ใช่ลิเก เป็นเรื่องจริง ในวันที่ ๑๘ ก.พ. ๒๕๕๗ ให้เห็นว่า ความสงบ สยบความรุนแรงได้ ใครจะบอกว่า มีเหตุปัจจัยอะไรช่วย เราสงบ นอนราบนิ่ง เราไม่ได้ทำอะไร ตอบโต้เขาเลย แต่จะมีเหตุ ปัจจัยอะไร มาประกอบ จนทางนั้น ที่เขามีอำนาจ จะใช้ความรุนแรง เด็ดขาดได้ ต้องล่าถอย มันเป็นธัมโม หเว รักขติ ธัมมจาริง ทำให้อำนาจความสงบ สยบอำนาจร้ายแรงได้ เราไม่ได้ทำรุนแรงเลย แต่จะมีอำนาจใด มาเสริมหนุน เราไม่รู้ได้จริงๆ นี่คือพิสูจน์ว่า ความดีงาม มีอำนาจได้อย่างไม่น่าเชื่อ

อาตมาเคยประกาศ เคยยืนยัน มาทีหนึ่ง ตั้งแต่พศ. ๒๕๕๓ ครั้งนั้น ผู้การแต้ม พาตำรวจจะมาสลาย กลุ่มกองทัพธรรม ที่ข้างทำเนียบ แต่ก็สุดท้าย เขาก็ถอยกลับไป สองครั้งแล้ว ที่เราเผชิญกับเหตุการณ์ แต่ว่าเราก็ ไม่อยากให้เกิด ครั้งที่ ๓ นะ แต่ถ้าจะต้องไปทำ เพื่อชาติอีก ใครจะไม่ไปบ้าง.... ไม่มี ยกเว้น ดช.หมูป่า ...หลวงปู่บอกว่า คัดออกจากหลวงปู่ ... แต่ที่สุด ดช.หมูป่าก็ไป ตกลงเป็นหลานหลวงปู่ตามเดิม

สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องจริงใน เขาว่าประชาธิปไตย คือพลังมวลชน แต่ไม่ใช่แค่ตื้นๆ แค่ใช้ค่ายกล อำนาจ โลกธรรม มาบังคับ สร้างค่ายกลการเมือง ประชาธิปไตย ที่เลวร้ายมาก เพราะว่าค่ายกลการเมือง ที่เขาทำกันนี้ เป็นเรื่องจริง วิชาการเลย ก็คือ คุณทักษิณ สร้างค่ายกลการเมือง ได้เก่งฉิบหายเลย

เขาเอาพลังศาสนา ไปรวมกับพลังโลก ได้อย่างแข็งแกร่งด้วย ก็เลยทนทาน เราก็ได้ออกไป ร่วมต่อสู้ ก็เห็นผลว่า ปราบได้ ทำได้ มีผลอยู่ แต่ก็ยังเหนียวอยู่ ไม่เรียบร้อย แต่ก็เห็นว่า ถดถอยไปเยอะ เขาเก่ง หาเสียงจาก คนต่างชาติได้ ได้เงินทุน จากต่างชาติไปเยอะ ได้ทั้งสัมปทาน ล่อให้คนในประเทศใหญ่ๆ ตกเป็นเหยื่อ เพราะเขามีสัมปทาน สมบัติของประเทศไทย ไปล่อเขา ประเทศอื่นขี้โลภ ก็อยากได้ทรัพยากรของไทย ก็มาร่วมมือกับเขา ทำได้สำเร็จ เหตุการณ์ยืดเยื้อ มาจนบัดนี้ แต่เขาก็พ่ายแพ้ ไปตามลำดับ จนปัจจุบัน ก็ยังอยู่ในภาวะ ไม่ยอมแพ้ราบคาบ ยังไม่ยกธงยอมแพ้ 

พล.อ.ประยุทธ พูดออกมา ชัดเจนว่า ผมจะไม่คุย ไม่ปรองดอง กับคนหนีคดี ไม่ยอมติดคุก อันนี้เป็น ความปรากฏชัด ก็จงรวมมือกับ ท่านนายกฯไทย ที่ท่านเป็นคน เอาจริงเอาจัง อาตมาเห็นว่า ท่านเป็นคน ประนีประนอม เป็นคนมี กลปราณี คือใช้กลไก ทางสังคม วัตถุและจิต เป็นการประนีประนอม ให้ได้สัดส่วนดี ได้ผล แต่ต้องไม่ให้ ความถูกต้องดีงาม พ่ายแพ้ โดยไม่รุนแรง ได้มากที่สุด เท่าที่ได้ ถ้าจะเกิดรุนแรง ก็ให้น้อยที่สุด

เขาบอกว่า ธุดงค์ธัมชัย เขาบอกว่า โพลออกมา คนไทยเห็นด้วย ๙๙% โอโห ทำโพล เก่งฉิบหาย คะแนนขนาดนี้ ไม่ธรรมดานะ ที่เขาทำนี่ผิด ทั้งทางโลก และทางธรรม ผิดทางโลกคือ เบียดเบียน เอาที่สาธารณะ ไปทำประโยชน์ส่วนตน แม้แต่เป็นเรื่องตกแต่ง สร้างภาพโอ่อ่า ยิ่งใหญ่ ก็ผิดศีล มาลาคันธ วิเลปน ธารณมัณฑนะ วิภูสนัฏฐานา เวรมณีแล้ว ก็คือย้อนแย้ง ลบล้างคำสอน พระพุทธเจ้าหมด แล้วเขาก็หลงใหล ได้ปลื้มมักมาก มหัปปิจฉะ คนที่ไปหลง มหัปปิจฉะ เป็นคน อนารยะ คือคนไม่เจริญ ไม่มีภูมิปัญญา ส่วนธรรมใด วินัยใด เป็นไปเพื่อความมักน้อย ธรรมนั้นวินัยนั้น เป็นของพระพุทธเจ้า แต่เขาตรงกันข้ามเลย นอกรีต แล้วทักษิณกับธรรมกาย ก็ร่วมมือกันทำ อย่างไม่เกรงฟ้า เกรงดินเลย อาตมาขออ่าน บทความ ธรรมกายต้องตอบนะจ๊ะ ของ นสพ. ผู้จัดการ เอเอสทีวี

“ธรรมกาย” ต้องตอบนะจ๊ะ ทำไม “ศุภชัย” ศิษย์เอก โกงสหกรณ์ฯ คลองจั่น ทำไมรับบริจาค เงินยักยอก 700 ล้าน

ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -กรณีวัดพระธรรมกาย ยังคงเป็นประเด็น ที่สังคม ให้ความสนใจต่อเนื่อง ภายหลังจากที่ จัดกิจกรรม “ธุดงค์ธรรมชัย เส้นทาง พระผู้ปราบมาร ธรรมยาตรา เพื่อฟื้นฟูศีลธรรมโลก” ครั้งที่ 4 วันที่ 2 -31 ม.ค. 2558 ที่ผ่านมา
      
       ทั้งการรวมตัวกัน ของภาคประชาชน และสภาปฏิรูป พระพุทธศาสนาแห่งชาติ (สปพช.) ในการปกป้อง พระพุทธศาสนา กรณีการเผยแผ่ธรรม ของธรรมกาย ที่ผิดเพี้ยนไปจาก ในพระไตรปิฎก จนนำไปสู่ การล่ารายชื่อ 50,000 คน เพื่อยื่นเรื่องดังกล่าว ต่อรัฐบาล ให้เกิดการปฏิรูปศาสนา
       
       และที่เป็นประเด็น ซึ่งสังคมให้ความสนใจ ไม่แพ้กันก็คือ กรณีที่คณะกรรมการ ป้องกันและปราบปราม การฟอกเงิน (ปปง.) ออกมาชี้แจง แถลงไข ถึงความคืบหน้า ของคดี ที่นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธาน สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด ยักยอกเงิน ของสหกรณ์ฯ ทำให้ได้รับ ความเสียหาย เป็นจำนวนเงิน กว่า 12,402 ล้านบาท หลังสมาชิก สหกรณ์ฯ กว่า 200 คน ซึ่งได้รับความเสียหาย จากเดินขบวน มาสอบถาม ความคืบหน้าของคดี เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมา
      
       ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ การที่ ป.ป.ง.โดย พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ป.ป.ง. ระบุชัดว่า จากการสอบ เส้นทางการเงิน พบว่า นายศุภชัย ได้ออกเช็ค สั่งจ่ายเงิน แก่วัดพระธรรมกาย จำนวน 15 ฉบับ รวมเป็นเงิน 714 ล้านบาท และทางวัดพระธรรมกาย จำนนต่อหลักฐานที่ ป.ป.ง.ตรวจสอบ จนยินยอมที่จะคืน เงินบริจาค ดังกล่าวคืน
      
       น่าสนใจ ก็เพราะนายศุภชัย คือ อัครสาวก คนสำคัญของวัดพระธรรมกาย
      
       น่าสนใจก็เพราะ วัดพระธรรมกายของ “พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมมชโย) ประกาศนัก ประกาศหนาว่า สั่งสอนให้คน เป็นคนดี แต่ไฉน ศิษย์เอกอย่าง นายศุภชัย ถึงคิดชั่ว และยักยอกเงิน จำนวนมหาศาล ไปบริจาค ให้วัดพระธรรมกาย
      
       คำถามที่สังคม และพุทธศาสนิกชน ต้องการคำชี้แจง ก็คือ วัดพระธรรมกาย และพระเทพญาณมหามุนี ผู้เป็นเจ้าอาวาส รู้เห็นเป็นใจ กับการทำความผิด กับการยักยอกเงิน ของนายศุภชัย หรือไม่
      
       ถ้าไม่ ก็ไม่เป็นไร
       
       แต่ถ้า ป.ป.ง.ตรวจสอบแล้วพบว่า วัดพระธรรมกายรับรู้ วัดพระธรรมกาย ก็จะต้องถูกดำเนินคดี ทางกฎหมาย เช่นเดียวกับ นายศุภชัย ผู้เป็นศิษย์เอก เช่นนั้น
      
       ทั้งนี้ กรณีเงินบริจาค ดังกล่าวนั้น เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม 2557 นายเผด็จ มุ่งธัญญา ประธานคณะกรรมการ ดำเนินการ สหกรณ์ เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น นำคณะกรรมการ และที่ปรึกษา สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น เดินทางไป จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อกราบนมัสการ พระภาวนาวิริยคุณ หรือหลวงพ่อ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย โดยนายเผด็จ ได้หารือ 2 ประเด็น คือ
1. การคืนเงินของสหกรณ์ เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น ที่นายศุภชัย นำมาบริจาค ให้กับวัดพระธรรมกาย และพระ 2 รูป และ
2. กรณีวัดพระธรรมกาย ติดต่อขอซื้อที่ดิน ของนายศุภชัย ที่ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีคำสั่งอายัดไว้
      
       สำหรับประเด็นแรก ขณะนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ทางวัดพระธรรมกาย จะต้องคืนเงิน จำนวน 714 ล้านบาท เพราะจำนน ต่อหลักฐาน ดังที่กล่าวมาแล้ว ข้างต้น ส่วนเรื่อง การซื้อที่ดิน ก็มีความชัดเจน ในระดับหนึ่งแล้วว่า นายศุภชัย นำไปบริจาค ให้วัดพระธรรมกาย ก่อสร้าง พระมหาเจดีย์ ทัตตชีโว แต่ยังไม่ทันได้บริจาค ปรากฏว่า ดีเอสไอ มีคำสั่งอายัดเสียก่อน ขณะที่วัดพระธรรมกาย ได้ดำเนินการ ก่อสร้างไปแล้ว แต่มาติดปัญหา ที่ดินถูกอายัด ไม่สามารถ ดำเนินโครงการ ต่อไปได้ จึงต้องมาเจรจา ขอซื้อที่ดิน กับสหกรณ์ เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น โดยทางวัด จะขอเรี่ยไรเงิน จากผู้มีจิตศรัทธา มาซื้อที่ดินแปลงนี้ ทั้งหมด
      
       กระนั้นก็ดี กล่าวสำหรับ กรณีธรรมกายนั้น ต้องบอกว่า ขณะนี้ประชาชน ได้ตื่นตัวกันมากขึ้น ดังจะเห็นได้จาก ล่ารายชื่อ 50,000 คน เพื่อยื่นเรื่อง ต่อรัฐบาล ให้มีการตรวจสอบ และมีการปฏิรูปศาสนา รวมถึงมีการเสวนา เพื่อระดมความคิดเห็น ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจ เป็นจำนวนมาก
      
       แทนคุณ จิตต์อิสระ ผู้อำนวยการ สถาบันธรรมาดา กล่าวในการสัมมนาเรื่อง “กึ่งพุทธกาลกับมารศาสนา ลัทธิสัทธรรมปฏิรูป ตรรกะวิบัติ ของธรรมกาย กรณี ธุดงค์ธรรมชัยวิบัติ” ว่า จริงๆ แล้ว คำว่าธรรมกาย เดิมทีชื่อนี้ มีความหมายที่ดี เป็นชื่อหนึ่งของ พระพุทธเจ้า มาจากกาย แปลว่า กอง ที่รวม ที่ประชุมแห่งธรรม แต่ภายหลัง ถูกบิดเบือนไปใช้ เรื่องของความหมาย ที่รับรู้กันว่า กลุ่มบุคคล กลุ่มสงฆ์ผู้แสวงหา ที่ใช้วิธีการ แสวงหาผลประโยชน์ ในนามพระพุทธศาสนา ในนามของ ต้นธาตุต้นธรรม ที่ก่อให้เกิด การบิดเบือน และก็ความเข้าใจผิด
      
       “ธรรมกาย จัดกิจกรรม ธุดงค์ธรรมชัย ได้ทำให้เกิด แรงกระเพื่อม ในสังคม ทั้งบวกและลบ แต่ว่าเขาก็หวังผลว่า มันจะเกิดผล ทางบวก ถึงแม้ว่าลบ มันก็จะทำให้ เป็นที่รู้จัก มากขึ้น ที่สุดวันหนึ่ง เขาก็จะอ้างว่า ก็ยังดีกว่า ไม่มีใครทำ ทำดีก็โดนว่า
      
       “และกลุ่มที่อยู่เบื้องหลัง ในแง่ความบริสุทธิ์ใจ ที่เรามองเขา เขามีความหลง โดยบริสุทธิ์ใจ หรือเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจ อย่างกลุ่มทุน อสังหาริมทรัพย์ เจ้าใหญ่ กลุ่มเทคโนโลยีศึกษา รวมถึง กลุ่มบริษัทก่อสร้างจะอยู่ธรรมกาย กันเยอะ ฉะนั้น ต้องมีการตรวจสอบ โดยสำนักงาน การตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพราะอย่าลืมว่า พระก็อยู่ ภายใต้กฎหมาย ควบคุม โดย พระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และเมื่อวัด เข้าไปจดในพระราชบัญญัติสงฆ์ เกี่ยวกับ การจัดสร้างวัด ก็ต้องมี การตรวจสอบ เส้นทางการเงิน เพราะมีบางส่วน ที่ได้รับการสนับสนุน จากทางราชการ” นายแทนคุณ แสดงความคิดเห็น และกล่าวด้วยว่า ถ้าปล่อยให้เกิด เหตุการณ์นี้ ไปเรื่อยๆ ปรากฏการณ์ธรรมกาย ก็จะครอบงำ และกลืนกิน สังคมพุทธ ไปโดยไม่รู้ตัว
      
       ขณะที่ พระมหาพงศ์นรินทร์ ฐิตวํโส เลขานุการ เครือข่ายพุทธชยันตี-สังฆะ เพื่อสังคม กล่าวว่า การเผยแผ่ธรรม ของธรรมกาย ได้ก่อให้เกิดความสับสน ผิดเพี้ยนไปจาก ในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะ การนั่งสมาธิ และวิชาธรรมกาย ทำให้เกิดกิเลส การเอาดวงแก้ว ไว้ที่ศูนย์กลาง ของตัวเอง ต้องมีการขยายเต็มตัว เต็มห้อง เต็มแผ่นดิน เต็มโลก เต็มจักรวาล นั่นแปลว่า มีตัวตน เป็นศูนย์กลาง ของทุกสิ่ง ดังนั้น เมื่อกระบวนการเรียนรู้ ผิดตั้งแต่ต้น เป็นนิพพาน มีอัตตา คือ การเห็น จากตรงกลาง ของตัวเอง ตลอดเวลา จะทำให้ ผู้ปฏิบัติ ได้คล้อยตามว่า ธรรมกายอยู่เหนือ พระพุทธเจ้า อีกทีหนึ่ง ซึ่งก็คือ ยังมีตัวตน เป็นลัทธิ ถืออัตตา ไม่ใช่คำสอนของ พระพุทธเจ้า
      
       “โดยลึกๆ มันจะมีกิเลส มีโลภะอย่างละเอียด เข้าไปเจือในสมาธิ ซึ่งเราเรียกว่า เป็นมิจฉาสมาธิ และปัญหา ที่น่าห่วงมากเลย ก็คือ มีการบอกเล่ามาว่า ถ้าเป็นคน กลุ่มที่ มีเงินเยอะๆ จะมีการไปเข้าคอร์สพิเศษ ซึ่งธรรมกาย จะส่งภาพ ให้เห็นนิมิตได้มากกว่า คนปกติทั่วไป ซึ่งนั่นเป็นความลับ ที่เป็นการเปิดจุดอ่อน ให้เข้ามา สะกดจิต โดยวิธีที่เรียกกันว่า การอัดธรรมกาย ที่อ้างว่า จะทำให้เห็นภาพ ได้เร็วกว่า คนปกติทั่วไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้อง ช่วยกันตรวจสอบ ให้มากๆ”
      
       ทั้งนี้ จากเอกสารวิชาการว่าด้วย “กรณีธรรมกาย” ที่สภาปฏิรูป พระพุทธศาสนา แห่งชาติ (สปพช.) ได้จัดทำขึ้น มีรายละเอียดของ พระไตรปิฎก ว่าด้วยเรื่อง นิพพาน เป็นอนัตตา ที่ธรรมกาย ได้มีการพยายาม ทำให้เรื่องของ นิพพาน เป็นอจินไตย ซึ่งแปลว่า สิ่งที่ไม่สามารถ เข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญ ของปุถุชน ที่มีอยู่ 4 อย่าง คือ พุทธวิสัย ฌานวิสัย กรรมวิบาก และโลกจินตา
      
       ความจริงคือ นิพพาน ไม่จัดอยู่ในอจินไตย 4 และเรื่องที่เป็น อภิปรัชญา เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ไม่ทรงตอบ แต่จะทรงตอบ ในเรื่องที่ทำให้ ดับทุกข์ได้ เท่านั้น อันเป็นเรื่อง ที่ควรคิด ควรเข้าถึง ซึ่งนิพพาน ที่อยู่ในกระบวนการดับทุกข์ คือเป็น นิโรธอริยสัจ นิพพานจึงไม่ใช่ เรื่องเชิงปรัชญา หรืออจินไตย ที่ธรรมกาย ใช้เผยแผ่กัน
      
       สำหรับหัวใจสำคัญ ของเอกสารวิชาการ ดังกล่าว ได้อธิบายว่า ลัทธิที่ถืออัตตา ไม่ใช่คำสอน พระพุทธเจ้า ดังระบุข้อความ ในอภิ.ปุ.๓๖/๑๐๓/๑๗๙ โดยพระพุทธเจ้า ทรงตรัสว่า ศาสดาที่บัญญัติอัตตา ว่าเป็นของจริงแท้ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้านั้น เป็นศาสดาประเภท สัสสตวาท คือ เชื่อว่ามีอัตตา ที่เที่ยงแท้ แน่นอน ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงบัญญัติอัตตา ว่าเป็นของแท้ ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า นั่นก็คือ อัตตาไม่มีอยู่ โดยปรมัตถ์ มีแต่ในภาษาสมมุต นั่นเอง
      
       โดยอัตตาเป็นเพียง การยึดถือสภาวธรรม ในหมู่ปุถุชน เพราะแท้ที่จริงแล้ว ตัวตนเป็นเพียง ภาพความคิด ที่เกิดขึ้นในใจ เป็นโลกความคิด ซึ่งซ้อนบังภาพ ในโลก แห่งความเป็นจริง ที่ไม่มีอะไรเลย นอกจาก สภาวธรรม เมื่อยึดถือ หรือคิดเข้าใจอย่างนั้น ก็เป็นอัตตทิฏฐิ (ความเข้าใจว่า มีอัตตาอยู่จริง) ซึ่งเมื่อละ อัตตทิฏฐิได้ ก็จะเห็นสภาวะธรรม และเห็นนิพพานได้ ในที่สุด อัตตาจึงเป็นแค่เพียง ความยึดถือเข้าใจไปเอง ของคนเท่านั้น ไม่ได้มีอยู่ แต่แรกแล้ว
      
       นี่คือความจริง ของวัดพระธรรมกาย ซึ่งถึงเวลาที่ พุทธศาสนิกชน จะต้องลุกขึ้นมา ทำอะไรกันอย่างจริงจัง เสียที
….จบบทความ

พ่อครูว่า... ให้ตั้งสติดีๆ คุณกำลังตกเป็นเหยื่อ ยิ่งกว่าสมัย รัสปูติน นี่คือ รัสปูตินสมัยใหม่ สะกดจิตเก่ง หลอกไปได้ ทั่วบ้านทั่วเมืองเลย ขอยืนยันว่า คือวิชาสะกดจิต อาตมา เคยทำมาเป็น แต่ไม่เอาวิชาพวกนี้ มาทำชั่ว เพื่อสร้างบริวาร

เรื่องที่อาตมา เห็นแย้ง คือ นิพพาน ไม่จัดอยู่ในเรื่อง อจินไตย และ โลกวิสัยนั้น คนจะเข้าถึง โลกวิสัย ฌานวิสัย กรรมวิสัย ก็คือคนที่ อยู่เหนือโลกได้ มีฌานได้ ก็จะไม่ใช่เรื่อง อจินไตย สำหรับคนนั้น แล้วเรื่องนิพพานนี่ ไม่ใช่อจินไตย แล้วพุทธวิสัย ก็มีแต่พระพุทธเจ้าที่รู้ แล้วอธิบายได้  อจินไตย คือเรื่องที่คน จะคิดเดา เอาไม่ได้ คิดนึกเอาไม่ได้ แต่ปฏิบัติเข้าถึงได้ แล้วนิพพาน คือตัวดับทุกข์ เป็นสุดยอด อจินไตยเลย

อัตตาโดยเนื้อแท้แล้ว สำหรับผู้ปฏิบัติได้แล้ว ก็ไม่มี แต่โดยสมมุติแล้ว อัตตาเป็นเรื่องที่มีอยู่ แต่โดยตัวของมันเอง มันไม่มี แต่คนอวิชชา หลง อ่านความยึดติด อัตตาตนเองไม่ได้ ก็เลยคิดว่า อัตตาไม่มี หรือไม่รู้ว่า อัตตามี คนที่ล้างอัตตาได้ จะรู้ว่าอัตตาไม่มี แต่จะรู้สมมุติว่า ต้องอยู่กับอัตตา อาศัยอัตตา อย่างสมาทาน มีการยึดไว้ อย่างมีปัญญา มีเจโต จะวางปล่อยเมื่อไหร่ ก็ทำได้ คนที่เข้าถึง จะทำได้ แต่โดยแท้จริง สูงสุดในปรมัตถ์ อัตตาไม่มี แต่มีอยู่ใน ภาษาสมมุติ และคนที่เขา ยึดติดอัตตาอยู่จริง ก็มีสำหรับเขา เพราะเขาไม่มีความสามารถ ปล่อยอัตตา ที่เขามีได้

ยกตัวอย่าง ในโลกมีคำโกหก มีคนโกหก อยู่เต็มบ้านเต็มเมือง แต่คำโกหกไม่ใช่ของจริง อัตตามันก็มีอยู่ คนก็ยึดอยู่ อาศัยอยู่ แต่คนที่หมด ความยึดอัตตา ก็อาศัยได้ ผู้บรรลุธรรมแล้ว ตนเองอาศัย นิดหน่อย เท่านั้น แต่มีสมรรถภาพ ทำงานได้มากกว่า ตนกินตนใช้ เป็นคน มีประโยชน์ต่อโลก

คนที่ละอัตตาได้แล้ว จะไม่พูดว่า “ อัตตาจึงเป็นแค่เพียง ความยึดถือ เข้าใจไปเอง ของคนเท่านั้น ไม่ได้มีอยู่ แต่แรกแล้ว” วิชชาของ พระพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่า จะล้างได้ พรวดเดียวหมด ต้องมีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย จัดกรอบตัดกรอบ ของตนเอง ทำได้แล้ว จะรู้โครงสร้าง เป็นโมเดล แล้วค่อยขยาย โมเดลไป ธรรมะพระพุทธเจ้า ราบเรียบ ไม่มีอะไรขรุขระ เหมือนชายฝั่ง ผู้ใดปฏิบัติไม่เป็นลำดับ ไม่มีทางหมดเกลี้ยง

แค่คำว่า ถวายข้าวพระพุทธเจ้าได้ ก็เป็นเรื่องอัตตาแล้ว แล้วที่เขาทำ อย่างอื่นอีก อุตริมาก ไม่ใช่อุตริมนุสธรรมนะ อาตมาพูดนี่ ไม่ได้ตั้งตน เป็นศัตรูกับ ธรรมกายนะ

คำสามคำนี้ ใกล้เคียงกัน แต่สภาวะนั้น ต่างกันมากเลย คือ อารยะ อริยะ และอาริยะ

อริยะจะแบ่งเป็น ๒ ประเภท
๑.ประเภทป่าชัดๆ
๒.ประเภทเมือง คนโลกๆชัดๆ
๓.ประยุกต์ป่าและบ้าน อย่างธุดงค์ธัมชัยนี่ ประยุกต์ใช้ เลวร้าย พวกป่าก็หลอกได้ แต่คนชอบป่า พวกเมืองก็หลอกได้ แต่คนชอบเมือง แต่นี่หลอกได้ ทั้งสองแบบนะ

อารยะคือโลกาธิปไตย อำนาจที่รวบรวม ความเป็นโลก โลกมี ลาภ ยศ สรรเสริญ กามสุข อัตตทัตถสุข

อัตตทัตถสุข ก็แยกเป็นพวก จิตนิยม หรือ อัตนิยม subjective

อีกพวกคือโลกวิสัย เป็น objective พวกนี้จะถูกข่ม โดยพวก subjective โลกปุถุชน จะมีอำนาจทางโลก วัตถุ ทรัพย์สิน บงการ ใช้ซื้อเลย เขาก็ซื้อกันอยู่ ทุกวันนี้ พยายามสร้างอำนาจ ให้แก่ตน เขาก็พยายาม พิมพ์เศษกระดาษ มาเป็นเงิน ให้คนรับรองเขา แล้วเอามาซื้อสิ่งของ ให้ประเทศตน จนแม้ประเทศตน ไม่มีทองคำ เป็นสิ่งประกัน เขาก็ปั๊มเศษกระดาษ ออกมาทั่วโลก สักวัน มันจะแตกออก ตอนนี้ก็แข่งกัน ระหว่าง หยวน กับดอลล่า ใครจะใหญ่

อารยะแปลว่า ผู้เจริญผู้ประเสริฐ แต่ไม่รู้จักจิตวิสัย เรียนรู้ได้แต่ consciousness เข้าสู่ subconsciousness หรือ unconsciousness ไม่ได้ คนที่จะเข้าถึง  unconsciousness ต้องเป็น ระดับอาริยะ สามารถอยู่เหนือได้ ไม่เป็นทาสกิเลส พวกนี้ ชาวอโศกเป็นได้ เรากล้ารับรองว่า เราอยู่เหนือโลกธรรมได้ ไม่หลงใหล ถ้าจะได้ลาภ ยศ ได้มาก เช่นหาเงิน ได้เดือนละ ๑ ล้าน เราก็มีได้ แต่ไม่ติดยึด เราสะพัดให้คนอื่น แล้วเราไม่จำเป็น ต้องมีเงินล้านก็ได้ แต่ถ้าคนติดเงินล้าน เป็นทาส คือจะไม่ยอม เสียเงินล้าน ถ้าคนไม่เป็นทาส ก็ไม่หลง สามารถสร้างทำได้ แต่ไม่หลงยึดติด เงินล้านนี้ จะมีกี่ล้านก็ตาม ก็เป็นจริงได้ ไม่ติดยึดได้จริง คือคนพ้นทาส โลกธรรมในด้านลาภ

ยศ คือขอบเขตอำนาจ ในการปกครองบริหาร ผู้ใดได้ยศมา เท่าที่ตนได้รับมองแต่งตั้งมา  แต่ทำงานได้ตามกรอบ คือทำงาน ไม่ได้หลงเอายศ มาล่าลาภ เบ่งทับคนอื่น ผู้รู้จักยศก็คือ การได้อำนาจ ทำงานกรอบนี้ เป็นผู้รับใช้ ไม่ใช่ให้เอาไปเบ่งข่ม มีแต่ทำให้ดี ผู้นี้อยู่เหนือยศ แม้จะไม่ได้รับแต่งตั้ง แต่คนนี้ทำงานได้ ก็คือมียศ โดยธรรม เป็นคนดูแลคน เป็นร้อยคน ก็คุมคนเป็นกองร้อย เป็นนายร้อย แล้วทำงาน โดยตนไม่เอาจากคนอื่น จัดสรรทรัพยาการ อย่างเหมาะสม คนไหนต้องใช้มาก จำเป็น หรือคนไหน ต้องใช้น้อย ก็ให้ตามสัดส่วน จำเป็น เด็ก คนป่วย คนชรา ก็จะเข้าใจ หรือคนนี้ สมรรถภาพต่ำกว่าเรา ก็ต้องให้คนด้อยกว่า

แม้มีสรรเสริญ ก็ไม่ติดสรรเสริญ ผู้รู้จักกามคุณ ๕ อยู่เหนือกามคุณ ๕ ได้ มันเป็นนามธรรม รสติดยึด รสอร่อย ทางทวาร ไม่มีจริง รสชื่นใจในรูป ในกลิ่น ในเสียง ในรส ในสัมผัส มันไม่มีจริง คุณยึดทั้งนั้น สามารถสัมผัสได้ถึงจุด ก็ไคลแมกซ์ก็รู้ แล้วไม่ต้องเอาอย่างนั้นได้แล้ว จิตก็หมดความยึดติด ในสุขได้ แม้อัตตา ก็ล้าง มาตามลำดับ อย่างอนาคามี หมดกามแล้ว มีแต่อัตตา อนาคามีรู้อัตตาจริง รู้จักจิตแท้ อาศัยจิต ยึดจิต เหลือเชื้อ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ที่เหลือเชื้อ จึงเป็นผู้รู้จัก อัตตาจริง รู้สิ่งที่อุบัติอยู่ รู้จักอุปปาติกะ ก็เรียน รู้ล้างไปจนหมด เป็นอรหันต์ จะไม่มีอุปปาติกะ แต่จะรู้จักใช้ อุปปาติกะ อนาคามีจะมี อุปปาติกะ อยู่ จึงเรียก อนาคามี ว่าเป็นผู้อุปปาติกะ

ในอารยะ คนเจริญที่ว่านี้ เข้าใจจิตเจตสิกไม่ได้ เข้าใจแค่จิตสำนึก ระดับจิตใต้สำนึก หรือไร้สำนึก เข้าใจไม่ได้ เข้าถึงไม่ได้ ซึ่งอัตตานั้น มีหลายระดับ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา คนที่ล้าง อรูปอัตตาได้ ก็จะกลับมาอยู่กับ มโนมยอัตตา กลับมาอยู่ที่ การทำจิต สำเร็จได้โดยตน มโนมย คือทำจิตสำเร็จ ถ้าอรหันต์จะยังอยู่ ก็มีตน อัตตทิฏฐิ (ความเห็น ของคนที่เข้าใจ รู้อัตตา) ผู้ใดปฏิบัติ แล้วอ่านสภาวธรรม ของอัตตา ว่ามันทำงานอยู่ แล้ว ผู้นี้เรียกว่า อัตตานุทิฏฐิ คือผู้รู้เห็นตามเห็น ทิฏฐิของตนได้ จึงเป็นคนที่ จะลดอัตตา ลดกิเลสได้

ส่วนอารยะนั้น อัตตาระดับจิตสำนึก เขาก็รู้ไม่ชัด อัตตาระดับกลาง จิตใต้สำนึกก็รู้ยาก ส่วนอัตตา ระดับจิตไร้สำนึก เขาไม่มีสิทธิ์รู้จัก แต่อัตตาทุกอันเป็น potential energy คุณยึดอย่าง อกุศลจิต มันก็มีผลบังคับคุณ ตลอดเวลา คุณสู้มันไม่ได้หรอก อารยชน จึงอยู่ในระนาบกว้าง ไม่ลึกถึงจิต แต่ปรุงแต่งเก่ง โลกธรรมก็ใช่เก่ง สร้างโลกมาทับถมโลก พวกอบายมุขนี้อารยมนุษย์ จะไม่รู้ ทุกวันนี้ นายเต้นแร้งเต้นกานี่ รวยชะมัด เขาก็หลงส่งเสริม อบายมุขกัน เขาก็หลงซาดิสม์ และมาซูคิสม์ อีกพวกหนึ่ง ก็หลงใหล romanticism ปรุงแต่งหวานจ๋อย มีทั้งสองทิศเลย จัดจ้านแน่นแรง โลกอารยะไม่รู้ แล้วใช้สิ่งเหล่านี้ มาเป็นเครื่องมือ หากินด้วย ใครมี นักกีฬาเก่งๆ ก็ขายได้แพงๆ ทั้งที่ไร้สาระ ทำลายรุนแรง เขาก็กลับส่งเสริม นี่คือโลกอารยะ หรือนักธุรกิจ หาเงินได้เก่ง มีวิธีการ เรียกค่าลิขสิทธิ์ แพงๆ นี่คือ โลกอารยะ ทุกวันนี้ จึงได้เปรียบกัน มหาศาล แล้วเขาก็ตั้งเป็น กฎเกณฑ์โลกเลย เราจะไม่ตก เป็นเหยื่ออารยะ คือเราต้องเลิกละ อบายมุข ธุรกิจการค้า คือความรวย และธุรกิจการเมือง คืออำนาจ อย่าไปตกในวงจรเขา เราก็หลุดพ้นออกมา คนเขาโกงเก่ง จะมีเหลี่ยมมุมอย่างไร ก็เอามาโกง จนคนเขาเรียกว่า ไอ้หน้าเหลี่ยม แล้วเอาอำนาจ การเงิน การบริหาร ยังไม่พอ ก็เอาอำนาจ ทางศาสนาอีก อารยธรรมทุกวันนี้ ใช้ทั้งโลกและศาสนา มาหลอกคนเลย ผู้เรียนรู้ทัน ก็จงออกมาจาก วงจรอารยธรรม

ผู้ที่เข้าใจว่า ตนไม่ควรตกในอำนาจ อารยธรรม ก็ดีแต่ว่า ไม่มีวิธีออก ก็หนีเลย คือพวกอริยะ หนีลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข เรื่องกามก็กดข่มไว้ ไม่รู้จักอัตตา หนีลาภ ยศ สรรเสริญและกาม มีวิธีสะกดจิต หรือ ลืมตาสะกดจิต พยายามไม่ยุ่งเกี่ยว ก็ทำได้ มีผลสำเร็จ แต่ไม่มีการเรียนรู้ ทางจิตวิเคราะห์ จิตเจตสิก รูป นิพพาน เขาไม่รู้ รายละเอียด ไม่รู้จักเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย

ไม่รู้จักวิญญาณจริง ที่เกิดจาก การกระทบสัมผัส ทาง ทวารทั้ง ๖ เลย ไม่รู้จักผัสสะ ๓ ไม่รู้ ปสาทรูป โคจรรูป แล้วมีผัสสะเกิดวิญญาณ เป็นภาวรูป ก็ไม่รู้ เมื่อเขา ไม่เรียนรู้ ก็ใช้วิธี สะกดจิต หลับตา ดับหลับเขาไป สายหลับตา สำเร็จ ได้การสะกดจิต แต่ไม่มีความรู้โลกีย์เลย อยู่กับอัตตาตนเอง เต็มบ้อง นี่คือสายหนึ่ง สายอริยะ ป่า อริยฤาษี

อีกสาย อรยะลืมตา สายอริยะบ้าน สายนี้ก็พยายาม สะกดจิตตนเอง ก็ไม่เอาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เหมือนกัน แต่ไม่มีจิตวิเคราะห์ psychoanalysis ไม่มีการเรียนรู้ อย่างชาวพุทธ สัมมาทิฏฐิ ผู้ที่เป็นพระบ้าน ก็ใช้วิธี รู้ นิ่ง เฉย สะกดจิตตน ไม่รู้อัตตาซ้อน เสพไปตามบารมี พอเป็นไปได้ ถ้ามีปฏิภาณดีๆ ก็ว่าสะสม กามคุณ มากๆเขาไม่ยินดีกันนะ ก็ซุกซ่อนซับซ้อน ได้ระดับหนึ่ง ก็ของตนเองทนได้ แต่ก็จะทนไม่ได้ต่อไป เมื่อมันมากๆขึ้น จึงใช้ฉลาดแกมโกง หลอกชาวบ้าน คือพวกพระบ้าน ประยุกต์ เอา subjective และ objective มาผนวกกัน ทั้งอัตวิสัย และโลกวิสัย มารวมกัน โดยการสะกดจิต พอคนถูกสะกดจิต เขาก็ไม่รู้ว่า คนสะกด เป็นเจ้านาย แล้วถูกใช้ ให้ไปทำงาน เอาเงินมาถวาย วัดธรรมกาย นี่ก็คราวก่อน ก็ปาราชิก ไปแล้ว ๙๐๐ ล้าน คนร่วมกันทำ ก็ปาราชิกกัน ทั้งพวง นี่ก็มาอีกคดี ๗๐๐ ล้าน ให้มีนายหน้าทำ แต่จำนนด้วยหลักฐาน ปาราชิก ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ทำไมเขาไม่กลัว บาปกรรมเลย ไม่กลัววิบากเลย แล้วดันมารู้ด้วยว่า ใครตายแล้ว เป็นอะไร เก่งฉิบหาย คนอะไร รู้กรรมวิบาก แต่ไม่กลัวกรรม สรุปว่า เขาไม่รู้เรื่อง กรรมวิบาก ไม่รู้กรรมชั่วกรรมดี ก็เลยพูดออกมา อย่างย้อนแย้ง คือมันทำลาย ศาสนาพุทธนะ อย่ามาหลงเทวทัตเลย เทวทัตเขายังไม่ใช้ เทคโนโลยี่ อย่างนี้ ใช้ psychology ก็เก่งนะ อาตมาสู้ไม่ได้เลย ไม่เก่งใช้เล่ห์เหลี่ยม อย่างนี้ ใช้ทั้งเทคโนโลยี่ และ psychology ต้องใช้ศัพท์ว่า เก่งฉิบหายนะ ที่พูดนี่ เจตนาดี ว่าหยุดเถอะ คุณหาเวรภัย ต่อตนทั้งนั้น อาตมาพูด อย่างจริงใจ ว่าให้หยุดเถอะ อาตมา ไม่ได้ไปทำด้วย กับคุณนะ สงสาร จึงต้องติงเตือนนะ คุณจมลงไปใน สังสารวัฏนะ ให้ตั้งสติกันดีๆ อย่าหลงเป็นทาส ที่ปล่อยไม่ไป

ใครร่วมมือกับเขา ก็คือมอบตน ในทางผิด พระพุทธเจ้า ให้หลีกออก จากคนพาล มาอยู่กับบัณฑิตให้ได้ อย่าไปร่วมพูด ร่วมคิด ร่วมทำ เริ่มต้นไม่ร่วมทำได้เบื้องต้น แล้วต่อไปก็ไม่พูดส่งเสริม ให้คะแนนทางโน้น จนกระทั่งสามารถพูดต้าน พูดลบ พูดปฏิกโกสนา คือคัดค้านอย่างแรง อาตมาถือว่าเป็นนานาสังวาสนะ แต่ถ้า อาตมาถือว่า พรหมทัณฑ์ ก็จะไม่พูดด้วย ไม่บอก ถ้าระดับนานาสังวาส อาตมาทำขนาด ปฏิโกสนา แต่ไม่ทำถึง อุโกฏนา คือไปฟ้องร้อง เอาเรื่องเอาราวไม่ได้ อาตมาใช้แค่ มุขสตี ปากพูดตำหนิ เท่านั้น ไม่ได้ไปทำถึง ถูกเนื้อถูกตัว ไปตบตี ตบเบาๆก็ไม่ทำ เพราะเหมือนกระเทย ทำแค่ปากหอก ไม่ได้ละเมิดคำสอน พระพุทธเจ้าเลย เพื่อสาธยายชี้แจง ให้เข้าใจสัจจะ

วันนี้เป็นวันสำคัญ ระลึกถึงรอบ ที่เราได้ทำสงคราม ทางโลกมาแล้ว ก็มารบกัน ทางศาสนา ทางธรรม ซึ่งไม่แบกอาวุธ ระเบิดปืนมา แต่เขาใช้แค่ มุขสตี เท่านั้น

อาตมาจริงใจ ในเรื่องธรรมะ ของพระพุทธเจ้า ทางเถรวาท ไม่เข้าใจโพธิสัตว์ ซึ่งเถรวาทเข้าใจว่า โพธิสัตว์คือปุถุชน แต่ที่จริงแล้ว โพธิสัตว์คือ ผู้ที่มีภูมิตรัสรู้ คือรู้ตามคำสอน ที่พระพุทธเจ้าตรัส ปฏิบัติมีสภาวะ เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ นี่คือความรู้ที่ตรงกับ พระพุทธเจ้าสอนมา ตรวจสอบแล้ว ตรงกัน นี่คือ ผู้มีความตรัสรู้ ทีภาษาบาลีว่า โพธิ ไม่ใช่ว่าโพธิสัตว์ คือสัตว์นอนกิน ใต้ต้นโพธิ์ หรือเป็นปุถุชน ไม่มีการบรรลุธรรม พระพุทธเจ้า

โพธิสัตว์ นับตั้งแต่โสดาบัน ที่ทำกิเลสลดได้ แม้แต่ตัวใดตัวหนึ่ง คือ สักกายะของตน เป็นรูปนาม ที่ปรุงแต่งกัน ผู้ที่รู้แจ้งการสังขาร ไม่ให้รูปนามปรุงแต่งกัน เป็นสุข เป็นทุกข์ แม้กิเลสตัวใดตัวหนึ่ง ก็เป็นโพธิสัตว์ ระดับที่ ๑ เป็นโสดาบันโพธิสัตว์แล้ว สูงขึ้นไปก็เป็น สกิทาคามี แล้วเป็นโพธิสัตว์ระดับสอง สกิทาคามีโพธิสัตว์ จนล้างกิเลส กามภพหมด ดับเหตุมันได้ เหลือแต่เศษภายใน เป็นรูปราคะ อรูปราคะ ราคะคือเชื้อของ การเสพรส ส่วนกามคือการเสพรส ในวัตถุแท่งก้อน เมื่อล้างกามภพ ก็เป็นอนาคามีโพธิสัตว์ ระดับที่ ๓ จากนั้นสูงขึ้นอีก เป็น อรหันตโพธิสัตว์ (ระดับ ๔) แล้วไม่ได้ปรินิพพาน ก็จะเป็น อนุโพธิสัตว์ (ระดับ ๕) ซึ่งโพธิสัตว์ ระดับต้นจริงๆ คือ โสดาฯ ถึงอรหันต์ พอเป็นอรหันต์ได้ ก็มีสิทธิ์ ปรินิพพาน

จากนั้นสูงขึ้นเป็น อนิยตโพธิสัตว์ (ระดับ ๖) ชาติแล้วชาติเล่า สอบเข้าโรงเรียน เป็นพระพุทธเจ้า ยังไม่ได้ จนกว่าจะเป็น นิยตโพธิสัตว์ (ระดับ ๗) ก็เรียกว่า สอบได้แล้ว แต่ว่าไม่ใช่ว่า รีไทร์ไม่ได้นะ คือเลิกเองก็ได้ หรือทำผิดระดับหนึ่ง ก็ต้องออกไป  ขึ้นสู่มหาโพธิสัตว์ (ระดับ ๘) ไม่ได้ ซึ่งสอบซ่อมไม่ได้

ซึ่งระดับมหาโพธิสัตว์นั้น จะออกได้ ก็ต้อง เฉพาะตนเอง ออกเท่านั้น ถ้าใครมีอนันตริยกรรม ก็ได้สูงสุดแค่นี้ ไม่สามารถประกาศ ศาสนาได้ เป็นแค่ปัจเจก พระพุทธเจ้า ไม่มีสิทธิ์เป็น สัมมาสัมพุทธเจ้า เช่นเดียวกันกับ การต้องไม่ทำวิบาก ให้เป็นผู้หญิง ไปตลอดกาล จะไม่สามารถเป็น พระพุทธเจ้าได้ อย่างกวนอิมนี่ เป็นผู้หญิง ตลอดกาล เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ เป็นอจินไตย ที่พูดในวันนี้

ธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ศาสนาแบบเทวนิยม ที่ว่าพระเจ้า เป็นผู้ที่สั่งการ ทุกอย่าง ทุกคนไม่มีสิทธิ์ เป็นอย่างพระเจ้า แล้วพระเจ้า ก็ให้พระบุตร เท่านั้น เป็นคนประกาศ แต่ว่าของพุทธนี่ ทุกคนเป็นได้ อย่างพระพุทธเจ้า แล้วสอนฟรีด้วยนะ ใครจะมาสมัครบ้าง น่าสมัครนะ ใครอยากสมัคร เป็นโพธิสัตว์บ้าง ของพระพุทธเจ้านี่ ใครจะเป็นพระบุตรก็ได้ เป็นลูกพระพุทธเจ้าได้ ไม่ปิดกั้น สร้าง DNA พุทธได้ โสดาบันเริ่มมีเชื้อแท้ได้ สกิทาฯก็ได้ DNA แท้มากขึ้น ยิ่งเป็น อนาคาฯ อรหันต์ก็ยิ่งแท้ เป็นอนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เป็นระดับที่ ๙ แล้ว จะต่อไปหรือไม่

ผู้จะสูญเด็ดขาดไม่ต่อ ก็ไม่มี เลข ๑ ต่อ, ตัด ๐ เลิกสลาย แต่ถ้าจะต่อ ก็เริ่ม ๑๑ ต่อไป เป็นสภาพ หมุนรอบเชิงซ้อน ไปเรื่อยๆ ไม่มีพระพุทธเจ้า องค์ใด ขอเป็นพระพุทธเจ้า สองสมัยนะ อย่านึกว่าไม่เมื่อย ไม่ยากนะ ผู้ที่รู้จัก ภาราหเว ปัญจขันธา  นี่ก็จะรู้ว่า ไม่ใช่เรื่องเล่นนะ จะอยู่กับคนเลวร้าย อาตมาไม่เป็นโพธิสัตว์ นานหรอก หากถึงเวลา เป็นพระพุทธเจ้า แล้วจะเป็นพระพุทธเจ้า สมัยเดียวเท่านั้น...จบ