FMTV โทรทัศน์เพื่อมนุษยชาติ
560317_รายการวิถีอาริยธรรม โดยพ่อครู และส.ฟ้าไท
เรื่อง ดับตัณหาในเวทนา จนเกิดอปุญญาภิสังขาร

ส.ฟ้าไท ดำเนินรายการ ที่บ้านราชฯ...
ตอนนี้ในเวลาไม่ถึง ๑ เดือน ก็จะมีงานตลาดอาริยะ ที่ราชธานีอโศก เป็นตลาดที่ขายสินค้า ในราคาต่ำกว่าทุน สิ่งที่จะขาดทุนได้มากคือ ปุ๋ย จาก 280 บาทเหลือ 180 บาท ซื้อได้คนละ ๒ ตัน นำบัตรประชาชนมาด้วยในการซื้อ และยังมีกสิกรรมแฟร์ มีพืชผักหลายชนิดให้ชม ใช้เวลา ๑ เดือนเศษ ในการเนรมิต ไม่ได้ใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมีแต่อย่างใด เป็นการพิสูจน์ศักยภาพ ของชาวอโศก เหมือนใช้คาถาเสกขึ้นมา

ที่ผ่านมามีคุณ 8705 โต้แย้งมา พ่อครูก็ได้นำมาตอบประเด็น คนชมก็เลือกเอาว่า สิ่งไหนเป็นธรรมวาที สิ่งไหนเป็นอธรรมวาที เป็นการปรับปวาทะ ทำให้เราคนฟัง หรือสาวก ได้ชัดเจนขึ้น

พ่อครู... ขอใช้คำนี้คือคำว่า ปรัปปวาทะ เป็นคำกล่าวนำ ที่พูดกันนี้บางคนว่า เป็นการแย้ง หรือการเถียง ในการแย้งเราก็แย้ง ในการเถียงคือ การเอาชนะคะคานกัน แต่แย้งคือ เชิงวิจัยวิจารณ์ ทำให้เข้าใจได้ดีขึ้น พระพุทธเจ้าใช้คำว่า ปรัปปวาทะ มีคำว่า ปร กับ วาทะ  คำว่าปร คือเป็นอื่น วาทะ คือคำพูด ถ้าคำพูดใด ที่เป็นอื่นไปจาก คำสอนพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าท่านก่อนปรินิพพาน ท่านได้ตรัสไว้ว่า ภิกษุผู้เป็นสาวกของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับแนะนำ ไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ ของตนแล้ว ยังบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ ข่มขี่ปรัปวาทที่บังเกิดขึ้น ให้เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้ เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น

แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ คือแสดงธรรมข่มขี่ อย่างปาฏิหาริย์ด้วย ทำให้เกิดความเรียบร้อย มีความเข้าใจ แม้ถึงขนาดที่ผู้ที่แย้งมา เกิดความเข้าใจได้ แต่พ่อครูไม่แน่ใจว่าคุณ 8705 จะเข้าใจได้ ทั้งที่เรามี สหธรรม คือผู้ที่มาร่วมกันรวมกัน อย่างชาวอโศก มาเป็นหมู่กลุ่มเลย มีพฤติพุทธ สุขสบาย ไม่มีการแย่งชิง อย่างโลภ โกรธหลง สังเกตได้ เราไม่เหมือนกับ ชาวโลกเขา เราแสดงทั้ง กาย วาจา ใจ แก่โลกเขา เราทำเสียสละเพื่อคนอื่น ไม่ไปแย่งชิงเขา อย่างแท้จริงเลย

คุณ 8705 sms มาเมื่อวานนี้ว่า
0888705xxx ถ้าพระทั้งหลายในอดีต ตีความธรรมะเพี้ยนแบบพธร.พุทธศาสนาย่อมเจ้งไปแล้ว!
0888705xxx
นักธุรกิจโกงเมืองกับนักบวชที่ปาราชิกแล้ว..ย่อมไม่อยากให้มีขุมนรกจริง!

0888705xxx ถ้าพระทั้งหลายในอดีตแปลธรรมะมั่วแบบพธร.ป่านนี้พุทธศาสนา ก็คงเจ้งไปแล้ว!

พ่อครูตอบว่า..... คุณไม่มีภูมิรู้เอง ว่าพุทธศาสนา มันเพี้ยนไปแล้ว มันสมบูรณ์ไปด้วย โลกธรรม ด้วยอวิชชา เต็มไปหมด มันเหมือนกลองอานกะ มีชื่อว่าศาสนาพุทธ แต่เนื้อไม่ใช่กลองอานกะแล้ว เหมือนพุทธ แต่ก็ยังเรียกว่ากลองอานกะ ยังเรียกว่าพุทธ เช่นเดิม แต่ก็ไม่ขอรับ ถ้าเขาจะยกมาเป็นแบบเราเลย เพราะเรารับไม่ไหว คุณต้องเรียนรู้ ให้สัมมาทิฏฐิ แล้วปฏิบัติให้มีมรรคผล พอสมควร จึงมาอยู่กับชาวอโศกได้

ถ้าคุณบอกว่าพ่อครูตีความเพี้ยน นั้นเป็นการใส่ความ เพราะถ้าพลเมืองเรา มีการนับถือ ศาสนาพุทธ ๙๕ เปอร์เซ็น บ้านเมืองเราไม่แย่ขนาดนี้หรอก เพราะที่บริหารบ้านเมืองทุกวันนี้ เป็นลูกศิษย์ลูกหาของใคร แต่พ่อครูเรา ไม่ค่อยให้ใครเรียกว่าอาจารย์ มีเรียกว่าครู คือพ่อครู และที่ต้องบอกแสดง ว่าเป็นโพธิสัตว์ เพราะจำเป็นต้อง พูดข่มขี่ปรับปวาทะ ให้เรียบร้อย โดยสหธรรม อย่างที่พวกเรามาฟังนี่แหละ  ในทุกอิริยาบถอยู่ สำเร็จอิริยาบถอยู่

ให้เข้าใจว่ามนุษย์ที่เป็นพุทธอยู่อย่างนี้ เสียสละหรือเอาเปรียบอย่างไร สงบสุข ไม่เดือดร้อนอย่างไร เป็นอาริยะอย่างไร คนที่มีปัญญาจะอ่านออก จำเป็นต้องเปิดเผย ไม่ได้ยกตัวยกตน แต่เพื่อแสดงปาฏิหาริย์ ข่มขี่ปรับปวาทะ ให้เรียบร้อยโดยสหธรรม

มันเป็นปาฏิหาริย์ เพราะเป็นไปได้ยาก ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าแสดงกายธรรม ที่มีคนมาอยู่ เป็นหมู่กลุ่ม เป็นหมู่บ้าน อ.พิภพ ว่าถ้าประเทศไทยเรา มีหมู่บ้านอย่างอโศก กระจายอยู่ ทั่วประเทศ ไทยเราจะดีขึ้นไม่น้อยเลย ซึ่งพ่อครูว่า เราจะอยู่กันกระจายเป็น ข่ายแห (Pyramidal web) มีลักษณะจนกระจุก รวยกระจาย แต่ทุนนิยม รวยกระจุก จนกระจาย

แม้แต่ในสังคมพระ ผู้ที่เป็นใหญ่จะรวย รัฐบาลไม่เข้าใจ ก็ไปให้เงินเดือนพระอีก ก็นิสสัคคียะปาจิตตีย์ ส.ฟ้าไทว่า ถ้าไม่ให้ก็ไม่มีพระ.... พ่อครูว่าให้หมดไปเลย ดีกว่าเป็นอย่างนี้

ส.ฟ้าไทว่า แต่ก่อนเราก็ไปวัด แต่สังคมก็แย่ลงๆ เปรียบเทียบกับที่มาอยู่กับพ่อครู ได้เห็นสังคมพัฒนา ตัวเราก็เห็นแก่ตัวน้อยลง เสียสละเพิ่มขึ้น สังคมก็ดีขึ้นได้

มีคุณ 8705 sms มาซ้ำว่า 0888705xxx ถ้าพระทั้งหลายในอดีต แปลธรรมะมั่วแบบพธร. ป่านนี้พุทธศาสนา ก็คงเจ้งไปแล้ว! ก็ส่งมาซ้ำๆ ซึ่งพ่อครูไม่เอาชนะคะคาน แพ้ได้ แต่ก็ยืนยันสัจธรรมไป ก็ขอบคุณที่ส่งมา เพื่อให้เป็นประเด็น เป็นเหตุปัจจัย ให้เรามาอธิบาย

และยังมีมาว่า 0888705xxx    ชาวอโศกรู้ได้อย่างไรว่า กระทะทองแดงในขุมนรก ไม่มีจริง.. เคยตายมาแล้วหรือ?

ขอตอบตรงๆว่า พ่อครูเคยตาย คุณเองไม่เคยตาย ก็เรื่องของคุณ นี่เป็นลักษณะของ อุจเฉททิฏฐิ ทำไมแค่เดาว่า คุณเชื่อไหม ที่พระพุทธเจ้าว่า เวียนเกิดเวียนตาย ทำไมเราจะไม่เคยตาย แต่ตายด้วยอวิชชา มันก็ไม่รู้ แต่พ่อครูว่า พ่อครูเคยตาย แต่ตายด้วยวิชชา สามารถรู้รูปธรรม นามธรรม ของจิตได้ ไม่ใช่ตายอย่างปุถุชน ที่ต้องไปรับวิบาก แต่พ่อครูเคยตาย อย่างมีสติสัมปชัญญะ

เมื่อตายไป จิตวิญญาณจะไม่มีสรีระ รูปร่างอะไรหรอก แต่พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้ดูถูก นรกที่เป็นรูปร่าง เพื่อให้คนที่ยึดถือ สมมุติสัจจะ ได้กลัวบ้าง แต่จิตวิญญาณนั้น อสรีรัง เอกจรัง ไม่ได้เดา แต่ยืนยันหลักฐานตามพระพุทธเจ้า พ่อครูสามารถที่จะมีเช่นนั้น จึงเอามาพูด ทั้งที่ค้านกับคน ทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะมันเพี้ยน เป็นกลองอานกะไปแล้ว จำเป็นต้อง แสดงปาฏิหาริย์ ข่มขีปรับปวาทะ ให้เรียบร้อยโดยสหธรรม แสดงทั้งตัวเอง และพวกคุณ ที่มาเป็นสหธรรม ไม่ได้เถียงเพื่อเอาชนะด้วย แต่พูดด้วยเหตุผล

พ่อครูไม่ได้ปฏิเสธนรกว่าไม่มี เคยมีคนอ้างพระไตรฯ บอกว่านรกมีจริง แบบมีภูมิศาสตร์ มีดินน้ำลมไฟเลย แต่มีพวกเราไปค้นพระไตรฯ ปรากฏว่า พระองค์ทรงเปรียบ เป็นอุปมาอุปไมย แต่มีสิ่งที่เปรียบเทียบไม่ได้เลยคือ นิพพาน คือ นัตถิอุปมา นอกนั้น อุปมาอุปไมย เปรียบเทียบได้หมด คนที่ไม่รู้ ก็ไปจับเอาสิ่งที่ อุปมาอุปไมย มาเป็นจริง เป็นตัวเป็นตนไป

คุณ 8705 มาอีกว่า 0888705xxx นักธุรกิจโกงเมือง กับนักบวชที่ปาราชิกแล้ว.. ย่อมไม่อยากให้มี ขุมนรกจริง!

ก็จริง นักบวช นักธุรกิจโกงเมือง ที่ชั่ว เขาก็รู้ว่าทำชั่ว เขาก็ไม่อยากให้มีนรก แต่นักบวช ที่ไม่ปาราชิก จะไม่กลัวนรกเลย เพราะมีกำลัง ๔ พ้นภัย ๕ แล้ว พ้นทุคติภัยคือนรก ไม่ได้กลัวเลย ไม่ได้อยากหรือไม่อยากมี เพราะนรกก็มีอยู่ตลอด สำหรับผู้ที่มีภูมิตกนรก จะปฏิเสธก็ไม่ได้ แม้คุณจะเข้าใจผิด เช่นคนที่ฆ่าสัตว์ หรือเดรัจฉานฆ่ากัน (โพธิสัตว์ ที่ไปเป็นเดรัจฉาน จะไม่ทำบาป ไม่เหมือนเดรัจฉานทั้งหลาย)  พ่อครูไม่ได้เดา แต่พูดด้วยความจริงของตน

ผู้ที่เป็นนักบวชไม่ปาราชิก มีปัญญา จะรู้และพ้นภัย ทั้งมรณะภัย ทุกคติภัย ปาริสสารัชชภัย (ไม่สะทกสะท้านในบริษัท) อาสิโลกภัย (กลัวคนติเตียน) ไม่ใช่หน้าด้าน เดี๋ยวนี้คุณ 8705 ไม่ค่อยด่าหยาบ แล้วก็พัฒนาขึ้น

ที่ว่าพระพุทธเจ้ายืนยันว่า นรกสวรรค์ที่มีตัวมีตนไม่มีจริง... แต่คือการอุปมาอุปไมยนั้น มีอยู่ในพระไตรปิฏก เชิญไปค้นดูได้

0888705xxx เดี๋ยวนี้มหาจำลองเอาเข็มเทียนแห่งธรรม (หรือเข็มทองแห่งธรรม!) มอบแก่ผู้บริจาคเงินให้ASTVแล้ว แต่บังคับว่าจะต้อง10000 บาทขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะมีสิทธ์ ได้รับเข็ม เทียนแห่งธรรม! ซึ่งนั่นก็แสดงว่า..เข็มทองแห่งธรรม ที่พธร.เคยบอกว่า เป็นสัญลักษณ์ของ ผู้บรรลุโลกุตระ! ฉะนั้นจะมอบให้เฉพาะแก่ ผู้บรรลุโลกุตระแล้วเท่านั้น เช่นว่า ถ้าใครได้1เข็มทอง ก็=ผู้นั้นเป็นโสดาแล้ว ถ้าใครได้2เข็มทอง ก็=ผู้นั้นเป็นสกิทาแล้ว ถ้าใครได้3ทอง ก็=ผู้นั้นเป็นอนาคาแล้ว อย่างนี้เป็นต้น แต่แล้วเพราะเหตุใด..นอกจากพธร. จะใช้เข็มทองเพื่อล่อให้สาวกบริวาร หลงติดอยู่กับลัทธิของตัวเองแล้ว.. เดี๋ยวนี้มหาจำลอง ก็เลยเอาอย่างพธร.บ้าง ด้วยการเอาลาภแลกลาภ! แต่บังคับว่า จะต้องบริจาคหมื่นบาทขึ้นไป ถึงจะมีสิทธ์ได้รับเข็มทอง ฉะนั้นจึงแปลความ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่า.. ถ้าใครบริจาค 10000 บาทขึ้นไป ก็เป็นโสดาได้แล้ว! เพราะว่ามีเข็มทองแห่งโลกุตรธรรม เป็นสัญลักษณ์นี่ไง! จึงถามหน่อยว่า เดี๋ยวนี้มหาจำลอง จะยึดเอาธุรกิจศาสนาของพธร.. มาแปลงเป็น ธุรกิจการเมือง เลียนแบบมหาทักษิณ ณ.ดูไบ แล้วหรือ? สรุปว่า ถึงพธร. จะถูกกล่าวหายังไง.. แต่สะยังอภิญญา ระดับศรีธนญชัยของพธร. ก็คงจะสามารถ หาข้อแก้ตัวไปได้ แบบน้ำขุ่นๆอยู่แล้ว.. ชิมิๆ สวัสดีเข็มทอง

0888705xxx ถ้าอยากรู้ว่าเดียถีในสมัยพุทธกาลเป็นยังไง.. ก็ดูได้จากกลุ่มอโศกนี่แหละ!

พ่อครูจำเป็นที่จะไม่อธิบาย ไม่ขยายความ เพราะเป็นจิตวิทยา ในภูมิสังคมของพ่อครู ถ้าไปอธิบาย ไปเปิดเผย จิตวิทยานี้ก็ด้านไปหมด ไม่หลงลมไปเปิดเผย แต่ขอยืนยันว่า มีผลสำเร็จ โดยไม่ต้องจ่ายเงิน เหมือนคุณจำลอง ในบริบทสังคมคุณจำลอง กับของพ่อครูนั้น คนละบริบทจ๊ะ ของคุณจำลองเป็นแนวกว้าง แต่ของพ่อครูนั้น คนที่มา ได้รับการคัดมา ระดับหนึ่ง อย่ามั่วมามอบให้พ่อครู

น้ำของพ่อครูใส แต่ตาของคุณ ขุ่นต่างหาก

0888705xxx อสังขาริกหมายถึง ไม่ต้องมีผู้ชักชวน! แต่พธร กลับไปแปลเพี้ยนเป็นอย่างอื่น

เดิม โบราณาจารย์แปล ท่านพรหมคุณาภรณ์ แปล อสังขาริกะ คือไม่ถูกชักจูง จากภายนอกแล้ว แต่ของพ่อครู ขยายความแปลว่า ไม่ถูกชักจูง ลากจูงจากภายนอก คือ รูป รส กลิ่นเสียงสัมผัส จากมนุษย์โลก ดึงออกไป พาไปสู่โลกแล้ว     

 เขาแปลตามพยัญชนะ เป็นการยึดตัวอักษร แต่ไม่มีสภาวะ ก็แปลไม่ถูกปรมัตถ์ ก็น่าสงสาร

มีคนที่ทนไม่ไหว ฟังรายการพ่อครูแล้ว ส่งความเห็นมาว่า คิดอย่างนี้ บาปหรือไม่ครับ? ...ยิ่งนานวัน คนมิจฉาทิฏฐิ ที่ตั้งใจจะสร้างปัญหา สะสมปัญหา จนยากที่คน ผู้ตั้งใจเอาภาระสังคม ต่างเมื่อย จนคิดจะถอดใจ ถ้าหากสังคม สามารถมีผู้ที่ใจเด็ด แบบนักบินญี่ปุ่น เมื่อครั้งสงคราม ที่เมื่อรู้ว่า เทคโนโลยีตน เครื่องบินของตน สู้ข้าศึกไม่ได้ โดยตนจึงเต็มใจ นำชีวิตตน จักต้องแลกชีวิตผู้บุกรุก จากการโดนยิงให้ตก และก่อนจมลง ในมหาสมุทร ก็ฮึดสู้พุ่งชนเรือข้าศึก พร้อมสละชีวิต นั่นคือ ยุทธวิธี คะมิกาเซะ

ที่ถาม เพราะคนมิจฉาทิฐิ จะรู้ดีว่า ความชอบธรรม อันเป็นพลังโดยแท้ ที่จะปราบตน จะต้องใช้มวลชน จำนวนมาก ถึงจะมีความชอบธรรม ถูกธรรม ตรงธรรม ตน และพวกตน จึงตั้งใจสร้างปัญหา ให้เกิดมากๆๆๆ จนคนที่ตั้งใจ ... เกิดอาการเบื่อหน่าย ไม่ก็ เซ็ง แบบธุระไม่ใช่ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อ เหล่ามิจฉาทิฏฐิ ที่จะทำร้ายแผ่นดินต่อไป อย่างย่ามใจ ส่วนใครที่คิดจะเป็น คะมิกะเซะ โดย จะเกิดหรือไม่ก็ตาม ขอถามว่า หากเกิดมีจริง คนที่จะกระทำต่อ คนมิจฉาทิฏฐิ ที่ทำร้ายชาติ ในทัศนะของนักการศาสนา จัดว่า จะเป็นบาป หรือ จัดว่าเป็นการเสียสละ?

เขาเสียสละเพื่อส่วนรวม พวกมนุษย์กามิกาเซะ เขาเสียของตนเอง เพื่อให้ได้กำไร เพื่อส่วนรวม มันมีส่วนบาปและส่วนบุญ คุณเสียสละเพื่อมวลชน ถึงตายคุณไม่ได้บุญเลยนะ บุญไม่ใช่กุศล เมื่อหมดบาปก็หมดบุญ บาปหมดแล้วก็ไม่ต้องทำบุญอีก หมดกิเลสให้ชำระแล้ว

เขาไม่ได้เจตนาฆ่าตัวตาย แต่เขาจำนนว่าเขายอมเสีย เขาพ้นมรณภัย เขาไม่กลัวตาย แต่บางศาสนาบอกว่า ตายเพื่อศาสนาเป็นบุญ ทำคาร์บอม แต่ศาสนาพุทธมีสองนัย อย่าฆ่าตัวตาย แต่ถ้าสุดวิสัยก็จบ จะว่าเป็นกุศล ก็เป็นกุศลแน่ แต่ว่าจะเป็นบุญนั้น แล้วแต่ว่า จะลดกิเลสหรือไม่  

คะมิกะเซะ (ญี่ปุ่น: Kamikaze ?) หรือ เรียกอย่างเป็นทางการว่า กองกำลังจู่โจมพิเศษ ( โทะกุเบะสึโคเกะกิไต) เป็นคำในภาษาญี่ปุ่น มีความหมายว่า ลมสวรรค์ หรือลมแห่งเทวะ คะมิกะเซะ ในภาษาญี่ปุ่น ถูกนำมาใช้เรียกลมสลาตัน และนำมาใช้เป็นชื่อฝูงบิน และนักบินคะมิกะเซะเท่านั้น ต่างไปจากในภาษาอังกฤษ ที่ชาวตะวันตกนำคำๆ นี้มาใช้เรียกการโจมตี แบบพลีชีพ (suicide attacks) คำๆ นี้ได้ถูกนำมาใช้เรียก อากาศยานพลีชีพของญี่ปุ่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งบรรทุกระเบิด และพุ่งเข้าชนเรือ และคำนี้ยังหมายถึงนักบินผู้บังคับอากาศยาน ประเภทนี้ด้วย

ญี่ปุ่นใช้ยุทธวิธีพลีชีพด้วยฝูงบิน คะมิกะเซะนี้เป็นอย่างมาก ในช่วงที่กองทัพญี่ปุ่น บุกฟิลิปปินส์ในปี พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) และเพื่อหยุดยั้ง การบุกของกองทัพเรือ ฝ่ายสัมพันธมิตร และที่เมืองโอะกินะวะ

ต่อไปพ่อครูจะอ่านที่ได้เรียบเรียบ ตอบคุณ 8705 ดังนี้

ตอบประเด็นคุณ ๘๗๐๕ (12มีค.56)

ที่คุณ ๘๗๐๕ แสดงความเห็นมาแล้วว่า "รูปนามเกิด-ดับ อยู่ตลอดเวลา เป็นธรรมชาติ เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป เป็นสันตติ ไม่ใช่ตัวตน"

ก็เท่ากับว่า ถ้าผู้ใดขืนเห็นว่า "มีตัวตน" ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว ผู้เห็นว่า "มีตัวตน" แล้วก็ไปวุ่นวาย ทำให้ตัวตนหมดไป หรือ "ดับไป"นั้น ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่

ใครยังขืนเห็น "ความไม่มีตัวตน" จนได้นั้น ผู้นั้นต้องจัดอยู่ในพวก เข้าใจว่ามีตัวตน แล้วยังดันทุรัง ไปมัวทำให้ตัวตน (อัตตา)หมดไป หรือดับไปจนสำเร็จ "ไม่มีตัวตน" อยู่อีก ผู้เข้าใจความ "ไม่มีตัวตน" แบบนี้ คือ ผู้มีนิรัตตา

นิรัตตา แปลว่า ไม่มีตัวตน ผู้ยึดถือ "ความไม่มีตัวตน" แบบนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ

ผู้สัมมาทิฏฐิ จะต้อง "มีปัญญาอันเฉียบแหลมยิ่ง" เห็นแจ้งใน "ความไม่ใช่ตัวตน" เท่านั้น จึงจะสัมมาทิฏฐิ เพราะ "อนัตตา" แปลว่า ไม่ใช่ตัวตน อย่าไปแปลว่า "ไม่มีตัวตน" จะเป็นคนโง่ และโง่มากๆ โง่ต่ำๆ อย่างที่คุณ ๘๗๐๕ เคยว่าอาตมาไว้นั่นแหละ

การเห็น "ความไม่ใช่ตัวตน" ของคุณ ๘๗๐๕ นั้น คือ เห็น "ความเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป" มันก็ "เกิด-ดับ เกิด-ดับ" ต่อเนื่องกันอยู่อย่างนี้แหละ ไม่ขาดสาย เป็นอยู่นิรันดร ใครจะไปจับ ให้มันเป็นตัวตนได้  ในเมื่อมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วมันก็ดับไป เป็นสามัญลักษณ์ เป็นธรรมชาติ  

ใครอย่าไปแปล "อนัตตา" ว่า "ไม่มีตัวตนเชียว" มิจฉาทิฏฐิแล้ว

ความเข้าใจในคำว่า "นิรัตตา"กับ "อนัตตา"ของคุณ ๘๗๐๕ กับความเข้าใจของอาตมา กลับขั้วกัน หรือคนละความหมาย มีนัยสำคัญ คนละอย่าง ทั้งการใช้ภาษาอธิบายความ เป็นนิรัตตา และอนัตตา โดยเฉพาะการมีสภาวะ อาตมาก็เห็นสภาวะคนละอย่าง ต่างกับคุณ ๘๗๐๕ ถ้าคุณ ๘๗๐๕ จะมีสภาวะนะ ท่านก็เห็นสภาวะของท่าน อย่างที่ท่านว่านั่นแหละ คือ เห็นแต่มันเกิดดับเป็นสาย ต่อกันอยู่อย่างนี้  แยกอะไรไม่ได้ แยกรูปแยกนาม ไม่ได้

โดยเฉพาะแยกความเกิดของรูป ความตั้งอยู่ของรูป ความดับไปของรูป ที่เป็นมหาภูตรูป และอุปาทายรูป ความเกิดของนามที่เป็นเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ จนสามารถการ สัมผัสเห็น "ความเกิด" ของรูปนั้นๆ และความดับของรูปนั้นๆ ท่านแยกไม่ได้ ท่านเห็นแต่ว่า มันต่อเนื่องกัน เป็นสันตติ เห็นไหมว่า สันตตินี่แหละ มันบังความเป็นรูปนาม

โดยเฉพาะการเห็นความเกิดของนาม เห็นความดับของนาม ที่เป็นเวทนาเกิด เวทนาดับ ซึ่งพระพุทธเจ้า แจกเวทนานี้ไว้  "มี" ทั้ง เวทนา ๒ เวทนา ๓ เวทนา ๕ เวทนา ๖ เวทนา ๑๘ เวทนา ๓๖ เวทนา ๑๐๘ และเมื่อทำให้เวทนา ที่เราสำคัญมั่นหมายนั้น จนมัน "ไม่มี" ก็คือทำให้เวทนานั้นๆ "ดับ"ได้สนิท ไม่เกิดอีกนั่นแหละ คือ ผู้เห็นแจ้ง "ความเกิด-ความดับ" ของปรมัตถธรรม เป็นต้น สัญญาก็เห็นแจ้งในความเกิด-ดับได้ เจตนาก็เช่นกัน ผัสสะก็เช่นกัน มนสิการนั่นแหละคือ การทำใจในใจ หรือทำนามธรรม "ตัวตน"นั้น ให้มันไม่เกิด หรือ "ตัวตน"มันดับได้สำเร็จ

คุณ ๘๗๐๕ ก็ต้องเข้าใจว่า อาตมาอธิบายเอาเองแน่นอน เพราะยังไม่มีใคร อธิบายอย่างนี้ ให้คุณ ๘๗๐๕ ได้ยินมาก่อนแน่ อาตมาจึงค่อนข้างจะเชื่อว่า คุณ ๘๗๐๕ จะไม่เข้าใจ ที่อาตมาพูดไปนั้น เพราะเข้าใจ ที่อาตมาพูดนี้ไม่ได้ เนื่องจากคุณ ๘๗๐๕ ไม่มีสภาวะ ตามที่อาตมา พูดนี้แน่ๆ คุณ ๘๗๐๕ จึงสรุปว่าอาตมาเข้าใจธรรมะของพุทธผิด เพราะอาตมา "มี" ความเข้าใจแบบพุทธ ไม่เหมือนกับคุณ ๘๗๐๕ มัน "ผิด"กัน มันก็ต้องต่างกัน ก็ต่างคนต่างเห็น มันก็เป็นธรรมดา อาตมาไม่เห็นแปลกอะไร คุณเข้าใจอย่างหนึ่ง อาตมาก็เข้าใจ อีกอย่างหนึ่ง ต่างก็แสดงความเห็น    
 
และคุณ ๘๗๐๕ แสดงความเห็นมาอีก ในวันที่ ๑๒ มีค.นี้ว่า

เพราะว่า.. ธรรมชาติของสังขารทั้งหลาย ต้องอาศัยกันและกัน.. ถึงเกิดขึ้นได้! ฉะนั้น ไม่มีสังขารอันไหน จะมีความเป็นเอกเทศ! หรือที่จะสามารถเกิดขึ้นได้เอง หรือเป็นขึ้นเอง หรือ เป็นตัวของตัวเองโดยเฉพาะ ก็หามิได้!

ดังที่ปฏิจจสมุปบาท ก็แสดงอยู่แล้วว่า.. เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เพราะสิ่งนั้นเกิด สิ่งนั้นจึงเกิด และเหตุนี้.. สังขารทั้งหลาย จึงหาตัวตนที่แท้จริงบ่ได้! หรือก็คือที่เรียกว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา นั่นเอง เพราะมีอวิชชา จึงมีสังขาร ๓ ฉันใด เพราะมีทักษิณ จึงมี ๓ เกลอ ฉันนั้น ชิมิ จิตสังขารเท่านั้น เกิดที่ภายใน ส่วนวจีสังขาร + กายสังขาร เกิดที่ภายนอกจ๊ะ!

ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาหลงว่าตนเป็นโพธิสัตว์ ชาติหน้าบ่ายๆ พธร. กำลังตีความปฏิจจสมุปบาท ก็เหมือนเด็กอนุบาล กำลังตีความทฏษฎี E = mc กำลัง ๒ พธร.เรียนมากรู้มาก แต่ไม่ปฏิบัติ.. จึงไม่มีสภาวธรรม เลยตีความธรรมะผิดหมด!

ก็ที่คุณ ๘๗๐๕ ว่า "ไม่มีสังขารอันไหน ที่จะเป็นเอกเทศ! หรือที่จะสามารถเกิดขึ้นได้เอง หรือเป็นขึ้นเอง หรือเป็นตัวของตัวเองโดยเฉพาะ ก็หามิได้" นั้น

ก็หมายความว่า ต้องอาศัยอันอื่นเป็นเหตุใช่ไหม? จึงมีการเกิดขึ้น  -การเป็นขึ้น -การเป็นตัวของตัวเอง โดยเฉพาะ..ได้ 

ก็นั่นแหละ คุณเองก็บอกว่า "ไม่มีสังขารอันไหน ที่จะเป็นเอกเทศ!" เกิดเองไม่ได้! เป็นขึ้นเองก็หามิได้! หรือเป็นของตัวเองโดยเฉพาะ ก็หามิได้!

ก็แสดงว่า มันต้องมี "เหตุ" ต้องอาศัยมีปัจจัย จึงจะเกิดขึ้นได้ เป็นขึ้นได้ กระทั่ง(หลงยึด) เป็นตัวของตนเองโดยเฉพาะ.. เข้าไปจนได้

ดังที่ ปฏิจจสมุปบาทก็แสดงอยู่แล้วว่า.. เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เพราะสิ่งนั้นเกิด สิ่งนั้นจึงเกิด

ก็ต้องศึกษาตามหา "สิ่งนี้" ที่มันเป็นเหตุปัจจัยให้ "สิ่งนั้นจึงมี" นั่นแหละให้ได้ แล้วถ้าเห็นชัดเจนแล้วว่ามันเป็น "อกุศลเหตุ" เราก็กำจัด "เหตุ" นี้ให้ ดับสนิทหรือให้ "ไม่มี" จนสำเร็จเสียซี สำเร็จอย่างถาวรยั่งยืนให้ได้ การเกิดขึ้น การเป็นขึ้น ที่คุณ ๘๗๐๕ ยัง "อวิชชา"ว่า เป็นตัวของตัวเองโดยเฉพาะ ก็จะหมดไป

เพราะคุณ ๘๗๐๕ ไปเอา"ตัวจบ" มาเป็น"ตัวต้น" คือ ไปรีบเอา "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" อันเป็น "ตัวจบ" มาเป็น"ตัวต้น" จึงยึดได้แค่ภาษาว่า ธรรมทั้งปวง ไม่ใช่ตัวตน แล้วก็เชื่อว่า "และเหตุนี้.. สังขารทั้งหลายจึง หาตัวตนที่แท้จริงบ่ได้!"

คนที่ "อวิชชา" ก็หา "ตัวตน" บ่ได้นั้นแน่นอน หรือคนที่ไม่ได้ศึกษาค้นหา ตัวของ"ตัวตน" ก็หา "ตัวตนบ่ได้!" แน่เสียยิ่งกว่าแน่

แต่คนที่มี "วิชชา" หรือมีสัมมาทิฏฐิ จะไม่รีบด่วน หลงเข้าใจผิดว่า "ตัวตนมีหรือไม่มี" จะเริ่มปฏิบัติ "ตามเห็นตัวตน" (อัตตานุทิฏฐิ)ให้ได้ ก็คำว่า "อัตตทิฏฐิ" (ความรู้อันเกี่ยวกับตน, ความเห็นว่ามีตน) ก็มีอยู่โต้งๆ แสดงว่ามันมีสภาวะนี้ และในบทศึกษาของพุทธ ก็มีอยู่โต้งๆ และคำว่า อัตตานุทิฏฐิ (ความตามเห็นว่าเป็นตัวตน) ก็มีอยู่ ในหลักศึกษาของพุทธ

เฉพาะอย่างยิ่งคำว่า "อัตตสัมปทา"นั้น ยิ่งเป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น "แสงอรุณที่จะมาก่อนพระอาทิตย์ คือมาก่อน การเข้าถึงมรรคองค์ ๘" พระอาทิตย์ ท่านเปรียบกับ มรรคองค์ ๘ ก็ชัดเจนยิ่งว่าต้อง "เข้าถึงความเป็นอัตตา" (อัตตสัมปทา) เป็นแสงอรุณ ไม่ใช่เข้าถึง "อนัตตา" เป็นแสงอรุณ ก็มันเป็นคนละสภาวะอยู่โต้งๆ  "อนัตตา" มันมิใช่แสงอรุณ ท่านไม่ได้ตรัสว่า "เข้าถึงอนัตตสัมปทา"เลย 

ผู้ปฏิบัติก็จะปฏิบัติ จนกระทั่ง "ตามเห็นความไม่เที่ยงในตัวตน ของเหตุที่เป็นปรมัตถธรรม ได้จริงกันเลย" ที่บาลีว่า "อนิจจานุปัสสี" แปลว่า "ตามเห็นความไม่เที่ยงในตัวตน ของเหตุที่เป็น จิต-เจตสิก-รูป" แล้วจึงจะ "ตามเห็นความจางคลายของกิเลส หรือตัวตนของ เหตุที่เป็น ปรมัตถธรรม ได้จริงกันเลย" ที่บาลีว่า "วิราคานุปัสสี" แปลว่า "ตามเห็นความจางคลาย ในตัวตนของเหตุที่เป็น จิต-เจตสิก-รูป" กระทั่ง "ตามเห็นความดับ ของกิเลสในใจ" ที่บาลีว่า "นิโรธานุปัสสี" แปลว่า "ตามเห็นความดับ ในตัวตนของ เหตุที่เป็นจิต-เจตสิก-รูป" เป็นต้น

แต่เพราะคุณ ๘๗๐๕ ไม่ยอมศึกษา "ค้นหาความเป็นตัวตน"เลย เนื่องจากไปจับเอา "ตัวปลาย" มาเป็น"ตัวต้น" แล้วหลงว่าบรรลุ "ความไม่ใช่ตัวตน"แล้ว จึงไม่ต้องไปศึกษา ค้นหา "ตัวตน" มาเห็นจริงว่าเออ.. เรามันยังมี "ตัวตน"อยู่จริงๆว่ะ!  

 เพราะไป "รู้แจ้งจริงจบ" ด้วยภาษาว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา นั่นเอง จึงสรุป ให้อาตมา ด้วยคำว่า เพราะมีอวิชชา จึงมีสังขาร ๓ ฉันใด เพราะมีทักษิณ จึงมี ๓ เกลอ ฉันนั้น ชิมิ จิตสังขารเท่านั้น เกิดที่ภายใน

ก็นี่แหละ ถ้าขืนใครเอาแต่ "อวิชชา"อยู่ มันก็มีสังขาร ๓ อยู่ อย่างไม่รู้จักสังขาร ๓ กันสักที จึงมีลูกน้อง เหมือน ๓ เกลอนี่อยู่แน่นอน

สังขาร ๓ นี้คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร มันก็จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมชาติ เป็นสามัญลักษณ์ ตามประสาไตรลักษณ์ ของปุถุชนอยู่นิรันดร์

จึงถูก "สังขาร ๓" นี้หลอกหลอนอยู่เป็น "สามัญลักษณ์" ตามไตรลักษณ์ ที่เป็นของ ปุถุชนทั่วไป ไม่สามารถทำให้เกิด "ปัจจัตตลักษณ์" ตามไตรลักษณ์ ที่เป็นปรมัตถ์ ของอาริยชนสำเร็จ

ปัจจัตลักษณ์คือ ลักษณะของผู้ที่ปฏิบัติ จนมีปัจจัตตัง เวทิตัพโพ คือคนที่มี ปัจจัตตลักษณ์ ลักษณะเฉพาะตน

ยิ่งใครยัง "อวิชชา" อยู่ ก็ยิ่งไม่รู้ว่า สังขารมัน "มี" และแยกสังขาร ๓ นี้ไม่เป็น  จึงทำ "อภิสังขาร"ให้เป็น "บุญ"ไม่ได้

"อภิสังขารที่เป็นบุญ" ในภาษาบาลีคือ "ปุญญาภิสังขาร" หมายความว่า สังขารที่พิเศษยิ่ง หรือปรุงแต่ง ที่พิเศษยิ่ง และทำได้อย่างเป็นบุญ คือ ทำได้อย่างมีการชำระ

"บุญ"หมายถึง เครื่องชำระกิเลส การชำระกิเลส มาจากภาษาบาลี "ปุญญ" รากแห่ง ความหมายเดิมจริงๆนั้น คือ ชำระจิตสันดานให้หมดจด เป็นภาวะของ "ปรมัตถธรรม" โดยแท้

สังขาร มีคำแปลอยู่มาก เช่นว่า การจัดแจง, การตระเตรียม, การรวมการกระทำ, การรวมเหตุ, ศักยภาพที่ประกอบกันขึ้น, สิ่งที่เกิดร่วมกันทางใจ, การประกอบขึ้น, ธาตุที่เป็นองค์ประกอบ ทางใจกับทางกายด้วย

"อภิ"นี้ มีความหมายลึกซึ้ง เท่าที่ประมวลได้ ก็คือ เผชิญหน้าไปยังที่, มีอำนาจเหนือ, ทับ, ข้างบน,เพิ่มให้มากขึ้น, มากมาย, ใหญ่หลวง, เข้าครอบครอง, เป็นเจ้าของ, เป็นใหญ่, อุบัติขึ้น, งอกขึ้น

"ปุญญาภิสังขาร" เป็น"สังขาร" ขั้น"อภิ" คือ สังขารอย่างเป็น "บุญ"        

เมื่อไม่สามารถมี" วิชชา"พอที่จะเห็นความเป็น "สังขารที่เป็นปรมัตถธรรม"ได้ จึงไม่สามารถ จะรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงได้ว่า "วจีสังขาร"นั้น คือ ภาวะที่ยังเกิดอยู่ใน "ใจ"เท่านั้น ยัง "ไม่ใช่วจีกรรม" ยังไม่ออกมาสู่ภายนอกเป็น "กรรมทางวาจา" ยังเป็นเพียง "มโนกรรม" อยู่ในใจ อยู่ภายใน ยังไม่ออกมาภายนอก

การรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ความเป็น"บุญ" หรือ "ปุญญ" อันเป็นการชำระกิเลส ที่เป็น"เหตุ"นั้นๆ เมื่อ "ชำระได้หมด สิ้นบาปในตนเกลี้ยงแล้ว" ก็ไม่ต้องชำระอีก นั่นคือ "ไม่ต้องทำบุญ" นั้นอีก ซึ่งจะพูดว่า "ไม่ทำบุญ"ก็ดี ไม่ต้องชำระกิเลสนั้นอีกแล้ว ก็ดี นี้แหละคือคำว่า "อปุญญ"

การ "อภิสังขาร"ที่เป็น ไม่เป็นบุญ จึงไม่ต้องทำ"บุญ" ถ้าจิตของผู้นั้นยัง "สังขาร" คือ ยังมี "การปรุงแต่ง" มี"ศักยภาพที่ประกอบกันขึ้น"อยู่ จึงเกิดผลของการปรุงแต่ง เป็นแต่ "กุศล" คือ เกิดผลแต่เป็นประโยชน์ เป็นคุณงามความดี โดยเฉพาะ ท่านจะทำเพื่อทุกคน ไม่เจาะจง ไม่หลงยึดว่า เป็นตัวตน เป็นของตน เฉพาะตนเท่านั้น ใจกว้าง ไม่ยึดความเป็นของตนจริงใจ

ยิ่งคำว่า "กายสังขาร" ที่เป็นองค์ประชุมของใจ ที่เป็น"นามกาย" ที่ "สังขารอยู่ในใจ" หรือ "การประชุมของนามธรรม"ที่มีอยู่ในใจ และเป็นการสังขาร ที่ยังมีการเชื่อมต่อ การสัมผัสภายนอก ไม่ขาดสายอยู่ด้วย ยิ่งพูดกันไม่รู้เรื่องแน่ กับคุณ ๘๗๐๕ เพราะเป็นเรื่องของ จิต เจตสิก รูป หรือปรมัตถธรรมแท้ๆ ที่ถ้ายังพูดถึง ความเป็นกายสังขาร ขั้นนี้แล้ว คุณ ๘๗๐๕ กับอาตมา มีสภาวะคนละอย่างกันแน่ๆ

ขอยืนยันว่า ผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงสภาวะของจิต เจตสิก หรือความเป็นรูป ที่หมายถึง สิ่งที่ถูกรู้ โดยเฉพาะ สิ่งที่ถูกรู้ที่เป็นนามธรรม คือ จิต เจตสิก ซึ่งได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั่นแหละ เป็นต้น ในปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าก็ระบุ นามตัวสำคัญไว้ให้ เช่น เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

ผู้ที่ไม่มีสภาวะ จะไม่รู้ความจริงของความเป็น "วจีสังขาร " จึงเดาเอาเท่านั้น

ผู้จับตัว "อัตตา "ได้ เรียกว่า พ้นสักกายทิฏฐิ นับว่าพ้นมิจฉาทิฏฐิ เพราะเห็นว่า เจ้าตัวนี้เองที่ "หลอก "เราอยู่ได้ ที่แท้มัน "ไม่เที่ยง " เดี๋ยวก็ "มี " คือ  "เกิดขึ้น-ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป" วนเวียนอยู่อย่างนี้ เป็นความวนไม่จบ นั่นคือ ยังเป็นโลก หรือเป็นภพ

เมื่อผู้ที่ "จับตัวสักกายะ " คือ ตัวตนของตัณหา หรืออุปาทาน 

ทั้งตัณหา และอุปาทานนี้ คือ กิเลสนั่นแหละ เมื่ออยู่ในฐานะอุปาทาน มันก็เป็นธาตุ  "ยึดมั่นอยู่" ซึ่งเป็นอาการที่"นิ่งๆอยู่" พอมัน"ไหวตัวออกมา" มันก็กลายเป็นฐานะ ของตัณหา เป็นอาการ ที่เห็นได้ง่าย ได้ชัดกว่า ฐานะที่เป็นอุปาทาน พระพุทธเจ้า จึงทรงให้กำจัด "ตัวตัณหา "นี้แหละ เพราะมันง่ายกว่า ไปกำจัดอุปาทาน

มันเป็นเหตุแห่งทุกข์แท้ ต้องกำจัดตัวนี้ คือ ปหานมันตามที่ พระพุทธเจ้าตรัสสอน จนมัน "ดับสนิท" ก็"ไม่มีตัวตน"มาเกิดขึ้น มาตั้งอยู่ มาให้ดับไปกันอีกเลย

จึงสิ้นภพ จบชาติ "ไม่มีตัวตนตัวนั้นมาอาศัยกันเกิดอีกแล้ว" เพราะสิ้น "ตัวตน" จะเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป รียบร้อยแล้ว

ผู้เห็น "ไตรลักษณ์" ที่ครบ ทั้งเห็นแจ้ง"ความไม่เที่ยง" (อนิจจัง) เห็นแจ้งความเป็นทุกข์ (ทุกขัง) อีกทั้งตามหา "ตัวเหตุแห่งทุกข์"พบ แล้วกำจัดตัวเหตุอริยสัจ นี้ได้จริง ความเป็น"อนัตตา" (ความไม่มีตัวตน) จึงปรากฏให้เจ้าตัวผู้ปฏิบัติ ถึงขั้นบรรลุผล "อนัตตา"ริง อย่างเห็นแจ้งๆ (สัจฉิ) โต้งๆชัดๆ สัมผัสอยู่ๆ

ผู้บรรลุผลเอง เห็นภาวะนั้นๆเอง ในตนเอง ของตนเอง เช่นนี้แลที่ชื่อว่า เป็นผู้เห็น "ไตรลักษณ์" ชนิดที่เรียกว่า "ปัจจัตตลักษณ์" คือ เห็นอย่างสูงส่ง ละเอียดไปถึง ปรมัตถธรรมขั้น อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา จึงสำเร็จ ขั้นมีปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ คือ เห็นด้วยความรู้ยิ่ง เห็นจริง อย่างรู้จัก(ตัวตน) ชนิดที่รู้แจ้งรู้จริง ในของจริง สภาวะจริง "เฉพาะตน" (ปัจจัตตัง, ปัจเจก) ในปรมัตถ์ของตนเอง ไม่ต้องเชื่อใคร เชื่อความจริง ของจริงนั้นๆเอง ของตนเอง ที่ปฏิบัติได้เอง ในตนเอง โดยตนเอง(เอโก)

จึงไม่ใช่เพียงแค่เห็น "ความเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป" อย่างต้นๆตื้นๆ ง่ายๆหลวมๆ เป็นตรรกะ หรือเห็นแค่จินตามยปัญญา ที่ไม่มีภาวะของ "ภาวนามัย" ไม่มีความสำเร็จขั้น เกิดผลธรรม มาให้เห็นแจ้ง ก็ไม่ถึงขั้นมี "ภาวนามยปัญญา" การเห็น"ไตรลักษณ์" แค่ขั้นเห็น "ความเกิดขึ้น -ตั้งอยู่-ดับไป" ในลักษณะนี้ ก็เป็นเพียงผู้เห็น ไตรลักษณ์ ที่เป็น "สามัญลักษณ์" ซึ่งเป็น"ลักษณะเกิดขึ้น -ตั้งอยู่-ดับไป" ที่ยังไม่ถึงขั้น ผู้ปฏิบัติหยั่งรู้แจ้งใน "ปรมัตถธรรม" นั่นคือ ไม่เข้าถึงการสัมผัส สภาวะจริงของ จิต-เจตสิก-รูป จนกระทั่งเห็น อนิจจัง เห็นทุกขัง เห็นอนัตตา และที่สุดสัมผัส ภาวะของ"นิพพาน" ปรากฏให้เห็นได้เอง อยู่เป็น "ตถตา"

การเห็นได้รู้ได้ อย่าง "สามัญลักษณ์"นั้น มันเป็นความเข้าใจทั่วไป ที่ปุถุชนก็เข้าใจได้ ทั้งนั้น จึงเรียกว่า "สามัญลักษณ์" ซึ่งเป็นแค่ "ตรรกะ" เป็นเพียง ความรู้ความเห็นทั่วไป ที่ร่วมรู้กันได้ เป็น "สามานยนาม" ใครๆก็เข้าใจกันเป็น สาธารณะของปุถุชน ที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้ 

แต่ไม่ใช่ "วิสามานยนาม" ที่เฉพาะเจาะจง มีการระบุ "ตัวตน"ได้ ในขณะที่มี "ธาตุรู้ของเรา สัมผัสภาวะนั้นๆหลัดๆ รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ตัวตน นั้นอยู่ทีเดียว" ซึ่งเป็นการรู้ขั้น "ญาณหรือปัญญา" ที่เป็นอาริยะ เป็นโลกุตระ "ไม่สาธารณะกับพวกปุถุชน" (อสาธารณํ ปุถุชฺชเนหิ) หรือ "ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน" (อสาธารณํ ปุถุชฺชเนหิ) เป็น "ญาณข้อที่ ๑ ใน ๗" ของพระโสดาบัน ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ ข้อ ๕๔๓

การรู้หรือมีความรู้ว่า "ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่ใช่ตัวตน"นั้น เป็น "สาธารณะกับปุถุชน" ปุถุชนทั่วไป พอรู้ได้ รู้อย่างซาบซึ้งก็ได้ 

แต่ "การรู้หรือมีความรู้" ว่า "ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่ใช่ตัวตน" อย่างเป็นอาริยะ เป็นโลกุตระนี้ "ไม่สาธารณะกับพวกปุถุชน" (อสาธารณํ ปุถุชฺชเนหิ) หรือ "ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน" (อสาธารณํ ปุถุชฺชเนหิ) ซึ่งมีนัยสำคัญ ที่ผู้มีจริง จะรู้แจ้งเห็นจริงเอง "ปัจจัตตัง"

การสามารถสัมผัสรู้จัก "ตัวตน" ของกิเลสแล้วเราก็กำจัด ซึ่งเป็น การจัดแจง (สังขาร) เป็นการทำใจในใจ (มนสิการ) ของตนโดยตน เป็นการรวมการกระทำ หรือเป็น การจัดแจง ที่เรียกว่า "สังขาร"ของพระโยคาวจร ที่มีภูมิเข้าขั้น อาริยบุคคล

อาริยบุคคล จึงจะทำ"สังขาร" ขั้น"อภิ" ที่เป็น"บุญ"ได้ 

ดังนั้น "สังขาร ๓" ที่เป็น "ปุญญาภิสังขาร –อปุญญาภิสังขาร -อเนญชาภิสังขาร" นั้น จึงเป็น "อภิสังขาร" ขั้นโลกุตระ มิใช่ "สังขารธรรม" ที่เป็นการกล่าวถึง "สังขาร ๓"ทั่วไป ซึ่งแค่ สามานยนาม เป็นคำนาม ที่กำหนดกันกลางๆทั่วไป เช่น กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร ซึ่งเป็น "สังขาร" สามานยนามเท่านั้น

ผู้ปฏิบัติที่มีภูมิเข้าขั้นโลกุตระ เป็นอาริยะเท่านั้น จึงจะสามารถมีอภิสังขาร ๓นี้ได้ เพราะผู้จะสามารถปฏิบัติ "สัมมามรรคองค์ ๘" ถึงขั้น ทำ "วจีสังขาร " เป็นอภิสังขาร มีผลเป็นบุญขั้นอาริยะ ขั้นโลกุตระ ไปตามลำดับๆนั้น ต้องเป็นอาริยบุคคลจริง

นั่นคือ ต้องเป็นผู้ที่สามารถทำใจในใจเป็น "สัมมาปฏิบัติ "ได้แล้ว จึงสามารถทำ การจัดแจง หรือการ รวมการกระทำ ขั้น "อภิสังขาร " ที่ปรุงแต่ง "สังกัปปะ "ในการปฏิบัติ "สัมมามรรค " จนกระทั่งทำให้ "วจีสังขาร" เกิดความเจริญเป็น "สัมมาอริยผล" ไปตามลำดับ จาก "ปุญญาภิสังขาร " คือ ปรุงเป็น "บุญ "ที่หมายถึง "การชำระจิตสันดาน " เจริญขึ้นๆ จนถึงผล "อปุญญาภิสังขาร " คือ "จัดแจงปรุงแต่งสำเร็จ"ได้ ถึงขั้น "ไม่ต้องชำระกิเลสในใจอีกแล้ว" เพราะ "ชำระกิเลสจากจิตสันดาน" ได้หมดแล้ว "ดับสนิทไม่เกิดอีกแล้ว" ซึ่ง "ไม่เกิดอีก" ชนิดที่ กระทบสัมผัสโลกธรรมใด ในใจก็ไม่เกิด แม้แต่แค่ "การหวั่นไหว" อย่างใดก็ไม่มี (ผุฏฐัสสะ โลกธัมเมหิ จิตตัง ยัสส น กัมปติ) จึงเรียกว่า "อเนญชาภิสังขาร" (สภาพปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว) ได้บริบูรณ์สัมบูรณ์เป็นที่สุด

ส.ฟ้าไทสรุปว่า....วันนี้เราได้ฟังธรรม ที่เป็นการปรับปวาทะ อย่างที่เขาว่า เราเคยตายหรือไม่ เราก็เชื่อว่าเราเคยตาย แต่เราจำไม่ได้หรอก

เรื่องนาม มี ๕ คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ อย่าง 8705 บอกว่าต้องรู้ ความไม่ใช่ตัวตนก่อน แต่พ่อครูว่า ต้องรู้ตัวตน คืออัตตะทิฏฐิก่อน ซึ่งเป็นความรู้ เป็นญาณปัญญา ที่ไม่สาธารณะกับปุถุชนทั่วไป มีเฉพาะ อาริยะบุคคลเท่านั้น.....

จบ